ในปี 1961 Four Seasons Motor Hotel ได้เปิดให้บริการขึ้นกลางเมือง Toronto ประเทศ Canada ผู้ออกแบบ Motel แห่งนี้มีนามว่า Isadore Sharp ใครเลยจะไปคาดคิดว่า Motel แห่งนี้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ให้คุณ Sharp ได้เริ่มตำนาน Four Seasons แบรนด์โรงแรมที่หรูหราที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก และในวันนี้ Four Seasons ก็ได้ฤกษ์หวนคืนสู่กรุงเทพมหานครของเราอีกครั้ง คราวนี้ Four Seasons เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าที่เคย ณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในคอนเส็ปต์ Riverside Urban Resort ที่งามสง่าสมฐานะแบรนด์โรงแรม Top-Tier ของโลก
The Arrival
ทันทีที่เลี้ยวรถเข้ามาในเขตโรงแรม เราก็จะพบกับลานวนรถที่มีต้นไม้ฟอร์มสวยยืนเป็นประธานรอต้อนรับอยู่ ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าความวุ่นวายทั้งปวงนั้นถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเรียบร้อยแล้ว และเราก็ได้เข้าสู่อ้อมกอดอันละเมียดละไมของ Four Seasons อย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน
งานออกแบบทั้ง Hardscape และ Interior ของที่นี่นั้นได้รับการดูแลเป็นพิเศษโดยคุณ Jean-Michel Gathy นักออกแบบระดับโลกชาวเบลเยี่ยม ผู้ตั้งใจจะเล่าเรื่องราวของ Property ริมแม่น้ำแห่งนี้ผ่านการเคลื่อนไหวของน้ำ โดยก่อนจะลงมือออกแบบ Monsieur Gathy ก็ได้เดินทางไปยังอยุธยาและล่องเรือตามลำน้ำเจ้าพระยาลงมาจนถึงที่ตั้งโรงแรมเพื่อที่จะได้เห็นและเข้าใจถึงชีวิตริมแม่น้ำสายหลักแห่งนี้ในหลายๆแง่มุม
Inspiration จากน้ำนั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่การปูพื้นรอบๆต้นไม้ประธานให้เป็นดั่งวงกระเพื่อมของน้ำที่แผ่ออกไปจนถึง Porte Cochère หรือประตูเทียบรถเพื่อให้แขกเดินเข้าโรงแรม จากนั้นแรงบันดาลใจจากน้ำก็ไหลต่อเนื่องเข้าไปปรากฏอยู่แทบจะทุกโซนของโรงแรม พอเดินผ่านประตูเข้าอาคารปุ๊บเราก็จะเห็นสระน้ำพร้อมหินประดับตรงหน้าทันที จากจุดนี้ไม่ว่าเราจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา น้ำก็จะติดตามเราไปทั้ง 2 ทาง ทั้งในรูปแบบของสระน้ำจริงๆและความพลิ้วไหวในงานศิลปะต่างๆที่ประดับอยู่ทั่ว Public Area
Four Seasons Bangkok นั้นให้ความสำคัญกับศิลปะอย่างมาก เพราะมีงานศิลป์ให้แขก Appreciate อยู่ทุกที่ และที่สำคัญแทบจะทั้งหมดนั้นเป็นผลงานของศิลปินไทย ตั้งแต่ภาพวาดอันโดดเด่นหลายชิ้นไปจนถึงงานประติมากรรมอันน่าทึ่ง โดยเฉพาะงานปูนปั้นที่ดูอ่อนนุ่มและพลิ้วไหวดุจผ้าม่านผืนมหึมาในโถงต้อนรับฝีมือคุณโด่ง พงษธัช อ่วยกลาง เรียกได้ว่าทุกรายละเอียดนั้นได้ผ่านการคิดออกแบบมาอย่างดี ถ้าจะลงดีเทลทั้งหมด บทความนี้ก็คงจะยาวเฟื้อยไม่รู้จบเลยล่ะครับ
โถง Reception ของที่นี่นั้นดู Grand และ Dramatic ด้วยภาพพื้นหลังที่เน้นสีน้ำตาลแดงแกมทอง ซึ่งเราทราบมาว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าช่วงมรสุมของกรุงเทพฯ ณ สุดทางเดินฝั่งตรงข้าม Reception ก็เป็นงานศิลป์อีกชิ้นที่ยังคงเล่าเรื่องความคดเคี้ยวของสายน้ำ และก็อย่างที่เห็นในรูปนะครับ ทั่วทั้งบริเวณนี้เต็มไปด้วยงานศิลปะแทบทุกมุมเลย
Our Room : Premier River-View Room
ห้องพักของเราในวันนี้ทางโรงแรมแจ้งว่าเป็นหนึ่งในห้องที่ปังที่สุด (แต่ยังมีห้องใหญ่มหึมาพื้นที่กว่า 450 ตร.ม.ที่ยังตกแต่งไม่เสร็จอีกนะครับ) ห้อง Premier River View ของเราขนาดกว้างขวางถึง 50 ตร.ม. มาพร้อมกับวิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มตาจากพื้นจรดเพดาน เรื่องการตกแต่งภายในไม่ต้องพูดถึงครับ งดงามตามขนบ Four Seasons มี Partition แบ่งโซนห้องน้ำและห้องนอนที่สามารถเลื่อนเปิดปิดได้ตามสะดวก ถ้าเปิดก็จะทำให้ Space ดูกว้างและต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน ขอพาไปดูโซนห้องนอนกันก่อนดีกว่าแล้วค่อยไปเจาะลึกห้องน้ำกันเนอะ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราจึงพามาดูมุมมินิบาร์ก่อนเลย ในตู้เย็นและลิ้นชักนั้นสต็อคทั้งเครื่องดื่มและสแน็กซ์มาให้เต็มที่มาก มีแต่ของดีๆน่าลองทั้งนั้นครับ ที่โซนนั่งเล่นก็มี Welcome Patisserie หน้าตาดีเชียว แถมด้วยผลไม้และโน้ตต้อนรับที่เขียนด้วยลายมือ Personalized เป็นชื่อเราเลยครับ มีเซ็ตอุปกรณ์ป้องกันโควิดเตรียมไว้ให้ด้วย แน่นอนว่าในตู้เสื้อผ้านั้นก็มีอุปกรณ์ต่างๆครบครัน ตั้งแต่ตู้เซฟ ไปจนถึง ชุดคลุมอาบน้ำ Slippers และอุปกรณ์ทำความสะอาดรองเท้า
โซนห้องนอน
นอกจากความสวยงามและของจุกจิกที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้แล้ว สำหรับเรา หัวใจของห้องพักนั้นอยู่ที่ความสะดวกสบาย โดยเฉพาะระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆภายในห้องที่มีคุณภาพ เริ่มกันที่เครื่องนอน Four Seasons ขึ้นชื่ออย่างมากในเรื่องเครื่องนอนดูดวิญญาณ เตียงและหมอนที่หนานุ่ม ปลอกหมอนและผ้าปูที่เนียนเนี้ยบ ได้ยินมาว่าพนักงานหลายท่านก็ใช้สิทธิ์พนักงานซื้อชุดเครื่องนอนของ Four Seasons ไปประจำที่บ้านเลย น่าอิจฉาจริงๆครับ สำหรับเราปัญหาใหญ่ในการเข้าพักครั้งนี้ก็คือการลุกจากเตียงไปกิน Breakfast ตอนเช้าให้ทัน ฮ่าๆ
เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างช่องเสียบสาย USB เพื่อชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้ายุคใหม่ ที่นี่มีให้ครอบคลุมหลายจุดในห้องเลยครับ ระบบการเชื่อมต่อ Wifi ก็ไม่ต้องใช้พาสเวิร์ดและไม่จำกัดเวลาใดๆ และการ Cast จอมือถือหรือไอแพดของเราไปยังหน้าจอทีวีก็ทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วมาก ระบบควบคุมผ้าม่านทั้งแบบกรองแสงและแบบทึบแสงก็สามารถเลือกเปิดปิดได้โดยกดปุ่มง่ายๆ อ้อ! พูดถึงแสงแล้ว เราชอบระบบการควบคุมแสงไฟของที่นี่ด้วยครับ ปรับได้หลาย Mode ตั้งแต่สว่างปกติ ไปจนถึง Sleep Mode ที่จะมีเพียงแสงสลัวๆตรงพื้นให้เราเดินไปห้องน้ำกลางดึกได้สะดวก
ที่เรารู้สึกชอบเป็นพิเศษอีกอย่างก็คือ นอกจากเราโทรศัพท์ที่เราโทรขอความช่วยเหลือจากพนักงานได้ตามปกติแล้ว ที่ Four Seasons ยังมี iPad พร้อมข้อมูลต่างๆเตรียมไว้ให้แขกเปิดดู พร้อมกับฟังก์ชั่นพิมพ์ Chat กับพนักงานได้โดยตรง ซึ่งอันนี้เราชอบมากเลยครับ ถูกจริตชาวโลกยุคดิจิตอลจริงๆ
โซนห้องน้ำ
Partition ที่เลื่อนเปิดปิดได้ ทำให้ห้องน้ำที่กว้างอยู่แล้ว ดูโล่งยิ่งขึ้นอีก สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในโซนนี้ก็คงหนีไม่พ้นอ่างอาบน้ำทรงรีขนาดใหญ่พิเศษ ที่สำคัญคือน้ำอุ่นเต็มเร็วมากครับ ตรงหน้ากระจกก็มีอ่างล้างหน้าคู่ที่ดูหรูหรา และยิ่งหรูหรามากขึ้นไปอีกเมื่อเราเห็นแบรนด์ Maison Francis Kurkdjian Paris ปรากฏอยู่บน Amenities ต่างๆ ต้องยอมรับเลยว่ากลิ่น Aqua Universalis นั้นหอมฟุ้งจรุงใจไกล Beyond มากครับ
ขยับถัดมาก็คือโซน Shower ที่มีทั้งฝักบัวแบบสายและแบบ Rain Shower เปิดทีน้ำก็เทลงมาซู่ใหญ่ๆสะใจมาก เราชอบที่ Four Seasons มีที่นั่งสำหรับคนที่ถนัดนั่งอาบน้ำด้วย จะนั่งขัดถูเท้าก็ทำได้สะดวกเลย และในห้องชักโครกก็มีชั้นเล็กๆสำหรับวางหนังสือหรือโทรศัพท์ด้วยเช่นกัน เค้าคิดมาให้หมดแล้วจริงๆครับ ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริงแบบนี้แหละจึงจะเรียกว่า Luxury ได้อย่างเต็มปาก
พาทัวร์ห้องพักกันเสร็จแล้ว เราลงไปสำรวจรอบๆโรงแรมกันบ้างดีกว่า
สำรวจโรงแรม
Four Seasons Bangkok นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Complex สุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ชื่อว่า Chao Phraya Estate ซึ่งที่ดินทั้งหมดกว่า 35 ไร่ของ Complex แห่งนี้ถูกแบ่งให้กับตัวโรงแรม Four Seasons Bangkok มากที่สุด ถ้าจำไม่ผิดน่าจะกว่า 20 ไร่เลยทีเดียว พร้อมหน้ากว้างติดแม่น้ำเฉพาะของโรงแรมถึง 200 เมตร ภายใน Complex ยังมีเพื่อนบ้านอีก 2 โครงการ นั่นก็คือ Four Seasons Private Residences (ใครงบถึงซื้อห้องได้เลยครับ) และโรงแรม Super Luxury อีกแบรนด์อย่าง Capella ซึ่งมาเปิดที่นี่เป็นแห่งที่ 6 ของโลก
กลับมาโฟกัสที่โรงแรม Four Seasons ของเราดีกว่า ขอเล่าภาพกว้างๆก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปแวะดูแต่ละจุดที่น่าสนใจ ที่นี่มีห้องพักทั้งสิ้น 299 ห้อง ห้องอาหารและบาร์รวม 5 แห่งและกำลังจะได้ต้อนรับคาเฟ่เพิ่มอีก 1 แห่ง (ชื่อว่า Café Madeleine) ซึ่งเราไม่สามารถพาไปดูได้ครบทุกที่ เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้บาง Outlet ของโรงแรมต้องระงับการให้บริการชั่วคราว เราขอสปอยล์ก่อนเลยว่าปังทุกร้านจริงๆครับ
นอกจากนี้ Four Seasons Bangkok ยังมีสระว่ายน้ำหลายสระ ศูนย์สุขภาพเหนือระดับ ห้องจัดเลี้ยงทั้งเล็กและใหญ่ ห้องแกรนด์บอลรูม รวมไปถึงห้องจัดแสดงงานศิลปะที่ Partner กับ MOCA อีกด้วย และอีกหนึ่งจุดที่ควรได้รับการพูดถึงมากๆก็คือ Courtyard กลางโรงแรมที่คุณ Jean-Michel Gathy ออกแบบให้เป็นบึงน้ำโมเดิร์นขนาดใหญ่พร้อมสวนอันสงบสวยงาม ตรงตามคอนเส็ปต์ Urban Resort เป๊ะเลยครับ
บริการเรือรับส่ง
และถ้าหากเราอยากจะออกจากโรงแรมไปช้อปปิ้งที่ ICONSIAM หรือไปทำธุระแถวๆท่าเรือสาทร ทางโรงแรมก็มีบริการเรือรับส่งตลอดช่วงกลางวันเลยครับ สามารถเช็ครอบได้ที่โรงแรมเลย
Swimming Pools
Main Pools ของที่ Four Seasons Bangkok ต้องเติม s ครับ เพราะมีติดกันหลายสระ หลายระดับความลึก เลือกจุ่มตัวกันได้ตามอัธยาศัย เตียงรอบสระก็มีให้เลือกทั้งเตียงเดี่ยวเตียงคู่ ตัวสระนั้นอยู่แทบติดกับแม่น้ำ จึงได้ทั้งวิวตึก วิวสวน และวิวเจ้าพระยาขึ้นอยู่กับว่าเราจะหันไปทางไหน นอกจาก Main Pools แล้ว ยังมีสระว่ายน้ำอีกแห่งไว้ให้บริการในศูนย์สุขภาพ Urban Wellness Centre อีกด้วย
เราปลื้มตู้ Supply ของใช้ริมสระที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้บริการแบบพร้อมมากๆ ทั้งผ้าเช็ดตัว ครีมกันแดด ไปจนถึงนิตยสารให้อ่านเพลินๆกันด้วยครับ พอมีตู้นี้ตั้งแล้ว สระดูน่ารักขึ้นอีกเยอะเลย ช่วงที่เราเดินเล่นอยู่รอบสระ ฝนกำลังเริ่มจะโปรยปรายลงมาพอดี และพนักงานก็รีบนำร่มมาให้ทันทีเลย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างเล็กๆที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมดูแลแขกด้วยความใส่ใจในแบบของ Four Seasons ครับ
Urban Wellness Centre
โซนนี้ประกอบไปด้วย Gym ที่มีอุปกรณ์ครบมากๆ พร้อมผู้ดูแลมืออาชีพ Spa สุดเอ็กซ์คลูซีฟ (เสียดายที่ตอนเราไป Spa ยังไม่เปิด เนื่องจากมาตรการโควิดจึงไม่ได้เก็บรูปมาฝาก) สระว่ายน้ำเฉพาะสำหรับสมาชิก และสวนสวยใน Courtyard ที่ช่วยเติมความงดงามสีเขียวให้เรารู้สึกผ่อนคลายและเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น
นอกจากแขกที่พักในโรงแรมแล้ว Urban Wellness Centre ยังเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถสมัครสมาชิกเข้ามาใช้บริการได้ด้วย สอบถามรายละเอียดกับทางโรงแรมได้เลยครับ
Yu Ting Yuan ห้องอาหาร Signature ของโรงแรม
ห้องอาหารจีนกวางตุ้งต้นตำรับตามแบบฉบับของชนชั้นสูง ทางเชฟซิว เซียวกุยและทีมงานต่างก็หมายมั่นปั้นมือให้ Yu Ting Yuan เป็นห้องอาหารจีนแห่งแรกในไทยที่จะได้รับดาวมิชลิน และแล้วก็ได้รับรางวัล 1 MICHELIN Star เป็นที่เรียบร้อย ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ
แม้ว่าเราจะยังไม่ได้ลิ้มลองอาหารอันเลิศรสของหยู้ ทิง หย้วน เนื่องจากคิวจองเต็มจนล้นไปอีกหลายเดือน แต่จาก Decor และวิวสระน้ำที่สะท้อนแดดระยิบ เราก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่สูงศักดิ์ และเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไม Yu Ting Yuan จึงเป็นร้านดาวเด่นของ Four Seasons Bangkok
ห้องอาหารทั้งหมดที่ Four Seasons Bangkok รวมถึง Yu Ting Yuan นั้นได้รับการออกแบบโดย AvroKo บริษัทออกแบบชื่อก้องโลกจาก New York (แต่ตอนนี้มีออฟฟิศอยู่ใน 4 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยแล้วนะครับ) เขาเชี่ยวชาญงานออกแบบใน Hospitality Industry เป็นพิเศษ เป็นที่เลื่องลือกันว่าหากร้านใดให้ AvroKo ออกแบบแล้วล่ะก็ ให้เตรียมตื่นตะลึงกับความงามได้เลย
ห้องอาหารอิตาเลียน Riva del Fiume Ristorante
เราประทับใจกับการแต่งร้านของห้องอาหาร Riva ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้มากเลยครับ (ก็แหงแหละ AvroKo เค้าเป็นคนออกแบบนี่) เพราะรู้สึกว่าเป็นจุดลงตัวพอดีระหว่างความหรูหรากับความโฮมมี่ และระหว่างความวินเทจกับความโมเดิร์นด้วย ทำให้นึกถึงบรรยากาศร้านอาหารสวยๆริมทะเลสาบ Como ที่อิตาลีเลยครับ
Riva มีทั้งโซนให้นั่งภายในอาคาร (ที่สวยงามน่านั่งจริงๆน้าาา) และโซนระเบียงด้านนอกแบบ Al Fresco ทั้งฝั่งแม่น้ำ และสระว่ายน้ำ ภายในห้องอาหารมีโซนครัวเปิดขนาดใหญ่โชว์การอบพิซซ่าและรีดพาสต้ากันสดๆด้วย ขนาดโดยรวมจึงค่อนข้างใหญ่มากเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆในโรงแรม
เชฟ Andrea Accordi รับหน้าที่ดูแลห้องอาหารนี้โดยเฉพาะ แต่ดาวเด่นตัวจริงของที่นี่คือ "ที่สุดของวัตถุดิบ" จากแต่ละภูมิภาคของอิตาลีที่ถูกคัดสรรมาอย่างรู้จริง เชฟลงลึกไปจนถึงวัตถุดิบพื้นฐานอย่างน้ำมันมะกอกสุดพิเศษจาก Tasca d'Almerita พริกแห้งจากเมือง Senise ไปจนถึงผลเคเปอร์คุณภาพเยี่ยมจากเกาะ Pantellaria เมื่อวัตถุดิบชั้นยอดมาเจอกับฝีมือชั้นครู ความดีงามของเมนูที่ Riva จึงไม่ต้องสาธยายกันให้มากเรื่อง
ทุกเสาร์-อาทิตย์ที่นี่เปิดให้บริการ Breakfast ด้วยนะครับ แค่นึกภาพก็อยากจองแล้วล่ะ