Let's Hoparound Beijing รีวิวเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง ยิ่งใหญ่และใหม่มาก
นานแสนนานที่เราแอบเล็งไว้ว่าอยากจะมาเยี่ยมชมมหานครปักกิ่งสักครั้ง เราจึงตื่นเต้นกับทริปปักกิ่งครั้งแรกนี้ของเราเป็นพิเศษ แม้จะเป็นทริปสั้นๆเพียง 4 วัน 3 คืน แต่เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนแห่งนี้ก็ทำให้เราประทับใจเกินคาดไปมาก ต้องใช้คำว่าเมืองเค้าเกรียงไกรจริงๆนะครับ เอาแค่เรื่องประวัติศาสตร์ก็สามารถย้อนกลับไปได้ไกลกว่า 3,000 ปีโน่นแน่ะ และถึงจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยปักกิ่งก็ยังคงยืนหนึ่งเป็นศูนย์กลางทั้งด้านการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการศึกษาของประเทศจีน มหาอำนาจอันดับ 2 ของโลก บ้านเมืองนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวและความเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ด้วยประชากรกว่า 22 ล้านคนที่เป็นแรงขับเคลื่อนทำให้เมืองใหญ่เมืองนี้มีอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา มาเถอะ เราจะพาไปสำรวจแบบรวบรัดกันดูว่าปักกิ่งในปี 2024 นั้นจะมีโฉมหน้าเป็นยังไงบ้าง
โรงแรมพาร์คไฮแอท ปักกิ่ง (Park Hyatt Beijing) 北京柏悦酒店
รอบนี้เราเลือกนอนกันที่โรงแรม Park Hyatt Beijing แบรนด์ท็อปเทียร์ของเครือ Hyatt ที่นี่เป็นโรงแรมแบรนด์ Park Hyatt แห่งแรกที่เปิดให้บริการในจีน แค่ชื่อก็น่าจะการันตีความดีงามได้โดยแทบไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว แต่เราขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมกันอีกหน่อยละกันนะครับ (อุตส่าห์ไปค้นมา ฮ่าๆๆๆ)
Park Hyatt Beijing ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของปักกิ่งบนอาคารที่สูงที่สุดบนถนน Chang’an Avenue มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากและที่นี่ไม่ได้มีแค่โรงแรมเท่านั้นนะครับ แต่ยังประกอบไปด้วย Park Hyatt Residence, Park Hyatt Penthouse โดยตัวโรงแรมจะตั้งอยู่บนชั้น 37 ถึง 49 และ 59 ถึง 67 ของ Beijing Yintai Center โดยชั้นล่างๆจะเป็นห้างหรู และอยู่ติดกับรถไฟใต้ดินสถานี Guamao เลย
ตัวโรงแรมมีห้องพักและห้องสวีทให้บริการรวม 237 ห้อง ตกแต่งสไตล์จีนโมเดิร์นเน้นสีครีมสบายตา เรียบแต่โก้ ที่สำคัญวิวจากห้องพักทุกห้องนั้นเป็นแบบพาโนรามาผ่านกระจกบานใหญ่เห็นวิวเมืองปักกิ่งแบบไม่มีอะไรมาบังเลย และทุกห้องก็จะมีระบบฟอกอากาศที่ทำงานเงียบเชียบมาก สามารถดักจับอนุภาค PM2.5 ได้ชะงัด ช่วยให้อากาศในห้องสะอาดสดชื่นปลอดภัยไร้กังวล
ตัวโรงแรมเพิ่งได้รับการปรับปรุงไปเมื่อปี 2019 ทุกอย่างจึงดูใหม่มากๆ นอกจากห้องพักสวยๆแล้ว ทางโรงแรมยังมี ร้านอาหารและบาร์อีก 3 แห่งไว้ให้บริการด้วยนะครับ แต่ถ้ายังไม่จุใจด้านล่างของตึกนั้นเป็นห้างไฮเอนด์ชื่อ in01 มีครบทั้งช้อปปิ้ง บันเทิง ฟิตเนส และร้านอาหาร ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อเลยครับ
ห้องพักของเราเป็นห้อง 1 King Bed ขนาดห้อง 45 ตร.ม. เป็น Room Type มาตรฐานที่ดีมากเลยล่ะครับ ตอบโจทย์ทุกความต้องการในทริปนี้ของเรา พื้นที่ในห้องแบ่งสัดส่วนลงตัวมาก ไม่รู้สึกอึดอัดเลยครับ แต่ถ้าใครอยากได้ห้องพิเศษกว่านี้ก็มีอีกหลายประเภท ห้องใหญ่สุดก็คือ 240 ตร.ม.กันไปเลย
คุณภาพเครื่องใช้ภายในห้องดีเลิศครับ เตียงนุ่มสบายกำลังดีปูด้วยผ้าปูเตียงความละเอียด 300 เส้นด้ายและผ้านวมขนเป็ด สมาร์ททีวีจอแบนขนาดใหญ่และมีเดียฮับในตัว โซนมินิบาร์มีเครื่องชงกาแฟและกาต้มน้ำสำหรับชงชาเตรียมไว้ให้บริการ ตู้เสื้อผ้าเป็นแบบ Walk-in ห้องน้ำแบ่งโซนแห้งโซนเปียกเป็นสัดส่วน มีทั้งฝักบัวและอ่างอาบน้ำ
หน้าตาอาหารเช้าที่นี่น่ากินมั้ยครับ มีให้เลือกสั่งทั้งแบบ A la carte และ ตักเองแบบ Buffet จัดเต็มมากเลย สรุปสั้นๆคือถ้ามาเที่ยวปักกิ่งและพอจะมีงบ เราก็แนะนำให้นอนที่นี่นะครับ
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Guomao เดิน 1 นาทีจากทางออก C
ย่านวัยรุ่นช้อปปิ้ง Sanlitun (ซานลี่ถุน)
เป็นอึกหนึ่งย่านที่มาปักกิ่งแล้วต้องมาแวะ เพราะที่นี่จะรวมเอาทุกแบรนด์บนโลก ร้านอาหารดังๆ เบเกอรี่ คาเฟ่ รวมไปถึงแบรนด์โลคอลของจีนด้วย แต่ละร้านก็ไม่ได้มีแค่ชั้นสองชั้นเท่านั้นนะครับ บางร้านคือเหมาตึกทั้งตึกเลย ตอนที่เราไปตึก Louis Vuitton Flagship Store และ Dior Flagship Store กำลังก่อสร้างอยู่ ถ้าสร้างเสร็จน่าจะยิ่งใหญ่มากเลย นอกจากพวกร้านแบรนด์เนม เค้ายังมีร้านให้ได้นั่งอ่านหนังสือกัน 24 ชั่วโมงอีกด้วยนะ แถมถนนหนทางฟุตบาทคือทำดีมาก เดินกันเพลินเลยครับ
เวลาเปิดปิด: ตามเวลาเปิดปิดของแต่ละร้าน
การเดินทาง: MRT Line 10 สถานี Tuenjiehu ทางออก A แล้วเลี้ยวขวาที่สี่แยกตรงหน้า เดินตรงไปอีกประมาณ 400 เมตร
พระราชวังต้องห้าม Forbidden City
เพื่อนๆสามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ https://bookingticket.dpm.org.cn/ โดยต้องจองล่วงหน้า 7 วัน ประมาณ 1 ทุ่มเวลาไทย เฝ้าจอได้เลยครับ โดยรอบเช้าเปิดให้เข้าชมเวลา 8:30 - 12:00. รอบบ่ายเปิดให้เข้าชมเวลา 11:00 เป็นต้นไป บางทีถ้าตรงกับวันหยุดยาวจีนก็จะหมดเร็ว แนะนำให้ไปแบบเลี่ยงวันหยุดยาวจีนนะครับ
พระราชวังต้องห้าม หรือ The Forbidden City คือนครที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิจีนในอดีต เป็นที่ประทับของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง รวมทั้งสิ้น 24 พระองค์ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่งเลยครับ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ จักรพรรดิลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์หมิงผู้ย้ายราชธานีจากนานกิงมาปักกิ่ง การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1406 หลังจากขับไล่ชาวมองโกออกนอกกรุงปักกิ่งได้หมด ใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น 14 ปี ปัจจุบันพระราชวังต้องห้ามเป็นหนึ่งในเกือบ 20 สถานที่ในปักกิ่งที่ได้รับการคุ้มครองจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก
ในอดีตพระราชวังแห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูงยังต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า "พระราชวังต้องห้าม" แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหลังการปฏิวัติประเทศจีนให้เป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ.1911 ถึงแม้ในปัจจุบันจะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมในหลายๆจุดของพระราชวังแล้ว แต่ภายใต้ความยิ่งใหญ่นี้ก็น่าจะยังคงมีความลับต้องห้ามซุกซ่อนตัวอยู่อีกมาก
เรามาดูความเว่อร์วังอลังการของพระราชวังต้องห้ามกันดีกว่าครับ เนื้อที่ทั้งหมดคือ 720,000 ตารางเมตร คือใหญ่กว่าพระบรมมหาราชวังของไทยเรามากกว่า 3 เท่า มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง มีตำหนัก 800 องค์ พระที่นั่ง 750 และหอบูชาหลายหอ ศาลา หอพระสมุด รวมห้องลับอีกมากมาก มีสวน ลานกว้าง และทางเดินเชื่อมโยงถึงกันโดยตลอด มีคูและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตรล้อมรอบ
ในการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนั้นต้องใช้สัตว์ลากจูงหลายพันตัว ช่างฝีมือกว่า 100,000 คน คนงานมากกว่า 1,000,000 คน และใช้อิฐกว่า 10,000,000 ก้อนเพื่อปูพื้นพระราชวัง วัสดุที่ใช้สร้างอาคารนั้นเป็นวัสดุชั้นยอดที่คัดมาจากทั่วประเทศจีน ทั้งไม้ “หนานมู่” จากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนนาน ไม้ซุงจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน หินแกร่งหนักอึ้งจากฟ่างซานที่ถูกตัดออกมาเป็นก้อนๆยาวถึง 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร แค่การขนส่งวัสดุอย่างเดียวก็ต้องใช้ทั้งทรัพยากรและแรงงานมากมายมหาศาลเพราะประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลมีหลากหลายภูมิประเทศ และภูมิอากาศมาก โดยเฉพาะไม้จากเขตภูเขาสูงและหินจากเขตหนาวเยือกแข็งก็ยิ่งลำบากเป็นพิเศษ
Opening hours ปิดวันจันทร์
April 1st - October 31st 8:30 am - 5:00 pm Last Entry 16:00
November 1st - March 31st 8:30 am - 4:30 pm Last Entry 15:30
เพื่อนๆสามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ https://bookingticket.dpm.org.cn/
สวนสาธารณะจิงซาน (Jingshan Park)
อยู่ติดกับพระราชวังต้องห้ามทางฝั่งเหนือ สวนแห่งนี้เคยเป็นสวนของจักรพรรดิในราชวงศ์หยวน หมิง และชิง นอกจากแมกไม้นานาพรรณแล้ว จุดที่สูงที่สุดของสวนจะเป็นที่ตั้งของพระตำหนักว่านชุน (Wanchun Pavillion) ซึ่งในอดีตเคยเป็นจุดที่มีความสูงที่สุดในตัวเมืองปักกิ่งชั้นใน ปัจจุบันที่นี่จึงเป็นจุดชมวิวพระราชวังต้องห้ามจากมุมสูงได้แบบพาโนรามาเลยครับ
เวลาเปิดปิด: 6:00 am - 9:00 pm
การเดินทาง: MRT Line 8 สถานี Shichahai ออกทางออก C แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 914 เมตร
สามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ด้านหน้าทางเข้า
Voyage Coffee (Sanlihe Park Branch)
Voyage Coffee เป็นแบรนด์คาเฟ่ฟีลโฮมมี่ของปักกิ่ง มีอยู่หลายสาขาแต่เราเลือกมาที่สาขาในสวนสาธารณะ Sanlihe Park (น่าจะอ่านว่า “ซานลี่เหอ“ นะครับ) เพราะมีบรรยากาศร่มรื่นสบายๆริมน้ำ บางทีก็มีน้องเป็ดน้องไก่จากละแวกใกล้เคียงเดินผ่านมาอวดโฉมกันด้วย แต่ไม่ว่าจะนั่งข้างนอกหรือข้างในก็ชิลไม่แพ้กัน เพราะด้านในร้านก็มีโซนหนังสือท้องถิ่นให้เลือกอ่านด้วย และต่อให้เราอ่านภาษาจีนไม่ออกแต่การที่มีมุมหนังสืออยู่ในร้านก็ช่วยสร้าง Vibes ดีๆได้อย่างบอกไม่ถูก ร้านนี้ดังทั้งกาแฟและขนม โดยเฉพาะกาแฟ Dirty แต่เราสั่ง Americano กับสปาร์คลิ่งยูสุ ซึ่งก็รสชาติดีทั้ง 2 แก้วเลย
เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 6:00 pm ทุกวัน
การเดินทาง: MRT Line 7 สถานี Qiaowan ออกทางออก D แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 10 นาที
Li Qun Roast Duck Restaurant
ร้านเป็ดปักกิ่งชื่อดังเจ้าเก่าของเมือง เปิดมาตั้งแต่ปี 1992 (เมื่อก่อนเจ้าของเคยเป็นเชฟของร้านดังอีกร้าน แต่ลาออกมาเปิดร้านที่บ้านตัวเอง) ร้านนี้ยังคงย่างเป็ดด้วยวิธีการดั้งเดิม โดยใช้ฟืนจากไม้แอ๊ปเปิ้ลและไม้สาลี่ที่จะมีกลิ้นหอมผลไม้อ่อนๆในควันไฟ ร้านเป็ดปักกิ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านแนวภัตตาคาร แต่ร้านนี้เป็นฟีลบ้านๆเลย แต่ประเด็นหลักของการมาร้านอาหารก็คือรสชาติ ซึ่งสำหรับเรานั้นอาหารอร่อยถูกปากแทบทุกจานที่สั่งมา เป็ดปักกิ่งหนังกรอบบาง เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำไร้กลิ่นสาบ อีกจานที่เราชอบมากไม่แพ้กันก็คือปลาทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ส่วนเรื่องราคาก็ถือว่ารับได้ครับ ไม่ได้ถูกแต่ก็ไม่ได้แพงจนเหมือนถูกปล้น สั่งเป็ดมา 1 ตัว ราคาประมาณ 1,600-1,700 บาท แบ่งกันกิน 5 คนได้กำลังดีครับ แต่เราก็สั่งอย่างอื่นมากินด้วยอีกหลายอย่างเหมือนกันนะครับ ฮ่าๆๆๆ
เวลาเปิดปิด: 10:30 am - 10:00 pm ทุกวัน
การเดินทาง: MRT Line 7 สถานี Qianmen ออกทางออก D แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร
Wangfujing Street ถนนคนเดินหวังฟู่จิง 王府井大街
ตั้งอยู่ฝั่งขวาของพระราชวังต้องห้าม เป็นย่านที่ใครมาปักกิ่งครั้งแรกต้องแวะ เพราะที่นี่มีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านแบรนด์เนมให้เลือกชิมเลือกช้อปเยอะแยะมากมาย รวมไปถึงร้าน POPMART ยอดฮิตด้วยนะครับ ร้านเยอะคนก็เยอะด้วยเช่นกัน ให้อารมณ์แบบชินจูกุที่โตเกียว สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยรถไฟใต้ดินสถานี Wangfujing สายสีเขียวเข้ม หรือ แดงเข้ม
Aesop Wangfujin WF CENTRAL House 19
ที่นี่เป็นร้านเอสอปสาขาแรกในจีนเปิดตัวช่วงปลายปี 2022 ตั้งอยู่ในย่านหวังฝูจิ่งของกรุงปักกิ่งภายในอาคารสีเหอหยวนซึ่งหมายถึงบ้านแบบจีนโบราณที่มีลานร่มรื่นอยู่กลางบ้าน จึงให้บรรยากาศที่ดูแปลกตาไปกว่าร้านอื่นๆของ Aesop บ้านหมายเลข 19 หลังนี้เป็นแบบจำลองของที่อยู่อาศัยของลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดิปูยี ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์คลาสสิกแบบราชวงศ์หมิงผสมกับองค์ประกอบอื่นๆที่มีความร่วมสมัย