top of page
black-01.png

Search Results

125 results found with an empty search

  • Quickie อร่อยสะใจสไตล์อเมริกัน

    Quickie อร่อยสะใจสไตล์อเมริกัน ฟาสต์ฟู้ดกูร์เมต์สไตล์อเมริกัน ใหม่ล่าสุดใจกลางเมืองที่โครงการ Velaa หลังสวน ทุกเมนูจะรังสรรค์จากวัตถุดิบพรีเมี่ยมไม่ว่าจะเป็น อิตาเลียนแฮม ไก่ออร์แกนิค หรือ เนื้อ USA แท้ๆ นำเข้าและทำออกมาได้อร่อยสะใจมากๆ เราติดใจแซนด์วิช Quickie Ham & Cheese เป็นพิเศษนัวสุดๆเลยล่ะครับ นัวถึงขั้นอยากสั่งมาเพิ่มเลยอ่ะ นอกจากอาหารอร่อยแล้ว งานอินทีเรียร์ก็โดดเด่นด้วยสีแดงจัด มาพร้อมกับ Elements ที่นำสไตล์ของ American Diner ย้อนยุคมาตีความใหม่ให้เข้ากับปัจจุบัน แถมยังมีห้องคาราโอเกะให้ดวลไมค์กันด้วยนะครับ สาขานี้ถือเป็นสาขานำร่องเพราะ Quickie มีแพลนจะขยายอีกหลายสาขาในอนาคตอันใกล้นี้เลย Quickie Burger 190.- ใช้เนื้อ USA BEEF นำเข้า 100% เลยพร้อมซอสสูตรลับของทางร้าน เข้ากันดีสุดๆ Truffle Mac N Cheese 290.- กลิ่นทรัฟเฟิลมาปะทะกับฟรายส์ร้อนๆ อร่อยมากเลยแหละ Quickie Ham & Cheese เมนูที่เราแนะนำสุดๆ ใครไปต้องกิน เพราะส่วนตัวคือชอบมากกกกก Float Sprite นี่ก็อร่อยสดชื่นสุดๆ 140.- Chic'kie Burger 195.- ใครชอบเนื้อไก่ทอด แนะนำเมนูนี้เลยครับ เพราะเนื้อไก่คือนุ่มและดีมาก ทำมาจากไก่ออแกนิคเลยนะ Homemade Shakes 140.- จากไอศกรีมวนิลานุ่มละมุนลิ้นมากๆ Ice Cream Sandwiches 150.- เป็นเมนูปิดท้ายของเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับเพื่อนๆ ที่พาน้องหมามา ที่นี่เค้าก็มีขนมให้กับน้องหมาด้วยนะ ส่วนชั้นสองของที่นี่มีห้องคาราโอเกะด้วยนะ ใครอยากดวลไมค์ต้องรีบจองเข้ามา เพราะมีแค่ห้องเดียวเท่านั้น!! QUICKIE VALAA หลังสวน Location: https://g.page/velaa-sindhorn-village?share 87 Lang Suan Road แขวง ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 เวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ที่จอดรถ: จอดรถได้ที่โครงการเวลาหลังสวน ข้อมูลเพิ่มเติม: https://web.facebook.com/Quickiebangkok

  • Cetara ลิ้มรสเสน่ห์ปลายจวักแห่งอิตาลีตอนใต้

    Cetara ลิ้มรสเสน่ห์ปลายจวักแห่งอิตาลีตอนใต้ Cetara คือเมืองชาวประมงเก่าแก่นับพันปีที่เปี่ยมด้วยมนต์ขลังบน Almafi Coast อันงดงามของอิตาลี แต่เราไม่ได้จะพาเพื่อนๆไปไกลขนาดนั้นหรอกนะ เพราะ Cetara ของเราในวันนี้เป็นร้านอาหารอบอุ่นน่ารักที่ดูแลโดยทีมเดียวกันกับร้าน Giglio Trattoria ในสาทรซอย 12 นี่เอง จากชื่อร้านแน่นอนว่าเมนูของ Cetara นั้นโฟกัสไปที่อาหารอิตาเลียนตอนใต้ ซึ่งมีซีฟู้ดเป็นดาวเด่น โดยเฉพาะแองโชวี่ส์และบลูฟินทูน่าซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมือง Cetara มาแสนนาน ใครคิดถึงอิตาลี เราก็ขอให้อาหารและบรรยากาศของ Cetara พาเข้าจักรวาลนฤมิตรเที่ยวทิพย์กันไปก่อนนะครับ มาถึงร้านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่อิตาลีจริงๆทั้งหน้าร้านและในร้านเลยครับ ระหว่างรออาหารก็ดื่มดริ้งค์หอมสดชื่นกันซักหน่อย ลืมไปแล้วว่าเมนูนี้เรียกว่าอะไร จานแรกเป็นพิซซ่าที่อร่อยมากๆ แถมยังแบ่งครึ่งได้ 2 ท็อปปิ้งด้วย เมนูนี้เป็นพาสต้า Paccheri ซึ่งเราชอบมากอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยเจอในร้านอิตาเลียนทั่วๆไปในไทย จานนี้นำมาผัดกับหนวดหมึกอร่อยและฟีลโฮมมี่มากๆ ต่อมาเป็น Risotto All’Astice e Stracciatella ก็คือรีซ็อตโต้ข้าวคาร์นาโรนี่และบลูล็อบสเตอร์ น่าทานมั้ยคร้าบบบ Merluzzo All’Acqua Pazza ปลา Cod ชิ้นโตเนื้อสด Poached มาซอส Acqua Pazza ขลุกขลิกรสชาติดี๊ดี มื้อนี้เราพลาดเมนูของดีของ Cetara อย่าง Anchovies และ Blue Fin Tuna ไปอย่างน่าเสียดาย ไปคราวหน้าต้องสั่งมาลองแล้วครับ จริงๆอยากสั่งมาลองทุกเมนูเลยแหละ แต่พื้นที่พุงเรามีจำกัดก็เลยขอปิดด้วยของหวานเลยก็แล้วกันครับ จบมื้อแบบคลาสสิคๆไปกับ Tiramisu ที่อร่อยฟินมากๆเลย Cetara ร้านอาหารอิตาเลี่ยนตอนใต้ Location: https://goo.gl/maps/SW9GMtYHNS3SWZtL6 118 2 ซอย สีลม 9 แขวง สีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน 11:30–15:00, 17:00–23:00 โทร: +66612688634 ที่จอดรถ: จอดได้ในที่บริเวณหน้าร้าน ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/cetarabangkok/

  • ATHITA บูธีคโฮเทลสุดสงบริมแม่น้ำโขง เมืองเชียงแสน

    ไป #Hop สัมผัสกลิ่นอายล้านนากับความสงบสมดุลกันที่ ATHITA The Hidden Court Chiang Saen Boutique Hotel โรงแรมเล็กๆแต่ละเมียดละไมที่เปิดตัว ณ ริมแม่น้ำโขงกลางเมืองเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ATHITA โดดเด่นด้วยการออกแบบและตกแต่งสไตล์ไทยล้านนา การผสมผสานระหว่าง ”อดีต” และ ”ปัจจุบัน” ได้อย่างลงตัว สร้างด้วยไม้สักและอิฐทำมือเกือบทั้งหลัง ที่นี่มีห้องพักเพียงแค่ 9 ห้องเท่านั้น(เอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ) แบ่งเป็น 3 room types ได้แก่ Superior Pagoda View, Deluxe Private Garden และ Lotus Garden Suite ตัวโรงแรมตั้งอยู่ในซอยเล็กๆที่แยกออกมาจากถนนริมแม่น้ำโขง เพียงเดินจากโรงแรมออกมาประมาณ 100 เมตร ก็จะพบกับทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงที่ห้อมล้อมไปด้วยแนวเขาไกลสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศในยามเช้าที่สงบเยือกเย็นนั้นเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้ ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกก็งดงามด้วยสีทองอร่ามในอีกอารมณ์ และพอตกค่ำ ณ ริมน้ำโขงแห่งนี้จะมีร้านอาหารมากมาย มีทั้งปลาน้ำจืดหลากชนิด ไปถึงอาหารพื้นเมืองของชาวเชียงแสน บรรยากาศล็อบบี้ เมื่อเราเดินเข้ามาเช็คอินทางพี่ๆ ก็จะมาเสริฟน้ำดิ่มสมุนไพรเป็นเวลคัมดริ้ง เชียงแสนเป็นเมืองสงบที่มีประวัติอันรุ่งโรจน์นับพันปี มีความเป็นมาก่อนยุคสุโขทัย และก่อนที่จะมีการตั้งประเทศไทยเสียอีก วันนี้เชียงแสนเป็นเมืองเล็กๆที่สง่างามด้วยวิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ที่แทรกตัวอยู่ทั่วเมืองและกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนก็คือโบราณสถานอายุนับร้อยนับพันปีเกือบร้อยแห่ง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เชียงแสนเป็นเมืองที่เหมาะแก่การปั่นจักรยานเที่ยว เลาะริมแม่น้ำ ชมเมือง เรียนรู้วัฒนธรรมและผู้คน รวมไปถึงแวะสัมผัสความขลังของประวัติศาสตร์อันยาวนานไปพร้อมๆกัน การที่ ATHITA ตั้งอยู่กลางเมืองก็ทำให้การสำรวจเชียงแสนนั้นเป็นไปได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากการดีไซน์โรงแรมที่งดงามลงตัวแล้ว เรายังประทับใจกับความครบครันของสิ่งอำนวยความสะดวก การบริการที่ใส่ใจเป็นกันเอง ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด และที่สำคัญคืออาหารอร่อยมาก (เราแนะนำข้าวต้มหมูตอนเช้า และข้าวจิ๊นเมินตอนกลางวัน) อ่อ! อย่าลืมถาม reception ถึงกิจกรรมในชุมชนที่เขาแนะนำด้วยนะครับ โถงนั่งเล่นวิวสวน เมื่อเราได้คีย์การ์ดแล้วก็จะเข้าสู่โซนห้องพักซึ่งมีทั้งหมดสองชั้น โดยชั้นแรกเป็นโถงนั่งเล่น open air และด้านหลังจะเป็นส่วนของห้องพัก ชั้น 1 และขึ้นบันไดไปก็เป็นห้องพักชั้น 2 ห้องพักแบบ Superior Pagoda View เป็นห้องเริ่มต้น ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ขนาดกว้าง 28 ตร.ม. เป็นวิวสวนหย่อม มีห้องน้ำส่วนตัว สไตล์การตกแต่งจะเป็นแบบไทยๆ จุดเด่นคือ หน้าต่างจะเป็นบานเกร็ดไม้ขนาดใหญ่แบบโบราณซึ่งปัจจุบันนี้จะหาดูได้ยากแล้ว เมื่อเรามองออกจากหน้าต่างจะพบกับวัดอาทิต้นแก้ว อายุมากกว่า 500 ปีแล้วนานมากๆ ซึ่งทางเจ้าของบอกกับเราว่ากำลังจะขอทางกรมศิลป์ช่วยบูรณะขึ้นมาใหม่ด้วยนะ ห้องแบบ Deluxe Private Garden ห้องนี้เป็นห้องขนาดกว้าง 31 ตร.ม ตั้งอยู่ชั้น 1 ของโรงแรม มีแค่ 2 ห้องเท่านั้น จุดเด่นของห้องนี้คือมีอ่างอาบน้ำสีขาวสะอาดตาและมีมุมสวนเล็กๆ ด้านนอกสุดชิลอีกด้วย ห้องแบบใหญ่ที่สุด Lotus Garden Suite เพิ่มความเป็นส่วนตัวด้วยห้องพักไฮไลท์ของโรงแรมอทิตา ขนาดกว้างถึง 37 ตร.ม จุดเด่นที่สุดของห้องนี้ก็คือ ระเบียงที่มีสระบัว พร้อมโต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งเล่น นั่งทำงานก็ได้ด้วยนะ กิจกรรมทำบุญตักบาตรและไหว้พระที่วัดอาทิต้นแก้ว อาหารเช้ามื้อสำคัญที่ขาดไม่ได้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับใครที่จะเลือกพักโรงแรมไหนก็คือ อาหารมื้อเช้าใช่มั้ยครับ วันนี้เราเริ่มต้นวันใหม่กับอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจะให้เราเลือกตั้งแต่เช็คอินว่าอยากทานเป็น Set A อาหารเช้าแบบอเมริกัน พร้อมเซ็ทขนมปัง โยเกิร์ต หรือ Set B ชุดข้าวต้มหมูเห็ดหอม ไข่ลวกพร้อมเครื่องโรยและมีเครื่องดิ่มให้สั่งกันด้วย ทั้งกาแฟ ชา น้ำผลไม้ สระว่ายน้ำซึ่งเป็นจุดเด่นที่เราชอบที่สุดของโรงแรม สระว่ายน้ำที่นี่เป็นระบบน้ำเกลือ(เราชอบมากกกกก) สีฟ้าสดใส ตกแต่งเรียบง่าย ขอบสระ ขอบบันไดโค้งมน ทำให้ไม่ชนเจ็บง่ายๆ มีมุมล้างตัว มุมนอนอาบแดดซึ่งเป็นส่วนตัวมาก 10 10 10 ไปเลยยยยย จนอยากจะว่ายมันทั้งวันเลยอะ ชิมอาหารเที่ยงก่อนจะเช็คเอาท์ ก่อนจะเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเราเลือกทานอาหารมื้อเที่ยงที่โรงแรมซึ่งขอบอกเลยว่าเป็นอาหารไทยผสมผสานที่ อร่อยมากกกกก ลงตัวสุดๆ แถมยังดูพิถีพิถันในการทำมาก ทั้งวัตถุดิบที่สดใหม่ รสชาติอาหารที่ลงตัว การเลือกใช้จาน การจัดจานพรีเซนต์อาหารให้ดูน่าทานสุดๆ อาหารคาวเราเลือก ข้าวเนื้อตุ๋น ผัดไทย และ ยำหมูยอ ส่วนเครื่องดื่มที่เราเลือกชิมกันก็คือ มะนาวโซดา กับ น้ำมะพร้าวปั่นหอมอร่อยมากๆๆๆ สรุปความประทับใจกับอทิตา บูธีคโฮเทล ที่นี่เป็นหนึ่งในบูธีคโฮเทลที่เราประทับใจที่สุดตั้งแต่เคยไปนอนมา(ฟังดูเว่อมั้ย) ไม่ว่าจะด้วยความเป็นส่วนตัว การดีไซน์ตัวโรงแรมที่สื่อถึงคาแร็คเตอร์ของเชียงแสนและเชื่อมโยงเข้ากับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ประวัติความเป็นมาของทำเลที่ตั้งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของ “วัดอาทิต้นแก้ว” วัดใหญ่เก่าแก่อายุกว่า 500 ปี (ฟังดูน่ากลัวแต่ของจริงไม่เลย ดูสง่างามมากกว่า) และเป็นที่มาของชื่อ “อาทิตา” ด้วย รวมไปถึงอาหารอร่อยๆและการบริการของพนักงานที่ใส่ใจพอเหมาะพอเจาะกำลังดี ที่สำคัญทางโรงแรมยังมีกิจกรรมท้องถิ่นให้เราเลือกเข้าร่วมกันอีกด้วย บอกเลยว่าถ้ามีโอกาศเราจะกลับไปอีกแน่นอน ขอบคุณพนักงานทุกคนที่ต้อนรับและให้คำแนะนำพวกเราเป็นอย่างดีตลอดทั้งสองวันเลยนะคร้าบบบ Athita The Hidden Court #LetsHoparound

  • HAOMA ฮาโอม่า แยบยล-ยอดเยี่ยม-ยั่งยืน

    “HAOMA ไม่ใช่ร้านอาหารธรรมดา” นั่นคือสิ่งที่เราแน่ใจ แม้เราจะยังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับร้านอาหารอินเดียนสุดล้ำแห่งนี้ นอกจากอาหาร Neo-Indian ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีตจากเรื่องราวในความทรงจำส่วนตัว และฝีมือการปรุงอันเฉียบขาดของเชฟ DK (Deepankar “DK” Khosla) แล้ว แนวคิดเบื้องหลังที่เป็นกลไกขับเคลื่อนให้ร้านอาหาร High-End แห่งนี้ก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนนั้นก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไป #hop ชม+ชิมรสชาติที่ซับซ้อนและงดงามของ HAOMA ณ โอเอซิสแห่งความเลิศรสใจกลางอโศกกัน ขอเล่าความเป็นมาของชื่อก่อนเลยว่า HAOMA นั้นอ่านว่า ฮาโอม่า เป็นชื่อของพืชศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่ปรากฏในอารยธรรมชาว Zoroastrian และ Hindu ว่ากันว่าสามารถนำมาปรุงเป็นน้ำอายุวัฒนะที่ใช้ปลุกพลังความเป็นอมตะให้กับผู้ที่ได้ดื่มกินเข้าไป (ขอสารภาพว่าตอนแรกเราก็เกือบปล่อยไก่ตัวโต เพราะเราเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน พาให้แอบคิดว่าเป็นภาษาจีนไปเสียได้) สวนหลังร้านพร้อมบ่อเลี้ยงปลา จากชื่อแล้ว แน่นอนว่าร้านอาหารอินเดียแห่งนี้ให้ความสำคัญอย่างมากกับพืชพรรณที่นำมาปรุงเป็นอาหารแต่ละจาน โดยทางร้านนั้นมีสวนอยู่ด้านหลังและปลูกพืชมากกว่า 5,000 ชนิด พร้อมบ่อเลี้ยงปลา (ใช่แล้ว เขาเลี้ยงปลาเอง!) เพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สด สะอาด และปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางจนออกมาเป็นเมนูเลิศรสแต่ละจานโดยสมบูรณ์ และอย่าลืมว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนที่ดินใจกลางกรุงย่านอโศกที่มูลค่าสูงระยับ เรียกได้ว่าเป็น Urban Farm-To-Table Concept อย่างแท้จริง แถม HAOMA ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นร้านอาหารปลอดคาร์บอนแห่งแรกของโลกอีกด้วย ท่ามกลางรางวัลมากมายที่ HAOMA ได้รับมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ร้านอาหารอินเดียยอดเยี่ยมแห่งปี 2019” จาก Elite Magazine หรือการได้รับการจัดลำดับที่ 6 ใน Top Tables Bangkok 2020 แซงหน้าร้านอาหาร Michelin Star ไปหลายร้าน สิ่งที่ทำให้ HAOMA เป็นที่สนใจในเวทีโลกจริงๆไม่ว่าจะเป็น New York Times หรือการได้เข้าพูดร่วมกับเชฟระดับท็อปของโลกหลายคน กลับมาจากจิตใจที่งดงามของเชฟ DK ที่ทำอาหารรสเลิศห่อด้วยใบตองแจกแรงงานต่างด้าวและผู้คนยากไร้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดไปกว่า 75,000 ห่อตลอดช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ในวันนี้ร้าน HAOMA กลับมาเปิดประตูต้อนรับลูกค้าอีกครั้ง ด้วยเมนูซิกเนเจอร์ดั้งเดิมของทางร้าน พร้อมกับอีก 3 เมนูใหม่ที่ถูกเนรมิตขึ้นจากรากเหง้า และมรดกทางวัฒนธรรมที่สั่งสมมาตลอดเส้นทางชีวิตของเชฟ DK โดยให้บริการทั้งแบบ A La Carte (เริ่มต้น 390 บาท) และแบบ Course มีให้เลือกทั้งเมนู Plant-Based และเมนูที่มีเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ยังมี Option ในการ Pairing อาหารกับเครื่องดื่มที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด มีทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล และปราศจากแอลกอฮอล เราประทับใจใน Wine List ของที่นี่เพราะมีตั้งแต่ไวน์ชั้นเยี่ยมแบบคลาสสิค ไปจนถึงไวน์จากผู้ผลิตรุ่นใหม่ที่นำเอานวัตกรรมและเทคนิคใหม่ๆเข้ามาพัฒนาแวดวงการทำไวน์ โดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตด้วยกระบวนการ Biodynamic และ Organic ซึ่งคัดสรรมาจาก Terroir (พื้นที่ที่มีสภาพดินและอากาศที่เหมาะแก่การปลูกไวน์) ชั้นยอดทั่วโลก สารภาพตามตรงว่าปกติเราไม่ได้ชำนาญอาหารอินเดียเท่าไรนัก ตอนที่อาหารมาเสิร์ฟเราก็แอบอึ้งกับความงามของการจัดจานที่ดูยุโร้ป...ยุโรป แถมดูเกลี้ยงเกลาราวกับงานอาร์ทสไตล์มินิมอล ผิดกับที่คิดไว้ตอนแรกเลย สิ่งที่ดีงามกว่าหน้าตาไปอีกก็คือรสชาติ แต่ละจานนั้นช่างอร่อยลิ้นกินเพลินเกินเรื่องไปมาก ประทับใจจนเราต้องเก็บไปบอกต่อคนที่บ้านและเพื่อนๆอีกหลายคน แถมยิ่งได้รู้เรื่องราวที่มาของแต่ละเมนู ก็ยิ่งทำให้เราเคลิบเคลิ้มไปกับรสมือเชฟมากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าช้าไปกว่านี้เลย เราไปเช็คเอ้าท์หน้าตาอาหารแต่ละจานของ HAOMA กันเลยดีกว่า Dishaa Matar & Daal Kachori Double Roti The Reappearing Duck Marnasann Sagar Khandi Dosa NOONEHUNGRY Double Ka Meetha Melody ประสบการณ์ Gastronomic ที่ HAOMA ในครั้งนี้ได้เปิดโลกให้กับเราในหลายๆแง่มุม ทั้งในเรื่องศิลปะแห่งอาหาร ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และเรื่องราวที่เชฟตั้งใจถ่ายทอดออกมาเป็นฉากๆ ผ่านการเลือกใช้วัตุดิบและวิธีการปรุงในแต่ละจาน ราวกับเราได้เดินทางท่องไปในดินแดน Exotic แบบ Luxury ผ่านรสชาติ/รสสัมผัสที่ลิงโลดอยู่บนลิ้นและกลิ่นหอมที่ฟุ้งอยู่ในโพรงจมูก สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการจะออกเดินทางสู่ความฟินผ่านรสชาติที่ไม่เหมือนใคร ก็เชิญได้เลยที่ HAOMA รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ เมนูแพลนต์เบส 10 คอร์ส, เมนูที่ไม่ใช่มังสวิรัติ 10 คอร์ส ราคา 2,990 บาท++ และเมนูที่ไม่ใช่มังสวิรัติ 7 คอร์ส ราคา 2,390 บาท++ (เพิ่ม 2,990 บาท สำหรับแอลกอฮอล์แพริ่ง) เมนูตามฤดูกาลเหล่านี้รวมอยู่ในเมนูอาลาคาร์ทใหม่ทั้งหมด ซึ่งราคาเริ่มต้นที่ 390 บาท . สำรองที่นั่งได้ที่ E-mail: Reservations@haoma.dk Tel : 022584744 www.haoma.dk . FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #LetsHoparound #Bangkok #LetsHoparoundBangkok

  • La Cabra (ลา คาบลา) กาแฟจากเดนมาร์กสู่เจริญกรุง

    #Hop ไปแวะดื่มกาแฟอิมพอร์ตตรงจากเมืองโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ที่ย่านเจริญกรุงกัน อีกหนึ่งสิ่งที่จะการันตีได้ว่าย่านเจริญกรุงนั้นเป็นหนึ่งในย่านที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คือการมาถึงของกาแฟชื่อดังจากเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นร้านกาแฟสูตรพิเศษของเดนมาร์กที่ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟสไตล์นอร์ดิกและการคั่วที่มีรสชาติเยี่ยม ร้าน La Cabra (ลา คาบลา) เสิร์ฟกาแฟคั่วแบบ One Roast ที่จะให้กลิ่นหอมและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถเลือกได้ทั้งแบบ Filter หรือ Espresso เมล็ดกาแฟที่นี่หมุนเวียนไปตามฤดูกาล เนื่องจากพื้นที่ปลูกต้นกาแฟแต่ประเทศก็มีช่วงเก็บเกี่ยวไม่เหมือนกันตามสภาพภูมิอากาศ แถมช่วงนี้ทางลาคาบลามีเมล็ดกาแฟพิเศษที่เสิร์ฟเฉพาะสาขากรุงเทพอีกด้วย "El Salvador Santa Rosa Bangkok edition" ซึ่งมีจำนวนจำกัด รีบไปลองกันหล่ะ ความพิเศษของกาแฟตัวนี้คือเป็นกาแฟที่มาจากฟาร์มในประเทศ El Salvador ที่มีความหวานจาก Natural Process และมาพร้อมรสพลัม ส้ม และชอคโกแลตนม นอกจากกาแฟที่ร้านก็ยังมีเครื่องดื่มอย่างชาเขียวและน้ำส้มยูซึสำหรับคนไม่ดื่มกาแฟด้วยนะครับ La Cabra Thailand Location: https://goo.gl/maps/hGgpk7FeGPCPSc1T8 813 ถนน เจริญกรุง แขวง ตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เวลาเปิด-ปิด: วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 08.00-17.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-18.00 น. 
(ปิดวันจันทร์) โทร: 08-4155-4564 ที่จอดรถ: ที่จอดรถ La Cabra จอดรถได้ที่วัดอุภัยราชบำรุง ข้อมูลเพิ่มเติม: Facebook/Instagram: lacabra.thailand Website: www.lacabra.dk

  • La Scala - Chapter ใหม่แห่งรสชาติอิตาเลียนระดับ Haute Cuisine

    La Scala แห่งโรงแรม The Sukhothai Bangkok คือร้านอิตาเลียนอันดับ 1 บน Tripadvisor ของไทยและเป็นร้านหนึ่งเดียวในไทยอีกเช่นกันที่ได้รับรางวัล 3 Forks จาก Gambero Rosso Guide ในปี 2018 การันตีว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารอิตาเลียน Fine Dining ที่ดีที่สุดที่อยู่นอกประเทศอิตาลี รูปถ่ายพร้อมลายเซ็นของเชฟระดับตำนานของโลกนับ 10 ท่านที่เคยฝากรสมือไว้ที่ La Scala นั้นถูกแขวนขึ้นเป็นทำเนียบประดับผนังด้านขวามือตรงทางเข้าร้าน ไม่ว่าจะเป็น Anthony Burd, Alain Passard, Massimo Bottura, David Tamburini, Umberto Bombana เป็นต้น เป็นเครื่องยืนยันเกียรติประวัติระดับโลกที่ La Scala สั่งสมมาอย่างยาวนาน ในวันนี้การเดินทางของรสชาติระดับ Haute Cuisine ครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งที่ La Scala ภายใต้การรังสรรค์ของเชฟ Eugenio Cannoni เชฟหนุ่มฝีมือเยี่ยมจากแคว้น Piedmont อิตาลี และ hoparound.co ก็ได้รับเกียรติจากทางห้องอาหารให้มาลิ้มลองความอร่อยที่ทั้งละเมียดและสนุกจากเมนูใหม่ที่เพิ่ง Launched สดๆร้อนๆเลย สำหรับเมนูใหม่ของเชฟยูจินิโอนี้มีเซ็ตเมนู 3 แบบให้เลือก ได้แก่แบบ 4 Courses (2,480.-) | 6 Courses (3,200.-) และ 8 Courses (3,800.-) ซึ่งแต่ละเซ็ตก็จะมีอาหารทั้งที่เหมือนและแตกต่างกันไปเป็นบางจาน ไปดูกันเลยดีกว่าว่าอาหารของเชฟที่เราได้ลองในวันนี้นั้นจะน่าทานขนาดไหน เริ่มอุ่นเครื่องกันด้วยเซ็ตขนมปังโฮมเมด เราฉีกขนมปังหอมกรุ่นอุ่นๆจากเตาปาดครีมชีส Mascarpone ที่ทีมเชฟทำขึ้นมาเองกับน้ำมันมะกอกชั้นยอด ยังไม่ทันเริ่มคอร์สแรกก็อร่อย Comforting ในพุง ดีเหลือเกินจนเราต้องยั้งใจเก็บท้องเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ได้เวลา Amuse-bouche ถ้าแปลตรงๆจากภาษาฝรั่งเศสก็คือ “สนุกปาก” หมายถึงอาหารชิ้นเล็กๆที่เชฟบรรจงปรุงออกมายั่วน้ำลายก่อนจะเข้าสู่จานหลัก สำหรับมื้อนี้เชฟทำ Amuse-Bouche ออกมาถึง 5 อย่าง และแต่ละอย่างก็สนุกสมคำแปลจริงๆ เริ่มต้นด้วย Corn Royale & Snow Fish เสิร์ฟมาในเปลือกไข่ ล้อมด้วยดอกไม้สีชมพูแปร๊ด อร่อยเข้มข้น หอมข้าวโพด ส่วนเนื้อปลาก็นุ่มละลายหายไปในปากโดยเราไม่ทันรู้ตัว คำที่ 2 คือ Mortadella & Truffle Tart เราเคยทานทาร์ตกันมาอยู่แล้ว Mortadella ก็ทานมาตั้งแต่ยังไม่รู้จักว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร ส่วนทรัฟเฟิลก็คุ้นเคยกันอยู่เพราะเป็น Ingredient พรีเมี่ยมยอดฮิตที่เราได้เจอบ่อยๆ แต่เราไม่เคยทาน 3 อย่างนี้ในคำเดียวกันเลย ที่สำคัญคืออร่อยมากซะด้วยสิ นี่คือตัวอย่างความสนุกในการผสมรสชาติที่เชฟตั้งใจนำเสนอ คำถัดมาเราเลือกหยิบ Black Sesame Tacos with Lobster & Horseradish สารภาพในใจว่าเราเล็งชิ้นนี้มากที่สุดตั้งแต่ตอนที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เป็นอีกคำที่รวมรสชาติที่คุ้นเคยแต่ไม่เคยเอามาอยู่ในคำเดียวกันแล้วลงตัวมากๆ เราชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะหยิบ Carbonara Cannolino หรือ Fake Cherry with Liver Pâté ก่อนดี เพราะจากชื่อก็ฟังแล้วน่าจะเข้มข้นไม่แพ้กัน แต่สุดท้ายเราก็เลือก Cannolino ก่อนซึ่งปกติเราจะคุ้นเคยกับ Cannoli ซึ่งเป็นขนมหวานไส้ชีส Ricotta แต่คราวนี้เชฟจับมาใส่ไส้คาวอย่าง Carbonara ก็สนุกและอร่อยเข้มข้นไปอีกแบบ ตบท้ายรายการ Amuse-Bouche ด้วยเชอร์รี่ปลอมที่ทานได้ทั้งก้านเพราะทำมาจาก Chocolate ด้านในเป็น Pâté ตับไก่เนียนละมุน มาถึงตอนนี้เส้นแบ่งระหว่างของคาวและของหวานในสมองของเรานั้นค่อยๆเลือนลางลงไปเยอะเลยครับ เข้าสู่คอร์สแรกของมื้อ จานนี้ชื่อว่า Scampo สวยงามราวกับงานศิลปะ Abstract ใครเลยจะคาดเดาได้ว่าแผ่นฟิล์มบางๆสีแดงที่คลุมเนื้อกุ้ง Langoustine เบื้องล่างนั้นจะทำจากพริกหวาน เชฟบอกว่าในจานนี้เขาใช้แทบจะทุกส่วนของพริกหวาน จะเว้นก็แต่ก้านเท่านั้น ส่วนเนื้อกุ้ง Langoustine นั้นถูกลนไฟที่ผิวให้พอส่งกลิ่นหอม เนื้อในนั้นหวานนุ่มสุกกำลังดี เมื่อทานพร้อมกับซอสเปรี้ยวอมหวานที่ทำจากบิสก์เปลือกกุ้ง Langoustine และครีมพริกหวานด้านล่าง ต้องบอกว่ารสชาติเสริมกันลงตัวมากๆครับ จานที่ 2 คือ Fegato Grasso ซึ่งก็คือฟัวกราส์ในภาษาอิตาเลียนนั่นเอง ตับห่านที่แสนนุ่มละมุนนี้เป็นเกรดคัดพิเศษที่เนื้อเนียนละลายบนลิ้นแต่กลับไม่เลี่ยนเลย เมื่อพบกับความหวานของ Caramelised Onion ก็ช่วยเพิ่มมิติรสชาติให้ลึกยิ่งขึ้น คู่รสชาตินี้เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูคลาสสิคอย่าง Fegato alla Veneziana ซึ่งดั้งเดิมจะใช้ตับวัวคู่กับสตูว์หอมใหญ่ ในเวอร์ชั่นของเชฟก็ได้เพิ่มความเป็นเอเชียลงไปด้วยรสเปรี้ยวของส้มจี๊ด (Calamansi) เพื่อตัดเลี่ยน สิ่งที่เซอร์ไพร้ส์ก็คือขนมดอกจอก Beetroot ที่เสิร์ฟมาคู่กัน บนดอกจอกนั้นตกแต่งด้วยการเอา Elements รสชาติเดียวกันกับที่อยู่ในจานหลักแต่มานำเสนอใน Texture ที่ต่างไป ทราบมาว่าเชฟประทับใจในความสวยของขนมดอกจอกระหว่างเดินตลาดเมื่อตอนมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ จึงนำมาประยุกต์ใส่ไว้ในจานนี้ด้วย Capesante หรือหอยเชลล์จานนี้ เป็นหนึ่งในจานโปรดของเรา รสชาติอร่อยง่ายเหมือนจะไม่ซับซ้อน แต่เทคนิคและไอเดียที่ใช้ในการประกอบขึ้นเป็นจานนี้นั้นไม่ธรรมดาเลย ดาวเด่นคือโฮตาเตะ หอยเชลล์ฮอกไกโดที่ถูกนำมา Seared ให้สุกพอดี ทานคู่กับฟักทองญี่ปุ่นทั้งในแบบ Purée และแบบคว้านเนื้อออกมาเป็นเม็ดกลมๆเล็กๆแล้วนำไปดองให้เกิดรสเปรี้ยวอมหวาน ที่เราว้าวก็คือแผ่นสีขาวที่คลุมอยู่ด้านบน เชฟอธิบายว่าทำมาจากเนื้อหอยเชลล์ 100% โดยนำไปปั่นละเอียด แล้วเกลี่ยให้เป็นแผ่นก่อนจะ Sous Vide คือทำให้สุกด้วยน้ำร้อนไม่มากเป็นเวลานาน ซอสสีขาวแสนอร่อยก็เป็นอีกองค์ประกอบที่ Surprise เราเช่นกัน เพราะทำจาก Colonata Lard มันหมูปรุงรสที่ถูกบ่ม (Cured) ในอ่างหินอ่อนจากแหล่งเดียวกันกับที่ไมเคิลแองเจลโลใช้แกะสลักงานประติมากรรมของเขา ต้องบ่มไว้นานถึง 6-10 เดือนจนเนื้อนุ่มละลายเมื่อถูกสัมผัสด้วยมือ โดยเชฟใช้โรสแมรี่สกัดเพิ่มความหอมลงไปด้วย Oxtail Ravioli ตัวแป้งพาสต้านั้นทำจาก Kale Flour เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำป่าและครีมกะหล่ำหมัก เป็นที่รู้กันดีว่าหางวัวนั้นอุดมไปด้วยคอลลาเจนทำให้ไส้เกี๊ยวอิตาเลี่ยนจานนี้นั้นมีรสชาติเข้มข้นหอมนุ่มละลายในปาก (อีกแล้ว) ส่วนใบกะหล่ำหมักนั้นก็ช่วยเพิ่มรสสัมผัสและตัดความเข้มของเนื้อได้เป็นอย่างดี Aragosta เนื้อล็อบสเตอร์ส่วนหางทั้งดุ้น นำไปปรุงสุกด้วยวิธี Confit ใน Brown Butter จากนั้นก็นำมาวางบน Salsa Verde ราดด้วยนมรสกระเทียม ส่วนสิ่งที่เหมือนไข่ปลาคาเวียร์ด้านบนนั้นทำมาจากแองโชวี่จากทะเล Cantabrian ประเทศสเปน โดยเชฟได้แรงบันดาลใจสำหรับจานนี้จากเมนูท้องถิ่นประจำบ้านเกิดใน Piedmont อย่าง Bagna Càuda ซึ่งมีความคล้าย Fondue ที่ปรุงด้วยกระเทียมและแองโชวี่ หรือบางทีก็ใช้จิ้มผักสดทาน (เหมือนน้ำพริกบ้านเราเลย) ส่วนใบไม้ที่วางทับลงไปคือ Osmosis Spinach ทั้งหมดนี้เราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเชฟใช้เทคนิคอะไรบ้างในการเนรมิตจานนี้ขึ้นมา เรารู้แค่เพียงว่าอร่อยมากครับ อาหารคาวจานสุดท้ายแล้วครับ นี่คือ Manzo เนื้อวัวที่นุ่มละลายและมีกลิ่นรมควันอ่อนๆเพราะผ่านการ Smoked Dry Aged จากนั้นก็นำมาย่างจนหอมไฟและราดด้วยซอสถึง 3 ชนิดด้วยกัน เริ่มจากซอส Pizzaiola ตำรับ Neapolitan ซึ่งทำจากมะเขือเทศ แน่นอนว่าเชฟ Eugenio ก็นำมาตีความใหม่ในแบบฉบับตัวเอง ซอสที่ 2 คือ Smoked Béarnaise ซอสสเต้กคลาสสิคสไตล์ฝรั่งเศส แต่เชฟนำมารมควันเพิ่มอีกเลเยอร์รสชาติให้กับตัวซอส ตบท้ายด้วยซอสรสเผ็ดนิดๆที่ปรุงด้วยชีส Pecorino Romano จานนี้เสิร์ฟคู่กับ Osmosis Spinach ที่เราติดใจมาตั้งแต่จานก่อน และแก่นตะวันอบ (Jerusalem Artichoke) ที่มีกลิ่นหอมอร่อยเฉพาะตัว เป็นการปิดท้ายรายการของคาวได้อย่างน่าประทับใจ สำหรับของหวานของมื้อนี้มีชื่อว่า Yuzu ขนมหวานที่อร่อยง่ายเหลือเกินเพราะเชฟได้นำรสชาติที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วอย่างยูสุ โยเกิร์ต และน้ำผึ้ง มาร่ายมนต์เสกขึ้นมาเป็นขนมที่หอมหวานสดชื่น รสสัมผัสละมุนลิ้น เราแอบประทับใจในเมอร์แรงก์ของเชฟเป็นพิเศษเพราะหวานน้อยและกรอบอร่อยกว่าเมอร์แรงก์ทั่วๆไปที่เราเคยกินมา ยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เชฟยังตบท้ายด้วย Petit Four ขนมชิ้นเล็กๆที่เชฟพิถีพิถันขึ้นมาให้เราประทับใจก่อนมื้อนี้จะจบลง ซึ่ง Petit Four นี้อาจเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามความสร้างสรรค์ของเชฟนะครับ ในวันที่เราไปทานนั้นเชฟจัดมาให้ 4 อย่างด้วยกันครับ นั่นก็คือ Jack Fruit Tart มาจากความติดใจของเชฟหลังจากได้ลองทานขนุนในตลาดเป็นครั้งแรกตลาดเมื่อตอนมาถึงไทยใหม่ๆ Peach Jelly เยลลี่สี่เหลี่ยมจตุรัสหอมหวานรสพีชนุ่มๆหนึบๆ ต่อด้วย Peach Yoghurt Lollipop โยเกิร์ตพีชที่พรีเซ้นต์มาในรูปแบบลูกอมเสียบไม้ก็แสดงถึงความ Playful ของเชฟได้เป็นอย่างดี และที่เข้มข้นถูกใจเรามากๆก็คือ Tiramisu ของหวานอิตาเลียนคลาสสิคที่ขาดไม่ได้ มื้อนี้ของเรานั้นอิ่มเอมใจจริงๆครับ เพราะมีทั้งอาหารที่เลิศรส และเพื่อนร่วมโต๊ะที่คุยสนุก แถมยังช่วยเปิดโลกให้เราได้รู้จักอะไรใหม่ๆเยอะแยะเลย เราขอแสดงความยินดีกับร้าน La Scala ที่ได้เชฟฝีมือเยี่ยมยอดมาช่วยสานต่อเกียรติประวัติของร้าน (ขอให้ได้ดาวมิชลินเป็นร้านอิตาเลียนร้านแรกในไทยอย่างที่เชฟหมายมั่นไว้เลยนะครับ) และขอยินดีกับ The Sukhothai Bangkok ที่เพิ่งถูกจัดให้ครองอันดับ 1 ของโรงแรมในกรุงเทพฯโดยผู้อ่านของ Condé Nast Traveler สดๆร้อนๆเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมานี้ด้วยนะครับ La Scala Bangkok Location : https://goo.gl/maps/xkrEaR7VVNPNt7xi8 13/3 ถนน สาทรใต้ แขวง ยานนาวา เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 เวลาเปิด-ปิด : 12.00-21.00 โทร : 02-344-8888 Dress Code : Smart Casual ที่จอดรถ : สามารถจอดได้ที่โรงแรม The Sukhothai Bangkok ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.sukhothai.com/bangkok/en/dining/restaurant-la-scala

  • Aksorn ย้อนรอยต้นตำรับอาหารไทยยุค Post-WWII ร้านอาหารรางวัลหนึ่งดาวมิชลิน

    Aksorn อักษร ย้อนรอยต้นตำรับอาหารไทยยุค Post-WWII ร้านอาหารรางวัลหนึ่งดาวมิชลิน อาหารไทยเป็นมรดกที่ตกทอดกันมายาวนาน และเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้วแรงสั่นสะเทือนจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทำให้ภูมิปัญญาดั้งเดิมได้ผสมผสานเข้ากับวิทยาการความรู้ใหม่ๆ เกิดเป็นตำรับอาหารไทยที่ถูกจัดระเบียบขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงค่อยๆวิวัฒนาการมาจนเป็นอาหารไทยที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน เรียกได้ว่าตำราอาหารยุคหลังสงครามโลกนั้นเป็นดังต้นตำรับของอาหารไทยยุคใหม่ก็น่าจะไม่เกินเลยจากความเป็นจริง จะน่าสนใจขนาดไหน หาก Chef David Thompson เชฟอาหารไทยติดดาวมิชลินชื่อดังได้กลับไปค้นถึงต้นตำรับจากตำราอาหารไทยในยุคนั้น บางครั้งโชคดีก็จะได้เรียนรู้จากตัวเจ้าของสูตรที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆเลย จากนั้นเชฟและทีมของเขาก็จะนำวัตถุดิบที่สรรหามาให้ตรงเป๊ะกับในตำรามาปรุงให้เราได้เห็น(เกือบ)ทุกขั้นตอนในครัวเปิด ก่อนจะยกสำรับมาเสิร์ฟให้เราได้ลิ้มรสความประณีตในทุกๆคำ วันนี้ทั้งหมดได้กลายเป็นความจริงแล้วที่ร้านอักษร บนชั้น 5 ของอาคาร Central: The Original Store บนถนนเจริญกรุง ซึ่งเป็นสาขาแรกของเครือห้างสรรพสินค้าที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นร้านหนังสือในยุค Post-WWII เช่นกัน แนะนำกันซักหน่อยว่าที่ร้านอักษร อาหารจะเสิร์ฟในรูปแบบ Set Menu ราคาอยู่ที่ 2,800++.- / คน และจะมีการเปลี่ยนเมนูทุกๆ 2-3 เดือน หากต้องการ Wine Pairing ด้วยก็เพิ่มอีก 1,400++.-/คน แต่เราไปในช่วงที่ยังไม่อนุญาตให้เสิร์ฟแอลกอฮอลเนื่องจากสถานการณ์โควิด วันนี้จึงรับประทานเฉพาะอาหารและ Mocktail อร่อยๆครับ ความพิเศษของช่วงเดือนนี้อยู่ตรงที่เมนูทั้งหมดจะมาจากตำราของคุณป้าเป้า นุชนันท์ โอสถานนท์ แห่งวังสวนผักกาด (ดังนั้นจะเรียกเมนูในช่วงนี้ว่าเป็น “อาหารชาววัง” ก็คงไม่ผิดนัก) ท่านเป็นคอลัมนิสต์อาหาร ผู้เขียนตำราอาหาร และนักจัดรายการทีวีที่คลุกคลีผูกพันกับอาหารทั้งในแง่หน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัวมาตั้งแต่เยาว์วัย ที่สำคัญทางทีมเชฟ David ยังได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้สูตรจากคุณป้าเป้าโดยตรงเลยจึงการันตีได้ว่ามื้อนี้ที่อักษรนั้นเป็นสูตรแท้ๆจากต้นตำรับจริงๆ เริ่มต้นกันที่ Hors D’oeuvre อาหารว่างคำเล็กๆเพื่อเชื้อเชิญเราสู่มื้อพิเศษนี้ มีอยู่ 2 จานด้วยกัน จานแรกคือเมี่ยงหมากที่ทำให้เรานึกถึงเมี่ยงคำ แต่จานนี้มีมิติของรสชาติมากกว่าด้วยความเผ็ดร้อนของกระชาย ความหอมมันของเม็ดมะม่วงฯคั่ว และความฝาดของใบทองหลางซึ่งนำมาห่อแทนใบชะพลูด้วยวิธีเดียวกันกับที่คนโบราณห่อหมากเลย ส่วนอีกจานก็คือ ซอง อาหารที่เราไม่คุ้นชื่อมาก่อนเลย ทีมเชฟนำเอาหมูสับ ปลากุเลาเค็ม และไข่เป็ดเค็มมาคลุกเคล้ากันก่อนจะห่อด้วยแผ่นปอเปี๊ยะแล้วทอด ทำให้รสชาติที่ออกมานั้นกลมกล่อม เรียบง่ายแต่ก็ซับซ้อนอยู่ในที ต่อกันด้วยเรไรหน้าปู จาน Starter ที่จริงจังขึ้นมาอีกนิด ทางทีมครัวได้พิมพ์ไม้กดเส้นเรไรที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าและแป้งท้าวยายม่อมออกมาเป็นเส้นสดๆ ก่อนจะท็อปด้วยปู กุ้งและเครื่องแกงกะทิที่รวมกันแล้วเหมือนเป็นพลุแห่งรสชาติที่ระเบิดในปาก ราวกับได้กินขนมจีนน้ำพริก น้ำยาปู และหมี่กะทิรสเลิศในคำเดียวกัน มาถึงสำรับหลักซึ่งประกอบไปด้วยกับข้าว 6 อย่าง เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยหอมๆจากจังหวัดสุรินทร์ เริ่มต้นด้วยยำยอดกระถินและดอกดาหลา เราประทับใจกับความสดชื่นและกลมกล่อมของน้ำยำ เนื้อสัมผัสและกลิ่นอันหลากหลายที่ซ่อนอยู่ใน 1 คำเมื่อเราตักเข้าปากนั้นทำให้เรา Enjoy จานนี้มากๆครับ ต่อมาก็คือแกงจืดหมูย่างหน่อไม้ไผ่ตง เป็นแกงจืดรสละเมียดที่ช่วยลดทอนความซับซ้อนของจานอื่นๆ เราชอบที่มีการนำหมูกรอบไปย่างรมควันก่อนเพื่อเพิ่มอีกเลเยอร์ให้รสชาติของซุป บังเอิญว่าตอนเด็กๆที่บ้านของเรานั้นก็ทำเมนูที่คล้ายกับเมนูนี้ การได้ซดรสชาติจากความทรงจำเข้าไปทำให้เราเข้าใจโมเม้นต์ที่นักวิจารณ์อาหารได้ชิม Rataouille ในฉากการ์ตูนของ Pixar ได้ทันที แกงเขียวหวานกุ้งสูตรคุณป้าเป้านั้นไม่เหมือนกับแกงเขียวหวานที่เราคุ้นเคยเลย จานนี้รสชาติเข้มข้น มีน้ำขลุกขลิกและสีเขียวสวยมาก ทั้งหมดเกิดจากการนำใบพริกสดจำนวนมากมาตำใส่ในพริกแกง จนทำให้เราแอบนึกถึง Pesto ในอาหารอิตาเลียน เมื่อทานกับกุ้งกุลาดำเนื้อหวานๆ เสริมด้วยกลิ่นหอมเขียวจากใบโหระพาและใบพริกแล้ว ต้องบอกว่าจานนี้เป็นอีกหนึ่ง Highlight ของมื้อนี้เลยครับ ปลาสลิดเป็นปลาที่มีรสชาติเค็มมันและมีกลิ่นเฉพาะตัวอยู่แล้ว ยิ่งนำมาย่างรมควันก่อนทอดก็ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้มากขึ้นไปอีก ขั้นตอนยังมีต่ออีกเพียบเพราะต้องนำไปปรุงกับเนื้อสันใน กุ้งแห้งผัดน้ำพริกเผาหมู เม็ดบัว ไข่เป็ดเค็ม และใบมะกรูดซอยจนเป็นฝอยละเอียด จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นผัดพริกขิงปลาสลิดจานนี้ เมื่อได้รู้ว่าต้องผ่านขั้นตอนมากมายขนาดนี้ ก็ทำให้เรารู้สึกภูมิใจว่าอาหารไทยของเราประณีตและซับซ้อนไม่แพ้อาหารฝรั่งเศสเลยนะเนี่ย น้ำพริกนครบาล นี่คือน้ำพริกในตำนานจากพระราชสำนักรัชกาลที่ 5 และก็เป็นอีกเมนูโปรดของเราในมื้อนี้ด้วย ขอเล่าที่มาอันแสนขลังของสูตรน้ำพริกถ้วยนี้ซักหน่อย เนื่องจากคุณปู่ทวดของคุณป้าเป้าเป็นหมอหลวงในสมัย ร.5 สูตรน้ำพริกนครบาลนี้จึงตกทอดมาในตระกูลของท่าน เราคงบอกได้ไม่หมดว่าในน้ำพริกถ้วยเล็กๆนี้มีส่วนผสมอะไรบ้าง นอกจากพริกแห้ง พริกชี้ฟ้าแช่น้ำ มะเขือยาว มะกรูด ส้มซ่า มะอึก และอื่นๆอีกมากมายแล้ว เรารับรู้ได้แค่ว่าน้ำพริกนครบาลนี้อร่อยมากๆ มีโน้ตของความ Smoky และ Citrus ที่หอมติดปลายจมูกชวนให้เราฉงนหลังกลืนคำแล้วคำเล่าลงไป กับข้าวจานสุดท้ายในสำรับก็คือปลาหมึกต้มเค็ม ใช้หมึกอายุน้อยที่เนื้อยังนุ่มและอ่อนโยน นำมาเคี่ยวเป็นชั่วโมงกับน้ำตาลปี๊บ พริกไทยดำ ขิง กระเทียม น้ำปลา และน้ำหมึกสีดำปี๋ เป็นอีกจานที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ แต่แน่นอนว่าที่อักษรนั้นประณีตในการปรุงมากกว่าหลายเท่า ทำให้รสชาติที่คุ้นลิ้นอยู่แล้วนั้น ยิ่งน่าประทับใจมากขึ้นไปอีก กินคาวแล้วไม่กินหวาน มื้อนี้ของเราก็คงจะไม่สมบูรณ์ มะเฟืองลอยแก้วสูตรคุณป้าเป้านั้นหอมหวานสดชื่นดีงามจนไม่รู้จะบรรยายยังไง แน่นอนว่าไม่ได้ทำกันง่ายๆต้องเลือกเฉพาะมะเฟืองที่ยังสุกไม่เต็มที่แล้วนำไป Macerate คือแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนในน้ำที่ปรุงขึ้นจากน้ำมะนาว น้ำส้มซ่า น้ำตาลทราย และอื่นๆจนเข้าเนื้อ ผลที่ได้ก็คือ Texture มะเฟืองที่นุ่มและกรอบในสัดส่วนที่พอดี ส่วนรสชาตินั้นก็ชุ่มฉ่ำ เปรี้ยวนิด หวานหน่อย อร่อยสุดๆ ช่วยล้างความคาวปากจากอาหารก่อนหน้าจนเกลี้ยงเลยครับ ขนมทองพลุ เรียกได้ว่าเป็น Choux แห่งสยาม สูตรของไทยทำจากแป้งข้าวเจ้า น้ำตาลโตนด (เชฟบอกว่าต้องไปซื้อจากซัพพลายเออร์ที่ป้าเป้า Approve เท่านั้น) มะพร้าว งาดำ และที่สำคัญคือทางเชฟเผลอบอก Ingredient ลับกับเรามาว่าเค้าใส่ Spiced Vodka ลงไปด้วย (หรือที่ทางทีมเชฟเรียกกันสนุกๆว่า Vodka à la Matt เพราะคุณแม็ตต์เป็นคนจัดการเรื่องการแช่เครื่องเทศลงไปนั่นเอง) จานสุดท้ายแล้วจริงๆสำหรับมื้อนี้ นั่นก็คือกระยาสารทใส่แม็คคาเดเมียอบควันเทียนกับกล้วยไข่ตีนเต่าซึ่งแปลว่ากล้วยไข่หวีสุดท้ายของเครือ ว่ากันว่าเป็นหวีที่หวานที่สุด เพราะแรงโน้มถ่วงของโลกที่ทำให้น้ำตาลจากต้นกล้วยถูกดึงให้มารวมกันอยู่ที่ปลายเครือ (นี่แหละครับความละเอียดของตำราคุณป้าเป้า และเราต้องขอชื่นชมทีมเชฟที่สามารถไปเสาะแสวงหามาจนได้นะครับ) เสิร์ฟพร้อมกับชาแดง Roiboos จากแอฟริกาที่ปราศจากคาเฟอีนเหมาะสำหรับดื่มให้สบายท้องหลังดินเนอร์มื้อใหญ่แบบนี้มากๆครับ จบลงไปแล้วสำหรับดินเนอร์สำหรับไทยมื้อพิเศษที่ร้านอักษร เราได้รับทั้งความรู้ ความอร่อย และบรรยากาศที่เป็นกันเองของทีมเชฟที่ช่วยอธิบายแกมหยอกล้อให้เราได้สนุกสนานไปตลอดมื้อ เราประทับใจในความพิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ การปรุงตามตำราอย่างเคร่งครัด และการนำเสนอที่สวยงาม เป็นการตอกย้ำถึงรากเหง้าที่ทั้ง Simple และ Sophisticated ของอาหารไทยให้เราได้ภูมิใจไม่รู้จบเลยครับ เพื่อนๆ #Hopsters คนไหนอยากลิ้มรสอาหารไทยต้นตำรับคุณป้าเป้าที่ร้านอักษร สามารถโทรสอบถามที่เบอร์ 021168662 หรือคลิกลิงค์จองโต๊ะที่นี่ >> https://www.sevenrooms.com/reservations/aksornbangkok ในช่วงงาน Bangkok Design Week 2021 แบบนี้มาย่านตลาดน้อยทีเดียวได้ทั้งเสพทั้งงานดีไซน์และความอร่อยระดับตำนานพร้อมกันไปเลยครับ aksorn ร้านอักษร เซ็นทรัล ดิ ออริจินัลสโตร์ Location: https://goo.gl/maps/N6JfFhcE6u82pfGS8 1266 ถนน เจริญกรุง แขวง บางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 เวลาเปิด-ปิด: 5:00 - 9:00 PM อังคาร-อาทิตย์ ปิดทุกวันจันทร์ โทร: +6621168662 ที่จอดรถ: จอดได้ในที่ริมถนนซอยเจริญกรุง 40 ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.aksornbkk.com/

  • Aesop Gift Kits 2021 ของขวัญเพื่อตอบแทนความดีงามของผู้รับ

    ในที่สุดบรรยากาศที่ครื้นเครงและอบอุ่นในช่วงเทศกาลแห่งความสุขก็เริ่มกลับมาให้เราได้กระชุ่มกระชวยหัวใจขึ้นได้บ้าง แม้จะยังเฉลิมฉลองเต็มที่ไม่ได้เหมือนในสภาวะปกติ สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากในตอนเด็กๆก็คือ “การได้รับ” ของขวัญและลุ้นว่าข้างในเป็นอะไร แต่เมื่อโตขึ้น “การให้” กลับให้ความสุขกับเรามากกว่า และปีนี้ Aēsop ก็มี Gift Kits อันเลอค่าที่รวมเอา Iconic Items ของแบรนด์ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและอบอวลด้วยกลิ่นหอมตรึงใจถึง 5 เซ็ต นอกจากดีไซน์ Packaging จะดูพรีเมี่ยมและรักษ์โลก (ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100%) แล้ว ความคุ้มค่านั้นก็ดีมากเช่นกัน คุ้มกว่าซื้อแบบแยกชิ้นตามปกติแน่นอน โดยเซ็ทแรกเริ่มต้นที่ 1,550.- เท่านั้น ที่ลึกล้ำไปกว่านั้นก็คือในปีนี้ Aēsop ยึดเอาแนวคิด 'Anatomy of Generosity' ในการออกแบบแต่ละเซ็ตตามคุณค่าของผู้ที่จะได้รับของขวัญผ่านสายตาของผู้ให้ (ก็คือเรานั่นเอง!) เหมือนแทนคำขอบคุณสำหรับความดีที่เขาเหล่านั้นมีให้กับเราและโลกใบนี้ โดยมีองค์กรการกุศล 5 องค์กร เป็นดั่งสัญลักษณ์ของความดีในแต่ละ Gift Kit และ Aēsop ก็ได้บริจาคเงินให้องค์กรละ AUD$100,000 ไปเลยโดยไม่ต้องคำนวณจากยอดขาย เรามาดูกันว่าแต่ละเซ็ตจะมี Concept ยังไงกันบ้าง The Forager (นักจัดหา) เป็นตัวแทนผู้ที่มีความสุขในการเสาะแสวงหาและคัดสรรสิ่งดีๆให้ผู้อื่น เป็นผู้ให้ที่ไม่ค่อยออกหน้าและไม่คาดหวังผลตอบแทน หากในชีวิตเรามีคนที่ช่วยนำพาสิ่งดีๆมาให้ แม้เขาจะไม่คาดหวังอะไรเลย แต่การให้เช็ตนี้เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณก็น่าจะทำให้หัวใจของเขาพองโตอยู่ไม่น้อย ผลิตภัณฑ์ Body Care ใน Gift Kit นี้มาพร้อมกับกลิ่นหอมสไตล์ Citrus (ผลไม้ตระกูลส้ม-มะนาว) ซึ่งหอมสดชื่นไม่ซับซ้อน ใครๆก็ชอบได้ไม่ยาก และการให้เครื่องประทินผิวกายก็ทำให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องผิวหน้าที่อาจแพ้ง่ายอีกด้วย แถมเซ็ตนี้ราคาเพียง 1,550.- จึงน่าจะเป็นเซ็ตยอดนิยม The Forager ประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ 2 ชิ้นคือ Citrus Melange Body Cleanser 100mL Rind Concentrate Body Balm 100mL องค์กรที่ได้รับบริจาคสำหรับเซ็ต The Forager ได้แก่ Photographers Without Borders The Listener (นักฟัง) หมายถึงผู้ที่ช่วยปลอบประโลมและเยียวยาผู้อื่นด้วยการให้เวลาและความใส่ใจในการฟังเรื่องราวที่ไม่สบายใจของอีกฝ่าย การมอบ Goft Kit นี้เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนผู้ที่ช่วยรับฟังปัญหาต่างๆของเราในช่วงที่ผ่านมา ก็น่าจะดูเหมาะสมมากๆครับ กลิ่นเขียวๆหอมๆของใบเจอเรเนี่ยมในเซ็ตนี้เป็นเหมือนตัวแทนของการช่วยให้คลายกังวล และทำให้รู้สึกว่าเราอยู่ในที่ที่ปลอดภัย The Listener (2,700.-) ประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ 3 ชิ้นคือ Geranium Leaf Body Cleanser 100mL Geranium Leaf Body Balm 100mL Geranium Leaf Body Scrub 180mL องค์กรที่ได้รับบริจาคสำหรับเซ็ต The Listener ได้แก่ Pan Intercultural Arts The Advocate (นักสนับสนุน) Gift Kit นี้สำหรับผู้รับที่มีลักษณะเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่เสียงเบากว่า เขาจะเคารพความต้องการของผู้ที่มีความจำเป็น และคอยให้ความสนับสนุนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน The Advocate จึงเหมาะที่จะเป็นของขวัญให้กับคนที่คอยสนับสนุนและเป็นกระบอกเสียงแทนเราหรือกลุ่มคนผู้ต้องการความช่วยเหลือ ของในเซ็ตนี้มีทั้งหมด 4 ชิ้น (3,550.-) มีทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลมือและผิวกายดังนี้ Resurrection Aromatique Hand Wash (Screw Cap) 500mL Resurrection Aromatique Hand Balm 75mL Rind Concentrate Body Balm 100mL Citrus Melange Body Cleanser 100mL องค์กรที่ได้รับบริจาคสำหรับเซ็ต The Advocate ได้แก่ Voice of Witness The Protector (ผู้ปกปักษ์) เซ็ตนี้บ่งบอกถึงผู้รับที่มีลักษณะเป็นผู้กล้าที่จะยืนขึ้นเพื่อปกป้องเราและโลกให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง โดยเฉพาะในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะน่าเป็นห่วงขึ้นเรื่อยๆ ของใน Gift Kit นี้จึงถูกคัดสรรมาสำหรับสาย Living ผู้รักในการทำบ้านให้น่าอยู่โดยเฉพาะ เหมาะที่จะเป็นของขวัญให้คุณพ่อคุณแม่ หรือคนสนิทที่คอยปกป้องดูแลเรา รวมไปถึงโลกของเราด้วย The Protector (3,300.-) ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3 ชิ้นได้แก่ Cythera Aromatique Room Spray 50mL Post-Poo Drops 100mL Resurrection Aromatique Hand Wash (Screw Cap) 500mL องค์กรที่ได้รับบริจาคสำหรับเซ็ต The Protector ได้แก่ Karrkad Kanjdji Trust The Mentor (ที่ปรึกษา) Gift Kit นี้เหมาะที่จะให้กับผู้ใหญ่ที่เราเคารพ หรือที่ปรึกษาที่คอยให้ปัญญาและเตือนสติเราในวันที่เราไม่แน่ใจในทิศทางของชีวิต คนกลุ่มนี้มักจะมีวิธีพูดที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขันอันชาญฉลาดและไม่ทำให้เรารู้สึกด้อยคุณค่าในตัวเอง ในแง่ของ Product นั้น เซ็ตนี้รวมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในซีรี่ส์ Parsley Seed 3 ชิ้น และมีซีรั่มเข้มข้น Top Seller ของ Aēsop ซึ่งเป็นสูตรพัฒนาใหม่ล่าสุดอยู่ด้วย ราคาทั้งเซ็ตอยู่ที่ 6,300.- ประกอบไปด้วย Parsley Seed Facial Cleanser 200mL Parsley Seed Anti-Oxidant Facial Toner 200mL Parsley Seed Anti-Oxidant Serum Intense  60mL องค์กรที่ได้รับบริจาคสำหรับเซ็ต The Mentor ได้แก่ Create UK และนี่ก็คือทั้ง 5 Gift Kits ที่ Aēsop ภูมิใจนำเสนอ เต็มที่ทั้งคอนเส็ปต์ คุณภาพ ความสวยงาม และความคุ้มค่า คู่ควรที่จะใช้แทนคำขอบคุณสำหรับคุณค่าอันดีงามที่ผู้รับมีให้กับเราและสังคม มาตรการ Social Distancing อาจแยกเราให้ห่างกันไปบ้าง ปลายปีนี้ก็เป็นโอกาสเหมาะที่จะส่งของขวัญกระชับความสัมพันธ์ที่มีค่าเหล่านั้นอีกครั้งนะครับ ช้อปได้ที่เอสอป เคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และ https://www.central.co.th/th/aesop www.hoparound.co #LetsHoparound #Skincare #AesopThailand #AesopSkincare

  • AYATANA cafe Sense of space อายตนะ คาเฟ่

    AYATANA.cafe Sense of space "อายตนะคาเฟ่" คาเฟ่ที่มาพร้อมห้องนั่งสมาธิเปิดใหม่ล่าสุดย่านอ่างศิลา ชลบุรี คาเฟ่เปิดใหม่ในชลบุรีแห่งนี้ชื่อว่า AYATANA อ่านว่า อา-ย-ต-นะ ซึ่งแปลว่าการรับรู้ผ่านช่องทางภายนอกทั้ง 6 ได้แก่ “ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ” เป็นคาเฟ่ที่มีคอนเซ็ปต์ที่ลึกซึ้งมาก มีหลายโซน ที่เราชอบที่สุดคือโซนห้องนั่งสมาธิ ที่ซ่อนอยู่บริเวณห้องด้านหลัง ใครอยากปลีกวิเวกจากความวุ่นวายในเมือง มาหลบพักผ่อนจิตใจ แถมยังมีเครื่องดื่มและขนมให้เลือกชิมอีกเพียบ เราแนะนำที่นี่เลยครับ เป็นอีกหนึ่งร้านที่ต้องมาให้ได้ในชลบุรี AYATANA CAFE Location : https://goo.gl/maps/qty1jeHPzC4pr32U9 209 ถนน พระยาสัจจา ตำบล เสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี ชลบุรี 20000 เวลาเปิด-ปิด : 09:00-18:00 ปิดวันพุธ โทร : +66809619426 ที่จอดรถ : ที่จอดรถ AYATANA cafe สามารถจอดได้ในบริเวณหน้าร้านริมถนน ข้อมูลเพิ่มเติม : https://web.facebook.com/ayatana.cafe

  • OKONOMI คาเฟ่เปิดใหม่สไตล์ญี่ปุ่น ที่เสิร์ฟตั้งแต่อาหารเช้าไปจนถึงเครื่องดื่มและเบเกอรี่

    OKONOMI Japanese Eatery & Cafe คาเฟ่สายมินิมอลญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่ของใหม่ในตลาดประเทศไทย แต่ทันทีที่เราก้าวเท้าเข้าไปในอาคารสีเขียวอ่อน ที่มีป้าย “OKONOMI” อยู่ด้านหน้า เราสามารถรับรู้ได้ถึงความมินิมอลญี่ปุ่นที่ลุ่มลึกไปจนถึงระดับจิตวิญญาณเลยทีเดียว เพราะทุกรายละเอียดต่างก็เล่าเรื่องไปในทางเดียวกันแบบไม่มีแตกแถวให้สะดุด ง่ายๆคือเหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ประเทศญี่ปุ่นเลยแหละ แม้เจ้าของจะเป็นเชฟชื่อดังชาวญี่ปุ่น แต่สาขาแรกของ OKONOMI นั้นกลับอยู่ที่ Brooklyn, New York โดยมีคอนเส็ปต์เป็นคาเฟ่ที่ใส่ใจทั้งในเรื่องอาหาร ขนมและเครื่องดื่ม คือจะทานเล่นหรือทานจริงที่นี่ก็มีให้ครบ สมชื่อ OKONOMI ที่แปลว่า Whatever you like สำหรับบรรยากาศของร้านนั้น แน่นอนว่ายืนหนึ่งเรื่องความมินิมอล แนวเส้นตรงในงานอินทีเรียร์และเฟอร์นิเจอร์ทำให้ดูเป็นระเบียบไม่รกตา และการใช้ไม้และโทนสีสว่างก็ช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เรารู้สึกถึงส่วนผสมที่ลงตัวพอดีระหว่างความ Comfort ความละเมียด และความเป็นญี่ปุ่น แม้ที่นี่จะมี All-Day Menu ที่อัดแน่นไปด้วยความน่ากินจนเลือกแทบไม่ถูก (แต่ไม่มี OKONOMIYAKI นะครับ 555) ไฮไลท์ของที่นี่กลับอยู่ที่เซ็ตอาหารเช้า Ichiju Sansai (ซุป 1 อย่าง, กับข้าว 3 อย่าง และบวกเครื่องเคียงอีก 2-3 อย่าง ส่วนหลังนี่เราเติมเองนะครับ 555) ที่เสิร์ฟช่วง 8:00-11:00 น. เท่านั้น เราสั่งชุด Shiokoji Ahi (550.-) คือปลาทูน่าอาฮิหมักด้วยชิโอะโคจิ (สูตรหมักคลาสสิคที่ประกอบด้วยเกลือและข้าวหมักเป็นหลัก) เสิร์ฟกับไข่หวาน (Tamagoyaki) ผักดอง (Tsukemono) ผักคลุกน้ำปรุง (Aemono) ข้าวญี่ปุ่นผสมธัญพืช ไข่ออนเซ็น และซุปมิโสะ ถ้าจะเพิ่มไข่ปลาแซลม่อน ก็เพิ่มอีก 90 บาทได้เลย แม้จะต้องรอเชฟพิถีพิถันกับอาหารของเราอยู่พักใหญ่ แต่ก็คุ้มค่ามาก นอกจากจะเป็นมื้อเช้าที่อร่อยแล้ว พอกินเสร็จก็รู้สึกสุขภาพดีได้รับสารอาหารครบหมู่ในปริมาณที่กำลังดี ส่วน Uji Matcha Latte ก็ปรุงมาแบบหวานน้อย รสละมุนกลมกล่อมสมชื่อความเป็นชาจากอูจิจริงๆ ช่วงนี้ยังเป็นช่วง Soft Opening อยู่เราแนะนำให้เพื่อนๆจองโต๊ะก่อนเข้าไปใช้บริการนะครับ โดยสรุปคือเราประทับใจกับ OKONOMI มากทีเดียว คิดว่าที่นี่จะเป็นหนึ่งในที่ที่เราจะบอกต่อ และนัดเจอเพื่อนๆได้เรื่อยๆตลอดทั้งวัน จะกลับมาลองเมนูอื่นๆอีกแน่นอนครับ ดูรูปแล้วก็อยากจะไปกันแล้วใช่มั้ยล่าาา ถ้าอย่างนั้นตามไปเลยที่ OKONOMI Location : https://goo.gl/maps/d6JsH3XprAJNB731A 33/1 ซอย สุขุมวิท 38 แขวง พระโขนง Klongtoey, กรุงเทพมหานคร 10110 เวลาเปิด-ปิด : Breakfast 08:00-11:00 | All Day Eatery & Cafe 08:00-18:00 โทร : +66613388000 ที่จอดรถ : ที่จอดรถ OKONIMI สามารถจอดได้ในซอยแต่อย่าลืมมองหาป้ายวันคู่วันคี่ด้วยนะคร้าบ ข้อมูลเพิ่มเติม : https://linktr.ee/okonomiofficial

  • สูตรใหม่! Parsley Seed Anti-Oxidant Intense Serum ตำนานแห่งเซรั่มที่ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นอีกจาก Aesop

    สูตรใหม่! Parsley Seed Anti-Oxidant Intense Serum ตำนานแห่งเซรั่มที่ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นอีกจาก Aesop การเพิ่มความแข็งแรงและปกป้องผิวจากมลภาวะและความเครียดสะสม คือเคล็ดลับสู่ผิวสุขภาพดีที่เราควรให้ความสำคัญก่อนการบำรุงเพื่อซ่อมแซมผิวเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าผิวไม่เสียตั้งแต่แรก เราก็แทบไม่มีเรื่องให้ซ่อม จริงมั้ยครับ ในบรรดาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างเกราะปราการให้กับผิวในท้องตลาด Parsley Seed Serum จาก Aesop มักปรากฏชื่อเป็นตัวท็อปๆมาอย่างยาวนาน เพราะนอกจากจะใช้แล้วเห็นผล ลูกค้าบอกต่อและกลับมาซื้อซ้ำจนขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในสินค้าขายดีตลอดกาลของแบรนด์แล้ว เซรั่มเมล็ดพาร์สลีย์นี้ยังมีเนื้อสัมผัสที่เบาบาง แห้งเร็ว เหมาะกับอากาศร้อนเหนอะหนะแบบบ้านเราเสียจริงๆ แถมกลิ่นก็หอมสดชื่นแบบธรรมชาติ เลอค่าตามวิถีของเอสอป แม้ผิวบอบบางก็ใช้ได้ สั้นๆก็คือ “เวิร์ค” ในแทบทุกมิติ มาวันนี้ Aesop ก็ได้ฤกษ์อัพเกรดสูตรของ Parsley Seed Anti-Oxidant Intense Serum ให้ยิ่งทรงพลานุภาพมากขึ้นไปอีกขั้น หลังจากเช็ดโทนเนอร์แล้ว เพียงเกลี่ยเซรั่ม 3-5 หยดให้ทั่วใบหน้าและลำคอ เจ้าโปรดักท์มหัศจรรย์นี้ก็จะเริ่มทำงานดูแลผิวของเราด้วยกลไกซับซ้อนหลายขั้นตอนทันที เริ่มต้นด้วยการสร้างแผ่นฟิล์มล่องหนเนื้อแมทท์ขึ้นมาเคลือบผิวด้วยสารสกัดจาก Red Algae และ Tara Gum เหมือนกับเรามีกำแพงบล็อคข้าศึกไว้ 1 ชั้นก่อนเลย จากนั้นมลภาวะที่หลุดลอดเข้ามาได้ ก็จะเจอกับสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากจาก Grape Seed, Green Tea และ Parsley Seed extracts ซึ่งเป็นดังกองทัพทหารตัวจิ๋วที่พากันออกมาฟาดฟันกับศัตรูไม่ให้มาทำร้ายผิวของเราจนหยาบกร้าน นอกจากนี้ยังมี Tocopherol (Vitamin E) ที่เข้ามาช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรงจากภายในอีกด้วย เรียกได้ว่าครบวงจรดูแลสุขภาพผิวให้แกร่งขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกแบบไม่ต้องยุ่งยาก เหมาะกับวิถีชีวิตที่วุ่นวายของคนเมืองยุคใหม่จริงๆเลย Parsley Seed Anti-Oxidant Intense Serum สูตรใหม่นี้ราคา 2,800 บาท (60 ml.) ช้อปได้ที่เคาน์เตอร์เอสอป หรือ ช้อปออนไลน์ที่ https://www.central.co.th/en/aesop นะครับ

  • F.V (Fruit & Vegetable)

    #Hopvorite : เอฟวี F.V ถนนทรงวาด บนถนนเก่าแก่คู่ขนานกับถนนเยาวราชเส้นนี้ มีร้านอาหารสุดแนวคอนเส็ปต์แน่นตั้งอยู่บนเลขที่ 827 ชื่อว่า เอฟวี — F.V (ย่อมาจาก Fruit & Vegetable) อย่าให้การตกแต่งร้านที่สวยแหวกแนวนี้หลอกเพื่อนๆชาว #hopsters ว่าที่นี่เป็นแค่ร้านอาหารสุขภาพเก๋ๆตามสมัยนิยมที่พบได้ทั่วไป เพราะเบื้องหลังของความสวยอาร์ทเบื้องหน้า คือความจริงจังที่เจาะลึกลงไปถึงรากเหง้าของวิถีท้องถิ่นไทยที่กำลังจะสูญหายไป กว่าจะได้มาซึ่งแต่ละเมนูไม่ว่าจะเป็น ชาไมยราบ เมี่ยงคำ ยำมะม่วงแบบโบราณทานคู่กับใบชะพลู ข้าวเกรียบถั่วดำคู่กับน้ำพริกผัด รวมไปถึงเครื่องดื่ม ขนม และของทานเล่นอีกหลายรายการ ทางร้านได้ส่งทีมไปลงพื้นที่ศึกษา เก็บตัวอย่าง และทดลองในห้องแล็ปกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ โดยคัดเอาแต่ผลผลิตทางการเกษตรที่ดีงามแต่ที่ไม่เป็นที่นิยมมานำเสนอใหม่ ผ่านมุมมองของนักคิดที่มีใจรักในผืนแผ่นดินไทย หลังจากที่เขาได้ทำงานในอเมริกาและมีธุรกิจสตูดิโอผลิตผลงานเชิงสร้างสรรค์ในอังกฤษมากว่า 30 ปี F.V จึงไม่ใช่ร้านอาหารเก๋ๆธรรมดา แต่ที่นี่เป็นแหล่งรวมความภักดีในวิถีพื้นบ้านและเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์มากมายที่อยู่ในของตกแต่งทุกชิ้น อาหารทุกคำ แม้แต่เรือนไม้สไตล์อีสานอายุกว่า 60 ปีที่อยู่กลางร้าน ไปจนถึงป้ายชื่อร้านที่แกะจากไม้สักโดยช่างฝีมือเก่าแก่ในชุมชนที่ใช้เวลาทำกว่า 3 เดือน . หากเพื่อนๆกำลังรู้สึกว่าของไทย “เจ๋ง” สู้ของนอกไม่ได้ ให้มาซึมซับพลังงานที่นี่ และบางทีเพื่อนๆอาจจะพบว่าการที่ต้นไม้ของเราจะเติบโตได้อย่างสง่างาม เราต้องมีรากที่แข็งแรงเสียก่อน และ F.V ก็คือหนึ่งในผู้บำรุงรากที่เพื่อให้ประเทศไทยเติบใหญ่ไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน . เปิด จันทร์-อาทิตย์ เวลา 10.00 – 19.00 น. ที่อยู่ https://goo.gl/maps/NCEzpfWmxKo6NeDH9 . #LetsHoparound #LetsHoaproundBangkok #FVBKK #CafehoppingBkk #BkkCafeHopping #BkkCafe #คาเฟ่สุขภาพ #คาเฟ่ผลไม้ #อาหารเพื่อสุขภาพ

STAY IN TOUCH

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon

INSTAGRAM

  • TikTok
  • Black YouTube Icon

YOUTUBE

Hoparound.co ฮ็อปอะราวด์ – เว็บไซต์ท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์สำหรับคนรักงานดีไซน์และประสบการณ์ใหม่ๆ เรา คัดสรรที่พักดีไซน์ คาเฟ่ แกลเลอรี่ พร้อม ระบบจองที่พัก และ ดีลพิเศษ เฉพาะคุณ รวมถึงคอนเทนต์คุณภาพจาก บล็อกท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ ศิลปะ และดีไซน์ ที่คัดมาแล้วว่า "ทั้งสวย ทั้งมีแรงบันดาลใจ" สำรวจสถานที่น่าสนใจทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ คาเฟ่ ร้านอาหาร โรงแรมดีไซน์จัดเต็ม ไปจนถึงงานสถาปัตยกรรมสุดว้าว รวมถึงสินค้าและแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น ผ่านการเล่าเรื่องอย่างสร้างสรรค์ ภาพสวย อ่านสนุก ได้ทั้ง ข้อมูลท่องเที่ยว ความรู้ และแรงบันดาลใจ ไปพร้อมกัน

Hoparound.co – A travel and lifestyle platform curated for design lovers and creative explorers. We handpick design hotels, cafés, galleries, and offer a booking system with exclusive travel deals you won’t find elsewhere. Beyond travel, we dive into lifestyle, art, and design content to inspire your journey. Discover unique places across Thailand and around the world — from museums, galleries, cafés, restaurants, and design hotels, to remarkable architecture, creative brands, and stylish products. All presented through engaging storytelling, beautiful visuals, and high-quality content that’s informative, enjoyable, and full of inspiration.

ที่เที่ยวใหม่ 2025 |  พิพิธภัณฑ์ & แกลเลอรี่ | โรงแรมดีไซน์ |  คาเฟ่สายอาร์ต |  เที่ยวไทย-ต่างประเทศ จองที่พัก |  รีวิวโดยบล็อกเกอร์ |  ไอเดียทริปไม่ซ้ำใคร |  ค้นหาสถานที่สร้างแรงบันดาลใจ | Travel wesite | Thai Travel Blogers | Travel Influencers | a travel website travel influencers thailand รีวิวท่องเที่ยว รีวิวโรงแรม รีวิวร้านอาหาร

 

Contact and Collaboration with Hoparound.co
E-mail: info.hoparound@gmail.com | Facebook: @hoparound.co | Instagram: @hoparound.co | Youtube: hoparound.co | Tiktok: @hoparound.co

Follow us on Instagram

black-01.png
bottom of page