The Tubkaak Krabi Boutique Resort ตื่นตาทะเลใต้ สุขสบายสไตล์บูทีค
คงไม่มีใครที่ได้เห็นหาดทับแขกครั้งแรกแล้วไม่รู้สึกว้าว วิวหมู่เกาะห้องน้อยใหญ่ทั้ง 13 เกาะนั้นเรียงรายแบบสวยสับมหัศจรรย์ราวกับถูกพระเจ้าจงใจจัดวาง และ ณ กลางหาดนี้เองก็เป็นที่ตั้งของ “เดอะ ทับแขก กระบี่ บูทีค รีสอร์ท” ที่เพิ่งกลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทยได้ไม่นานแม้จะเปิดให้บริการมาเกือบ 20 ปีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มักจะมีแต่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่รู้จักและอยากจะมาใช้บริการ อาจจะเพราะรีสอร์ทแห่งนี้ติดลิสต์ในหนังสือขายดีอันดับ 1 แห่ง New York Times “1,000 Places To See Before You Die” ที่เขียนโดย Patricia Schultz วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปสำรวจความดีงามของรีสอร์ทบูทีคแห่งนี้กันครับ
The Arrival
สายฝนโปรยปรายลงมาพอให้ชุ่มฉ่ำต้อนรับเราสู่สนามบินกระบี่ พี่คนขับรถของโรงแรมมาชูป้ายรอรับเราอยู่ด้านนอกแล้ว พอเอาสัมภาระขึ้นรถเสร็จพี่คนขับก็เสิร์ฟขนมครอฟเฟิ่ลกับน้ำส้มคั้นสดให้เราเพลิดเพลินในช่วง 45 นาทีระหว่างเดินทางไปยังรีสอร์ท เมื่อมาถึงสิ่งที่เราสังเกตเห็นเป็นอย่างแรกก็คือสถาปัตยกรรมที่แปลกตาเพราะมีการผสานแรงบันดาลใจจากเรือกอและกับเรือนาคาเข้าไปในงานออกแบบด้วย โดยอาคารต่างๆนั้นปลูกสร้างแซมอยู่ในความเขียวขจีของต้นไม้ที่แทบจะไม่ได้ถูกตัดออกไปเลย เพราะเป็นความตั้งใจของทางรีสอร์ทที่จะเก็บรักษาต้นไม้ดั้งเดิมไว้ทั้งหมด
ล็อบบี้ของรีสอร์ทดูอบอุ่นเรียบง่ายด้วยงานไม้ซึ่งเปิดโล่งรับอากาศธรรมชาติที่ไหวเวียนจากรอบด้าน ขั้นตอนการเช็คอินเป็นไปอย่างราบรื่น มีน้ำมะตูมสดชื่นเสิร์ฟให้เป็น Welcome Drink และเนื่องจากเรามาถึงก่อนเวลา วิลล่าริมหาดของเราจึงยังไม่พร้อม พนักงานต้อนรับจึงเสนอพาทัวร์รีสอร์ท และให้ห้อง Deluxe เป็นห้องสำรองให้เราพักผ่อนไปพลางๆก่อน
The Concept
เดอะ ทับแขกฯเปิดให้บริการมาตั้งแต่พ.ศ. 2546 ก่อตั้งโดยคุณวิภาวรรณ เหล่าธนาสิน นักธุรกิจหญิงคนเก่งที่สร้างตัวขึ้นด้วยตัวเอง ด้วยทำเลที่ Boutique Resort แห่งนี้นั้นถูกโอบกอดไปด้วยภูเขาและทะเล ที่นี่จึงโดดเด่นในเรื่องความงดงามของธรรมชาติอันสมบูรณ์ ที่เราเซอร์ไพร้ซ์ก็คือน้ำที่ใช้ในรีสอร์ททั้งหมดนั้นมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติบนเขาหางนาค (หรือบางคนเรียกเขาหงอนนาค) ที่บนยอดเขาหางนาคนั้นมีตาน้ำที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์โดยเชื่อว่าเป็นน้ำตานาค คงเดากันได้ไม่ยากว่าบริเวณนี้นั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคน้ำเค็มมานมนาน และบริเวณที่รีสอร์ทตั้งอยู่ก็ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในเขตส่วนท้องของพญานาค เพราะใกล้ๆกับตัวรีสอร์ทก็มีตาน้ำที่น่าพิศวงอยู่อีกแห่งซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “สะดือนาค” อยู่ด้วย เดอะ ทับแขก จึงเป็นรีสอร์ทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก เพราะเป็นจุดสมดุลของงานบริการที่ยอดเยี่ยม ธรรมชาติที่สมบูรณ์ไม่เหมือนใคร งานสถาปัตยกรรมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมท้องถิ่น ไปจนถึงความเชื่อในตำนานชาวบ้าน และทั้งหมดก็ถูกห่อหุ้มอยู่ในบรรยากาศที่แสนผ่อนคลาย
Our Room
บนที่ดินอันกว้างขวางของเดอะ ทับแขกฯนั้นมีห้องพักเพียง 59 ห้องเท่านั้น ทุกอาคารสร้างขึ้นโดยการเลี่ยงการตัดต้นไม้ทั้งหมด แม้ตัวรีสอร์ทจะมีอายุเกือบ 20 ปีแล้ว (เปิดให้บริการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546) แต่ก็มีการปรับปรุงบำรุงรักษากันอยู่ตลอด ก่อนจะไปดูห้อง Ocean View Pool Villa ของเรา เราขอพาเพื่อนๆแวะไปชมห้อง Deluxe ที่ทางโรงแรมจัดเป็นห้องสำรองให้เรากันก่อนดีกว่าครับ เผื่อเพื่อนๆจะสนใจจองห้อง Type นี้กัน ไปดูรูปกันเลย
ห้อง Deluxe ที่ทางรีสอร์ทจัดมารับรองเราอยู่ชั้น 2 และได้วิวสระว่ายน้ำ ขนาดห้องกำลังดีครับ มี Outdoor Shower และ Outdoor Bathtub ให้ด้วยนะครับ
Ocean View Pool Villa
ถึงตาห้องจริงๆของเราแล้วครับ นี่คือห้อง Ocean View Pool Villa ที่อยู่ติดหาดเลย ทางเข้าอยู่ด้านข้างนะครับ แต่จะพาเพื่อนๆชมจากทางด้านหน้าซึ่งมีสระส่วนตัวที่เห็นวิวทะเลไปด้วย สามารถเดินทะลุด้านข้างวิลล่าเพื่อไปโซนล้างตัวด้านหลังได้ง่ายๆเลยครับ ถัดเข้ามาเป็นห้องนอน โต๊ะทำงาน มินิบาร์ มีเครื่อง Nespresso ให้ด้วยแล้วก็มีทีวีพร้อม Netflix (ที่เราไม่ได้เปิดดูเลย ฮ่าๆ) ส่วนลำโพงบลูทูธของ Bose ก็เสียงกระหึ่มดีมากครับ
ถัดเข้ามาอีกเป็น Dressing Area ที่กว้างกำลังดี จากนั้นก็เป็นห้องน้ำที่จัดโซนได้ลงตัว มีอ่างล้างหน้าแยก 2 ฝั่ง มีห้อง Toilet ที่ปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัวได้ มี Shower ให้ทั้งในห้องและด้านนอก (สำหรับล้างตัวหลังเล่นสระหรือทะเลก่อนเข้ามาในห้อง) และสุดท้ายก็คืออ่างอาบน้ำสีดำสำหรับแช่ตัวกลางแจ้งที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของห้องเลย เราชอบตรงที่ถ้าเปิดประตูกั้น พื้นที่ทั้งหมดก็จะถูกเชื่อมให้เป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่สระว่ายน้ำหน้าวิลล่าไปจนถึงอ่างอาบน้ำด้านหลังเลยครับ
The Arundina
ห้องอาหารไทยแบบ All-Day Dining ของเดอะ ทับแขกฯนั้นมีชื่อว่า The Arundina ซึ่งอยู่หน้าหาด อาหารทุกมื้อจะเสิร์ฟที่นี่ตั้งแต่มื้อเช้า กลางวัน และค่ำ รวมถึงเครื่องดื่มระหว่างวันด้วย (น้ำมะม่วงเบาปั่นนั้นเด็ดนักแล) ที่นี่จึงเป็นจุดศูนย์รวมความมีชีวิตชีวาของรีสอร์ทไปโดยปริยายซึ่งเราชอบในความสะดวก เรียบง่ายแบบนี้ และการที่ได้แวะมาบ่อยๆก็ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับ The Arundina มากกว่าห้องอาหารของรีสอร์ททั่วไป
เมนูอาหารของ The Arundina นั้นทั้งเมนูที่เชฟของรีสอร์ทรังสรรค์ขึ้น และมีเมนูพิเศษที่ออกแบบโดยเชฟ David Thompson เชฟอาหารไทยคนแรกที่ได้รับดาวมิชลินซึ่งทำให้ร้านดูมีความน่าสนใจขึ้นมากและรสชาติก็ดีสมรางวัล แต่ในความเห็นของเรา เรากลับรู้สึกชอบอาหารเมนูพื้นบ้านฝีมือเชฟของรีสอร์ทมากกว่าเสียอีกแฮะ ข้อดีมากๆอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือวัตถุดิบหลายๆอย่างโดยเฉพาะพืชผัก ทางรีสอร์ทปลูกเองแทบทั้งหมดเลย จึงมั่นใจได้ในเรื่องของความสดและความปลอดสารพิษ
The Beach
อยากลงหาดแล้วล่ะครับ แต่เราลืมพกครีมกันแดดทาตัวมาด้วย เลยจะแวะเข้าไปดูที่ L’Artisan Gift Shop กันซักนิด และก็ได้ Kakadu Plum Sunscreen จาก We Are Feel Good Inc. ของออสเตรเลียมาขวดนึง กลิ่นหอมธรรมชาติอ่อนๆถูกใจมากเลยครับ
จริงๆแค่เดินเล่นดูวิวที่สวยมหัศจรรย์ของหาดทับแขกก็เพลินมากๆแล้ว และด้วยน้ำที่ค่อนข้างนิ่ง (เพราะมีหมู่เกาะห้องคอยบังลมให้) ทำให้เราสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ ใครอยากทำกิจกรรมก็มี Paddle Board และเรือ Kayak แบบใสเอาไว้ให้บริการฟรีพร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลด้วย ถ้าอยากอาบแดดก็จับจองเตียงริมหาดกันได้ตามสบายเลย
Sunset Picnic On The Beach
หาดทับแขกนั้นหันไปทางทิศตะวันตก หมายความว่าตอนเย็นๆแสงตะวันตอนตกน้ำนั้นจะสวยเป็นพิเศษ และทางรีสอร์ทก็มีบริการพิเศษจัดเป็นซุ้มปิ๊กนิกบนหาดที่เราสามารถอิ่มเอมไปกับของว่างอร่อยๆและวิวสวยๆได้พร้อมๆกัน และที่นี่ไม่ได้มาเล่นๆนะครับ แต่เค้าจัดเต็มมีเทียนและคบเพลิงปักรอบซุ้มผ้าซีทรูสีขาวที่โบกพลิ้วไปตามลม ใครสนใจเซ็ตนี้สอบถามเพิ่มเติมกับทางรีสอร์ทได้โดยตรงเลยครับ
Romantic Dinner
เราจองดินเนอร์อาหารไทยบนหาดต่อกันเลยครับ และทางรีสอร์ทก็จัดโต๊ะและประดับไฟไว้ให้อย่างสวยงามที่ใต้ต้นไม้ แต่บังเอิญวันนี้ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ ทำให้เราต้องย้ายขึ้นไปรับประทานดินเนอร์กันบนดาดฟ้าชั้นสองของ The Arundina และการประดับไฟต่างๆไม่ได้น้อยไปกว่าที่หาดเลยครับ เราได้ทั้งดาดฟ้าเป็นของเรา และบังเอิญวันนี้มีวงดนตรีมาเล่นสดอยู่ด้านล่างพอดี เสียงเพลงที่ลอยขึ้นมาวอลลุ่มกำลังดีเลยครับ ส่วนอาหารเป็นผลงานที่รังสรรค์โดยเชฟอาหารไทยดาวมิชลินอย่าง David Thompson หน้ากินขนาดไหนให้รูปเล่าเรื่องก็แล้วกันครับ เริ่มตั้งแต่ไข่พะโล้ แกงส้มกะพงออดิบ กุ้งลายเสือย่างกับน้ำบูดู ผัดสามเหม็น อร่อยมากครับ โดยเฉพาะสาคูราดกะทิของหวานที่อร่อยนุ่มลิ้นดีเหลือเกิน แต่สิ่งที่เราขอชื่นชมยิ่งกว่าอาหารก็คือบริการที่ใส่ใจสุดๆจากคุณหนานที่คอยเทคแคร์เราตลอดมื้อ ขอปรบมือรัวๆครับ
Back To Our Villa
อิ่มหนำสำราญแล้ว ฝนก็หยุดแล้วเช่นกัน เราก็เดินกลับวิลล่ามาพบกับห้องที่ Turn Down เรียบร้อย เราไม่รีรอที่จะเปิดน้ำเติมลงอ่างกลางแจ้งเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศให้เต็มที่ เผื่อพรุ่งนี้ฝนตกจะได้ไม่ขาดทุน แต่ก็แช่นานมากไม่ได้ครับ เพราะพรุ่งนี้เช้าเรามีจองเรือไปเที่ยวหมู่เกาะห้องกันด้วย ต้องรีบนอนเอาแรงไว้ก่อน งั้นคืนนี้กู้ดไน้ท์เลยละกันครับ
Breakfast
อรุณสวัสดิ์จาก The Arundina ครับ เช้านี้เรามาตุนพลังก่อนไปเที่ยวเกาะด้วยบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่หลากหลาย และอร่อยง่ายๆไม่ซับซ้อน ซึ่งบางรายการก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆในแต่ละวัน เมนูเด็ดที่เห็นสั่งกันแทบทุกโต๊ะก็คือโรตีกรอบนอกนุ่มใน จะใส่ไข่ด้วยก็สั่งได้เลยครับ จุดเด่นอีกอย่างของ The Arundina ทีมเชฟของทางรีสอร์ทพยายามที่จะทำเองแทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่การปลูกผักผลไม้ กวนแยม แป้งโรตี ไปจนถึงเบเกอรี่หลายรายการในบุฟเฟ่ต์ คุณหนานคนเดิมจองโต๊ะริมหาดไว้ให้เราเลย ขอบคุณอีกครั้งนะครับ