ล่องเรือตามรอยอารยธรรมแห่งเมดิเตอร์เรเนียนกับ Ponant Luxury Expeditions 11 วัน 10 เมือง 4 ประเทศ
- hoparound.co
- 7 days ago
- 4 min read
Updated: 1 day ago

ล่องเรือตามรอยอารยธรรมแห่งเมดิเตอร์เรเนียนกับ Ponant Luxury Expeditions 11 วัน 10 เมือง 4 ประเทศ
ผลบุญชาติก่อนคงดลบันดาลให้เราได้มารู้จักกับ Ponant (โพน้องต์) บริษัทเดินเรือสมุทรสุดเอ็กซ์คลูซีฟสัญชาติฝรั่งเศสที่แตกต่างจากแบรนด์ Cruise อื่นๆแบบแทบจะขั้วตรงข้าม Ponant ไม่ได้เป็นแบรนด์เรือสำราญ แต่เป็นเรือสำราญกึ่งสำรวจที่หรูหราแบบไม่ตะเบ็งแต่ใช้โทนเสียงนุ่มๆน่าฟัง เน้นพาเราไปรู้จักกับโลกในเชิงลึกในมุมที่น้อยคนจะได้สัมผัส และแน่นอนครับ Hoparound.co ก็มีส่วนลดพิเศษสำหรับ Cruise ของ Ponant มานำเสนอด้วย ถ้าสนใจก็คลิกตรงนี้เพื่อลงทะเบียนรับส่วนลดได้เลยครับ

แทนที่จะเน้นเรือลำใหญ่สำหรับผู้โดยสารนับพันคน Ponant เน้นเรือเล็กคุณภาพสูงที่รองรับผู้โดยสารได้สูงสุดเพียง 264 คนและสามารถพาเราเข้าไปเจาะลึกตามเมืองท่าเล็กๆที่เรือใหญ่เข้าไปไม่ได้ และแทนที่จะเน้นความหรูหราแบบวิบวับมลังเมลือง Ponant เน้นการ Enrich ประสบการณ์เชิงลึกให้เราได้ Fullfill ตัวเองตามความสนใจที่เราเลือก
ด้วยเส้นทางเดินเรือที่หลากหลายในทุกทวีปทั่วโลก และในบางเส้นทางก็มีธีมเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นธีมประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ สัตว์ป่า อาหาร ดนตรี ศิลปะ โดย Ponant จะประสานงานกับองค์กรที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านเพื่อเชิญ Expert (บางครั้งก็เป็น Celebrity เลยนะ) ของแต่ละวงการมานำเสนอ ให้ความรู้ ทำการแสดง เล่นดนตรี ร้องเพลงหรือทำอาหารให้เราได้ลิ้มลอง และในแต่ละธีมก็อาจจะมีการเจาะลึกลงไปอีก เช่น ถ้าเป็นธีมดนตรีบางเส้นทางก็จะเน้นโอเปร่า หรือกีต้าร์ หรือเปียโน เช่นในเส้นทางของเราซึ่งเป็นการครบรอบ 10th Anniversary Piano Festival at Sea
ในบางเส้นทาง Ponant ก็ร่วมกันกับสถาบัน Smithsonian เครือข่ายศูนย์วิจัยและพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก็จะเชิญภัณฑารักษ์เฉพาะทางมาให้ความรู้เชิงลึกในหลายๆแง่มุมเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางที่เราแวะไปตลอดเส้นทาง
ฉะนั้นการเดินทางกับ Ponant จึงเหมาะกับคนที่ Well-Traveled ประมาณหนึ่งและชอบการเดินทางกึ่งเรียนรู้ที่อาจจะพ่วงด้วยการผจญภัยพอหอมปากหอมคอ (โดยเฉพาะในเส้นทางอย่างขั้วโลกเหนือ-ใต้ เกาะแก่งไกลโพ้นอย่าง Bora Bora หรือ Seychelles หรือ Faroe Islands) โดยที่ยังมีลูกเรือคอยดูแลอำนวยความสะดวกอย่างดีในบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนบ้านน้อยบนผืนทะเลใหญ่ และก็มีโมเม้นต์ให้อวดความเก๋อยู่เรื่อยๆถ้าต้องการ

The Mediterranean: in the footsteps of great civilisations
ทริปนี้ของเรายังไม่ได้พาเพื่อนๆไปสุดขอบโลกหรอกครับ แต่เป็นเส้นทางที่สวยงามและสุขสบาย ในชื่อทริปว่า The Mediterranean: in the footsteps of great civilisations กับเรือ L’Austral (ลอสตราล) หนึ่งในเรือทั้งหมด 14 ลำของ Ponant บ้านน้อยลอยน้ำที่จะพาเราตามรอยอารยธรรมแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยเริ่มจากเมือง Valletta ประเทศมอลต้า ลัดเลาะผ่าน Sicily และ Puglia ในอิตาลี ต่อไปยังเมืองเล็กเมืองใหญ่ในประเทศกรีซ และตุรกี ก่อนจะสิ้นสุดทริปที่เมือง Antalya เป็นการล่องเรือ 10 คืน 10 เมือง 4 ประเทศ โดยธีมเฉพาะของ Cruise นี้คือ Piano at Sea ครั้งที่ 10 ซึ่งจะมีการเชิญนักเปียโนหลากหลายแนวมาแสดงคอนเสิร์ตบนเรือให้เราได้ชมกันแทบทุกวันเลย
Cruise ของ Ponant จะเป็น All-Inclusive นะครับ หมายถึงบริการพื้นฐานทั้งหมดนั้นรวมอยู่ในค่า Cruise เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มใดๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก อาหาร เครื่องดื่ม การเข้าใช้ Facilities ต่างๆบนเรือ รวมถึง Excursions ทริปย่อยๆตามเมืองที่เราแวะระหว่างทางด้วย ซึ่งเค้าจะมีโปรแกรมให้เราเลือก และต้องจองล่วงหน้าก่อนขึ้นเรือนะครับ เราเองก็ไม่ทราบมาก่อนจึงต้องไปจองเอาบนเรือ แต่ก็โชคดีที่เจ้าหน้าที่ใจดีหาที่ให้เราจนได้ เลยให้ทิปเป็นน้ำใจไปนิดหน่อยครับ
ส่วน Options พิเศษก็มีให้เราเลือกจ่ายเพิ่มได้อีกหลายอย่าง เช่น ทรีตเม้นต์สปา ซักรีด เครื่องดื่มแอลฯแบบพรีเมี่ยม แท็กซี่ไปสนามบินหลังจบทริป รวมไปถึงบาง Excursions ที่พิเศษกว่าปกติ เช่น พาไปแวะชิมของอร่อยของแต่ละเมือง เป็นต้น แล้วก็ทิปที่ไม่ได้บังคับแล้วแต่น้ำใจของเรา

Valletta, Malta
Valletta เป็นเมืองที่เราอยากมาเที่ยวมานานแล้วแต่ก็ไม่เคยได้มาซักที เพราะรู้สึกเหมือนว่าจะอยู่ไกลและคงเดินทางไปลำบาก พอ Ponant นัดให้มาขึ้นเรือที่นี่ก็ทำให้เรารู้ว่าจริงๆแล้วจาก Milan บินมา Valletta ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แถมค่าตั๋วก็ไม่แพงอย่างที่คิด เราซื้อ Business Class มาในราคาคนละ 8,xxx บาทเท่านั้นเพราะเรามีสัมภาระเยอะ แต่ถ้าตั๋ว Eco ก็น่าจะอยู่ประมาณ 2,xxx บาท มีขึ้น-ลงแล้วแต่ช่วงเวลา
Valletta เป็นเมืองหลวงและเมืองท่าที่สวยมากครับ ดูจากรูปก็คงเห็นอยู่แล้ว แม้ประเทศ Malta จะประกอบไปด้วยเกาะเล็กๆไม่กี่เกาะ แต่มีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ยาวนานมากครับ อย่างน้อยก็ย้อนไปได้ถึง 7,000 ปีนู่นแน่ะ และยังมีซากวิหารโบราณที่เก่าแก่กว่าพีรามิดที่อียิปต์ซะอีก ตัดมาในช่วงปี 1813 Malta ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แม้จะได้รับอิสรภาพแล้วแต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพ (Common Wealth) มาจนปัจจุบัน
Malta จึงเป็นหนึ่งใน 2 ประเทศในสหภาพยุโรปที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักร่วมกับภาษาของตัวเอง (Maltese) อีกประเทศก็คือ Ireland และด้วยกฎหมายที่เอื้อให้ต่างชาติทำงานได้ บวกสภาพอากาศสดใสแบบเมดิเตอร์เรเนียน และที่สำคัญที่สุดก็คือค่าครองชีพที่ถูกกว่ายุโรปแผ่นดินใหญ่ Malta จึงกลายเป็นแม่เหล็กทรงพลังดึงดูดแรงงานจากทั่วโลกให้มาอยู่ที่นี่ (ร้านอาหารไทยหาง่ายกว่าที่มิลานอีก) และเท่าที่เราได้ลองชวนคนแปลกหน้าคุย เราเจอคน Malta แท้ๆแค่ 2-3 คนเอง
เสียดายที่เรามีเวลาใน Malta เพียง 2 คืน จึงยังไม่ทันได้ไปอีกหลายที่ แต่เท่าที่ไปมาก็คุ้มค่ามากๆแล้วครับ สำหรับบทความนี้แค่เพียงจะเล่าให้ฟังว่าเรามาขึ้นเรือที่นี่ ก็เลยเอารูปสวยๆมาให้เพื่อนๆได้พอเห็นภาพคร่าวๆก่อน ส่วนโพสต์พาเที่ยว Valletta แบบละเอียดกว่านี้ เดี๋ยวเอาไว้แยกทำเพิ่มในอนาคตละกันนะครับ
เมื่อเรามาถึง Valletta Cruise Port Terminal ตอน 16:00 น. ตามเวลาที่ Ponant นัดพอดี ก่อนขึ้นเรือเราต้องไปยังจุดฝากกระเป๋าเดินทาง (เฉพาะใบใหญ่นะครับ ส่วนแครี่ออนใดๆก็ให้เรานำติดตัวไปเองได้เลย) จากนั้นก็จะมีการจัดของว่างและเครื่องดื่มไว้ต้อนรับก่อนขึ้นเรือ ลูกเรือชาวฟิลิปปินส์ทักทายเราด้วยรอยยิ้มและแววตาที่บ่งบอกถึงความดีใจเป็นพิเศษ สงสัยนานๆทีจะได้เห็นผู้โดยสารรูปร่างหน้าตาทรงเดียวกัน ฮ่าๆๆๆ เราเองก็รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นเช่นกัน จากนั้นเราก็เดินตามป้ายไปขึ้นเรือกันครับ

Boarding our ship, L’Austral
เรือของเรามีชื่อว่า L’Austral (อ่านว่า ลอสตราล) ครับ ลูกเรือแต่งตัวเต็มยศเรียงแถวกันตั้งแต่ตีนบันไดขึ้นเรือบนแผ่นดิน และบนเรือก็มีลูกเรืออีกเซ็ตที่เรียงแถวกันต้อนรับเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งลูกเรือชาวฝรั่งเศสนั้นดูสวยหล่อกันทุกคน ทำให้เรารู้สึกเป็นดังแขกคนสำคัญ เอาจริงๆแรกๆก็รู้สึกเกร็งอยู่เหมือนกันนะครับ แต่พอเวลาผ่านไปเราก็ได้พูดคุยและเริ่มคุ้นเคยกับลูกเรือทั้งชาวเอเชียและชาวฝรั่งเศส ก็รู้สึกเลยว่าทุกคนน่ารักเป็นกันเองกันมากๆ ทำให้ตลอดการเดินทางที่เหลือรู้สึกว่า L’Austral อบอุ่นเหมือนบ้านเลยครับ
พอขึ้นเรือมาแล้ว เราต้องผ่านขั้นตอนการลงทะเบียนต่างๆเพื่อเช็คอินเข้าห้องพัก (บนเรือจะเรียกว่า Cabin หรือ Stateroom) กรอกแบบฟอร์มเกี่ยวกับสุขภาพ และฝากพาสปอร์ตไว้กับทางเรือเพื่อให้เค้าเป็นธุระทำเรื่องเข้าออกประเทศต่างๆให้เรา โดยเราจะได้การ์ดของ Ponant มาแทน ซึ่งการ์ดนี้สำคัญมากๆนะครับ ต้องรักษาไว้ดีๆเลย เพราะนอกจากจะใช้เป็นคีย์การ์ดเปิดเข้า Cabin ของเราแล้ว ยังต้องนำมาสแกนทุกครั้งตอนขึ้นและลงเรือเพื่อแวะเที่ยวเมืองระหว่างทาง
หลังจากเช็คอินและ Unpack กระเป๋าออกมาตั้งรกรากชั่วคราวใน Cabin ของเราได้พักใหญ่แล้ว ก็มีเสียงประกาศจากกัปตันเชิญให้ทุกคนไปที่ห้อง Theatre บนชั้น 4 ของเรือ เพื่อทำการปฐมนิเทศน์ กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ รวมถึงต้องให้ทุกคนซ้อมหนีภัยใส่ชูชีพ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่กฎหมายบังคับให้ผู้โดยสารทุกคนต้องเข้าร่วมจึงจะออกเรือได้
หลังจากขั้นตอนนี้แล้วก็ไม่มีการบังคับใดๆอีก แต่ก็จะมีประกาศให้ทราบถึงกิจกรรมบนเรือซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนไปทุกวัน และบนเรือก็มีอะไรให้เราเข้าร่วมเยอะมากจนบางทีเราก็ไม่ไหว ขอข้ามไปบ้าง ตอนแรกคิดว่ามาอยู่บนเรือ 10 วันแล้วจะเบื่อหรือเปล่า แต่เรื่องจริงมันตรงข้ามกันเลยครับ เราเองกลับต้องเป็นฝ่ายขอพักอยู่เฉยๆบ้าง ฮ่าๆๆๆ

Ship Tour: L’Austral
L’Austral เป็นเรือกลุ่ม The Sisterships ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 4 ลำในฟลีททั้งหมดของ Ponant เรือของเรามีห้องพัก 132 ห้อง เมื่อเทียบกับเรือสำราญทั่วไปที่มีเป็นพันห้องจึงมีขนาดค่อนข้างเล็กแต่ก็มีประสิทธิภาพสูงสามารถล่องไปขั้วโลกได้สบายๆ ข้อดีมากๆของเรือเล็กคือสามารถเข้าเมืองท่าเล็กๆที่เรือใหญ่เข้าไม่ได้ เราก็เลยได้แวะเที่ยวแบบเจาะลึกกว่าใคร การตกแต่งบนเรือนั้นใช้วัสดุอย่างดี เน้นโทนสีสบายตาเรียบหรูไม่สวิงสวายเว่อร์วัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันพอเหมาะพอดีกับความต้องการใช้งานในโอกาสต่างๆ

เรือของเรามีทั้งหมด 7 ชั้น ห้องพักของเราอยู่ชั้น 5 และเราโชคดีมากๆที่ทาง Ponant อัพเกรดให้เป็นห้อง Suite คือเปิดเป็น Connecting Room โดยปรับให้ห้องอีกฝั่งเป็นห้องนั่งเล่น ส่วนระเบียงก็เปิดทะลุกัน มีห้องน้ำ มินิบาร์ และตู้เสื้อผ้าให้เหมือนกันทั้ง 2 ฝั่ง เราจึงแบ่งกันใช้คนละฝั่งแบบสบายๆเลยครับ ในห้องแม่บ้านได้เตรียมขวดน้ำรักษาอุณหภูมิติดแบรนด์ Ponant ไว้ให้เราไว้เติมน้ำก่อนออกไป Excursions ด้วยนะครับ และเราสามารถเอากลับบ้านไปด้วยได้เลยตอนเช็คเอ้าท์ ส่วน Amenities ในห้องใช้ของ Diptyque กลิ่น Philosykos หรือกลิ่นลูกฟี้กหนึ่งในกลิ่นคลาสสิคตลอดกาลของแบรนด์ สภาพโดยรวมของห้องพักก็คือสวยงามสะดวกสบายฟีลเดียวกันกับห้องในโรงแรม 5 ดาว เพียงแต่ขนาดอาจจะเล็กกระทัดรัดกว่า
สิ่งหนึ่งที่อาจจะต่างจากการนอนโรงแรมทั่วไปก็คือที่หน้าห้องจะมี Mail Box หรือที่รับเอกสารและจดหมายต่างๆ สิ่งนี้สำคัญมากนะครับ เพราะทุกวันเจ้าหน้าที่จะนำโปรแกรมสำหรับวันถัดไปมาเสียบเอาไว้ให้ ซึ่งในนั้นจะบอกข้อมูลทุกอย่างแบบละเอียดมากๆ ตั้งแต่เวลาเปิด-ปิดของห้องอาหารที่อาจจะมีการขยับไม่ตรงกันในแต่ละวัน ตารางกิจกรรมพิเศษหรือคอนเสิร์ตในวันนั้น ถ้าเราจองอะไรพิเศษไว้ เช่น Excursion ก็จะมีตั๋วที่ระบุว่าเราอยู่กรุ๊ปไหน นัดเจอกันที่เวลากี่โมงแนบมาให้ด้วย (เค้าจะแบ่งเป็นกรุ๊ปๆละ 10-15 คน) รวมไปถึงสภาพอากาศของเมืองที่เราจะแวะไปในวันนั้น พร้อมคำแนะนำว่าเราควรแต่งตัวประมาณไหนและควรเตรียมอะไรติดตัวไปด้วย และในบางครั้งเราก็อาจจะได้รับจดหมายจากเพื่อนร่วมทางที่พักอยู่ห้องอื่นๆส่งมาแสดงมิตรไมตรีกับเราด้วย

ไปทัวร์เรือกันดีกว่าครับ แต่เราขอไม่เรียงตามชั้นละกัน แต่จะเรียงไปตามฟังก์ชั่นการใช้งานแทน ชั้นหลักของเรือที่เราต้องมาทุกวันเพราะใช้ในการขึ้น-ลงเรือ และติดต่อสอบถามเรื่องต่างๆคือชั้น 3 ครับ ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของ Reception, Excursion Desk สำหรับสอบถามจัดการเรื่องทริปย่อยในแต่ละเมือง, Boutique ร้านขายของที่ระลึกและสินค้าคัดสรรจาก Ponant และสุดท้ายก็คือ Main Lounge เป็นที่ Hangout หลักของเรือ และเป็นจุดนัดพบสำหรับทุกๆ Excursion
Main Lounge เปิดให้บริการตั้งแต่เช้าถึงดึกตามแต่กิจกรรมของวันนั้นๆ ในทุกๆเอ้าท์เล็ตของเรือเราสามารถสั่งเครื่องดื่มได้ไม่อั้น เพราะรวมอยู่ในค่า Cruise แล้ว บางช่วงเวลาจะมีนักดนตรีประจำเรือมาบรรเลงขับกล่อมให้เราเพลิดเพลินยิ่งขึ้น ช่วงบ่ายของทุกวันจะมีการเสิร์ฟอาหารว่างและของหวานเพิ่มเติมด้วย พอตกกลางคืนก็จะมีกิจกรรมที่สลับสับเปลี่ยนไปแต่ละวัน เช่น Karaoke Night, เล่นเกม Quiz ทายปัญหา หรือสอนเต้นสไตล์ต่างๆ
อีก Lounge นึงจะอยู่ชั้น 6 ฝั่งหัวเรือครับ เป็น Observatory Lounge ที่เห็นวิวได้แบบ Panorama แถมยังมีมุมหนังสือดีๆสวยๆเพียบเลยให้เราเลือกหยิบมาดูได้ตามสบาย และแน่นอนครับสั่งเครื่องดื่มได้แบบอันลิมิเต็ดเช่นเคย บางวันโชคดีเราก็จะได้ดูนักเปียโนที่ได้รับเชิญมาเล่นคอนเสิร์ตบนเรือมาซ้อมอยู่ในห้องนี้ด้วย เรียกได้ว่าเหมือนได้ดูคอนเสิร์ตส่วนตัวแบบระยะประชิดเลยครับ ส่วนถ้าใครยังดูวิวจากใน Lounge ไม่จุใจก็ยังมีระเบียงให้ออกไปดูด้านนอกแบบไม่มีอะไรมากั้นได้อีกด้วย
ถ้าเบื่อ Lounge ทั้ง 2 จุดแล้ว บนดาดฟ้าชั้น 7 ฝั่งท้ายเรือก็จะมีจุดให้นั่งดริ้งค์ได้อีก 1 จุด เป็น Open Air Bar ที่เดินขึ้นบันไดมาจากสระว่ายน้ำชั้นได้เลย 6 มาจิบเครื่องดื่มหลังอาหารรับลมก็ชิลมากๆครับ ส่วนฝั่งหัวเรือบนดาดฟ้าชั้น 7 ส่วนใหญ่เค้าจะปิดไว้เพื่อความปลอดภัยนะครับ จะเปิดก็ช่วงโอกาสพิเศษที่เรือจะแล่นช้าๆให้ดูวิว เช่น ในทริปนี้จะเป็นช่วงที่เราล่องผ่านคลอง Corinth ที่เชื่อมระหว่างทะเล Ionian กับ Agean ในประเทศกรีซซึ่งพิเศษมากๆครับ เดี๋ยวไว้ไปเล่าในช่วงวันที่เราล่องผ่านคลองอีกที

ไปดูห้องอาหารกันบ้างดีกว่า บนเรือจะมีห้องอาหาร 2 ห้องโดยแต่ละห้องจะมีเวลาเปิด-ปิดไม่เหมือนกันในแต่ละวันครับ อาจจะช้า-เร็วต่างกันประมาณ 30 นาที เพราะต้องปรับตามทริป Excursions ในแต่ละวันที่เริ่มไม่ตรงกัน ห้องอาหารแรกเป็น Grill Restaurant ชื่อว่า Le Rodrigues อยู่ชั้น 6 ฝั่งท้ายเรือ เน้นให้เราบริการตัวเองแบบบุฟเฟต์ บรรยากาศสบายๆเป็นกันเอง คนส่วนใหญ่ก็จะมารับประทานอาหารที่ห้องนี้เป็นหลัก เพราะมีที่นั่งทั้งในห้องแอร์ และด้านนอกริมสระว่ายน้ำซึ่งบรรยากาศดีเชียว กินเสร็จก็ถอดเสื้อแผ่พุงนอนอาบแดดต่อได้เลย

อีกห้องอาหารจะเป็น Gastronomic Restaurant ชื่อว่า Le Coromandel อยู่ชั้น 2 ห้องอาหารนี้จะเป็น Full Service แบบฝรั่งเศส บรรยากาศสวยงามเป็นทางการ มีการจัดโต๊ะปูผ้าเต็มรูปแบบ มี Sommelier แนะนำไวน์ และต้องแต่งตัวสุภาพในการเข้าใช้บริการ ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณภาพอาหารของทั้ง 2 ห้องนั้นพอๆกันนะครับ อาจจะมีบางเมนูที่ต่างกันบ้างและการนำเสนอคนละอารมณ์ เราเลือกเข้าใช้บริการได้ตามสะดวกเลย ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ถ้านัดกันมาเป็นกรุ๊ปใหญ่ สำหรับห้อง Le Coromandel อาจต้องจองล่วงหน้าสักหน่อย
ส่วนใครที่มาไม่ทันเวลาเปิดปิดของทั้ง 2 ห้องอาหาร ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะบนเรือ L’Austral มีบริการ Room Service ตลอด 24 ชั่วโมง และรวมอยู่ในค่า Cruise ทั้งหมดแล้ว โทรสั่งจากที่ห้องได้เลย ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่จะให้ทิปด้วยมั้ยก็ตามสะดวกครับ ส่วนเรารวบเก็บไว้ให้วันสุดท้ายแบบรวมทีเดียวเลย
เกริ่นไปก่อนหน้าแล้วว่าชั้น 4 เป็นที่ตั้งของ Theatre ที่ใช้เรียกประชุมใหญ่ แต่หลังจากการปฐมนิเทศน์ในวันแรก ห้องนี้ก็จะถูกใช้ในการรับชมการแสดงต่างๆ รวมถึงคอนเสิร์ตเปียโนซึ่งเป็นธีมหลักของทริปนี้ด้วย และในบางครั้งก็จะใช้เป็นห้องบรรยายเล็คเชอร์ให้ความรู้ต่างๆอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ขนาดกระทัดรัด ตกแต่งสวยงาม และระบบเสียงและไฟคุณภาพดีครับ
ขยับขึ้นมาชั้น 5 กันต่อ นอกจากจะเป็นชั้นของ Cabin ของเราแล้ว ชั้น 5 ยังเป็นชั้นที่มี Facilities ที่หลากหลายมาก ฝั่งหัวเรือจะเป็นห้องบังคับเรือ หรือที่เรียกว่า Bridge ซึ่งถ้าเค้าแขวนป้ายสีเขียวไว้ เราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ด้วยนะครับ บางวันเค้าก็มีกิจกรรมสอนให้เราใช้อุปกรณ์บางชิ้นด้วย อย่าง Sextant ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบอกพิกัดเรือของเราเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางท้องทะเลอันเวิ้งว้างโดยใช้พระอาทิตย์เป็นหมุดในการบอกทิศทาง
ส่วนฝั่งท้ายเรือของชั้น 5 นั้นก็จะมีทั้ง Spa ที่แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มแต่ก็เต็มแทบจะตลอดเลย หรือจะเป็น Photo Desk ซึ่ง Ponant จะมีตากล้องประจำ Cruise สำหรับทั้งภาพนิ่งและวิดิโอคอยเก็บภาพสวยๆให้เราด้วย และเราก็สามารถซื้อกลับบ้านได้ด้วยเช่นกัน ถัดเข้าไปด้านในก็จะเป็น Gym ขนาดเล็กแต่คุณภาพเยี่ยมทั้งตัวเครื่องและวิวทะเลด้านนอก ที่ติดกันก็จะเป็น Hammam หรือห้องอบไอน้ำ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนหลังนี้ใช้บริการได้ฟรีครับ
พาชมเรือทั่วทั้งลำแล้ว วันนี้ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้เช้าเรามีนัดไป Excursion ที่ Stop แรกของทริปซึ่งก็คือเมือง Syracuse บนเกาะ Sicily ครับผม

Syracuse, Sicily, Italy
Mediterranean แปลว่า ทะเลที่อยู่ท่ามกลางแผ่นดิน ซึ่งก็ตรงกับลักษณะทางกายภาพที่ผืนน้ำสีฟ้าเข้มของทะเลแห่งนี้นั้นถูกล้อมรอบไปด้วยแผ่นดิน 3 ทวีป คือยุโรปตอนใต้ เอเชียฝั่งตะวันออกกลาง และแอฟริกาตอนเหนือ จึงทำให้ทะเล Mediterranean เป็นจุดหลอมรวมอารยธรรมที่หลากหลายและข้ามผ่านกาลเวลามาหลายยุคสมัย และถ้าดูจากแผนที่ก็จะเห็นว่าใจกลางของทะเลแห่งนี้ ก็คือเกาะ Sicily ประเทศอิตาลีในปัจจุบันนั่นเอง ดังนั้น Sicily จึงมีความเข้มข้นและหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นพิเศษ
Syracuse (อ่านว่า “ซีราคิวส”) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ Sicily ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรีซ เมื่อเกือบ 2,800 ปีก่อนในยุคที่อารยธรรมกรีกโบราณกำลังรุ่งเรือง Syracuse เองก็ได้รับอิทธิพลจากกรีกโบราณมาเต็มๆ กลายเป็นนครรัฐกรีกโบราณที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับท็อปๆในน่านน้ำ Mediterranean รุ่งเรืองน้องๆ Athens เลยก็ว่าได้ หาก Athens มีสุดยอดนักปราชญ์อย่างอริสโตเติ้ล Syracuse ก็มีอาร์คีเมดีส บิดาแห่งคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ร้องว่า Eureka! ขณะแช่ตัวในอ่างน้ำ เพราะเขาได้ค้นพบวิธีหาความถ่วงจำเพาะด้วยการแทนที่วัตถุลงไปในน้ำ
ในเวลานับพันปีต่อมาเมื่อจักรวรรดิโรมันยิ่งใหญ่ขึ้นมาแทนกรีกโบราณ Syracuse เองก็ถูกครอบงำโดยอารยธรรมโรมัน เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนใหญ่รอบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียน Excursion ของเราในวันนี้ Ponant พาเรามาที่อุทยานประวัติศาสตร์ Neapolis Archaeological Site เพื่อทำความรู้จักกับความเป็นมาที่เก่าแก่ของเมือง และที่นี่เราก็จะได้เห็นทั้ง Greek Theatre และ Roman Theatre แบบเดินถึงกันได้เลย
ไกด์บอกว่าความแตกต่างใหญ่ๆของ Theatre ทั้ง 2 แบบก็คือ แบบกรีกจะเป็นการขุดเจาะลงไปในเนินหินเพื่อให้มีเสียงก้องเพราะเน้นใช้ในการแสดงละครและดนตรี และจะมีระบบการจัดการน้ำบนความชันของเนินหิน เพื่อประโยชน์ทั้งในการช่วยซับเสียงในโรงละครที่อาจก้องเกินไป รวมไปถึงการควบคุมน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตรด้วย
ส่วนของโรมันจะเป็นการสร้างขึ้นจากพื้น เพราะไม่เน้นระบบเสียง แต่จะเน้นให้คนเห็นการต่อสู้กับสัตว์ดุร้ายต่างๆได้ชัดเจน ข้อแตกต่างอีกอย่างก็คือแบบกรีกจะมีระบบตั๋ว แต่ของโรมันจะเป็นระบบแย่งกันเข้าไปจองที่นั่ง ทำให้ไกด์ของเราผู้ซึ่งโปรกรีกมากกว่า ถึงกับแซวแรงๆว่าคนกรีกเน้นใช้สมอง คนโรมันเน้นใช้ร่างกาย ฮ่าๆๆๆ
นอกจากโรงละครทั้ง 2 แบบแล้ว ที่นี่ยังมีอุทยานเหมืองหินแห่งสรวงสวรรค์ (Latomie del Paradiso) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่คุมขังนักโทษและให้ทำงานสกัดหินเพื่อเอาไปใช้งานก่อสร้าง ปัจจุบันตัวเหมืองได้กลายสภาพมาเป็นสวนร่มรื่นงดงาม เต็มไปด้วยต้นมะกอก ต้นเลม่อน ต้นส้ม และอื่นๆอีกมากมาย ในช่วงที่เรามานั้นเป็นจังหวะที่ดอกไม้ต่างๆกำลังเบ่งบานพอดีจึงสวยงามเดินเพลินมากๆครับ
และหาก Syracuse คือมงกุฎ เพชรยอดมงกุฎก็คงจะเป็นเกาะ Ortygia (ออร์ตีเจีย) เขตเมืองเก่าอันรุ่งโรจน์ของ Syracuse ซึ่งวันนี้เราก็จะได้พาเพื่อนๆไปเดินเล่นกันด้วยครับ
สภาพบ้านเมืองบนเกาะ Ortygia นั้นทั้งน่ารักแบบชาวบ้านๆและมีมนต์ขลังในความเก่าแก่คละเคล้ากัน เดินมาไม่ทันไรเราก็มาเจอกับซากวิหาร Apollo กลางเมืองที่อายุเกือบ 2,700 ปี แต่พอเดินมาอีกนิดก็จะเจอร้านค้าสมัยใหม่เรียงรายกันอยู่บนถนน Corso Giacomo Metteotti จนมาถึงน้ำพุ Fontana di Diana ที่โดดเด่นอยู่กลางเมือง
ปลายทางของเราก็คือโบสถ์ใหญ่ที่สวยตราตรึงใจของเมืองอย่าง Syracuse Cathedral (ชื่อเต็มภาษาอิตาเลียนแอบยาวและอ่านยากเลยขอเรียกสั้นๆเป็นภาษาอังกฤษแบบนี้ก็แล้วกันนะครับ) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เป็นหลักฐานถึงความหลากหลายของศิลปะแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี แต่เดิมเมื่อประมาณ 2,500 กว่าปีที่แล้วในยุคกรีกโบราณนั้น ที่นี่เคยเป็นวิหารสำหรับเทพ Athena มาก่อน จนในช่วงศตวรรษที่ 7 (ซึ่งก็ 1,200 กว่าปีมาแล้ว) จึงมีการสร้างโบสถ์คริสต์คาทอลิกทับลงไป โดยภายในเราจะยังสามารถเห็นเสาวิหารแบบกรีกโบราณฝังอยู่ในกำแพงได้อยู่เลยครับ จากนั้นก็มีการซ่อมแซมและต่อเติมองค์ประกอบต่างๆเรื่อยมาอีกหลายยุคสมัย แต่สภาพปัจจุบันคือวิจิตรมากๆครับ
หลังจากชมโบสถ์แล้วไกด์ก็ให้เวลาเราเดินเล่นเองอีกนิดหน่อย แล้วก็ต้องรีบกลับขึ้นเรือเพื่อไปยังเมืองถัดไป เราจึงใช้เวลานี้ซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ และลองชิมขนม Cannoli ของอร่อยชื่อดังของ Sicily จริงๆอยากจะมีเวลาเดินเล่นต่ออีกซัก 2-3 ชั่วโมง
ขอเล่านิดนึงว่าตอนกลับขึ้นมากินมื้อเที่ยงบนเรือ ทาง Ponant เสิร์ฟชีส Burrata สดๆที่เชฟไปหาซื้อมาจากในเมือง Syracuse ช่วงที่เราไปเที่ยว อร่อยมากๆครับ เป็นอีกหนึ่งความใส่ใจเล็กๆน้อยๆที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรือ L’Austral อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านซึ่งแตกต่างจาก Cruise ใหญ่ๆครับ

Welcome Gala
วันนี้เป็นเย็นวันแรกของการเดินเรือ Ponant ดังนั้นทาง Ponant จึงจัดงาน Gala เพื่อต้อนรับแขกอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมีทั้งส่วนที่เป็นงาน Cocktail กลางแจ้งริมสระบนชั้น 6 และดินเนอร์แบบเป็นทางการที่ห้องอาหาร Le Coromandel แต่เค้าก็ไม่ได้บังคับให้เข้าร่วมนะครับ แล้วแต่เราสะดวกเลย ถือว่าเป็นการเพิ่มสีสันให้กับการเดินทาง แต่ใครที่ชอบแต่งตัวถ่ายรูปนี่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ภาพสวยๆกลับบ้านด้วยครับ

Gallipoli และ Lecce, Puglia, Italy
เมืองที่ 2 ที่เรามาแวะเที่ยวบนเส้นทางเดินเรือของเราก็คือ Gallipoli ซึ่งได้ชื่อมาจากภาษากรีก kalé pólis แปลว่าเมืองที่สวยงาม และแม้จะเป็นเมืองเล็กๆแต่เมือง Gallipoli ก็สวยงามสมชื่อจริงๆ เดี๋ยวไว้ช่วงบ่ายเราจะได้กลับมาเดินเล่นที่นี่กัน เพราะช่วงเช้าเราจอง Excursion ไปยังเมือง Lecce (เลชเช่) เอาไว้ ซึ่ง Lecce นั้นเป็นเมืองที่โดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมแบบ Baroque มากจนได้ฉายาว่า Florence of the South เลยทีเดียว
เมือง Lecce เริ่มก่อตั้งขึ้นในสมัยโรมันเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน และค่อยๆมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงปลายๆยุค Renaissance ในศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงที่ศาสนาคริสต์คาทอลิกกำลังถูกท้าทายอำนาจจากการเกิดขึ้นของนิกายโปรเตสแตนท์ จึงต้องเร่งทำ PR แสดงบารมีผ่านสถาปัตยกรรมของโบสถ์ที่ตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตรอลังการ ซึ่งก็คือจุดเริ่มต้นของศิลปะยุค Baroque ในเวลาต่อมาที่เน้นความรุ่มรวยล้นเหลือเต็มไปด้วยรายละเอียดพรึ่บพรั่บ ประกอบกับที่เมือง Lecce มีแหล่งหินลักษณะพิเศษที่เอื้อต่อการแกะสลักลวดลายละเอียดลงไปได้ง่าย จึงกลายเป็นแหล่งรวมศิลปินสไตล์ Baroque ผู้ได้ทิ้งผลงานไว้มากมายในตัวเมือง
ไกด์ท้องถิ่นของ Ponant พาเราเดินเข้าเมือง Lecce ผ่าน Porta Napoli ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ประตูเข้าเขตเมืองเก่า แค่ประตูเข้าเราก็ว่าสวยแล้วครับ แต่พอเดินเข้ามาเราก็เริ่มเห็นงานแกะสลักตาม Façade และระเบียงบ้านของผู้คน แต่นั่นก็เป็นแค่น้ำจิ้มไม่กี่หยด เพราะเมื่อเราเดินมาถึง Basilica Di Santa Croce (Basilica of the Holy Cross) ก็ถึงกับต้องอ้าปากค้างเพราะหน้าอาคารเต็มไปด้วยงานแกะสลักที่ละเอียดละออราวกับมีใครเอาผ้าลูกไม้มาห่อโบสถ์เอาไว้ แทบไม่มีที่ว่างให้พักสายตาเลยครับ ส่วนด้านในนั้นก็มีงานปั้นแกะสลัก และปิดทองละเอียดสวยงามไม่แพ้กัน แต่ก็ยังมีผนังเรียบให้ได้พักสายตาบ้าง
จริงๆที่ Lecce นั้นมีโบราณสถานสวยๆให้แวะชมอีกเยอะทั้งโบสถ์และโรงละครโรมันอีกหลายแห่ง แต่หลังจากที่เดินไปกับกรุ๊ป Excursion ต่ออีกสักพัก เราก็ขอแยกตัวออกมาเดินเล่นเอง เพราะระหว่างทางเราเห็นร้านน่ารักๆเยอะมากๆไม่ว่าจะเป็นร้านขายของฝาก คาเฟ่หรือร้านรวมแบรนด์ต่างๆทั้งสมัยเก่าและใหม่ เราประทับใจมากที่เจอแบรนด์เสื้อผ้าโลคอลสไตล์ Old Money แบบอิตาลี (แนวๆ Loro Piana) ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในเมืองเล็กๆอย่าง Lecce ด้วย แสดงว่าเมืองนี้นั้นมีความรุ่มรวยวัฒนธรรมจริงๆ
และอยู่ๆเราก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เราหาข้อมูลพบว่าที่ Lecce มีเมนูกาแฟเย็นพิเศษเป็นของตัวเอง ชื่อว่า Leccese (เลเชชเซ่) ซึ่งใช้ช็อตเอสเปรสโซ่เทลงบนน้ำแข็งและปรุงรสด้วยน้ำเชื่อมกลิ่นแอลมอนด์ที่แต่ละร้านมักจะทำกันขึ้นมาเอง เราก็เลยถือโอกาสหาร้านกาแฟซื้อมาลองกันซักหน่อย หอมอร่อยดีครับ แต่อาจจะหวานเข้มข้นไปนิดสำหรับลิ้นของเรา
เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลานัดขึ้นรถกลับไปที่ Gallipoli แล้ว เดี๋ยวเราไปเดินเล่นที่ Gallipoli กันต่อนะครับ
ตอนที่เราได้ยินชื่อ Gallipoli ครั้งแรกก็รู้สึกว่าเป็นชื่อที่น่ารักมาก แต่ก็แอบคุ้นๆเพราะเหมือนจะเป็นเมืองที่มีโศกนาฏกรรมจากการยกพลขึ้นบกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่พอไปหาข้อมูลก็พบว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ประเทศตุรกีแต่เมืองดันมีชื่อเดียวกัน ส่วน Gallipoli ที่เราอยู่นี้เป็นเมืองเล็กๆที่สวยและน่ารักน่าเดินมากครับ
เราตัดสินใจไม่ทานมื้อเที่ยงบนเรือ และมาหาร้านในเมืองแทนจะได้สัมผัสความโลคอลได้มากขึ้นอีกหน่อย และเราก็ตัดสินใจถูกมากๆ เราเดินมาเจอร้านน่ารักวิวทะเลชื่อ Café Del Mar (แต่ทำไมใน Google Maps เขียนว่า Caffe Del Mollo หว่า) ก็เลยตัดสินใจลง Lunch ที่นี่ก็แล้วกัน แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ อาหารทะเลที่นี่ง่ายๆแต่อร่อย เราสั่ง Linguine ซีฟู้ด กับอีกจานโลคอลที่พนักงานแนะนำให้ลองก็คือ Pesce Spada Alla Gallipolina ซึ่งเป็นปลากระโทงดาบ (Swordfish) คือปลาที่ปากแหลมๆยาวๆ เค้าแล่เอาแต่เนื้อมาคลุกแป้งบางๆแล้วทอดสไตล์ Gallipoli ตอนกินก็บีบเลม่อนซักนิด อร่อยมากครับเพราะปลาสดมาก ติดกับร้านอาหารก็เป็นหาด Spiaggia della Purità ที่โค้งสวยงามมาก เสียดายบ่ายนี้ฟ้าเริ่มหม่นฝนเริ่มตั้งเค้า แต่ก็ยังมีคนมานอนอาบแดดเล่นน้ำกันอยู่บ้าง
เราเดินเล่นในเขตเมืองเก่าที่โคตรน่ารัก (อีกแล้ว) เราเลือกซื้อของฝากชิ้นเล็กๆติดไม้ติดมือกลับมาบ้าน แวะร้านน้ำหอมชื่อ Salentum I Profumi เพราะร้านตั้งอยู่ในตึกเก่าที่ข้างในสวยมากๆจนต้องขอเข้าไปดู จากนั้นเราก็ไปร้านของหวานชื่อ Martinucci นั่งพักกินขนมและเจลาโตอร่อยๆตามที่พนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารแนะนำมาอีกที ฝนเริ่มโปรยปรายแต่เราก็ยังสู้เดินต่อไปเขตเมืองใหม่ที่อยู่ไม่ไกลกัน (ก็ไม่ได้มาบ่อยๆนี่เนอะ) เจอเสื้อผ้าแบรนด์อิตาลีสวยๆลดราคา 50% แน่ะ เลยช็อปปิ้งอีกนิดหน่อย แล้วก็เดินกลับเรือ ซึ่งก็เป็นช่วงที่ชาวประมงกลับมาถึงท่าพอดีและกำลังเอาของที่หามาได้มาวางขาย และมีคนมามุงซื้อแบบตลาดปลาบ้านเรา เป็นภาพที่น่ารักมากๆครับ อยากซื้อเอาไปให้เชฟบนเรือช่วยทำอาหารให้มากเลย แต่เค้าน่าจะมีของอื่นๆเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว แหะๆ

Corfu, Greece
เราเริ่มเดินทางเข้าสู่น่านน้ำของประเทศกรีซแล้วครับ และเมืองที่เราจะแวะต่อไปนี้ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่เราตั้งตาคอยสุดๆ เพราะนานมาแล้ว (น่าจะเกิน 10 ปีได้) ที่เราได้อ่านบทความและเห็นรูปสวยๆของเกาะ Corfu (คอร์ฟู) จากนิตยสารท่องเที่ยวต่างประเทศ และเมื่อพยายามค้นวิธีเดินทางมาที่นี่ก็พบว่าแอบมีความซับซ้อนยุ่งยากพอสมควร เลยเก็บ Corfu เอาไว้ใน Bucket List จนแทบลืมไปแล้ว พอรู้ว่าทริปนี้เราจะได้มาแวะที่นี่แบบชิลๆก็เลยตื่นเต้นมากๆครับ
และ Corfu ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ขอบคุณอากาศที่ต้อนรับเราอย่างดีเหลือเกิน แดดออก ลมเย็นกำลังดี และท้องฟ้าก็สีฟ้าแบบฟ้าาาาาาาาาาา… สระอาล้านตัว แข่งกันกับสีฟ้าใสไล่หลายเฉดของน้ำทะเลรอบเกาะ ส่วนบนแผ่นดิน Corfu ก็ถือเป็นเกาะที่เขียวชอุ่มที่สุดใน Greece เต็มไปด้วยต้นมะกอกเก่าแก่กว่า 4 ล้านต้น หลายต้นก็อายุเกิน 1,000 ปี ไกด์เล่าให้ฟังว่าในช่วงศตวรรษที่ 15 จักรวรรดิ Venice ได้แผ่อิทธิพลเข้ามายัง Corfu และอยู่ปกครองกว่า 400 ปี และก่อนที่ Venice จะเสื่อมอำนาจลง จักรวรรดิ Ottoman ก็ได้เข้ามาบุกตีและยึดเอาดินแดนที่ใช้ในการปลูกต้นมะกอกไปจาก Venice เป็นจำนวนมาก ยกเว้นที่ Corfu ซึ่งมีป้อมปราการที่แข็งแกร่งมาก (ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ให้เห็นในตัวเมือง Corfu Town) Venice จึงหลอกให้คน Corfu ปลูกต้นมะกอกโดยบอกว่าจะให้เงินตอบแทน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำตามสัญญา
Excursion ของเราในวันนี้นั้น เราจะไปแวะชมสำนักสงฆ์ Paleokastritsa ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูง จึงเป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆของ Corfu ส่วนตัวสำนักสงฆ์เองนั้นก็มีความเก่าแก่ถึง 800 ปี สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระแม่มารีตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายกรีก ออร์ธอด็อกซ์ และก็เหมือนทุกอย่างเป็นใจต้อนรับเราครับ ต้น Spanish Jasmine มะลิพันธุ์เลื้อยที่ปลูกอยู่ข้างโบสถ์ก็กำลังออกดอกสะพรั่งพรึ่บพรั่บล้นจอเหมือนกับภาพฝันเลย หรือว่าเรากำลังฝันไปจริงๆนะ
ลงจากสำนักสงฆ์แล้วเราก็จะไปนั่งเรือเล่นชมทะเลและถ้ำต่างๆรอบๆอ่าว Agios Spiridon กันต่อครับ ขออนุญาตให้ภาพบรรยายความงามด้วยตัวเองก็แล้วกันนะครับ ไกด์เล่าให้ฟังว่าอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ ทางตอนใต้ของ Old Town Corfu จะมีเกาะเล็กๆชื่อว่า Pontikonisi ตามตำนานเล่าว่าเกาะนี้คือเรือที่กลายเป็นหินของ Odysseus ผู้คิดแผนการส่งม้าไม้พร้อมไส้ศึกเข้าเมือง Troy ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับ Poseidon เทพแห่งท้องทะเลเป็นอย่างมาก ระหว่างล่องเรือกลับบ้าน เรือของ Odysseus จึงถูกสาปให้อับปางและกลายเป็นหินซึ่งก็คือเกาะ Pontikonisi ในปัจจุบัน
ยังไม่จบ Excursion ในวันนี้นะครับ ไกด์จะพาเราไปกินของว่างแบบกรีกพร้อมชมวิวบนยอดเขาที่ Golden Fox View Point ของว่างอร่อยดีนะครับและวิวก็สวยมากๆเช่นเคย ใช้เวลากันอยู่ที่นี่พักใหญ่ก็ทยอยขึ้นรถ บนรถเราเห็นเจ้าหน้าที่ของ Ponant คนหนึ่งซื้อขนมเค้กโลคอลติดมือกลับมาด้วย เราก็เลยถามเค้าว่ามันคือขนมอะไร เค้าบอกว่ามันคือเค้กส้มแบบกรีกที่อร่อยมากๆชื่อว่า Portokalopita และแนะนำให้เราไปลองหาซื้อกินดู
แต่เรายังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนเรือจะออกเดินทางต่อ เราจึงมาเดินเล่นในตัวเมือง Corfu Town กัน เช่นเดียวกับเมืองส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ครับ Corfu มีความเป็นมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเมื่อเกือบ 3,000 ปีก่อน แต่สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองที่ Corfu แตกต่างจากที่อื่นก็คือการถูกปกครองโดย Venice ถึงเกือบ 400 ปี หลังจากนั้นก็มีทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษที่เข้ามาปกครองสั้นๆก่อนจะส่งต่อให้ Greece จนถึงปัจจุบัน
เราเหมือนคนโดน Corfu ทำของใส่ มองไปทางไหนคือดีงามไปหมดเลยครับ ระดับความสุขเต็มปรี่ทะลุปรอท ทั้งอากาศ ทั้งตัวเมือง ทั้งผู้คน และที่สำคัญคือเรามาเจอร้านกาแฟ Specialty ชื่อ Cafetierra Plakado ที่ทำ Iced Americano อร่อยๆให้เราได้หายอยากด้วย บาริสต้าบอกว่ากาแฟที่ Greece จะต่างจากที่ Italy ตรงที่คนที่นี่เค้ากินกาแฟเย็นกันด้วยครับ มีเมนู Iced Espresso ที่เอาไปปั่นกับน้ำแข็งให้เย็นที่คนนิยมกินกันทั่วไป ไหนๆก็ไหนๆ เราก็เลยถามบาริสต้าว่ามีร้านไหนขายเค้กส้ม Portokalopita อร่อยๆบ้างมั้ย เค้าบอกว่าที่ Corfu น่าจะมีแค่ที่ Golden Fox บนเขาที่เราเพิ่งไปมา (แง) แต่เค้าก็ปลอบใจด้วยการแนะนำร้าน Gelato ร้านโปรดในเมืองของเค้า ชื่อว่า Papagiorgis และบอกว่ารส Dark Chocolate กับรส Wild Strawberry อร่อยสุดๆ เราก็เลยไปตามรอย อร่อยจริง!
เวลาแห่งความสุขใน Corfu ใกล้หมดลงแล้ว เพราะเราต้องเรือก่อน 16:30 น. เราตกหลุมรักเมืองนี้ เข้าอย่างจัง แล้วสักวันฉันจะกลับมาหาเธอใหม่นะ Corfu

Itea, Greece
สิ่งที่ดึงดูดให้คนมา Itea (อิเตย่า) มากที่สุดก็คือ อุทยานประวัติศาตร์ Delphi อันโด่งดัง ที่นี่เป็นที่ตั้งวิหารเทพ Apollo และที่อยู่ของ Pythia (Oracle of Delphi) ตำแหน่งของนักพยากรณ์ในตำนานที่มีอิทธิพลต่อชาวกรีกโบราณอย่างมากโดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นปกครองที่ต้องดั้นด้นมาปรึกษาในเรื่องสำคัญๆของแผ่นดินในยุคนั้น ทาง Ponant เองก็มีจัด Excursion ไปที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่เราปรึกษา Shore Team ที่ดูแลเรื่อง Excursions ของเรือแล้ว เราได้คำแนะนำให้ไปอีกที่หนึ่งมากกว่าซึ่งก็คือสำนักสงฆ์ Hosios Loukas Monastery เพราะ Delphi นั้นคนค่อนข้างแน่นมาก และตัวสำนักสงฆ์ Hosios Loukas Monastery เองก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อนข้าง Unseen ไกด์บอกว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งจิตวิญญาณบางอย่างได้จากที่นี่
สำนักสงฆ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดย Hosios Loukas อาจจะแปลคร่าวๆได้ว่า “นักบุญลูคัส” ในยุค Byzantine เมื่อประมาณ 1,000 กว่าปีที่แล้ว และปัจจุบันก็ได้ถูกขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดย UNESCO เป็นที่เรียบร้อย
สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้ก็คือความสงบร่มเย็นของสถานที่แห่งนี้ นี่ขนาดต้นไม้ที่หุบเขาข้างล่างส่วนใหญ่เพิ่งถูกไฟป่าไหม้ไปเมื่อไม่นานมานี้นะ ถ้าไม่โดนไฟไหม้จะเขียวขจีขนาดไหน เมื่อก้าวเท้าลอดซุ้มประตูเข้าสู่บริเวณสำนักสงฆ์ เราก็รู้สึกได้ถึงความขลังเบาๆ ยิ่งด้านในของโบสถ์นั้นเป็นโถงสูงที่ประดับไปด้วยจิตกรรมฝาผนังและงานกระเบื้องโมเสกบอกเล่าเรื่องราวความศรัทธาที่ละเอียดสวยงามมากๆครับ
ขากลับออกมาที่ด้านหน้าสำนักสงฆ์มีร้านค้าเล็กๆให้ซื้อผลิตภัณฑ์ของสำนักสงฆ์กลับบ้านได้ เช่น ขนมขบเคี้ยว แยมผลไม้ บาล์มนวดอเนกประสงค์หลายสูตร (มีความคล้ายยาหม่องบ้านเราเหมือนกันนะ) แต่สิ่งที่ไกด์แนะนำที่สุด (โดยที่เค้าไม่ได้ค่าคอมมิชชั่น) ก็คือน้ำผึ้ง ไกด์บอกว่าน้ำผึ้งที่นี่ Excellent สุดๆ เราอยากซื้อขวดใหญ่ติดมือกลับบ้านซักขวด แต่พอนึกถึงน้ำหนักกระเป๋าที่ปริ่มโควตาอยู่ก็เลยได้แค่ซื้อไซส์เล็กสุดติดมือกลับมาพอให้เราไม่รู้สึกเสียดายทีหลัง
จากนั้นไกด์ก็พาเราแวะไปที่เมือง Arachova ซึ่งเป็นเมืองบนภูเขาซึ่งเป็นแหล่งเล่นสกีของชาวกรีกครับ แม้เราจะมาในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว หิมะไม่มีแล้ว แต่ร้านน่ารักต่างๆในเมืองก็ยังคงเปิดให้บริการอยู่ ที่นี่ไกด์ปล่อยให้เราเดินชมเมืองได้อิสระ แต่จะนัดเวลาและจุดขึ้นรถให้ไปเจอกัน เราเดินไปถามไกด์ว่ารู้จักร้านไหนที่ขายเค้กส้ม Portokalopita ที่เราได้รับคำแนะนำมาจากที่ Corfu บ้างมั้ย (ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ฮ่าๆๆๆๆ) แต่ไกด์เองก็ไม่แน่ใจ เลยพาเราเดินเข้าออกคาเฟ่อยู่หลายร้าน ระหว่างทางก็ได้คุยกันเรื่องอื่นๆไปด้วย จนสุดท้ายนางซื้อกาแฟเลี้ยงเราคนละแก้ว เป็นกาแฟ Iced Espresso แบบกรีก หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าออกร้านเสื้อผ้า ร้านขนม ก็เลยได้ของติดมือกลับมานิดหน่อยก่อนกลับไปขึ้นรถ
ขากลับไปที่เรือเราก็ผ่าน Delphi ด้วยนะครับ และเห็นรถทัวร์ที่จอดกันอยู่ไกลออกมา 2-3 กิโลเมตรจากตัวอุทยานประวัติศาสตร์ ไกด์เลยบอกว่าพวกเราตัดสินใจถูกมากที่เลือกไปที่สำนักสงฆ์ และเค้าเองก็ดีใจที่ไม่ต้องพาเราไปเบียดกับผู้คนที่ Delphi ในวันนี้
สำหรับเมือง Itea นั้นเป็นเมืองท่าที่น่ารักและค่อนข้างเล็กมาก เราเห็นผู้คนนั่งอยู่ในร้านกาแฟบนถนนหลักของเมืองแค่ไม่กี่คน และร้านค้าหลายร้านก็ไม่ได้เปิดให้บริการ ถ้าไม่ได้มากับ Ponant เราก็คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสเมืองประมงเล็กๆของกรีซแบบนี้ เราเดินถ่ายรูปเล่นในเมืองสักพักก็กลับขึ้นไปทานอาหารกลางวันบนเรือ และวันนี้ที่ห้องอาหาร Le Rodrigues เชฟมาตั้งซุ้มทำสเต้กปลาทูน่าสดๆที่เพิ่งได้มาจากตลาดที่ Itea เสิร์ฟให้ผู้โดยสารพร้อมกับข้าวหุงปรุงรสเค็มๆหอมๆไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าใส่อะไรบ้างแต่อร่อยดีครับ

Corinth Canal, Greece
อีกหนึ่งไฮไลท์ของเส้นทางนี้ก็คือการล่องเรือเข้าคลอง Corinth (โครินธ์) ที่มีความยาว 6.3 กิโลเมตรและกว้างสูงสุดเพียง 25 เมตร ทำให้เฉพาะเรือเล็กอย่างเช่นเรือ L’Austral ของเราเท่านั้นที่จะค่อยๆล่องทะลุคลองนี้ได้พอดี นับเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากเลยครับ ผู้โดยสารแทบจะทุกคนบนเรือก็ดูตื่นเต้นกันมากๆ ออกมาชมคลองที่หัวเรือตามประกาศของกัปตันกันแน่นเลย
เจ้าคลอง Corinth นี้ถูกเริ่มขุด (หรือใช้คำว่าหั่นดีนะ) ในปี 1882 และเสร็จสิ้นในปี 1893 โดยเจาะทะลุคอคอดโครินธ์ (Isthmus of Corinth) เพื่อให้เป็นทางลัดเชื่อม Gulf of Corinth (ฝั่งทะเล Ionian) กับ Saronic Gulf (ฝั่งทะเล Aegean) เข้าด้วยกัน จริงๆแล้วเส้นทางลัดนี้ถูกใช้งานมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณเมื่อ 2,600 กว่าปีก่อนแล้ว แต่เมื่อก่อนจะเป็นระบบรางบนแผ่นดิน โดยจะนำเรือขึ้นรถรางจากฝั่งหนึ่งแล้วเข็นลงอีกฝั่ง

Lavrio and Athens, Greece
เมืองที่เรือของเราเข้าจอดวันนี้คือ Lavrio (หรือ Laurium ในภาษาอังกฤษ) จากท่าเรือทาง Ponant จัดรถบัสให้เราต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆก็ถึงเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปอย่าง Athens ซึ่งมีอายุราวๆ 3,400 ปี แต่ถ้านับจากหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็ย้อนกลับไปได้เป็นหมื่นปีเลยทีเดียว ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดของการปกครองแบบประชาธิปไตย ปรัชญา ศิลปวิทยาการ และอารยธรรมตะวันตกที่เป็นมรดกมาถึงโลกยุคปัจจุบัน
จุดหมายของเราวันนี้ก็คือ Acropolis เมืองโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือเมือง Athens สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพ Athena ผู้ปกปักษ์รักษาและผู้เป็นที่มาของชื่อเมือง Athens หรือ Αθήνα อ่านว่า “อาธิน่า” ในภาษากรีก เรื่องราวในเทพนิยายเล่าว่า King Cecrop ผู้ก่อตั้งเมืองจัดให้มีการแข่งขันกันระหว่างเทพ 2 องค์ซึ่งเป็นลุงกับหลานกันคือ Poseidon เทพแห่งท้องทะเลและแผ่นดินไหวซึ่งเป็นพี่ชายของ Zeus กับ Athena เทพีแห่งปัญญาและการสงครามลูกสาวของ Zeus เพื่อให้ผู้ชนะเป็นเทพผู้ปกป้องเมือง ผลลัพธ์ก็คือชัยชนะตกเป็นของ Athena
Acropolis ในลักษณะที่เราเห็นในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบูรณะเมืองเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนหลังจากสงครามกับ Persia จบลงโดยมีอาคารหลักเรียกว่า Parthenon เป็นวิหารใหญ่สำหรับบวงสรวงเทพ Athena โดยคำว่า Parthenon นั้นมาจากชื่อเต็มของเทพ Athena Parthenos แปลว่า อาธีน่าผู้บริสุทธิ์ นอกจากเหตุผลทางด้านความเชื่อแล้ววิหาร Parthenon ยังเป็นสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ของรัฐกรีกโบราณด้วย เพราะที่นี่นั้นถูกใช้เป็นคลังเก็บสมบัติของบรรดารัฐกรีกโบราณนับร้อยเมืองที่ตกลงให้ Athens เป็นผู้นำในการต่อสู้กับชาว Persia จนได้รับชัยชนะ ในยุคต่อๆมา Parthenon ก็เคยถูกเปลี่ยนให้เป็นทั้งโบสถ์ในศาสนาคริสต์ (ยุค Byzantine) และมัสยิดในศาสนาอิสลาม (ยุค Ottoman) ด้วย
วันนี้ Acropolis คนเยอะมากครับ แน่นกว่าคราวก่อนที่เรามาเมื่อปี 2007 เยอะเลย แต่ไกด์ของ Ponant ก็ดูแลเราเป็นอย่างดีพาเราลัดเลาะเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ผ่าน Odeon of Herodes Atticus หรือโรงมหรสพสไตล์โรมัน (ที่เพิ่งมาสร้างในยุคหลัง) ที่พอตัดกับวิวเมืองด้านหลังแล้วดูขลังมากๆ ด้วยความที่ Acropolis ตั้งอยู่บนที่สูงเราจึงสามารถเห็นเมือง Athens ที่มีประชากรอยู่กันแบบหนาแน่นได้แบบ Panorama เลย และได้เห็นโบราณสถานต่างๆที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิหารของ Zeus มหาเทพผู้ปกครองเทพทั้งมวล วิหารของ Hephaestus เทพแห่งมนต์ดำ Theatre of Dionysus ที่จุคนได้อย่างน้อย 15,000 คนและเป็นต้นแบบของ Greek Theatre ทั้งมวลและอื่นๆอีกมากมาย ต้องบอกว่าเป็นภาพที่สวยงามแปลกตามากครับ
นอกจาก Parthenon แล้ว บน Acropolis ยังมีอาคารเด่นๆอีก 2 อาคารคือ Erechtheion ที่หลายคนอาจจะคุ้นชินกับภาพเสาเทพีที่แบกเพดานอาคารไว้บนหัว (Caryatids) สร้างขึ้นเพื่อบูชาทั้ง Athena และ Poseidon โดยมีศาลเจ้าแยกกัน (เราชอบที่คนโบราณก็ยังให้เกียรติผู้แพ้อย่าง Poseidon ด้วย) และอาคารอีกหลังที่เล็กกว่าแต่ดูงามสง่าไม่แพ้กันก็คือวิหารแห่งเทพ Athena Nike (เป็นเทพ Athena ปางเทพีแห่งชัยชนะ)
หลังจากเยี่ยมชม Acropolis เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไกด์ก็พาเราไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ Acropolis Museum ที่รวบรวมโบราณวัตถุและชิ้นส่วนอาคารที่ขุดพบบริเวณ Acropolis ซึ่งทุกชิ้นนั้นบอกเล่าเรื่องราว ประเพณี วัฒนธรรมที่ Rich มากๆของชาวกรีกที่ไม่มีทางที่เราจะเล่าได้หมด ขนาดเดินดูด้วยตาก็ยังไม่ทั่วเลยครับ เอาเป็นว่าเราขอเอารูปมาอวดให้พอเห็นบรรยากาศ และเว้นว่างประสบการณ์เอาไว้ให้เพื่อนๆได้ไปสัมผัสเองก็แล้วกัน แต่บอกเลยว่าควรค่าแก่การแวะมาอย่างยิ่งครับ
ได้เวลามื้อเที่ยงแล้ว วันนี้ไกด์พามากินอาหารกรีกพร้อมวิว Acropolis กัน ทางร้านเสิร์ฟจานแรกเป็น Moussaka หรือลาซานญ่าเวอร์ชั่นกรีกที่มีเนื้อบดและมะเขือยาวเรียงเป็นเลเยอร์อยู่ด้านล่าง ต่อด้วย Youvetsi สตูว์เนื้อแกะราดบน Orzo พาสต้าทรงเมล็ดข้าว และสลัดชีส Feta ราดซอสมะเขือเทศสด ก่อนจะจบท้ายด้วยขนมหวานไส้ถั่วสุดคลาสสิคอย่าง Baklava
ตามโปรแกรมแล้วเราจะต้องขึ้นรถกลับเรือเลย เพราะท่าเรือค่อนข้างอยู่ไกลเป็นชั่วโมง และเรือต้องแล่นต่ออีกค่อนข้างไกล แต่ด้วยความที่เรากินเสร็จเร็วกว่าคนอื่น จึงพอมีเวลาให้ไปเดินเล่นรอบๆร้านอาหารนิดหน่อย และเราก็พบว่ามีร้านน่ารักๆเยอะแยะมาก น่าเสียดายที่เรามีเวลานิดเดียว แถมร้านส่วนใหญ่ปิดวันจันทร์ซึ่งเป็นวันที่เราอยู่ที่ Athens พอดี ไม่งั้นเราคงจะได้ค้นพบอะไรดีๆที่นี่อีกเยอะ หรือนี่จะเป็นลางให้เรากลับมา Athens อีกซักรอบนะ? ฮ่าๆๆๆ

White Evening
เราเดินทางมาถึงครึ่งทริปแล้วนะครับ วันนี้บนเรือมีจัดงานพิเศษคือ White Evening คืองานดินเนอร์ที่ให้ผู้โดยสารแต่งตัวชุดสีขาวเป็นหลักใครจะแซมสีดำด้วยก็ไม่ว่ากัน หรือจะไม่เข้าร่วมเลยก็ไม่เป็นไร โดยทาง Ponant จะจัดให้มีการลงทะเบียนว่าเราอยากนั่งกับทีมบริหารของเรือคนไหน เหมือนเป็นกิจกรรมสร้างคอนเน็คชั่นที่มาพร้อมกับธีมสนุกๆไปในตัว เนื่องจากก่อนหน้านี้เราได้เคยพูดคุยถูกคอกับคุณ Didier Vacher ผู้จัดการโรงแรมของเรือมาบ้างแล้ว เราก็เลยเลือกที่จะนั่งกับคุณ Didier และบนโต๊ะของเราก็มีแขกน่ารักๆคนอื่นๆอีก เช่นคุณ Aurelia นักบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และคุณ Didac กับคุณ Manon คู่รักชาว Lexumberg ซึ่งในเราทุกคนก็แลกคอนแทคกัน และจากนั้นตลอดทริปที่เหลือเราก็ช่วยถ่ายรูปให้กัน ให้คำแนะนำกันและกันกัน ซึ่งทำให้ทริปของเราสนุกขึ้นอีกหลายเท่าเลย

Volos, Greece
ท่าเรือสุดท้ายก่อนออกจากเขต EU ครับ เผลอแป๊บเดียวเหลืออีกไม่กี่วันทริปล่องเรือของเราก็จะจบลงแล้ว ไม่อยากให้จบลงเร็วเลยจริงๆครับ Ponant พาเรามาจอดที่เมือง Volos นี้ก็เพราะเค้าจะพาเรานั่งรถบัสต่อไปเที่ยวจุดที่สวยแปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศกรีซเลยครับ นั่นก็คือ Meteora ดินแดนศักสิทธิ์แห่งสำนักสงฆ์ศาสตร์คริสนิกายกรีกออร์ธอด็อกซ์บนภูเขาหินทรงประหลาดราวกับหลุดออกมาจากฉากนิยาย Fantasy แบบ The Lord Of The Rings เลยแหละ
Meteora แปลว่า “ลอยค้างอยู่ในอากาศ” และก็เช่นเดียวกันกับ Corfu เราเคยเห็นรูป Meteora ในนิตยสารท่องเที่ยวของฝรั่งมานานแล้ว และก็อยากมาเที่ยวมากๆ แต่ก็รู้สึกว่าเดินทางค่อนข้างยาก จึงเป็นอีกที่ที่เราได้แต่เก็บเอาไว้ในลิสต์มานานแสนนาน จนกระทั่งวันนี้ฝันเราเป็นจริงแล้วครับ ขยำลิสต์ทิ้งได้แล้ว ฮ่าๆๆๆ ไกด์บอกว่านี่คือ 1 ใน Top 5 สถานที่ Must-Visit ในกรีซเลยนะ สมการรอคอยมากๆ
Meteora เป็นภูเขาที่แทบจะอยู่ตรงกลางแผ่นดินกรีซเลย ซึ่งจะต่างจากแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่อื่นๆของกรีซที่มักจะเป็นเกาะในทะเล จากท่าเรือเรานั่งรถเกือบ 2 ชั่วโมงก็เริ่มเห็นวิวเขาที่มีทรงสวยแปลกตามากๆ จากนั้นรถของ Ponant ก็พาเรามาจอดที่ร้านอาหารที่ตีนเขาให้เราพักดื่มน้ำและเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินทางไปต่อ แค่วิวตรงร้านอาหารนี้ก็น่าตื่นตาตื่นใจมากๆแล้วครับ
ในช่วงพีคๆนั้น Meteora เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ถึง 24 แห่ง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6 แห่งที่ยังมีการใช้งานอยู่โดยจะสลับกันเปิด-ปิด ในขณะที่บางแห่งก็ไม่เปิดให้เข้าชมเลยและวิธีเดียวที่จะเข้าถึงสำนักสงฆ์นั้นได้ก็ต้องโหนสลิงเข้าไปเท่านั้น เนื่องจากนักบวชที่อาศัยอยู่ในนั้นต้องการปลีกวิเวกตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆ
สำนักสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดนั้นมีชื่อว่า Megalo Meteoron (The Great Meteoro Monastery) สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 700 ปีก่อน ที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้แต่ปิดทุกวันอังคาร ซึ่งก็คือวันที่เราไปพอดี ฮ่าๆๆๆ วันนี้เราจึงได้เข้าชมสำนักสงฆ์ 2 แห่งที่สวยงามไม่แพ้ ก็คือสำนักสงฆ์ Varlaam อายุเกือบ 500 ปี และสำนักภิกษุณี St. Stephen ซึ่งก่อตั้งมาในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน (แต่รากฐานของอาคารนั้นมีอายุย้อนกลับไปกว่า 900 ปี) และเพิ่งกลายสภาพมาเป็นวัดสำหรับภิกษุณีเมื่อ 60 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง
สาเหตุที่สำนักสงฆ์ต่างๆในกรีซมักจะสร้างอยู่บนยอดเขา หรือในสถานที่ที่เข้าถึงได้ยากก็เพราะเป็นความตั้งใจที่จะหลีกหนีจากโลกภายนอก แต่กลับกลายเป็นว่าพอยุคสมัยเปลี่ยนไป มีถนนหนทางสะดวกมากขึ้น โลกภายนอกก็ถาโถมกันเข้ามาหาสำนักสงฆ์ถึงในโบสถ์เลย และด้วยความที่สำนักสงฆ์มักจะตั้งอยู่บนที่สูง ก็ทำให้มีวิวสวยโดยอัตโนมัติ
เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ ถ้าเรานึกย้อนหลังไปในช่วงการก่อสร้างสำนักสงฆ์แต่ละแห่ง ลำพังเส้นทางบนพื้นราบที่จะขนเอาวัสดุก่อสร้างมาถึงตีนเขาก็ลำบากมากอยู่แล้ว แต่พอมาถึงก็จะต้องใช้วิธีปีนเขา โรยตัว ชักรอกเอาอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆขึ้นมาที่ละน้อย จากนั้นจึงค่อยลงมือก่อสร้างโดยนักบวชเอง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในศรัทธาของคนยุคนั้นที่สามารถสร้างภาพในจินตนาการให้เป็นจริงได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่สำนักสงฆ์ 1 แห่งเท่านั้น แต่มากถึง 24 แห่งเลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่าภาพที่ชัด วิธีที่ใช่ และใจที่ชอบนั้นเป็นสูตรสำเร็จที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายและทำซ้ำๆได้เสมอ ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปขนาดไหน

Kușadasi, Turkey
เราออกจากน่านน้ำเขต EU แล้วครับ วันนี้เราเดินทางมาถึงเมืองท่าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ของประเทศตุรกีที่มีชื่อว่า Kușadasi (คุชาดาสึ) สภาพบ้านเมืองเริ่มดูต่างจากบ้านเมืองในกรีซ แต่ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับเมืองตากอากาศริมทะเลในยุโรปอยู่ประมาณหนึ่ง ถ้าจะย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์ที่นี่ก็คงไม่ต่างจากเมืองอื่นๆในละแวกนี้ที่มีความเป็นมาหลายพันปี แต่ปัจจุบัน Kușadasi เป็นเมืองที่กำลังพัฒนามีโครงการใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย และไกด์บอกว่าราคาค่าคอนโดต่างๆก็ยังถูกกว่าเมืองตากอากาศในยุโรปอยู่มาก
แต่วันนี้เราไม่ได้มาหาซื้อคอนโดหรอกนะครับ เรามาที่นี่เพื่อจะไปเมืองชม Ephesus (เอฟเฟซัส) เมืองโบราณในตำนานที่สำคัญมากๆอีกเมืองหนึ่งมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณโดยเป็นศูนย์กลางแห่งการบูชาเทพ Artemis เทพแห่งการล่าสัตว์ พระจันทร์และการให้กำเนิดเด็ก โดยถ้ามีการจัดอันดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ Temple Of Artemis ที่ Ephesus ก็คงจะได้ติดลิสต์ด้วยอย่างแน่นอน
ต่อมาในยุคโรมัน Ephesus ก็เจริญรุ่งเรืองมาก ถึงกับมีการยกสถานะเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันฝั่งเอเชียเลย นอกจากนี้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลก็มีการพูดถึง Ephesus อยู่หลายครั้ง เนื่องจากเป็นที่ที่อัครสาวกของพระเยซูอย่าง Paul เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์
Ephesus เป็นเมืองโบราณที่ค่อนข้างใหญ่มาก สังเกตุได้จากขนาดของ Roman Theatre ที่จุคนได้ถึง 25,000 คน (ทำให้คาดกันว่าต้องมีประชากรอย่างน้อย 250,000 คน) และตัวเมืองเองก็แบ่งออกเป็น 3 โซนคือโซนสถานที่ราชการ โซนที่อยู่อาศัยของกลุ่ม Elite ในยุคนั้น และสุดท้ายก็คือโซนชาวบ้านและแหล่งค้าขายที่เรียกว่า Agora ในภาษากรีกโบราณ
อีกหนึ่งจุดที่เป็นสัญลักษณ์ของ Ephesus ก็คือ Façade (หน้าตึก) ของหอสมุดของเซลซัส (Library of Celcus) ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและที่เก็บศพของ Tiberius Julius Celsus Polemaeanus ตัวแทนที่ถูกส่งมาให้ปกครอง Ephesus จากโรม
หลังจากทัวร์ Ephesus เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาที่ Kușadasi และมีเวลาอิสระในการเดินเล่นในเมือง ด้วยความที่เราไม่มีเงิน Lira ของตุรกีติดตัว และไม่อยากจ่ายด้วยยูโรแล้วได้เงินทอนเป็น Lira (อีกใจนึงก็กลัวโดนโกงราคาด้วยแหละ ฮ่าๆ) เราก็เลยได้แค่เดินเล่นไปเรื่อยๆทั้งที่เราก็แอบอยากเข้า Cafe และลองขนมที่เค้าขายอยู่ข้างทางเหมือนกันนะ แต่ก็ตัดใจดีกว่า บรรยากาศของเมืองดีเลยครับ ทะเลสวย ลมเย็น แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ยังไม่เจอร้านอะไรที่ถูกจริตสักเท่าไหร่ ยิ่งตรงโซนรับนักท่องเที่ยวก็มักจะขายของก๊อปพวกกระเป๋า นาฬิกา แบรนด์เนมต่างๆ และเค้าทำได้ดีเลยนะ ก๊อปเนียนเชียว ฮ่าๆๆๆ

Farewell Gala
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ เผลอแป๊บเดียวมาถึงงาน Farewell Gala แล้วเหรอเนี่ย จริงๆนี่ก็ยังไม่ใช่วันสุดท้ายของการล่องเรือหรอกครับ พรุ่งนี้เรายังมีอีก 1 เมืองให้แวะเที่ยว แต่เราคิดว่าถ้าจัดคืนสุดท้ายเลยผู้โดยสารอาจจะเอ็นจอยได้ไม่เต็มที่เพราะต้องมาพะวงกับการจัดกระเป๋าเตรียมตัวจบทริป เพราะนอกจากงาน Cocktail ช่วงเย็นแล้วเค้ายังมีงาน Dinner ให้เราเลือกเข้าร่วมต่อได้ด้วยและอาจจะเสร็จดึก เค้าก็เลยจัด Farewell ล่วงหน้าก่อน 1 วัน
พอถึงวันใกล้จบ Cruise ทาง Ponant ก็จะมีเอกสารต่างๆมาให้เรากรอก เช่น แบบประเมินความพึงพอใจและข้อเสนอแนะ ซองทิปเผื่อเราจะให้เป็นเงินสดแต่ถ้าจะให้ผ่านบัตรเครดิตก้สามารถทำเรื่องที่ Reception ได้เลย เราแอบเห็นทิปที่ห้องอื่นๆให้ก็จะอยู่ในช่วง 12-30 ยูโร/ห้อง/วัน รวมไปถึงแบบฟอร์มให้ทาง Ponant เตรียมรถแท็กซี่ไปสนามบินให้ถ้าต้องการนะครับ เพราะเราสามารถเรียกอูเบอร์เองได้เช่นกัน ซึ่งราคาก็จะถูกกว่า แต่เราให้ทาง Ponant เรียกให้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะไฟลต์กลับของเราค่อนข้างกระชั้นกับเวลาลงจากเรือ

Alanya
นี่คือเมืองสุดท้ายที่เราจะได้ลงเที่ยวของ Cruise นี้แล้วครับ พรุ่งนี้เป็นเมือง Antalya (ชื่อคล้ายๆกันเนอะ) ที่เราจะไม่ได้เที่ยวอะไรเลยเพราะลงจากเรือแล้วต้องพุ่งตัวไปสนามบินเลย
Alanya เป็นดินแดนที่ว่ากันว่า Mark Antony จอมทัพชาวโรมันมอบให้เป็นของขวัญกับคลีโอพัตราคนรักของเขา เพราะชายหาดที่นี่สวยถูกในพระนางเป็นอย่างมาก และในปัจจุบันหาดที่ขึ้นชื่อที่สุดก็ถูกตั้งชื่อว่า Cleopatra Beach ด้วย
แต่ไม่ใช่แค่ Cleopatra หรอกนะที่ชอบที่นี่ บรรดาโจรสลัดก็ชอบเช่นกันและเคยใช้ Alanya เป็นศูนย์กลางในการปล้นสะดมเลยทีเดียว
เสน่ห์ของ Alanya นั้นเห็นได้แต่ไกลตั้งแต่เราอยู่บนเรือ กำแพงเมือง (แอบคล้ายกำแพงเมืองจีนอยู่เหมือนกันนะ) ที่คนเคี้ยวไปตามไหล่เขาและมีเมืองอยู่เบื้องล่างเป็นภาพที่ทำให้รู้ว่าเมืองนี้ต้องมีความสำคัญมาแต่โบราณ และเมืองเก่าแก่แบบ Alanya นั้นก็ได้ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย จนวันนี้ Alanya กลายเป็นเมืองตากอากาศติดทะเลของตุรกีที่น่ารักเดินเพลิน โดยรวมแล้วเราชอบเมืองนี้มากกว่า Kuşadasi นะ
Ponant พาเรานั่งรถออกไปชมความสวยงามของ Side (ซิเด้) เมืองยุคกรีกโบราณซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหาร Apollo และ Artemis สองพี่น้องเทพแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ เราขอข้ามเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆไป เพราะเพื่อนๆก็น่าจะเต็มอิ่มกับเรื่องนี้จากเมืองต่างๆก่อนหน้าไปแล้ว ขอโฟกัสที่วิวเลยครับ ฮ่าๆๆ สวยไม่สวยดูรูปเอาเองนะครับ แต่สำหรับเรานั้นประทับใจมาก เป็นความสวยงามที่ดูขลังแต่ก็สะอาดตา เป็นความงามในยุค Classical Architecture ที่มีเสน่ห์จริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเสากรีกโบราณสีครีมมีน้ำทะเลสีน้ำเงินสดเป็นฉากหลัง แถมมีเรือสวยๆประกอบฉากด้วย
หลังจากนั้นไกด์ก็พาเรามาชมถ้ำ Damlataş (ดามลาตาช) ที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยสวยงาม และเป็นที่ที่คนเชื่อกันว่าลักษณะพิเศษบางอย่างของอากาศภายในถ้ำนั้นช่วยรักษาอาการหืดหอบด้วย จากข้อมูลที่เราหามาพบว่าอากาศในถ้ำนั้นมี Carbon Dioxide เข้มข้นกว่าอากาศนอกถ้ำถึง 10-15 เท่า และมีความชื้นถึง 95% เราเองก็ไม่ได้มีความรู้หรอกนะว่าคุณลักณะแบบนี้มีส่วนช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจได้อย่างไร แต่ปัจจุบันทางเมือง Alanya ได้ล็อคเวลาช่วง 10:00 - 14:00 น. ไว้ให้กับคนที่มีอาการหืดหอบเท่านั้น เพราะตามที่เค้าเคลมก็คือการรักษาจะได้ผลก็ต่อเมื่อคนไข้ใช้เวลาวันละ 3-4 ชั่วโมงต่อเนื่องกัน 21 วันเพื่อหายใจเอาอากาศในถ้ำเข้าไป เกิดเป็นแพ็คเก็จทัวร์สุขภาพกันจริงจัง นักท่องเที่ยวทั่วไปอย่างเราจะเข้าได้หลังจาก 14:00 น. ไปแล้ว
หลังจากกลับขึ้นเรือแล้ว เราก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดกระเป๋า เพราะทาง Ponant ขอให้เรานำกระเป๋าใหญ่ที่จะให้ทางเจ้าหน้าที่ช่วยขนลงจากเรือมาวางไว้ที่หน้าห้องของเราก่อนตี 3 และการแพ็คกระเป๋าของเรานั้นถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องวางแผนมากเพราะสัมภาระของเราค่อนข้างเยอะและน้ำหนักก็ปริ่มโควตามากๆ เพื่อให้กระเป๋าเราเบาที่สุด เราจึงต้องเตรียมเสื้อผ้าที่มีน้ำหนักมาใส่ไว้ที่ตัวเราพรุ่งนี้ด้วย ฮ่าๆๆๆ

Disembarkation at Antalya Port
เช้านี้เราจะต้องเช็คเอ้าท์ออกจาก Cabin ของเราก่อน 8:00 น. หมายความว่าเราจะต้องตื่นไปทาน Breakfast และเตรียมตัวทุกอย่างให้พร้อมก่อนเวลา เราจัดการเคลียร์ทุกอย่างจนเรียบร้อยทันเวลา แล้วไปนั่งรอรถแท็กซี่มารับที่ The Main Lounge ระหว่างนั้นเราก็ขอบคุณทีมงานและเพื่อนใหม่ที่แวะเวียนเข้ามาทักทาย และบอกลา ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงเวลา 10 วันบนเรือ เราจะสร้างความรู้สึกผู้พันได้มากขนาดนี้ ในใจเราแอบเศร้าที่ต้องจากลากันแล้ว แต่หลายๆคนเราก็แลกคอนแทคท์กันไว้ก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน
ในที่สุด Taxi ของเราก็มาถึง ทีมงานก็เดินมาเรียกให้เราลงจากเรือ ไปรับกระเป๋าใบใหญ่ที่ทางเรือขนลงไปข้างล่างเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ เราทักทายคนขับรถแท็กซี่และขอบคุณที่ช่วยยกกระเป๋าขึ้นรถให้ ขณะที่รถกำลังจะขับออกไป เราโบกมือลาเรือ L’Austral และทีมงานที่น่ารักทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ภาพเรือที่จอดอยู่ที่ท่าจะค่อยๆมีขนาดเล็กลงไปพร้อมๆกับระยะทางที่แท็กซี่ขับออกมาเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบิน

สรุปความประทับใจ
ถ้าคะแนนเต็ม 10 เราให้ทริปนี้ 100 คะแนนไปเลยครับ เป็นหนึ่งในทริปที่เราประทับใจที่สุดในชีวิตเลยล่ะ ไม่ใช่เพราะมันเพอร์เฟ็คท์สมบูรณ์แบบทุกอย่างหรอกนะครับ บางอย่างเราก็แอบอยากให้มันมากหรือน้อยกว่าที่มันเป็นอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วเราดีใจจริงๆที่ได้มาเห็นโลกกว้างอันสวยงามจนใจฟูแล้วฟูอีก และมี Ponant เป็นผู้เปิดโลกและนำพาเรามาเสพทั้งบรรยากาศ สถานที่ท่องเที่ยว ความรู้ ศิลปะ ดนตรี อาหาร และวัฒนธรรมการเดินเรือแบบฝรั่งเศสแท้ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เราอิ่มเอมใจที่สุดก็คือผู้คน ไม่ว่าจะเป็นลูกเรือหรือแขกคนอื่นๆที่เราได้ทำความรู้จักกันนั้นล้วนแล้วแต่น่ารักเป็นกันเองมากๆ ทั้งที่ตอนแรกเราก็แอบกังวลเพราะเป็น Cruise ที่มีผู้โดยสารชาวฝรั่งเศสกว่า 90% น่าจะทำให้เราเกร็ง แต่ถ้าเราเปิดเข้าหาเขา เขาก็จะเปิดเข้าหาเรา เช่นกันครับ
อย่างที่บอกว่าการมาล่องเรือกับ Ponant นั้นไม่เหมือนใคร เป็นประสบการณ์ที่เติมเต็มในหลายๆด้านเพราะเค้าเสิร์ฟทั้งอาหารตา อาหารสมอง และอาหารจิตใจ Ponant สามารถทำสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของงานบริการได้สำเร็จอย่างงดงามจนน่าทึ่ง นั่นก็คือ “ความพอดี” นั่นเองครับ
10 วันของเรานั้น “พอดี” ระหว่างการได้พักผ่อนและความตื่นตาตื่นใจ “พอดี” ระหว่างความหรูหราและความอบอุ่น เราเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นลูกค้าประจำที่กลับขึ้นเรือซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเราเองก็กำลังดูๆอยู่เหมือนกันว่าทริปหน้าจะไปเส้นทางไหนกับ Ponant ดี ☺️
Exclusive Offer: Hoparound.co X Ponant
1. ทุกเส้นทาง ลดเพิ่ม 5% จากราคาหน้าเวป www.ponant.com (ราคามีการปรับอยู่เรื่อยๆ ยิ่งจองล่วงหน้านานยิ่งถูก)
2. พิเศษ! สำหรับเส้นทางจาก Valetta, Malta - Antalya, Türkiye (The Mediterranean: in the footsteps of great civilisations) ออกเดินทางวันที่ 22 มีนาคม - 1 เมษายน 2026 (11 วัน) ราคาเริ่มต้นที่ 6,207 ยูโร/ท่าน โดยจะไม่ปรับขึ้นหากจองภายใน 30 พฤศจิกายน 2025 (1 ห้องต้องพัก 2 ท่าน)
วิธีการจอง
1. ดูเส้นทางและวันเดินทางที่ต้องการได้ที่หน้าเวป www.ponant.com
2. คลิกที่ลิงค์ www.hoparound.co/exclusiveoffers เพื่อกรอกรายละเอียดทริปที่ต้องการเพื่อรับสิทธิ์ลดเพิ่ม 5%
3. รอให้ตัวแทนของ Ponant ติดต่อกลับทางอีเมลเพื่อดำเนินการจองกับลูกค้าโดยตรง

תגובות