top of page
black-01.png

Search Results

124 results found with an empty search

  • รีวิว AMAN SKINCARE ปรนนิบัติผิวด้วยศาสตร์แห่งความสงบจากอมันสกินแคร์

    จะเกิดอะไรหาก AMAN แบรนด์รีสอร์ท Ultra Luxury หันมาทำสกินแคร์ แล้วให้ Kengo Kuma (สถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่ออกแบบสเตเดี้ยมไม้ที่จะใช้ในงาน Tokyo Olympic รอบล่าสุดนี้) ออกแบบแพ็คเก็จจิ้ง ผลที่ได้ก็คือเรนจ์ผลิตภัณฑ์สุดพิถีพิถันที่ทั้งลุ่มลึกและงดงามตั้งแต่ภายในไปจนถึงภายนอก เครื่องประทินผิวคอลเล็คชั่นนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของ AMAN ในปี 2018 โดยทางแบรนด์ได้เนรมิตสกินแคร์ออกมาถึง 30 ตัว โดยเน้นพลังบำบัดอันบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ตั้งแต่น้ำมันที่สกัดจากพืชพรรณอันทรงพลังต่างๆ เช่น palo santo, sandal wood เป็นต้น ไปจนถึง ไข่มุก หินอเมธีสต์ หยก กำยาน น้ำด่างจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติที่หนาแน่นไปด้วยออกซิเจน โคลนจากป่าฝน และการใช้โลหะตามวิถีโฮเมโอพาธี ส่วนตัวแพ็คเก็จจิ้งนั้นก็ได้แรงบันดาลใจมาจากแจกันกระเบื้องโบราณของญี่ปุ่น โดย Kengo Kuma เลือกให้เนื้อวัสดุสะท้อนความเป็นธรรมชาติด้วยลวดลายที่คล้ายไม้และหิน และใช้โทนสีเข้มขรึมเพื่อสะท้อนความลักชัวรี่ที่สุขุมลุ่มลึกของ AMAN แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์เลอค่าเหล่านี้ AMAN ได้นำมาใช้ในเมนูสปาอันหรูหราของทางรีสอร์ทด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและบำรุงผิวแล้ว ยังช่วยในการ grounding และ purifying อารมณ์และจิตใจอีกด้วย หากชาว #hopsters คนไหนสนใจจะสร้าง ritual ความงามของตัวเองที่บ้าน ก็สามารถคลิกเข้าไปดูในเวปของ AMAN ได้เลย >>> https://shop.aman.com/en/

  • รีวิวโรงแรม Hansar Pranburi หรรษา ปราณบุรี

    รีวิวโรงแรม Hansar Pranburi หรรษา ปราณบุรี ระหว่างที่เรากำลังหาโรงแรมสำหรับทริปสามร้อยยอดอยู่นั้น เราไปสะดุดตากับภาพอาคารสีขาวตัดกับภูเขาหินปูนเขียวชะอุ่มที่ยืนตระหง่านเป็นฉากหลัง เบื้องหน้าเป็นชายหาดที่เงียบสงบ แถมมองไปรอบๆก็แทบไม่เจอเพื่อนบ้านเลย โลเคชั่นที่ exclusive แบบนี้ช่างมีแรงดึงดูดเราเสียเหลือเกิน หลังจากเปรียบเทียบกับโรงแรมอื่นๆอีก 2-3 แห่ง เราก็ตัดสินใจเลือก Hansar Pranburi ณ ปลายหาดสามร้อยยอดแห่งนี้อย่างง่ายดาย รีวิวโรงแรม Hansar Pranburi หรรษา ปราณบุรี จองห้องพักได้ที่นี่ BOOK NOW นานๆจะได้มาที่สามร้อยยอดสักที แถมโปรโมชั่นลดราคาแถมอาหารเช้าก็ดีเหลือใจ เราจึงเลือกห้องใหญ่ขนาด 61 ตร.ม.ที่วิวดีที่สุดไปเลยแล้วกัน นั่นก็คือห้องฮันนีมูน สวีท วิวทะเลพร้อมจากุซซีเอ้าท์ดอร์ (Honeymoon Sea View Suite with Jacuzzi) ด้วยความที่อยู่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด (ไม่มีลิฟท์) จึงทำให้ได้ดาดฟ้าทั้งหมดเป็นระเบียงส่วนตัวเอาไว้เอ็นจอยวิวทะเลด้านหน้าที่แซมด้วยเกาะนมสาวและแก่งน้อยใหญ่แบบพาโนราม่าเต็มตา บอกเลยว่าสวยจับใจสุดๆ แถมด้านหลังยังมีระเบียงให้ออกไปดูวิวเขาได้อีกต่างหาก ภายในห้องมีทั้งชุดรับแขก เตียงคิงไซส์ และห้องน้ำที่กว้างมากๆ ที่ตั้งของที่นี่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมาก อยู่ห่างจากชุมชนพอสมควร ทางเข้าโรงแรมยังเป็นถนนลูกรัง พนักงานแจ้งว่าโรงแรมเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการได้ไม่นาน สภาพโรงแรมกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆจึงอาจจะไม่เต็มร้อยนัก เช่น น้ำไหลค่อนข้างเบา ประตูเลื่อนบางบานอาจตกร่องบ้าง บางจุดอาจจะดูโทรมบ้าง แต่ในภาพรวมก็ถือว่าสะดวกสบายมากพอ และมีอาหารบริการทำให้ไม่ต้องออกไปหาร้านกินข้างนอก อ่อ! ขออนุญาตเตือนนิดนึงว่าด้วยความที่โรงแรมอยู่ใกล้ภูเขาหินปูนซึ่งถูกกัดเซาะจนมีหลุมมีแอ่งให้น้ำขัง จึงทำให้ที่นี่ยุงเยอะมาก อย่าลืมพกสเปรย์กันยุงกันมาด้วยนะครับ โชคดีที่เราเข้าพักโรงแรมหลังจากช่วงหยุดยาว บรรยากาศจึงสงบมาก มีเพียงนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่กี่คนในโรงแรมเท่านั้น หาดด้านหน้าโรมแรมก็เงียบสงบมากเช่นกัน แต่ด้วยสภาพหาดกึ่งทรายกึ่งโคลน จึงเหมาะแก่การเดินเล่นมากกว่าลงไปนอนอาบแดดหรือเล่นน้ำ (โรงแรมก็มีสระน้ำริมหาดให้บริการ)   ในภาพรวม Hansar Pranburi แห่งนี้เหมาะกับคนที่แสวงหาความสงบเป็นส่วนตัวเพื่อพักผ่อนเติมพลังชีวิตด้วยธรรมชาติที่งดงามราวภาพเขียน หรือเพื่อปล่อยใจทบทวนชีวิต หรือเพียงเพื่อนั่งทำงานเงียบๆ แต่หากคุณคาดหวังความหรูหรา และการบริการไร้ที่ติแบบโรงแรม 5 ดาว ที่นี่อาจจะไม่ตอบโจทย์ของคุณ สำหรับชาว #hopsters ที่อ่านมาจนใกล้จบบทความนี้ เราอยากจะแถมโบนัสให้สักนิด หากคุณตัดสินใจจะมาใช้บริการที่นี่แบบเดียวกับเรา เรา strongly recommend ให้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า เพราะแสงสีทองที่ฉาบขอบฟ้านั้นร่ายมนตร์ทำให้วิวที่สวยมากๆอยู่แล้ว ยิ่งมหัศจรรย์ขึ้นไปอีก และภาพนี้จะตราตรึงใจคุณไปอีกนานแสนนาน สรุปความประทับใจกับหรรษา ปราณบุรี วิว 5 ดาว (ว้าวสุดๆถ้ามีมากกว่า 5 ก็ให้เต็มแบบไม่หัก) โลเคชั่น 4.5 ดาว (เป็นส่วนตัวมากๆ หัก 0.5 เพราะทางเข้าลูกรัง) สิ่งอำนวยความสะดวก 3.5 ดาว (อ่านในโพสต์) บริการ 4 ดาว (พนักงานอัธยาศัยดีมาก แต่ขาดความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว) ความสะอาด 4 ดาว อาหาร 4 ดาว (รสชาติดีแต่ตัวเลือกน้อย และอาหารเช้ายังไม่ประทับใจ) ความคุ้มค่า 4 ดาว (สำหรับราคาโปรโมชั่น) . รีวิวโรงแรม Hansar Pranburi หรรษา ปราณบุรี จองห้องพักได้ที่นี่ BOOK NOW . FB/IG/TikTok: @hoparound.co YouTube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #SamRoiYod #LetsHoparoundThailand #LetsHoparound #LetsHoparoundPrachuapkhirikhan #เที่ยวไทย #เที่ยวสามร้อยยอด#ไทยเที่ยวไทย #เที่ยวไทยเท่ #เที่ยวประจวบ #ประจวบคีรีขันธ์ #เที่ยวทะเล #วิธีไปถ้ำพระยานคร #วิธีไปเขาสามร้อยยอด #ถ้ำพระยานคร #UnseenThailand #Prachuapkhirikhan #อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด #อุทยานแห่งชาติ #ภูเขา

  • Ho Chi Minh City ของดีใกล้บ้าน ตะลุยย่านกิน-เที่ยว-ช้อป โฮจิมินห์ เวียดนาม

    HO CHI MINH CITY โฮจิมินห์ ซิตี้ (หรือชื่อเดิมคือไซ่ง่อน) เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่และ Happening ที่สุดของเวียดนาม ตอนนี้กำลังเริ่มฮ็อตในหมู่นักท่องเที่ยวยุคหลังโควิด เพราะนอกจากจะเดินทางสะดวก บินใกล้ๆ ไม่ต้องปรับเวลา และมีค่าครองชีพที่ถูกกว่าไทยแล้ว โฮจิมินห์ยังเต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านเสื้อผ้าดีไซน์สวย ราคาดีที่กำลังสร้างชื่อในหมู่นักช้อปสายแฟฯ ทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆไปกระโดดโลดเที่ยวกัน 3 คืน 4 วัน ไปดูกันว่าโฮจิมินห์ ซิตี้ในปี 2025 นี้เป็นยังไงกันบ้าง ไปดูกันเลยคร้าบบบ Park Hyatt Saigon ทริปนี้เรานอนกันที่ Park Hyatt Saigon หนึ่งในโรงแรมที่หรูที่สุดของเมืองแล้วล่ะ และที่สำคัญคือทำเลดีมากอยู่กลางเมืองเลย เดินไปเที่ยวจุดสำคัญๆได้สะดวกแบบแทบไม่ต้องพึ่งแท็กซี่ เราชอบที่การตกแต่งของที่นี่ยังคงเก็บดีเทลและเสน่ห์ความความ Heritage ในยุคโคโลเนียลเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และหลังจากเดินเที่ยวจนเหงื่อชุ่มมาทั้งวัน เราก็อุ่นใจว่ากลับถึงห้องพักเราจะสบายแน่นอน โดยเฉพาะตอนอาบน้ำด้วย Amenities กลิ่น Bergamote 22 จาก Le Labo ที่หอมฟุ้งสดชื่นเป็นกลิ่นสบู่ Signature ของ Park Hyatt ทั่วโลกเลย จองห้องพัก Park Hyatt Saigon ราคาพิเศษได้ที่นี่ เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง Location: https://maps.app.goo.gl/ncaogANaz2JHK1Yz5 Catinat Building ตึกนี้น่าจะอยู่ในแทบทุกลิสต์ของคนที่มาเที่ยวโฮจิมินห์ซิตี้ แต่อาจจะไม่รู้จักชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ที่นี่เป็นตึกเก่าที่ถูกดัดแปลงมาเป็นศุนย์การค้ารวมแบรนด์แฟชั่นท้องถิ่นใจกลางเมือง ชั้นใต้ดินเป็นชั้นรวมสินค้าแฟชั่นวัยรุ่นแบ่งเป็นล็อกๆอารมณ์คล้ายๆโบนันซ่าที่สยามสแควร์สมัยก่อน ถ้าสมัยนี้ก็ประมาณยูเนี่ยนมอลล์ (แต่ที่นี่แอบมีกลิ่นอับ เพราะความเก่าแหละ 555) ด้านบนตึกก็เป็นแบรนด์โลคอลเช่นเดียวกันแต่ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น แยกเป็นร้านของแต่ละแบรนด์จริงจัง เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/nrro4TQx5LzZaGuK8 Rang Rang Coffee น่าจะอ่านว่า “ราง ราง” แปลว่า “คั่ว คั่ว“ เป็นร้านกาแฟที่กำลังมาแรงด้วยแบรนดิ้งเท่ล้ำสมัย ตอนนี้มีอยู่ 8 สาขาทั่วโฮจิมินห์ซิตี้และกำลังเปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราไปสาขาที่อยู่ติดกับ Park Hyatt เลย ได้ข่าวว่าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน เมนูขายดีของเค้าคือ Rang No.5 ซึ่งเป็นกาแฟใส่ครีมโฟมนม แต่เราเลือกลองกาแฟเวียดนามที่เป็น Fine Robusta ปรุงด้วยนมข้นหวาน เค้ามีความเข้มให้เลือกอยู่ 2 ระดับ คือ Brown Coffee กับ Light Brown Coffee อร่อยดีครับ แต่แก้วเล็กไปนิด ดูดแป๊บเดียวหมดเลย 55555 เวลาเปิดปิด: 7:00–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/hnWByrR7S2nxym6s8 Cao Minh Saigon ร้านตัดสูทเนี้ยบที่มีความเป็นมามากว่า 70 ปีของ Ho Chi Minh City ตั้งอยู่ติดกับร้านกาแฟ Rang Rang เลย ใครชอบอยากได้สูทสวยๆมาลองแวะชมได้ครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–20:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/qxZnJeFdpGYrfHv87 Quan Bui - Original เราถาม Conceirge ของโรงแรมว่าถ้าอยากลองอาหารเวียดนามดั้งเดิมไปร้านไหนดี และร้านนี้ก็คือคำตอบ ข้อดีก็คือเค้ามีเมนูให้เลือกค่อนข้างเยอะเลยครับ ฉะนั้นถ้าใครอยากลองหลายๆเมนูก็สามารถจบที่นี่ได้เลยครับ ส่วนเรื่องรสชาตินั้นเราเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอาหารเวียดนาม ก็ขอคอมเม้นต์ตามความรู้สึกก็แล้วกันเนอะ เราว่ารสชาติอาหารของที่นี่อร่อยแบบกลางๆ ไม่จัดและไม่มีอะไรโดดออกมาให้ว้าวเท่าไหร่ แต่ชอบที่เค้าเน้นผักและวัตถุดิบท้องถิ่นที่สดและคุณภาพดีครับ เวลาเปิดปิด: 7:00–23:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/aQo6pyq7c4KJiKqD9 Gom Sai Gon อยู่ชั้นบนของตึก Catinat ที่นี่เป็นเวิร์คช้อปสอนปั้นจานชามเซรามิค ที่มีโซนคาเฟ่ไว้ให้คนนอกเข้ามาดื่มมัทฉะและกาแฟกันได้ แถมยังมีจานชามสวยๆให้เลือกซื้อกลับบ้านได้ด้วย ดูแล้วน่าจะกำลังเป็นที่นิยมเพราะมีคนเข้ามาทำเวิร์คช้อป และสั่งเครื่องดื่มไม่ขาดสายเลยครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/GhYKLM46EhpWvy1t5 L'usine อีกร้านคาเฟ่และ Select Shop ที่เราแอบเห็นว่ามีสาขาในห้างด้วย สาขานี้อยู่ตรงหัวมุมสี่แยก ก็เลยเห็นโดดเด่นแต่ไกลชวนให้เข้ามาสำรวจมากๆ เข้ามาด้านในบรรยากาศดูอบอุ่น และยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ความโคโลเนียลผสานกับยุคสมัยใหม่ได้ลงตัวดีครับ เวลาเปิดปิด: 7:30–21:30 น. Location: https://maps.app.goo.gl/GiS5M95hiKoHi3ya8 AMAI DONG KHOI อีกร้านเซรามิคสีสวยที่เราบังเอิญเดินผ่านมาเจอ เกือบเสียเงินแล้วครับ ยังดีที่สติทำงานก่อน เพราะเซรามิคที่ซื้อจากทริปก่อนๆยังนอนนิ่งอยู่ในห่อกระดาษที่บ้านอยู่เลย ฮ่าๆ เวลาเปิดปิด: 9:00–20:30 น. Location: https://maps.app.goo.gl/mommgFz63mGjbRDo6 Katinat ร้านคาเฟ่ที่มีทั้งชาและกาแฟ แต่ดูเหมือนจะเน้นชามากกว่า มีอยู่หลายสาขาในโฮจิมินห์ซิตี้ มีเมนูที่น่าสนใจหลายตัว เช่นชานมเงาะ ชาอู่หลงผสมสับปะรดและมะขาม กาแฟผสมชีสและน้ำผึ้ง หรือจะเป็นอะโวคาโดปั่นกับมะพร้าวอ่อนก็น่าลองไม่เหมือนใคร เกร็ดเล็กๆ Katinat น่าจะมาจากชื่อถนน Catinat ชื่อเก่าของถนน Dong Khoi ซึ่งเป็นหนึ่งในถนนสายหลักของ Ho Chi Minh City โดยที่ถนนเส้นนี้ตั้งชื่อตามเรือรบฝรั่งเศส Catinat ที่เข้าจู่โจมมาเอาเวียดนามไปเป็นเมืองขึ้น (เศร้าจัง) โดยเรือลำนี้ก็ตั้งชื่อตามจอมพล Nicholas Catinat ผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 17-18 อีกที โอ้ย! จะตั้งชื่อหลายทอดไปไหนเนี่ย เวลาเปิดปิด: 6:30–23:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/iVbi2srHBdW7129SA Pizza 4P’s ร้านพิซซ่าที่ไม่ว่าจะถามใครต่างก็แนะนำให้มาลอง จุดเด่นของเค้าอยู่ที่ความสดของวัตถุดิบตามคอนเส็ปต์ Farm-To-Table ทางแบรนด์มีโรงงานผลิตชีสเป็นของตัวเองที่ Don Duong หมู่บ้านเล็กๆบนเขานอกเมือง Dalat ดาวเด่นของบรรดาชีสที่เค้าทำเองก็คือ Burrata ซึ่งต้องเสิร์ฟภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่ทำเสร็จ ดังนั้นชีส Burrata ประมาณ 2,000 ลูกจึงต้องผลิตและส่งไปที่สาขาต่างๆให้ทันเวลาในทุกๆวัน และก็ทำให้รสชาติแตกต่างจริงๆ ต้องยอมรับว่ามื้อนี้ที่ Pizza 4P’s นั้นเป็นหนึ่งในมื้อที่เราประทับใจที่สุดในทริปนี้เลย เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ Pizza 4P’s นั้นเป็นการเล่นกับคำว่า Pizza For Peace เพื่อส่งมอบความอร่อยและเสริมสร้างสันติภาพในโลก ก่อตั้งโดยชาวญี่ปุ่น 2 คน คือ คุณ Masuko Yosuke และ Sanae Takasugi เวลาเปิดปิด: 10:00–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/T6x18MR6hzcAnkCC8 Annam Gourmet ร้านขายของฟีลกรูเมต์มาเก็ต ร้านนี้มีทั้งของเวียดนามเองและของนำเข้านะครับ คัดสรรมาให้เลือกช้อปแบบจุใจมาก ที่นี่รับบัตรเครดิตนะ เวลาเปิดปิด: 7:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/nE5cZ3LoZcgsp8by9 Ho Chi Minh City Museum of Fine Arts มิวเซียมดีๆ มาเดินเล่นชิลๆได้ครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–17:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/aYwyq9ds7BCEWBSf6 Compound Garment ร้านเสื้อผ้าแบรนด์โลคัลเวียดนาม มีทั้งเสื้อผ้าผู้ชายและผู้หญิงเลย เวลาเปิดปิด: 10:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/L9g8ykPKy7TiFZ8n9 Lacaph Coffee Experiences Space แบรนด์กาแฟชื่อดังของเวียดนาม ที่นี่มีทั้งเมล็ดคั่วจากทั้งเวียดนามและหลากประเทศ ส่วนใครมีเวลาหน่อยอยากให้ลองเข้าคลาสเวิร์คชอปทำกาแฟเวียดนามที่นี่นะครับ เราชอบมาก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็เสร็จละ เวลาเปิดปิด: 9:30–17:30 น. Location: https://maps.app.goo.gl/pSrD5B4Bapig52rh7 Waa แบรนด์รองเท้าหนังดีไซน์เก๋ๆ ของเวียดนาม เวลาเปิดปิด: 10:00–21:30  น. Location: https://maps.app.goo.gl/3PnaqzsAVLRv2NSK9 The Beuter แบรนด์เสื้อผ้าเวียดนาม unisex ดีไซน์เท่ๆ ราคาไม่แพง เวลาเปิดปิด: 9:30–21:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/DDfA42UM7mJfSCWA8 Beat Unbeaten Store ร้านเสื้อผ้าน่ารักๆ ที่นี่รับบัตรเครดิตด้วยนะ เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/vJqTx9G2MFuJoE2y6 ️HO CHI MINH BOOK STREET ถนนของคนรักหนังสือใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ที่นี่มีทั้งหนังสือภาษาเวียดนามและภาษาอังกฤษนะครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/KAsZyZvCoZVG2RWn9 Phê La - Hồ Tùng Mậu อีกหนึ่งร้านชาและกาแฟที่เหมาะแก่การนั่งจิบชิลๆ เวลาเปิดปิด: 7:00–23:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/dhbPUiq3LT3H9ZC66 WABE SABE ใครมองหาเสื้อผ้าสไตล์มินิมอลควรแวะร้านนี้นะ เวลาเปิดปิด: 10:00-20:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/i9PhpyPUdnmqcNoq8 Bếp Ốc - Sài Gòn ร้านอาหารทะเลสุดอร่อยที่เราอยากแนะนำให้มากิน เพราะเป็นอาหารทะเลที่สดมาก แถมราคาดีด้วยครับ เวลาเปิดปิด: 11:00-22:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/H4pufFMV28ysT98VA Bach Dang Ice Cream ร้านไอศกรีมท้องถื่นที่อร่อยมากๆๆๆ เราชอบรสเผือกมาก นัวๆ หวานน้อย ก็ไม่น่าแปลกใจที่คนนั่งกินเยอะมาก แถมโลเกชั่นดีสุดๆ อยู่กลางสี่แยกเลย เวลาเปิดปิด: 8:00–23:00 Location: https://maps.app.goo.gl/2GfEmjUi3JYXqajJ6 Cheese Coffee กาแฟชีสที่นี่อร่อยนะ ร้านนี้มีสาขาเยอะ แต่สาขานี้อยู่หน้าโรงแรมเราเลยขอแวะสักหน่อย เปิดทุกวัน 7:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/ThFJgMp9G18nsBST9 Quán Cơm Tấm Hùng กินอาหารเช้าสไตล์เวียดนามแบบคน Local ที่ Quán Cơm Tấm Hùng เปิดทุกวัน 6:00–12:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/YL2a5GueH2WcEVoL7 35 Nguyễn Văn Tráng แวะช้อปปิ้งที่ตึก 35 Nguyễn Văn Tráng ตึกนี้ไม่แมสมาก แต่มีพวกแบรนด์เสื้อผ้าโลคัล คาเฟ่ ร้านค้า และร้านที่เราช้อปเสื้อผ้าผู้ชายเยอะสุดคือร้าน HIM CONCEPT แนะนำเลยครับ วันและเวลาเปิดปิดขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน Location: https://maps.app.goo.gl/9rM4fXE8FQuG3tVMA MêMan ร้านเสื้อผ้าผู้ชายคัตติ้งเนี้ยบสุดมินิมอล ที่ตั้งอยู่ข้างๆร้านไอศกรีม https://www.instagram.com/meman.saigon/ เปิดทุกวัน 10:00–20:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/3WqTsR4baUMBLLA7A Ka Koncept Flagship Store  ถัดมาจากร้านเสื้อผ้า Me Man ก็จะเป็นร้าน Ka Koncept Flagship Store ซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นานเลย มีขายทั้งน้ำหอมแบรนด์นิชๆ เสื้อผ้า หนังสือ แม็กกาซีน สำหรับใครที่นึกภาพไม่ออกแนะนำให้นึกถึง Dover Street Market ที่ Tokyo London New York ฟีลประมาณนั้นเลย แถมพนักงานทุกคนอัทยาศัยดีมากๆ ภาษาอังกฤษปังสุดๆ เปิดทุกวัน 9:30–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/XF3xhrue97UqkKNq8 Cafe Apartment จะไม่แวะก็ไม่ได้ เพราะที่นี่เค้าเป็นตึกที่รวมเอาคาเฟ่และร้านค้าร้านอาหารเยอะมากๆ ใครเหนื่อยก็ขึ้นลิฟต์ได้นะครับแต่ต้องจ่ายค่าขึ้นน้าา ส่วนใครไหว เดินขึ้นเลยครับ วันและเวลาเปิดปิดขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน Location: https://maps.app.goo.gl/9rM4fXE8FQuG3tVMA Secret Garden Restaurant ภัตตาคารอาหารเวียดนามที่เค้าแนะนำมา แต่สำหรับเรารสชาติกลางๆ แต่เราว่าบรรยากาศดี เพราะอยู่ชั้นดาดฟ้าเลยไม่ร้อนมาก ลมโกรก เปิดทุกวัน 9:30–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/edut3bbc8cVbQMki8 Godmother Bake & Brunch  ก่อนกลับกันเราขอแวะกินขนมเค้กและดื่มน้ำสดชื่นๆกันที่ร้านนี้ ซึ่งเจ้าเป็นคนเกาหลีนะ ใครที่คุ้นๆ ก็เหมือนกันกับร้านที่ไทยนี่แหละ ไม่แน่ใจว่าเค้าซื้อแบรนด์มาเปิดหรือยังไง ลองแวะไปชิมกันดูได้ มีให้บริการทั้งอาหารคาว Brunch รวมไปถึงเค้ก ของหวาน เครื่องดื่มต่างๆ และร้านน่ารักมากกกกกกก เปิดทุกวัน 8:00–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/TM5PukkXJCtbEW1U8 #LetsHoparound #Vietnam #HoChiMinhCity

  • ล่องเรือตามรอยอารยธรรมแห่งเมดิเตอร์เรเนียนกับ Ponant Luxury Expeditions 11 วัน 10 เมือง 4 ประเทศ

    ล่องเรือตามรอยอารยธรรมแห่งเมดิเตอร์เรเนียนกับ Ponant Luxury Expeditions 11 วัน 10 เมือง 4 ประเทศ ผลบุญชาติก่อนคงดลบันดาลให้เราได้มารู้จักกับ Ponant (โพน้องต์) บริษัทเดินเรือสมุทรสุดเอ็กซ์คลูซีฟสัญชาติฝรั่งเศสที่แตกต่างจากแบรนด์ Cruise อื่นๆแบบแทบจะขั้วตรงข้าม Ponant ไม่ได้เป็นแบรนด์เรือสำราญ แต่เป็นเรือสำราญกึ่งสำรวจที่หรูหราแบบไม่ตะเบ็งแต่ใช้โทนเสียงนุ่มๆน่าฟัง เน้นพาเราไปรู้จักกับโลกในเชิงลึกในมุมที่น้อยคนจะได้สัมผัส และแน่นอนครับ  Hoparound.co ก็มีส่วนลดพิเศษสำหรับ Cruise ของ Ponant มานำเสนอด้วย ถ้าสนใจก็ คลิกตรงนี้ เพื่อลงทะเบียนรับส่วนลด ได้เลยครับ แทนที่จะเน้นเรือลำใหญ่สำหรับผู้โดยสารนับพันคน Ponant เน้นเรือเล็กคุณภาพสูงที่รองรับผู้โดยสารได้สูงสุดเพียง 264 คนและสามารถพาเราเข้าไปเจาะลึกตามเมืองท่าเล็กๆที่เรือใหญ่เข้าไปไม่ได้ และแทนที่จะเน้นความหรูหราแบบวิบวับมลังเมลือง Ponant เน้นการ Enrich ประสบการณ์เชิงลึกให้เราได้ Fullfill ตัวเองตามความสนใจที่เราเลือก ด้วยเส้นทางเดินเรือที่หลากหลายในทุกทวีปทั่วโลก และในบางเส้นทางก็มีธีมเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นธีมประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ สัตว์ป่า อาหาร ดนตรี ศิลปะ โดย Ponant จะประสานงานกับองค์กรที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านเพื่อเชิญ Expert (บางครั้งก็เป็น Celebrity เลยนะ) ของแต่ละวงการมานำเสนอ ให้ความรู้ ทำการแสดง เล่นดนตรี ร้องเพลงหรือทำอาหารให้เราได้ลิ้มลอง และในแต่ละธีมก็อาจจะมีการเจาะลึกลงไปอีก เช่น ถ้าเป็นธีมดนตรีบางเส้นทางก็จะเน้นโอเปร่า หรือกีต้าร์ หรือเปียโน เช่นในเส้นทางของเราซึ่งเป็นการครบรอบ 10th Anniversary Piano Festival at Sea ในบางเส้นทาง Ponant ก็ร่วมกันกับสถาบัน Smithsonian เครือข่ายศูนย์วิจัยและพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก็จะเชิญภัณฑารักษ์เฉพาะทางมาให้ความรู้เชิงลึกในหลายๆแง่มุมเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางที่เราแวะไปตลอดเส้นทาง ฉะนั้นการเดินทางกับ Ponant จึงเหมาะกับคนที่ Well-Traveled ประมาณหนึ่งและชอบการเดินทางกึ่งเรียนรู้ที่อาจจะพ่วงด้วยการผจญภัยพอหอมปากหอมคอ (โดยเฉพาะในเส้นทางอย่างขั้วโลกเหนือ-ใต้ เกาะแก่งไกลโพ้นอย่าง Bora Bora หรือ Seychelles หรือ Faroe Islands) โดยที่ยังมีลูกเรือคอยดูแลอำนวยความสะดวกอย่างดีในบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนบ้านน้อยบนผืนทะเลใหญ่ และก็มีโมเม้นต์ให้อวดความเก๋อยู่เรื่อยๆถ้าต้องการ The Mediterranean: in the footsteps of great civilisations ทริปนี้ของเรายังไม่ได้พาเพื่อนๆไปสุดขอบโลกหรอกครับ แต่เป็นเส้นทางที่สวยงามและสุขสบาย ในชื่อทริปว่า The Mediterranean: in the footsteps of great civilisations กับเรือ L’Austral (ลอสตราล) หนึ่งในเรือทั้งหมด 14 ลำของ Ponant บ้านน้อยลอยน้ำที่จะพาเราตามรอยอารยธรรมแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยเริ่มจากเมือง Valletta ประเทศมอลต้า ลัดเลาะผ่าน Sicily และ Puglia ในอิตาลี ต่อไปยังเมืองเล็กเมืองใหญ่ในประเทศกรีซ และตุรกี ก่อนจะสิ้นสุดทริปที่เมือง Antalya เป็นการล่องเรือ 10 คืน 10 เมือง 4 ประเทศ โดยธีมเฉพาะของ Cruise นี้คือ Piano at Sea ครั้งที่ 10 ซึ่งจะมีการเชิญนักเปียโนหลากหลายแนวมาแสดงคอนเสิร์ตบนเรือให้เราได้ชมกันแทบทุกวันเลย Cruise ของ Ponant จะเป็น All-Inclusive นะครับ หมายถึงบริการพื้นฐานทั้งหมดนั้นรวมอยู่ในค่า Cruise เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มใดๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก อาหาร เครื่องดื่ม การเข้าใช้ Facilities ต่างๆบนเรือ รวมถึง Excursions ทริปย่อยๆตามเมืองที่เราแวะระหว่างทางด้วย ซึ่งเค้าจะมีโปรแกรมให้เราเลือก และต้องจองล่วงหน้าก่อนขึ้นเรือนะครับ เราเองก็ไม่ทราบมาก่อนจึงต้องไปจองเอาบนเรือ แต่ก็โชคดีที่เจ้าหน้าที่ใจดีหาที่ให้เราจนได้ เลยให้ทิปเป็นน้ำใจไปนิดหน่อยครับ ส่วน Options พิเศษก็มีให้เราเลือกจ่ายเพิ่มได้อีกหลายอย่าง เช่น ทรีตเม้นต์สปา ซักรีด เครื่องดื่มแอลฯแบบพรีเมี่ยม แท็กซี่ไปสนามบินหลังจบทริป รวมไปถึงบาง Excursions ที่พิเศษกว่าปกติ เช่น พาไปแวะชิมของอร่อยของแต่ละเมือง เป็นต้น แล้วก็ทิปที่ไม่ได้บังคับแล้วแต่น้ำใจของเรา Valletta, Malta Valletta, Malta Valletta เป็นเมืองที่เราอยากมาเที่ยวมานานแล้วแต่ก็ไม่เคยได้มาซักที เพราะรู้สึกเหมือนว่าจะอยู่ไกลและคงเดินทางไปลำบาก พอ Ponant นัดให้มาขึ้นเรือที่นี่ก็ทำให้เรารู้ว่าจริงๆแล้วจาก Milan บินมา Valletta ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แถมค่าตั๋วก็ไม่แพงอย่างที่คิด เราซื้อ Business Class มาในราคาคนละ 8,xxx บาทเท่านั้นเพราะเรามีสัมภาระเยอะ แต่ถ้าตั๋ว Eco ก็น่าจะอยู่ประมาณ 2,xxx บาท มีขึ้น-ลงแล้วแต่ช่วงเวลา  Valletta เป็นเมืองหลวงและเมืองท่าที่สวยมากครับ ดูจากรูปก็คงเห็นอยู่แล้ว แม้ประเทศ Malta จะประกอบไปด้วยเกาะเล็กๆไม่กี่เกาะ แต่มีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ยาวนานมากครับ อย่างน้อยก็ย้อนไปได้ถึง 7,000 ปีนู่นแน่ะ และยังมีซากวิหารโบราณที่เก่าแก่กว่าพีรามิดที่อียิปต์ซะอีก ตัดมาในช่วงปี 1813 Malta ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แม้จะได้รับอิสรภาพแล้วแต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพ (Common Wealth) มาจนปัจจุบัน  Malta จึงเป็นหนึ่งใน 2 ประเทศในสหภาพยุโรปที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักร่วมกับภาษาของตัวเอง (Maltese) อีกประเทศก็คือ Ireland และด้วยกฎหมายที่เอื้อให้ต่างชาติทำงานได้ บวกสภาพอากาศสดใสแบบเมดิเตอร์เรเนียน และที่สำคัญที่สุดก็คือค่าครองชีพที่ถูกกว่ายุโรปแผ่นดินใหญ่ Malta จึงกลายเป็นแม่เหล็กทรงพลังดึงดูดแรงงานจากทั่วโลกให้มาอยู่ที่นี่ (ร้านอาหารไทยหาง่ายกว่าที่มิลานอีก) และเท่าที่เราได้ลองชวนคนแปลกหน้าคุย เราเจอคน Malta แท้ๆแค่ 2-3 คนเอง เสียดายที่เรามีเวลาใน Malta เพียง 2 คืน จึงยังไม่ทันได้ไปอีกหลายที่ แต่เท่าที่ไปมาก็คุ้มค่ามากๆแล้วครับ สำหรับบทความนี้แค่เพียงจะเล่าให้ฟังว่าเรามาขึ้นเรือที่นี่ ก็เลยเอารูปสวยๆมาให้เพื่อนๆได้พอเห็นภาพคร่าวๆก่อน ส่วนโพสต์พาเที่ยว Valletta แบบละเอียดกว่านี้ เดี๋ยวเอาไว้แยกทำเพิ่มในอนาคตละกันนะครับ เมื่อเรามาถึง Valletta Cruise Port Terminal ตอน 16:00 น. ตามเวลาที่ Ponant นัดพอดี ก่อนขึ้นเรือเราต้องไปยังจุดฝากกระเป๋าเดินทาง (เฉพาะใบใหญ่นะครับ ส่วนแครี่ออนใดๆก็ให้เรานำติดตัวไปเองได้เลย) จากนั้นก็จะมีการจัดของว่างและเครื่องดื่มไว้ต้อนรับก่อนขึ้นเรือ ลูกเรือชาวฟิลิปปินส์ทักทายเราด้วยรอยยิ้มและแววตาที่บ่งบอกถึงความดีใจเป็นพิเศษ สงสัยนานๆทีจะได้เห็นผู้โดยสารรูปร่างหน้าตาทรงเดียวกัน ฮ่าๆๆๆ เราเองก็รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นเช่นกัน จากนั้นเราก็เดินตามป้ายไปขึ้นเรือกันครับ L’Austral Boarding our ship, L’Austral เรือของเรามีชื่อว่า L’Austral (อ่านว่า ลอสตราล) ครับ ลูกเรือแต่งตัวเต็มยศเรียงแถวกันตั้งแต่ตีนบันไดขึ้นเรือบนแผ่นดิน และบนเรือก็มีลูกเรืออีกเซ็ตที่เรียงแถวกันต้อนรับเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งลูกเรือชาวฝรั่งเศสนั้นดูสวยหล่อกันทุกคน ทำให้เรารู้สึกเป็นดังแขกคนสำคัญ เอาจริงๆแรกๆก็รู้สึกเกร็งอยู่เหมือนกันนะครับ แต่พอเวลาผ่านไปเราก็ได้พูดคุยและเริ่มคุ้นเคยกับลูกเรือทั้งชาวเอเชียและชาวฝรั่งเศส ก็รู้สึกเลยว่าทุกคนน่ารักเป็นกันเองกันมากๆ ทำให้ตลอดการเดินทางที่เหลือรู้สึกว่า L’Austral อบอุ่นเหมือนบ้านเลยครับ   พอขึ้นเรือมาแล้ว เราต้องผ่านขั้นตอนการลงทะเบียนต่างๆเพื่อเช็คอินเข้าห้องพัก (บนเรือจะเรียกว่า Cabin หรือ Stateroom) กรอกแบบฟอร์มเกี่ยวกับสุขภาพ และฝากพาสปอร์ตไว้กับทางเรือเพื่อให้เค้าเป็นธุระทำเรื่องเข้าออกประเทศต่างๆให้เรา โดยเราจะได้การ์ดของ Ponant มาแทน ซึ่งการ์ดนี้สำคัญมากๆนะครับ ต้องรักษาไว้ดีๆเลย เพราะนอกจากจะใช้เป็นคีย์การ์ดเปิดเข้า Cabin ของเราแล้ว ยังต้องนำมาสแกนทุกครั้งตอนขึ้นและลงเรือเพื่อแวะเที่ยวเมืองระหว่างทาง หลังจากเช็คอินและ Unpack กระเป๋าออกมาตั้งรกรากชั่วคราวใน Cabin ของเราได้พักใหญ่แล้ว ก็มีเสียงประกาศจากกัปตันเชิญให้ทุกคนไปที่ห้อง Theatre บนชั้น 4 ของเรือ เพื่อทำการปฐมนิเทศน์ กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ รวมถึงต้องให้ทุกคนซ้อมหนีภัยใส่ชูชีพ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่กฎหมายบังคับให้ผู้โดยสารทุกคนต้องเข้าร่วมจึงจะออกเรือได้  หลังจากขั้นตอนนี้แล้วก็ไม่มีการบังคับใดๆอีก แต่ก็จะมีประกาศให้ทราบถึงกิจกรรมบนเรือซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนไปทุกวัน และบนเรือก็มีอะไรให้เราเข้าร่วมเยอะมากจนบางทีเราก็ไม่ไหว ขอข้ามไปบ้าง ตอนแรกคิดว่ามาอยู่บนเรือ 10 วันแล้วจะเบื่อหรือเปล่า แต่เรื่องจริงมันตรงข้ามกันเลยครับ เราเองกลับต้องเป็นฝ่ายขอพักอยู่เฉยๆบ้าง ฮ่าๆๆๆ Ship Tour: L’Austral L’Austral เป็นเรือกลุ่ม The Sisterships ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 4 ลำในฟลีททั้งหมดของ Ponant เรือของเรามีห้องพัก 132 ห้อง เมื่อเทียบกับเรือสำราญทั่วไปที่มีเป็นพันห้องจึงมีขนาดค่อนข้างเล็กแต่ก็มีประสิทธิภาพสูงสามารถล่องไปขั้วโลกได้สบายๆ ข้อดีมากๆของเรือเล็กคือสามารถเข้าเมืองท่าเล็กๆที่เรือใหญ่เข้าไม่ได้ เราก็เลยได้แวะเที่ยวแบบเจาะลึกกว่าใคร การตกแต่งบนเรือนั้นใช้วัสดุอย่างดี เน้นโทนสีสบายตาเรียบหรูไม่สวิงสวายเว่อร์วัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันพอเหมาะพอดีกับความต้องการใช้งานในโอกาสต่างๆ เรือของเรามีทั้งหมด 7 ชั้น ห้องพักของเราอยู่ชั้น 5 และเราโชคดีมากๆที่ทาง Ponant อัพเกรดให้เป็นห้อง Suite คือเปิดเป็น Connecting Room โดยปรับให้ห้องอีกฝั่งเป็นห้องนั่งเล่น ส่วนระเบียงก็เปิดทะลุกัน มีห้องน้ำ มินิบาร์ และตู้เสื้อผ้าให้เหมือนกันทั้ง 2 ฝั่ง เราจึงแบ่งกันใช้คนละฝั่งแบบสบายๆเลยครับ ในห้องแม่บ้านได้เตรียมขวดน้ำรักษาอุณหภูมิติดแบรนด์ Ponant ไว้ให้เราไว้เติมน้ำก่อนออกไป Excursions ด้วยนะครับ และเราสามารถเอากลับบ้านไปด้วยได้เลยตอนเช็คเอ้าท์ ส่วน Amenities ในห้องใช้ของ Diptyque กลิ่น Philosykos หรือกลิ่นลูกฟี้กหนึ่งในกลิ่นคลาสสิคตลอดกาลของแบรนด์ สภาพโดยรวมของห้องพักก็คือสวยงามสะดวกสบายฟีลเดียวกันกับห้องในโรงแรม 5 ดาว เพียงแต่ขนาดอาจจะเล็กกระทัดรัดกว่า สิ่งหนึ่งที่อาจจะต่างจากการนอนโรงแรมทั่วไปก็คือที่หน้าห้องจะมี Mail Box หรือที่รับเอกสารและจดหมายต่างๆ สิ่งนี้สำคัญมากนะครับ เพราะทุกวันเจ้าหน้าที่จะนำโปรแกรมสำหรับวันถัดไปมาเสียบเอาไว้ให้ ซึ่งในนั้นจะบอกข้อมูลทุกอย่างแบบละเอียดมากๆ ตั้งแต่เวลาเปิด-ปิดของห้องอาหารที่อาจจะมีการขยับไม่ตรงกันในแต่ละวัน ตารางกิจกรรมพิเศษหรือคอนเสิร์ตในวันนั้น ถ้าเราจองอะไรพิเศษไว้ เช่น Excursion ก็จะมีตั๋วที่ระบุว่าเราอยู่กรุ๊ปไหน นัดเจอกันที่เวลากี่โมงแนบมาให้ด้วย (เค้าจะแบ่งเป็นกรุ๊ปๆละ 10-15 คน) รวมไปถึงสภาพอากาศของเมืองที่เราจะแวะไปในวันนั้น พร้อมคำแนะนำว่าเราควรแต่งตัวประมาณไหนและควรเตรียมอะไรติดตัวไปด้วย และในบางครั้งเราก็อาจจะได้รับจดหมายจากเพื่อนร่วมทางที่พักอยู่ห้องอื่นๆส่งมาแสดงมิตรไมตรีกับเราด้วย ไปทัวร์เรือกันดีกว่าครับ แต่เราขอไม่เรียงตามชั้นละกัน แต่จะเรียงไปตามฟังก์ชั่นการใช้งานแทน ชั้นหลักของเรือที่เราต้องมาทุกวันเพราะใช้ในการขึ้น-ลงเรือ และติดต่อสอบถามเรื่องต่างๆคือชั้น 3 ครับ ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของ Reception, Excursion Desk สำหรับสอบถามจัดการเรื่องทริปย่อยในแต่ละเมือง, Boutique ร้านขายของที่ระลึกและสินค้าคัดสรรจาก Ponant และสุดท้ายก็คือ Main Lounge เป็นที่ Hangout หลักของเรือ และเป็นจุดนัดพบสำหรับทุกๆ Excursion  Main Lounge เปิดให้บริการตั้งแต่เช้าถึงดึกตามแต่กิจกรรมของวันนั้นๆ ในทุกๆเอ้าท์เล็ตของเรือเราสามารถสั่งเครื่องดื่มได้ไม่อั้น เพราะรวมอยู่ในค่า Cruise แล้ว บางช่วงเวลาจะมีนักดนตรีประจำเรือมาบรรเลงขับกล่อมให้เราเพลิดเพลินยิ่งขึ้น ช่วงบ่ายของทุกวันจะมีการเสิร์ฟอาหารว่างและของหวานเพิ่มเติมด้วย พอตกกลางคืนก็จะมีกิจกรรมที่สลับสับเปลี่ยนไปแต่ละวัน เช่น Karaoke Night, เล่นเกม Quiz ทายปัญหา หรือสอนเต้นสไตล์ต่างๆ  อีก Lounge นึงจะอยู่ชั้น 6 ฝั่งหัวเรือครับ เป็น Observatory Lounge ที่เห็นวิวได้แบบ Panorama แถมยังมีมุมหนังสือดีๆสวยๆเพียบเลยให้เราเลือกหยิบมาดูได้ตามสบาย และแน่นอนครับสั่งเครื่องดื่มได้แบบอันลิมิเต็ดเช่นเคย บางวันโชคดีเราก็จะได้ดูนักเปียโนที่ได้รับเชิญมาเล่นคอนเสิร์ตบนเรือมาซ้อมอยู่ในห้องนี้ด้วย เรียกได้ว่าเหมือนได้ดูคอนเสิร์ตส่วนตัวแบบระยะประชิดเลยครับ ส่วนถ้าใครยังดูวิวจากใน Lounge ไม่จุใจก็ยังมีระเบียงให้ออกไปดูด้านนอกแบบไม่มีอะไรมากั้นได้อีกด้วย ถ้าเบื่อ Lounge ทั้ง 2 จุดแล้ว บนดาดฟ้าชั้น 7 ฝั่งท้ายเรือก็จะมีจุดให้นั่งดริ้งค์ได้อีก 1 จุด เป็น Open Air Bar ที่เดินขึ้นบันไดมาจากสระว่ายน้ำชั้นได้เลย 6 มาจิบเครื่องดื่มหลังอาหารรับลมก็ชิลมากๆครับ ส่วนฝั่งหัวเรือบนดาดฟ้าชั้น 7 ส่วนใหญ่เค้าจะปิดไว้เพื่อความปลอดภัยนะครับ จะเปิดก็ช่วงโอกาสพิเศษที่เรือจะแล่นช้าๆให้ดูวิว เช่น ในทริปนี้จะเป็นช่วงที่เราล่องผ่านคลอง Corinth ที่เชื่อมระหว่างทะเล Ionian กับ Agean ในประเทศกรีซซึ่งพิเศษมากๆครับ เดี๋ยวไว้ไปเล่าในช่วงวันที่เราล่องผ่านคลองอีกที Le Rodrigues ไปดูห้องอาหารกันบ้างดีกว่า บนเรือจะมีห้องอาหาร 2 ห้องโดยแต่ละห้องจะมีเวลาเปิด-ปิดไม่เหมือนกันในแต่ละวันครับ อาจจะช้า-เร็วต่างกันประมาณ 30 นาที เพราะต้องปรับตามทริป Excursions ในแต่ละวันที่เริ่มไม่ตรงกัน ห้องอาหารแรกเป็น Grill Restaurant ชื่อว่า Le Rodrigues อยู่ชั้น 6 ฝั่งท้ายเรือ เน้นให้เราบริการตัวเองแบบบุฟเฟต์ บรรยากาศสบายๆเป็นกันเอง คนส่วนใหญ่ก็จะมารับประทานอาหารที่ห้องนี้เป็นหลัก เพราะมีที่นั่งทั้งในห้องแอร์ และด้านนอกริมสระว่ายน้ำซึ่งบรรยากาศดีเชียว กินเสร็จก็ถอดเสื้อแผ่พุงนอนอาบแดดต่อได้เลย Le Coromandel อีกห้องอาหารจะเป็น Gastronomic Restaurant ชื่อว่า Le Coromandel อยู่ชั้น 2 ห้องอาหารนี้จะเป็น Full Service แบบฝรั่งเศส บรรยากาศสวยงามเป็นทางการ มีการจัดโต๊ะปูผ้าเต็มรูปแบบ มี Sommelier แนะนำไวน์ และต้องแต่งตัวสุภาพในการเข้าใช้บริการ ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณภาพอาหารของทั้ง 2 ห้องนั้นพอๆกันนะครับ อาจจะมีบางเมนูที่ต่างกันบ้างและการนำเสนอคนละอารมณ์ เราเลือกเข้าใช้บริการได้ตามสะดวกเลย ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ถ้านัดกันมาเป็นกรุ๊ปใหญ่ สำหรับห้อง Le Coromandel อาจต้องจองล่วงหน้าสักหน่อย ส่วนใครที่มาไม่ทันเวลาเปิดปิดของทั้ง 2 ห้องอาหาร ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะบนเรือ L’Austral มีบริการ Room Service ตลอด 24 ชั่วโมง และรวมอยู่ในค่า Cruise ทั้งหมดแล้ว โทรสั่งจากที่ห้องได้เลย ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่จะให้ทิปด้วยมั้ยก็ตามสะดวกครับ ส่วนเรารวบเก็บไว้ให้วันสุดท้ายแบบรวมทีเดียวเลย เกริ่นไปก่อนหน้าแล้วว่าชั้น 4 เป็นที่ตั้งของ Theatre ที่ใช้เรียกประชุมใหญ่ แต่หลังจากการปฐมนิเทศน์ในวันแรก ห้องนี้ก็จะถูกใช้ในการรับชมการแสดงต่างๆ รวมถึงคอนเสิร์ตเปียโนซึ่งเป็นธีมหลักของทริปนี้ด้วย และในบางครั้งก็จะใช้เป็นห้องบรรยายเล็คเชอร์ให้ความรู้ต่างๆอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ขนาดกระทัดรัด ตกแต่งสวยงาม และระบบเสียงและไฟคุณภาพดีครับ ขยับขึ้นมาชั้น 5 กันต่อ นอกจากจะเป็นชั้นของ Cabin ของเราแล้ว ชั้น 5 ยังเป็นชั้นที่มี Facilities ที่หลากหลายมาก ฝั่งหัวเรือจะเป็นห้องบังคับเรือ หรือที่เรียกว่า Bridge ซึ่งถ้าเค้าแขวนป้ายสีเขียวไว้ เราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ด้วยนะครับ บางวันเค้าก็มีกิจกรรมสอนให้เราใช้อุปกรณ์บางชิ้นด้วย อย่าง Sextant ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบอกพิกัดเรือของเราเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางท้องทะเลอันเวิ้งว้างโดยใช้พระอาทิตย์เป็นหมุดในการบอกทิศทาง ส่วนฝั่งท้ายเรือของชั้น 5 นั้นก็จะมีทั้ง Spa ที่แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มแต่ก็เต็มแทบจะตลอดเลย หรือจะเป็น Photo Desk ซึ่ง Ponant จะมีตากล้องประจำ Cruise สำหรับทั้งภาพนิ่งและวิดิโอคอยเก็บภาพสวยๆให้เราด้วย และเราก็สามารถซื้อกลับบ้านได้ด้วยเช่นกัน ถัดเข้าไปด้านในก็จะเป็น Gym ขนาดเล็กแต่คุณภาพเยี่ยมทั้งตัวเครื่องและวิวทะเลด้านนอก ที่ติดกันก็จะเป็น Hammam หรือห้องอบไอน้ำ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนหลังนี้ใช้บริการได้ฟรีครับ พาชมเรือทั่วทั้งลำแล้ว วันนี้ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้เช้าเรามีนัดไป Excursion ที่ Stop แรกของทริปซึ่งก็คือเมือง Syracuse บนเกาะ Sicily ครับผม Syracuse, Sicily, Italy Syracuse, Sicily, Italy Mediterranean แปลว่า ทะเลที่อยู่ท่ามกลางแผ่นดิน ซึ่งก็ตรงกับลักษณะทางกายภาพที่ผืนน้ำสีฟ้าเข้มของทะเลแห่งนี้นั้นถูกล้อมรอบไปด้วยแผ่นดิน 3 ทวีป คือยุโรปตอนใต้ เอเชียฝั่งตะวันออกกลาง และแอฟริกาตอนเหนือ จึงทำให้ทะเล Mediterranean เป็นจุดหลอมรวมอารยธรรมที่หลากหลายและข้ามผ่านกาลเวลามาหลายยุคสมัย และถ้าดูจากแผนที่ก็จะเห็นว่าใจกลางของทะเลแห่งนี้ ก็คือเกาะ Sicily ประเทศอิตาลีในปัจจุบันนั่นเอง ดังนั้น Sicily จึงมีความเข้มข้นและหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นพิเศษ Syracuse (อ่านว่า “ซีราคิวส”) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ Sicily ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรีซ เมื่อเกือบ 2,800 ปีก่อนในยุคที่อารยธรรมกรีกโบราณกำลังรุ่งเรือง Syracuse เองก็ได้รับอิทธิพลจากกรีกโบราณมาเต็มๆ กลายเป็นนครรัฐกรีกโบราณที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับท็อปๆในน่านน้ำ Mediterranean รุ่งเรืองน้องๆ Athens เลยก็ว่าได้ หาก Athens มีสุดยอดนักปราชญ์อย่างอริสโตเติ้ล Syracuse ก็มีอาร์คีเมดีส บิดาแห่งคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ร้องว่า Eureka! ขณะแช่ตัวในอ่างน้ำ เพราะเขาได้ค้นพบวิธีหาความถ่วงจำเพาะด้วยการแทนที่วัตถุลงไปในน้ำ  ในเวลานับพันปีต่อมาเมื่อจักรวรรดิโรมันยิ่งใหญ่ขึ้นมาแทนกรีกโบราณ Syracuse เองก็ถูกครอบงำโดยอารยธรรมโรมัน เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนใหญ่รอบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียน Excursion ของเราในวันนี้ Ponant พาเรามาที่อุทยานประวัติศาสตร์ Neapolis Archaeological Site เพื่อทำความรู้จักกับความเป็นมาที่เก่าแก่ของเมือง และที่นี่เราก็จะได้เห็นทั้ง Greek Theatre และ Roman Theatre แบบเดินถึงกันได้เลย ไกด์บอกว่าความแตกต่างใหญ่ๆของ Theatre ทั้ง 2 แบบก็คือ แบบกรีกจะเป็นการขุดเจาะลงไปในเนินหินเพื่อให้มีเสียงก้องเพราะเน้นใช้ในการแสดงละครและดนตรี และจะมีระบบการจัดการน้ำบนความชันของเนินหิน เพื่อประโยชน์ทั้งในการช่วยซับเสียงในโรงละครที่อาจก้องเกินไป รวมไปถึงการควบคุมน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตรด้วย ส่วนของโรมันจะเป็นการสร้างขึ้นจากพื้น เพราะไม่เน้นระบบเสียง แต่จะเน้นให้คนเห็นการต่อสู้กับสัตว์ดุร้ายต่างๆได้ชัดเจน ข้อแตกต่างอีกอย่างก็คือแบบกรีกจะมีระบบตั๋ว แต่ของโรมันจะเป็นระบบแย่งกันเข้าไปจองที่นั่ง ทำให้ไกด์ของเราผู้ซึ่งโปรกรีกมากกว่า ถึงกับแซวแรงๆว่าคนกรีกเน้นใช้สมอง คนโรมันเน้นใช้ร่างกาย ฮ่าๆๆๆ นอกจากโรงละครทั้ง 2 แบบแล้ว ที่นี่ยังมีอุทยานเหมืองหินแห่งสรวงสวรรค์ (Latomie del Paradiso) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่คุมขังนักโทษและให้ทำงานสกัดหินเพื่อเอาไปใช้งานก่อสร้าง ปัจจุบันตัวเหมืองได้กลายสภาพมาเป็นสวนร่มรื่นงดงาม เต็มไปด้วยต้นมะกอก ต้นเลม่อน ต้นส้ม และอื่นๆอีกมากมาย ในช่วงที่เรามานั้นเป็นจังหวะที่ดอกไม้ต่างๆกำลังเบ่งบานพอดีจึงสวยงามเดินเพลินมากๆครับ  และหาก Syracuse คือมงกุฎ เพชรยอดมงกุฎก็คงจะเป็นเกาะ Ortygia (ออร์ตีเจีย) เขตเมืองเก่าอันรุ่งโรจน์ของ Syracuse ซึ่งวันนี้เราก็จะได้พาเพื่อนๆไปเดินเล่นกันด้วยครับ สภาพบ้านเมืองบนเกาะ Ortygia นั้นทั้งน่ารักแบบชาวบ้านๆและมีมนต์ขลังในความเก่าแก่คละเคล้ากัน เดินมาไม่ทันไรเราก็มาเจอกับซากวิหาร Apollo กลางเมืองที่อายุเกือบ 2,700 ปี แต่พอเดินมาอีกนิดก็จะเจอร้านค้าสมัยใหม่เรียงรายกันอยู่บนถนน Corso Giacomo Metteotti จนมาถึงน้ำพุ Fontana di Diana ที่โดดเด่นอยู่กลางเมือง ปลายทางของเราก็คือโบสถ์ใหญ่ที่สวยตราตรึงใจของเมืองอย่าง Syracuse Cathedral (ชื่อเต็มภาษาอิตาเลียนแอบยาวและอ่านยากเลยขอเรียกสั้นๆเป็นภาษาอังกฤษแบบนี้ก็แล้วกันนะครับ) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เป็นหลักฐานถึงความหลากหลายของศิลปะแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี แต่เดิมเมื่อประมาณ 2,500 กว่าปีที่แล้วในยุคกรีกโบราณนั้น ที่นี่เคยเป็นวิหารสำหรับเทพ Athena มาก่อน จนในช่วงศตวรรษที่ 7 (ซึ่งก็ 1,200 กว่าปีมาแล้ว) จึงมีการสร้างโบสถ์คริสต์คาทอลิกทับลงไป โดยภายในเราจะยังสามารถเห็นเสาวิหารแบบกรีกโบราณฝังอยู่ในกำแพงได้อยู่เลยครับ จากนั้นก็มีการซ่อมแซมและต่อเติมองค์ประกอบต่างๆเรื่อยมาอีกหลายยุคสมัย แต่สภาพปัจจุบันคือวิจิตรมากๆครับ  หลังจากชมโบสถ์แล้วไกด์ก็ให้เวลาเราเดินเล่นเองอีกนิดหน่อย แล้วก็ต้องรีบกลับขึ้นเรือเพื่อไปยังเมืองถัดไป เราจึงใช้เวลานี้ซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ และลองชิมขนม Cannoli ของอร่อยชื่อดังของ Sicily จริงๆอยากจะมีเวลาเดินเล่นต่ออีกซัก 2-3 ชั่วโมง ขอเล่านิดนึงว่าตอนกลับขึ้นมากินมื้อเที่ยงบนเรือ ทาง Ponant เสิร์ฟชีส Burrata สดๆที่เชฟไปหาซื้อมาจากในเมือง Syracuse ช่วงที่เราไปเที่ยว อร่อยมากๆครับ เป็นอีกหนึ่งความใส่ใจเล็กๆน้อยๆที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรือ L’Austral อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านซึ่งแตกต่างจาก Cruise ใหญ่ๆครับ Welcome Gala Welcome Gala วันนี้เป็นเย็นวันแรกของการเดินเรือ Ponant ดังนั้นทาง Ponant จึงจัดงาน Gala เพื่อต้อนรับแขกอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมีทั้งส่วนที่เป็นงาน Cocktail กลางแจ้งริมสระบนชั้น 6 และดินเนอร์แบบเป็นทางการที่ห้องอาหาร Le Coromandel แต่เค้าก็ไม่ได้บังคับให้เข้าร่วมนะครับ แล้วแต่เราสะดวกเลย ถือว่าเป็นการเพิ่มสีสันให้กับการเดินทาง แต่ใครที่ชอบแต่งตัวถ่ายรูปนี่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ภาพสวยๆกลับบ้านด้วยครับ Gallipoli Gallipoli และ Lecce, Puglia, Italy เมืองที่ 2 ที่เรามาแวะเที่ยวบนเส้นทางเดินเรือของเราก็คือ Gallipoli ซึ่งได้ชื่อมาจากภาษากรีก kalé pólis แปลว่าเมืองที่สวยงาม และแม้จะเป็นเมืองเล็กๆแต่เมือง Gallipoli ก็สวยงามสมชื่อจริงๆ เดี๋ยวไว้ช่วงบ่ายเราจะได้กลับมาเดินเล่นที่นี่กัน เพราะช่วงเช้าเราจอง Excursion ไปยังเมือง Lecce (เลชเช่) เอาไว้ ซึ่ง Lecce นั้นเป็นเมืองที่โดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมแบบ Baroque มากจนได้ฉายาว่า Florence of the South เลยทีเดียว เมือง Lecce เริ่มก่อตั้งขึ้นในสมัยโรมันเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน และค่อยๆมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงปลายๆยุค Renaissance ในศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงที่ศาสนาคริสต์คาทอลิกกำลังถูกท้าทายอำนาจจากการเกิดขึ้นของนิกายโปรเตสแตนท์ จึงต้องเร่งทำ PR แสดงบารมีผ่านสถาปัตยกรรมของโบสถ์ที่ตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตรอลังการ ซึ่งก็คือจุดเริ่มต้นของศิลปะยุค Baroque ในเวลาต่อมาที่เน้นความรุ่มรวยล้นเหลือเต็มไปด้วยรายละเอียดพรึ่บพรั่บ ประกอบกับที่เมือง Lecce มีแหล่งหินลักษณะพิเศษที่เอื้อต่อการแกะสลักลวดลายละเอียดลงไปได้ง่าย จึงกลายเป็นแหล่งรวมศิลปินสไตล์ Baroque ผู้ได้ทิ้งผลงานไว้มากมายในตัวเมือง ไกด์ท้องถิ่นของ Ponant พาเราเดินเข้าเมือง Lecce ผ่าน Porta Napoli ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ประตูเข้าเขตเมืองเก่า แค่ประตูเข้าเราก็ว่าสวยแล้วครับ แต่พอเดินเข้ามาเราก็เริ่มเห็นงานแกะสลักตาม Façade และระเบียงบ้านของผู้คน แต่นั่นก็เป็นแค่น้ำจิ้มไม่กี่หยด เพราะเมื่อเราเดินมาถึง Basilica Di Santa Croce (Basilica of the Holy Cross) ก็ถึงกับต้องอ้าปากค้างเพราะหน้าอาคารเต็มไปด้วยงานแกะสลักที่ละเอียดละออราวกับมีใครเอาผ้าลูกไม้มาห่อโบสถ์เอาไว้ แทบไม่มีที่ว่างให้พักสายตาเลยครับ ส่วนด้านในนั้นก็มีงานปั้นแกะสลัก และปิดทองละเอียดสวยงามไม่แพ้กัน แต่ก็ยังมีผนังเรียบให้ได้พักสายตาบ้าง จริงๆที่ Lecce นั้นมีโบราณสถานสวยๆให้แวะชมอีกเยอะทั้งโบสถ์และโรงละครโรมันอีกหลายแห่ง แต่หลังจากที่เดินไปกับกรุ๊ป Excursion ต่ออีกสักพัก เราก็ขอแยกตัวออกมาเดินเล่นเอง เพราะระหว่างทางเราเห็นร้านน่ารักๆเยอะมากๆไม่ว่าจะเป็นร้านขายของฝาก คาเฟ่หรือร้านรวมแบรนด์ต่างๆทั้งสมัยเก่าและใหม่ เราประทับใจมากที่เจอแบรนด์เสื้อผ้าโลคอลสไตล์ Old Money แบบอิตาลี (แนวๆ Loro Piana) ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในเมืองเล็กๆอย่าง Lecce ด้วย แสดงว่าเมืองนี้นั้นมีความรุ่มรวยวัฒนธรรมจริงๆ และอยู่ๆเราก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เราหาข้อมูลพบว่าที่ Lecce มีเมนูกาแฟเย็นพิเศษเป็นของตัวเอง ชื่อว่า Leccese (เลเชชเซ่) ซึ่งใช้ช็อตเอสเปรสโซ่เทลงบนน้ำแข็งและปรุงรสด้วยน้ำเชื่อมกลิ่นแอลมอนด์ที่แต่ละร้านมักจะทำกันขึ้นมาเอง เราก็เลยถือโอกาสหาร้านกาแฟซื้อมาลองกันซักหน่อย หอมอร่อยดีครับ แต่อาจจะหวานเข้มข้นไปนิดสำหรับลิ้นของเรา  เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลานัดขึ้นรถกลับไปที่ Gallipoli แล้ว เดี๋ยวเราไปเดินเล่นที่ Gallipoli กันต่อนะครับ ตอนที่เราได้ยินชื่อ Gallipoli ครั้งแรกก็รู้สึกว่าเป็นชื่อที่น่ารักมาก แต่ก็แอบคุ้นๆเพราะเหมือนจะเป็นเมืองที่มีโศกนาฏกรรมจากการยกพลขึ้นบกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่พอไปหาข้อมูลก็พบว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ประเทศตุรกีแต่เมืองดันมีชื่อเดียวกัน ส่วน Gallipoli ที่เราอยู่นี้เป็นเมืองเล็กๆที่สวยและน่ารักน่าเดินมากครับ  เราตัดสินใจไม่ทานมื้อเที่ยงบนเรือ และมาหาร้านในเมืองแทนจะได้สัมผัสความโลคอลได้มากขึ้นอีกหน่อย และเราก็ตัดสินใจถูกมากๆ เราเดินมาเจอร้านน่ารักวิวทะเลชื่อ Café Del Mar (แต่ทำไมใน Google Maps เขียนว่า Caffe Del Mollo หว่า) ก็เลยตัดสินใจลง Lunch ที่นี่ก็แล้วกัน แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ อาหารทะเลที่นี่ง่ายๆแต่อร่อย เราสั่ง Linguine ซีฟู้ด กับอีกจานโลคอลที่พนักงานแนะนำให้ลองก็คือ Pesce Spada Alla Gallipolina ซึ่งเป็นปลากระโทงดาบ (Swordfish) คือปลาที่ปากแหลมๆยาวๆ เค้าแล่เอาแต่เนื้อมาคลุกแป้งบางๆแล้วทอดสไตล์ Gallipoli ตอนกินก็บีบเลม่อนซักนิด อร่อยมากครับเพราะปลาสดมาก ติดกับร้านอาหารก็เป็นหาด Spiaggia della Purità ที่โค้งสวยงามมาก เสียดายบ่ายนี้ฟ้าเริ่มหม่นฝนเริ่มตั้งเค้า แต่ก็ยังมีคนมานอนอาบแดดเล่นน้ำกันอยู่บ้าง เราเดินเล่นในเขตเมืองเก่าที่โคตรน่ารัก (อีกแล้ว) เราเลือกซื้อของฝากชิ้นเล็กๆติดไม้ติดมือกลับมาบ้าน แวะร้านน้ำหอมชื่อ Salentum I Profumi เพราะร้านตั้งอยู่ในตึกเก่าที่ข้างในสวยมากๆจนต้องขอเข้าไปดู จากนั้นเราก็ไปร้านของหวานชื่อ Martinucci นั่งพักกินขนมและเจลาโตอร่อยๆตามที่พนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารแนะนำมาอีกที ฝนเริ่มโปรยปรายแต่เราก็ยังสู้เดินต่อไปเขตเมืองใหม่ที่อยู่ไม่ไกลกัน (ก็ไม่ได้มาบ่อยๆนี่เนอะ) เจอเสื้อผ้าแบรนด์อิตาลีสวยๆลดราคา 50% แน่ะ เลยช็อปปิ้งอีกนิดหน่อย แล้วก็เดินกลับเรือ ซึ่งก็เป็นช่วงที่ชาวประมงกลับมาถึงท่าพอดีและกำลังเอาของที่หามาได้มาวางขาย และมีคนมามุงซื้อแบบตลาดปลาบ้านเรา เป็นภาพที่น่ารักมากๆครับ อยากซื้อเอาไปให้เชฟบนเรือช่วยทำอาหารให้มากเลย แต่เค้าน่าจะมีของอื่นๆเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว แหะๆ Corfu, Greece เราเริ่มเดินทางเข้าสู่น่านน้ำของประเทศกรีซแล้วครับ และเมืองที่เราจะแวะต่อไปนี้ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่เราตั้งตาคอยสุดๆ เพราะนานมาแล้ว (น่าจะเกิน 10 ปีได้) ที่เราได้อ่านบทความและเห็นรูปสวยๆของเกาะ Corfu (คอร์ฟู) จากนิตยสารท่องเที่ยวต่างประเทศ และเมื่อพยายามค้นวิธีเดินทางมาที่นี่ก็พบว่าแอบมีความซับซ้อนยุ่งยากพอสมควร เลยเก็บ Corfu เอาไว้ใน Bucket List จนแทบลืมไปแล้ว พอรู้ว่าทริปนี้เราจะได้มาแวะที่นี่แบบชิลๆก็เลยตื่นเต้นมากๆครับ  และ Corfu ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ขอบคุณอากาศที่ต้อนรับเราอย่างดีเหลือเกิน แดดออก ลมเย็นกำลังดี และท้องฟ้าก็สีฟ้าแบบฟ้าาาาาาาาาาา… สระอาล้านตัว แข่งกันกับสีฟ้าใสไล่หลายเฉดของน้ำทะเลรอบเกาะ ส่วนบนแผ่นดิน Corfu ก็ถือเป็นเกาะที่เขียวชอุ่มที่สุดใน Greece เต็มไปด้วยต้นมะกอกเก่าแก่กว่า 4 ล้านต้น หลายต้นก็อายุเกิน 1,000 ปี ไกด์เล่าให้ฟังว่าในช่วงศตวรรษที่ 15 จักรวรรดิ Venice ได้แผ่อิทธิพลเข้ามายัง Corfu และอยู่ปกครองกว่า 400 ปี และก่อนที่ Venice จะเสื่อมอำนาจลง จักรวรรดิ Ottoman ก็ได้เข้ามาบุกตีและยึดเอาดินแดนที่ใช้ในการปลูกต้นมะกอกไปจาก Venice เป็นจำนวนมาก ยกเว้นที่ Corfu ซึ่งมีป้อมปราการที่แข็งแกร่งมาก (ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ให้เห็นในตัวเมือง Corfu Town) Venice จึงหลอกให้คน Corfu ปลูกต้นมะกอกโดยบอกว่าจะให้เงินตอบแทน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำตามสัญญา  Excursion ของเราในวันนี้นั้น เราจะไปแวะชมสำนักสงฆ์ Paleokastritsa ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูง จึงเป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆของ Corfu ส่วนตัวสำนักสงฆ์เองนั้นก็มีความเก่าแก่ถึง 800 ปี สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระแม่มารีตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายกรีก ออร์ธอด็อกซ์ และก็เหมือนทุกอย่างเป็นใจต้อนรับเราครับ ต้น Spanish Jasmine มะลิพันธุ์เลื้อยที่ปลูกอยู่ข้างโบสถ์ก็กำลังออกดอกสะพรั่งพรึ่บพรั่บล้นจอเหมือนกับภาพฝันเลย หรือว่าเรากำลังฝันไปจริงๆนะ ลงจากสำนักสงฆ์แล้วเราก็จะไปนั่งเรือเล่นชมทะเลและถ้ำต่างๆรอบๆอ่าว Agios Spiridon กันต่อครับ ขออนุญาตให้ภาพบรรยายความงามด้วยตัวเองก็แล้วกันนะครับ ไกด์เล่าให้ฟังว่าอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ ทางตอนใต้ของ Old Town Corfu จะมีเกาะเล็กๆชื่อว่า Pontikonisi ตามตำนานเล่าว่าเกาะนี้คือเรือที่กลายเป็นหินของ Odysseus ผู้คิดแผนการส่งม้าไม้พร้อมไส้ศึกเข้าเมือง Troy ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับ Poseidon เทพแห่งท้องทะเลเป็นอย่างมาก ระหว่างล่องเรือกลับบ้าน เรือของ Odysseus จึงถูกสาปให้อับปางและกลายเป็นหินซึ่งก็คือเกาะ Pontikonisi ในปัจจุบัน ยังไม่จบ Excursion ในวันนี้นะครับ ไกด์จะพาเราไปกินของว่างแบบกรีกพร้อมชมวิวบนยอดเขาที่ Golden Fox View Point ของว่างอร่อยดีนะครับและวิวก็สวยมากๆเช่นเคย ใช้เวลากันอยู่ที่นี่พักใหญ่ก็ทยอยขึ้นรถ บนรถเราเห็นเจ้าหน้าที่ของ Ponant คนหนึ่งซื้อขนมเค้กโลคอลติดมือกลับมาด้วย เราก็เลยถามเค้าว่ามันคือขนมอะไร เค้าบอกว่ามันคือเค้กส้มแบบกรีกที่อร่อยมากๆชื่อว่า Portokalopita และแนะนำให้เราไปลองหาซื้อกินดู  แต่เรายังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนเรือจะออกเดินทางต่อ เราจึงมาเดินเล่นในตัวเมือง Corfu Town กัน เช่นเดียวกับเมืองส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ครับ Corfu มีความเป็นมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเมื่อเกือบ 3,000 ปีก่อน แต่สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองที่ Corfu แตกต่างจากที่อื่นก็คือการถูกปกครองโดย Venice ถึงเกือบ 400 ปี หลังจากนั้นก็มีทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษที่เข้ามาปกครองสั้นๆก่อนจะส่งต่อให้ Greece จนถึงปัจจุบัน   เราเหมือนคนโดน Corfu ทำของใส่ มองไปทางไหนคือดีงามไปหมดเลยครับ ระดับความสุขเต็มปรี่ทะลุปรอท ทั้งอากาศ ทั้งตัวเมือง ทั้งผู้คน และที่สำคัญคือเรามาเจอร้านกาแฟ Specialty ชื่อ Cafetierra Plakado ที่ทำ Iced Americano อร่อยๆให้เราได้หายอยากด้วย บาริสต้าบอกว่ากาแฟที่ Greece จะต่างจากที่ Italy ตรงที่คนที่นี่เค้ากินกาแฟเย็นกันด้วยครับ มีเมนู Iced Espresso ที่เอาไปปั่นกับน้ำแข็งให้เย็นที่คนนิยมกินกันทั่วไป ไหนๆก็ไหนๆ เราก็เลยถามบาริสต้าว่ามีร้านไหนขายเค้กส้ม Portokalopita อร่อยๆบ้างมั้ย เค้าบอกว่าที่ Corfu น่าจะมีแค่ที่ Golden Fox บนเขาที่เราเพิ่งไปมา (แง) แต่เค้าก็ปลอบใจด้วยการแนะนำร้าน Gelato ร้านโปรดในเมืองของเค้า ชื่อว่า Papagiorgis  และบอกว่ารส Dark Chocolate กับรส Wild Strawberry อร่อยสุดๆ เราก็เลยไปตามรอย อร่อยจริง! เวลาแห่งความสุขใน Corfu ใกล้หมดลงแล้ว เพราะเราต้องเรือก่อน 16:30 น. เราตกหลุมรักเมืองนี้ เข้าอย่างจัง แล้วสักวันฉันจะกลับมาหาเธอใหม่นะ Corfu Itea, Greece สิ่งที่ดึงดูดให้คนมา Itea (อิเตย่า) มากที่สุดก็คือ อุทยานประวัติศาตร์ Delphi อันโด่งดัง ที่นี่เป็นที่ตั้งวิหารเทพ Apollo และที่อยู่ของ Pythia (Oracle of Delphi) ตำแหน่งของนักพยากรณ์ในตำนานที่มีอิทธิพลต่อชาวกรีกโบราณอย่างมากโดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นปกครองที่ต้องดั้นด้นมาปรึกษาในเรื่องสำคัญๆของแผ่นดินในยุคนั้น ทาง Ponant เองก็มีจัด Excursion ไปที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่เราปรึกษา Shore Team ที่ดูแลเรื่อง Excursions ของเรือแล้ว เราได้คำแนะนำให้ไปอีกที่หนึ่งมากกว่าซึ่งก็คือสำนักสงฆ์ Hosios Loukas Monastery เพราะ Delphi นั้นคนค่อนข้างแน่นมาก และตัวสำนักสงฆ์ Hosios Loukas Monastery เองก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อนข้าง Unseen ไกด์บอกว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งจิตวิญญาณบางอย่างได้จากที่นี่ สำนักสงฆ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดย Hosios Loukas อาจจะแปลคร่าวๆได้ว่า “นักบุญลูคัส” ในยุค Byzantine เมื่อประมาณ 1,000 กว่าปีที่แล้ว และปัจจุบันก็ได้ถูกขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดย UNESCO เป็นที่เรียบร้อย  สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้ก็คือความสงบร่มเย็นของสถานที่แห่งนี้ นี่ขนาดต้นไม้ที่หุบเขาข้างล่างส่วนใหญ่เพิ่งถูกไฟป่าไหม้ไปเมื่อไม่นานมานี้นะ ถ้าไม่โดนไฟไหม้จะเขียวขจีขนาดไหน เมื่อก้าวเท้าลอดซุ้มประตูเข้าสู่บริเวณสำนักสงฆ์ เราก็รู้สึกได้ถึงความขลังเบาๆ ยิ่งด้านในของโบสถ์นั้นเป็นโถงสูงที่ประดับไปด้วยจิตกรรมฝาผนังและงานกระเบื้องโมเสกบอกเล่าเรื่องราวความศรัทธาที่ละเอียดสวยงามมากๆครับ ขากลับออกมาที่ด้านหน้าสำนักสงฆ์มีร้านค้าเล็กๆให้ซื้อผลิตภัณฑ์ของสำนักสงฆ์กลับบ้านได้ เช่น ขนมขบเคี้ยว แยมผลไม้ บาล์มนวดอเนกประสงค์หลายสูตร (มีความคล้ายยาหม่องบ้านเราเหมือนกันนะ) แต่สิ่งที่ไกด์แนะนำที่สุด (โดยที่เค้าไม่ได้ค่าคอมมิชชั่น) ก็คือน้ำผึ้ง ไกด์บอกว่าน้ำผึ้งที่นี่ Excellent สุดๆ เราอยากซื้อขวดใหญ่ติดมือกลับบ้านซักขวด แต่พอนึกถึงน้ำหนักกระเป๋าที่ปริ่มโควตาอยู่ก็เลยได้แค่ซื้อไซส์เล็กสุดติดมือกลับมาพอให้เราไม่รู้สึกเสียดายทีหลัง จากนั้นไกด์ก็พาเราแวะไปที่เมือง Arachova ซึ่งเป็นเมืองบนภูเขาซึ่งเป็นแหล่งเล่นสกีของชาวกรีกครับ แม้เราจะมาในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว หิมะไม่มีแล้ว แต่ร้านน่ารักต่างๆในเมืองก็ยังคงเปิดให้บริการอยู่ ที่นี่ไกด์ปล่อยให้เราเดินชมเมืองได้อิสระ แต่จะนัดเวลาและจุดขึ้นรถให้ไปเจอกัน เราเดินไปถามไกด์ว่ารู้จักร้านไหนที่ขายเค้กส้ม Portokalopita ที่เราได้รับคำแนะนำมาจากที่ Corfu บ้างมั้ย (ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ฮ่าๆๆๆๆ) แต่ไกด์เองก็ไม่แน่ใจ เลยพาเราเดินเข้าออกคาเฟ่อยู่หลายร้าน ระหว่างทางก็ได้คุยกันเรื่องอื่นๆไปด้วย จนสุดท้ายนางซื้อกาแฟเลี้ยงเราคนละแก้ว เป็นกาแฟ Iced Espresso แบบกรีก หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าออกร้านเสื้อผ้า ร้านขนม ก็เลยได้ของติดมือกลับมานิดหน่อยก่อนกลับไปขึ้นรถ ขากลับไปที่เรือเราก็ผ่าน Delphi ด้วยนะครับ และเห็นรถทัวร์ที่จอดกันอยู่ไกลออกมา 2-3 กิโลเมตรจากตัวอุทยานประวัติศาสตร์ ไกด์เลยบอกว่าพวกเราตัดสินใจถูกมากที่เลือกไปที่สำนักสงฆ์ และเค้าเองก็ดีใจที่ไม่ต้องพาเราไปเบียดกับผู้คนที่ Delphi ในวันนี้ สำหรับเมือง Itea นั้นเป็นเมืองท่าที่น่ารักและค่อนข้างเล็กมาก เราเห็นผู้คนนั่งอยู่ในร้านกาแฟบนถนนหลักของเมืองแค่ไม่กี่คน และร้านค้าหลายร้านก็ไม่ได้เปิดให้บริการ ถ้าไม่ได้มากับ Ponant เราก็คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสเมืองประมงเล็กๆของกรีซแบบนี้ เราเดินถ่ายรูปเล่นในเมืองสักพักก็กลับขึ้นไปทานอาหารกลางวันบนเรือ และวันนี้ที่ห้องอาหาร Le Rodrigues เชฟมาตั้งซุ้มทำสเต้กปลาทูน่าสดๆที่เพิ่งได้มาจากตลาดที่ Itea เสิร์ฟให้ผู้โดยสารพร้อมกับข้าวหุงปรุงรสเค็มๆหอมๆไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าใส่อะไรบ้างแต่อร่อยดีครับ Corinth Canal, Greece อีกหนึ่งไฮไลท์ของเส้นทางนี้ก็คือการล่องเรือเข้าคลอง Corinth (โครินธ์) ที่มีความยาว 6.3 กิโลเมตรและกว้างสูงสุดเพียง 25 เมตร ทำให้เฉพาะเรือเล็กอย่างเช่นเรือ L’Austral ของเราเท่านั้นที่จะค่อยๆล่องทะลุคลองนี้ได้พอดี นับเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากเลยครับ ผู้โดยสารแทบจะทุกคนบนเรือก็ดูตื่นเต้นกันมากๆ ออกมาชมคลองที่หัวเรือตามประกาศของกัปตันกันแน่นเลย เจ้าคลอง Corinth นี้ถูกเริ่มขุด (หรือใช้คำว่าหั่นดีนะ) ในปี 1882 และเสร็จสิ้นในปี 1893 โดยเจาะทะลุคอคอดโครินธ์ (Isthmus of Corinth) เพื่อให้เป็นทางลัดเชื่อม Gulf of Corinth (ฝั่งทะเล Ionian) กับ Saronic Gulf (ฝั่งทะเล Aegean) เข้าด้วยกัน จริงๆแล้วเส้นทางลัดนี้ถูกใช้งานมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณเมื่อ 2,600 กว่าปีก่อนแล้ว แต่เมื่อก่อนจะเป็นระบบรางบนแผ่นดิน โดยจะนำเรือขึ้นรถรางจากฝั่งหนึ่งแล้วเข็นลงอีกฝั่ง Athens Lavrio and Athens, Greece เมืองที่เรือของเราเข้าจอดวันนี้คือ Lavrio (หรือ Laurium ในภาษาอังกฤษ) จากท่าเรือทาง Ponant จัดรถบัสให้เราต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆก็ถึงเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปอย่าง Athens ซึ่งมีอายุราวๆ 3,400 ปี แต่ถ้านับจากหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็ย้อนกลับไปได้เป็นหมื่นปีเลยทีเดียว ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดของการปกครองแบบประชาธิปไตย ปรัชญา ศิลปวิทยาการ และอารยธรรมตะวันตกที่เป็นมรดกมาถึงโลกยุคปัจจุบัน  จุดหมายของเราวันนี้ก็คือ Acropolis เมืองโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือเมือง Athens สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพ Athena ผู้ปกปักษ์รักษาและผู้เป็นที่มาของชื่อเมือง Athens หรือ Αθήνα อ่านว่า “อาธิน่า” ในภาษากรีก เรื่องราวในเทพนิยายเล่าว่า King Cecrop ผู้ก่อตั้งเมืองจัดให้มีการแข่งขันกันระหว่างเทพ 2 องค์ซึ่งเป็นลุงกับหลานกันคือ Poseidon เทพแห่งท้องทะเลและแผ่นดินไหวซึ่งเป็นพี่ชายของ Zeus กับ Athena เทพีแห่งปัญญาและการสงครามลูกสาวของ Zeus เพื่อให้ผู้ชนะเป็นเทพผู้ปกป้องเมือง ผลลัพธ์ก็คือชัยชนะตกเป็นของ Athena Acropolis ในลักษณะที่เราเห็นในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบูรณะเมืองเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนหลังจากสงครามกับ Persia จบลงโดยมีอาคารหลักเรียกว่า Parthenon เป็นวิหารใหญ่สำหรับบวงสรวงเทพ Athena โดยคำว่า Parthenon นั้นมาจากชื่อเต็มของเทพ Athena Parthenos แปลว่า อาธีน่าผู้บริสุทธิ์ นอกจากเหตุผลทางด้านความเชื่อแล้ววิหาร Parthenon ยังเป็นสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ของรัฐกรีกโบราณด้วย เพราะที่นี่นั้นถูกใช้เป็นคลังเก็บสมบัติของบรรดารัฐกรีกโบราณนับร้อยเมืองที่ตกลงให้ Athens เป็นผู้นำในการต่อสู้กับชาว Persia จนได้รับชัยชนะ ในยุคต่อๆมา Parthenon ก็เคยถูกเปลี่ยนให้เป็นทั้งโบสถ์ในศาสนาคริสต์ (ยุค Byzantine) และมัสยิดในศาสนาอิสลาม (ยุค Ottoman) ด้วย วันนี้ Acropolis คนเยอะมากครับ แน่นกว่าคราวก่อนที่เรามาเมื่อปี 2007 เยอะเลย แต่ไกด์ของ Ponant ก็ดูแลเราเป็นอย่างดีพาเราลัดเลาะเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ผ่าน Odeon of Herodes Atticus หรือโรงมหรสพสไตล์โรมัน (ที่เพิ่งมาสร้างในยุคหลัง) ที่พอตัดกับวิวเมืองด้านหลังแล้วดูขลังมากๆ ด้วยความที่ Acropolis ตั้งอยู่บนที่สูงเราจึงสามารถเห็นเมือง Athens ที่มีประชากรอยู่กันแบบหนาแน่นได้แบบ Panorama เลย และได้เห็นโบราณสถานต่างๆที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิหารของ Zeus มหาเทพผู้ปกครองเทพทั้งมวล วิหารของ Hephaestus เทพแห่งมนต์ดำ Theatre of Dionysus ที่จุคนได้อย่างน้อย 15,000 คนและเป็นต้นแบบของ Greek Theatre ทั้งมวลและอื่นๆอีกมากมาย ต้องบอกว่าเป็นภาพที่สวยงามแปลกตามากครับ นอกจาก Parthenon แล้ว บน Acropolis ยังมีอาคารเด่นๆอีก 2 อาคารคือ Erechtheion ที่หลายคนอาจจะคุ้นชินกับภาพเสาเทพีที่แบกเพดานอาคารไว้บนหัว (Caryatids) สร้างขึ้นเพื่อบูชาทั้ง Athena และ Poseidon โดยมีศาลเจ้าแยกกัน (เราชอบที่คนโบราณก็ยังให้เกียรติผู้แพ้อย่าง Poseidon ด้วย) และอาคารอีกหลังที่เล็กกว่าแต่ดูงามสง่าไม่แพ้กันก็คือวิหารแห่งเทพ Athena Nike (เป็นเทพ Athena ปางเทพีแห่งชัยชนะ) หลังจากเยี่ยมชม Acropolis เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไกด์ก็พาเราไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ Acropolis Museum ที่รวบรวมโบราณวัตถุและชิ้นส่วนอาคารที่ขุดพบบริเวณ Acropolis ซึ่งทุกชิ้นนั้นบอกเล่าเรื่องราว ประเพณี วัฒนธรรมที่ Rich มากๆของชาวกรีกที่ไม่มีทางที่เราจะเล่าได้หมด ขนาดเดินดูด้วยตาก็ยังไม่ทั่วเลยครับ เอาเป็นว่าเราขอเอารูปมาอวดให้พอเห็นบรรยากาศ และเว้นว่างประสบการณ์เอาไว้ให้เพื่อนๆได้ไปสัมผัสเองก็แล้วกัน แต่บอกเลยว่าควรค่าแก่การแวะมาอย่างยิ่งครับ ได้เวลามื้อเที่ยงแล้ว วันนี้ไกด์พามากินอาหารกรีกพร้อมวิว Acropolis กัน ทางร้านเสิร์ฟจานแรกเป็น Moussaka หรือลาซานญ่าเวอร์ชั่นกรีกที่มีเนื้อบดและมะเขือยาวเรียงเป็นเลเยอร์อยู่ด้านล่าง ต่อด้วย Youvetsi สตูว์เนื้อแกะราดบน Orzo พาสต้าทรงเมล็ดข้าว และสลัดชีส Feta ราดซอสมะเขือเทศสด ก่อนจะจบท้ายด้วยขนมหวานไส้ถั่วสุดคลาสสิคอย่าง Baklava  ตามโปรแกรมแล้วเราจะต้องขึ้นรถกลับเรือเลย เพราะท่าเรือค่อนข้างอยู่ไกลเป็นชั่วโมง และเรือต้องแล่นต่ออีกค่อนข้างไกล แต่ด้วยความที่เรากินเสร็จเร็วกว่าคนอื่น จึงพอมีเวลาให้ไปเดินเล่นรอบๆร้านอาหารนิดหน่อย และเราก็พบว่ามีร้านน่ารักๆเยอะแยะมาก น่าเสียดายที่เรามีเวลานิดเดียว แถมร้านส่วนใหญ่ปิดวันจันทร์ซึ่งเป็นวันที่เราอยู่ที่ Athens พอดี ไม่งั้นเราคงจะได้ค้นพบอะไรดีๆที่นี่อีกเยอะ หรือนี่จะเป็นลางให้เรากลับมา Athens อีกซักรอบนะ? ฮ่าๆๆๆ White Evening White Evening เราเดินทางมาถึงครึ่งทริปแล้วนะครับ วันนี้บนเรือมีจัดงานพิเศษคือ White Evening คืองานดินเนอร์ที่ให้ผู้โดยสารแต่งตัวชุดสีขาวเป็นหลักใครจะแซมสีดำด้วยก็ไม่ว่ากัน หรือจะไม่เข้าร่วมเลยก็ไม่เป็นไร โดยทาง Ponant จะจัดให้มีการลงทะเบียนว่าเราอยากนั่งกับทีมบริหารของเรือคนไหน เหมือนเป็นกิจกรรมสร้างคอนเน็คชั่นที่มาพร้อมกับธีมสนุกๆไปในตัว เนื่องจากก่อนหน้านี้เราได้เคยพูดคุยถูกคอกับคุณ Didier Vacher ผู้จัดการโรงแรมของเรือมาบ้างแล้ว เราก็เลยเลือกที่จะนั่งกับคุณ Didier และบนโต๊ะของเราก็มีแขกน่ารักๆคนอื่นๆอีก เช่นคุณ Aurelia นักบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และคุณ Didac กับคุณ Manon คู่รักชาว Lexumberg ซึ่งในเราทุกคนก็แลกคอนแทคกัน และจากนั้นตลอดทริปที่เหลือเราก็ช่วยถ่ายรูปให้กัน ให้คำแนะนำกันและกันกัน ซึ่งทำให้ทริปของเราสนุกขึ้นอีกหลายเท่าเลย Meteora Volos, Greece ท่าเรือสุดท้ายก่อนออกจากเขต EU ครับ เผลอแป๊บเดียวเหลืออีกไม่กี่วันทริปล่องเรือของเราก็จะจบลงแล้ว ไม่อยากให้จบลงเร็วเลยจริงๆครับ Ponant พาเรามาจอดที่เมือง Volos นี้ก็เพราะเค้าจะพาเรานั่งรถบัสต่อไปเที่ยวจุดที่สวยแปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศกรีซเลยครับ นั่นก็คือ Meteora ดินแดนศักสิทธิ์แห่งสำนักสงฆ์ศาสตร์คริสนิกายกรีกออร์ธอด็อกซ์บนภูเขาหินทรงประหลาดราวกับหลุดออกมาจากฉากนิยาย Fantasy แบบ The Lord Of The Rings เลยแหละ Meteora แปลว่า “ลอยค้างอยู่ในอากาศ” และก็เช่นเดียวกันกับ Corfu เราเคยเห็นรูป Meteora ในนิตยสารท่องเที่ยวของฝรั่งมานานแล้ว และก็อยากมาเที่ยวมากๆ แต่ก็รู้สึกว่าเดินทางค่อนข้างยาก จึงเป็นอีกที่ที่เราได้แต่เก็บเอาไว้ในลิสต์มานานแสนนาน จนกระทั่งวันนี้ฝันเราเป็นจริงแล้วครับ ขยำลิสต์ทิ้งได้แล้ว ฮ่าๆๆๆ ไกด์บอกว่านี่คือ 1 ใน Top 5 สถานที่ Must-Visit ในกรีซเลยนะ สมการรอคอยมากๆ  Meteora เป็นภูเขาที่แทบจะอยู่ตรงกลางแผ่นดินกรีซเลย ซึ่งจะต่างจากแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่อื่นๆของกรีซที่มักจะเป็นเกาะในทะเล จากท่าเรือเรานั่งรถเกือบ 2 ชั่วโมงก็เริ่มเห็นวิวเขาที่มีทรงสวยแปลกตามากๆ จากนั้นรถของ Ponant ก็พาเรามาจอดที่ร้านอาหารที่ตีนเขาให้เราพักดื่มน้ำและเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินทางไปต่อ แค่วิวตรงร้านอาหารนี้ก็น่าตื่นตาตื่นใจมากๆแล้วครับ ในช่วงพีคๆนั้น Meteora เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ถึง 24 แห่ง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6 แห่งที่ยังมีการใช้งานอยู่โดยจะสลับกันเปิด-ปิด ในขณะที่บางแห่งก็ไม่เปิดให้เข้าชมเลยและวิธีเดียวที่จะเข้าถึงสำนักสงฆ์นั้นได้ก็ต้องโหนสลิงเข้าไปเท่านั้น เนื่องจากนักบวชที่อาศัยอยู่ในนั้นต้องการปลีกวิเวกตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆ  สำนักสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดนั้นมีชื่อว่า Megalo Meteoron (The Great Meteoro Monastery) สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 700 ปีก่อน ที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้แต่ปิดทุกวันอังคาร ซึ่งก็คือวันที่เราไปพอดี ฮ่าๆๆๆ วันนี้เราจึงได้เข้าชมสำนักสงฆ์ 2 แห่งที่สวยงามไม่แพ้ ก็คือสำนักสงฆ์ Varlaam อายุเกือบ 500 ปี และสำนักภิกษุณี St. Stephen ซึ่งก่อตั้งมาในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน (แต่รากฐานของอาคารนั้นมีอายุย้อนกลับไปกว่า 900 ปี) และเพิ่งกลายสภาพมาเป็นวัดสำหรับภิกษุณีเมื่อ 60 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง สาเหตุที่สำนักสงฆ์ต่างๆในกรีซมักจะสร้างอยู่บนยอดเขา หรือในสถานที่ที่เข้าถึงได้ยากก็เพราะเป็นความตั้งใจที่จะหลีกหนีจากโลกภายนอก แต่กลับกลายเป็นว่าพอยุคสมัยเปลี่ยนไป มีถนนหนทางสะดวกมากขึ้น โลกภายนอกก็ถาโถมกันเข้ามาหาสำนักสงฆ์ถึงในโบสถ์เลย และด้วยความที่สำนักสงฆ์มักจะตั้งอยู่บนที่สูง ก็ทำให้มีวิวสวยโดยอัตโนมัติ เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ ถ้าเรานึกย้อนหลังไปในช่วงการก่อสร้างสำนักสงฆ์แต่ละแห่ง ลำพังเส้นทางบนพื้นราบที่จะขนเอาวัสดุก่อสร้างมาถึงตีนเขาก็ลำบากมากอยู่แล้ว แต่พอมาถึงก็จะต้องใช้วิธีปีนเขา โรยตัว ชักรอกเอาอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆขึ้นมาที่ละน้อย จากนั้นจึงค่อยลงมือก่อสร้างโดยนักบวชเอง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในศรัทธาของคนยุคนั้นที่สามารถสร้างภาพในจินตนาการให้เป็นจริงได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่สำนักสงฆ์ 1 แห่งเท่านั้น แต่มากถึง 24 แห่งเลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่าภาพที่ชัด วิธีที่ใช่ และใจที่ชอบนั้นเป็นสูตรสำเร็จที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายและทำซ้ำๆได้เสมอ ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปขนาดไหน Ephesus Kușadasi, Turkey เราออกจากน่านน้ำเขต EU แล้วครับ วันนี้เราเดินทางมาถึงเมืองท่าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ของประเทศตุรกีที่มีชื่อว่า Kușadasi (คุชาดาสึ) สภาพบ้านเมืองเริ่มดูต่างจากบ้านเมืองในกรีซ แต่ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับเมืองตากอากาศริมทะเลในยุโรปอยู่ประมาณหนึ่ง ถ้าจะย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์ที่นี่ก็คงไม่ต่างจากเมืองอื่นๆในละแวกนี้ที่มีความเป็นมาหลายพันปี แต่ปัจจุบัน Kușadasi เป็นเมืองที่กำลังพัฒนามีโครงการใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย และไกด์บอกว่าราคาค่าคอนโดต่างๆก็ยังถูกกว่าเมืองตากอากาศในยุโรปอยู่มาก  แต่วันนี้เราไม่ได้มาหาซื้อคอนโดหรอกนะครับ เรามาที่นี่เพื่อจะไปเมืองชม Ephesus (เอฟเฟซัส)  เมืองโบราณในตำนานที่สำคัญมากๆอีกเมืองหนึ่งมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณโดยเป็นศูนย์กลางแห่งการบูชาเทพ Artemis เทพแห่งการล่าสัตว์ พระจันทร์และการให้กำเนิดเด็ก โดยถ้ามีการจัดอันดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ Temple Of Artemis ที่ Ephesus ก็คงจะได้ติดลิสต์ด้วยอย่างแน่นอน  ต่อมาในยุคโรมัน Ephesus ก็เจริญรุ่งเรืองมาก ถึงกับมีการยกสถานะเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันฝั่งเอเชียเลย นอกจากนี้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลก็มีการพูดถึง Ephesus อยู่หลายครั้ง เนื่องจากเป็นที่ที่อัครสาวกของพระเยซูอย่าง Paul เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ Ephesus เป็นเมืองโบราณที่ค่อนข้างใหญ่มาก สังเกตุได้จากขนาดของ Roman Theatre ที่จุคนได้ถึง 25,000 คน (ทำให้คาดกันว่าต้องมีประชากรอย่างน้อย 250,000 คน) และตัวเมืองเองก็แบ่งออกเป็น 3 โซนคือโซนสถานที่ราชการ โซนที่อยู่อาศัยของกลุ่ม Elite ในยุคนั้น และสุดท้ายก็คือโซนชาวบ้านและแหล่งค้าขายที่เรียกว่า Agora ในภาษากรีกโบราณ  อีกหนึ่งจุดที่เป็นสัญลักษณ์ของ Ephesus ก็คือ Façade (หน้าตึก) ของหอสมุดของเซลซัส (Library of Celcus) ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและที่เก็บศพของ Tiberius Julius Celsus Polemaeanus ตัวแทนที่ถูกส่งมาให้ปกครอง Ephesus จากโรม หลังจากทัวร์ Ephesus เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาที่ Kușadasi และมีเวลาอิสระในการเดินเล่นในเมือง ด้วยความที่เราไม่มีเงิน Lira ของตุรกีติดตัว และไม่อยากจ่ายด้วยยูโรแล้วได้เงินทอนเป็น Lira (อีกใจนึงก็กลัวโดนโกงราคาด้วยแหละ ฮ่าๆ) เราก็เลยได้แค่เดินเล่นไปเรื่อยๆทั้งที่เราก็แอบอยากเข้า Cafe และลองขนมที่เค้าขายอยู่ข้างทางเหมือนกันนะ แต่ก็ตัดใจดีกว่า บรรยากาศของเมืองดีเลยครับ ทะเลสวย ลมเย็น แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ยังไม่เจอร้านอะไรที่ถูกจริตสักเท่าไหร่ ยิ่งตรงโซนรับนักท่องเที่ยวก็มักจะขายของก๊อปพวกกระเป๋า นาฬิกา แบรนด์เนมต่างๆ และเค้าทำได้ดีเลยนะ ก๊อปเนียนเชียว ฮ่าๆๆๆ  Farewell Gala Farewell Gala ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ เผลอแป๊บเดียวมาถึงงาน Farewell Gala แล้วเหรอเนี่ย จริงๆนี่ก็ยังไม่ใช่วันสุดท้ายของการล่องเรือหรอกครับ พรุ่งนี้เรายังมีอีก 1 เมืองให้แวะเที่ยว แต่เราคิดว่าถ้าจัดคืนสุดท้ายเลยผู้โดยสารอาจจะเอ็นจอยได้ไม่เต็มที่เพราะต้องมาพะวงกับการจัดกระเป๋าเตรียมตัวจบทริป เพราะนอกจากงาน Cocktail ช่วงเย็นแล้วเค้ายังมีงาน Dinner ให้เราเลือกเข้าร่วมต่อได้ด้วยและอาจจะเสร็จดึก เค้าก็เลยจัด Farewell ล่วงหน้าก่อน 1 วัน  พอถึงวันใกล้จบ Cruise ทาง Ponant ก็จะมีเอกสารต่างๆมาให้เรากรอก เช่น แบบประเมินความพึงพอใจและข้อเสนอแนะ ซองทิปเผื่อเราจะให้เป็นเงินสดแต่ถ้าจะให้ผ่านบัตรเครดิตก้สามารถทำเรื่องที่ Reception ได้เลย เราแอบเห็นทิปที่ห้องอื่นๆให้ก็จะอยู่ในช่วง 12-30 ยูโร/ห้อง/วัน รวมไปถึงแบบฟอร์มให้ทาง Ponant เตรียมรถแท็กซี่ไปสนามบินให้ถ้าต้องการนะครับ เพราะเราสามารถเรียกอูเบอร์เองได้เช่นกัน ซึ่งราคาก็จะถูกกว่า แต่เราให้ทาง Ponant เรียกให้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะไฟลต์กลับของเราค่อนข้างกระชั้นกับเวลาลงจากเรือ  Alanya Alanya นี่คือเมืองสุดท้ายที่เราจะได้ลงเที่ยวของ Cruise นี้แล้วครับ พรุ่งนี้เป็นเมือง Antalya (ชื่อคล้ายๆกันเนอะ) ที่เราจะไม่ได้เที่ยวอะไรเลยเพราะลงจากเรือแล้วต้องพุ่งตัวไปสนามบินเลย  Alanya เป็นดินแดนที่ว่ากันว่า Mark Antony จอมทัพชาวโรมันมอบให้เป็นของขวัญกับคลีโอพัตราคนรักของเขา เพราะชายหาดที่นี่สวยถูกในพระนางเป็นอย่างมาก และในปัจจุบันหาดที่ขึ้นชื่อที่สุดก็ถูกตั้งชื่อว่า Cleopatra Beach ด้วย  แต่ไม่ใช่แค่ Cleopatra หรอกนะที่ชอบที่นี่ บรรดาโจรสลัดก็ชอบเช่นกันและเคยใช้ Alanya เป็นศูนย์กลางในการปล้นสะดมเลยทีเดียว เสน่ห์ของ Alanya นั้นเห็นได้แต่ไกลตั้งแต่เราอยู่บนเรือ กำแพงเมือง (แอบคล้ายกำแพงเมืองจีนอยู่เหมือนกันนะ) ที่คนเคี้ยวไปตามไหล่เขาและมีเมืองอยู่เบื้องล่างเป็นภาพที่ทำให้รู้ว่าเมืองนี้ต้องมีความสำคัญมาแต่โบราณ และเมืองเก่าแก่แบบ Alanya นั้นก็ได้ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย จนวันนี้ Alanya กลายเป็นเมืองตากอากาศติดทะเลของตุรกีที่น่ารักเดินเพลิน โดยรวมแล้วเราชอบเมืองนี้มากกว่า Kuşadasi นะ Ponant พาเรานั่งรถออกไปชมความสวยงามของ Side (ซิเด้) เมืองยุคกรีกโบราณซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหาร Apollo และ Artemis สองพี่น้องเทพแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ เราขอข้ามเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆไป เพราะเพื่อนๆก็น่าจะเต็มอิ่มกับเรื่องนี้จากเมืองต่างๆก่อนหน้าไปแล้ว ขอโฟกัสที่วิวเลยครับ ฮ่าๆๆ สวยไม่สวยดูรูปเอาเองนะครับ แต่สำหรับเรานั้นประทับใจมาก เป็นความสวยงามที่ดูขลังแต่ก็สะอาดตา เป็นความงามในยุค Classical Architecture ที่มีเสน่ห์จริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเสากรีกโบราณสีครีมมีน้ำทะเลสีน้ำเงินสดเป็นฉากหลัง แถมมีเรือสวยๆประกอบฉากด้วย หลังจากนั้นไกด์ก็พาเรามาชมถ้ำ Damlataş (ดามลาตาช) ที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยสวยงาม และเป็นที่ที่คนเชื่อกันว่าลักษณะพิเศษบางอย่างของอากาศภายในถ้ำนั้นช่วยรักษาอาการหืดหอบด้วย จากข้อมูลที่เราหามาพบว่าอากาศในถ้ำนั้นมี Carbon Dioxide เข้มข้นกว่าอากาศนอกถ้ำถึง 10-15 เท่า และมีความชื้นถึง 95% เราเองก็ไม่ได้มีความรู้หรอกนะว่าคุณลักณะแบบนี้มีส่วนช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจได้อย่างไร แต่ปัจจุบันทางเมือง Alanya ได้ล็อคเวลาช่วง 10:00 - 14:00 น. ไว้ให้กับคนที่มีอาการหืดหอบเท่านั้น เพราะตามที่เค้าเคลมก็คือการรักษาจะได้ผลก็ต่อเมื่อคนไข้ใช้เวลาวันละ 3-4 ชั่วโมงต่อเนื่องกัน 21 วันเพื่อหายใจเอาอากาศในถ้ำเข้าไป เกิดเป็นแพ็คเก็จทัวร์สุขภาพกันจริงจัง นักท่องเที่ยวทั่วไปอย่างเราจะเข้าได้หลังจาก 14:00 น. ไปแล้ว หลังจากกลับขึ้นเรือแล้ว เราก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดกระเป๋า เพราะทาง Ponant ขอให้เรานำกระเป๋าใหญ่ที่จะให้ทางเจ้าหน้าที่ช่วยขนลงจากเรือมาวางไว้ที่หน้าห้องของเราก่อนตี 3  และการแพ็คกระเป๋าของเรานั้นถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องวางแผนมากเพราะสัมภาระของเราค่อนข้างเยอะและน้ำหนักก็ปริ่มโควตามากๆ เพื่อให้กระเป๋าเราเบาที่สุด เราจึงต้องเตรียมเสื้อผ้าที่มีน้ำหนักมาใส่ไว้ที่ตัวเราพรุ่งนี้ด้วย ฮ่าๆๆๆ Antalya Port Disembarkation at Antalya Port เช้านี้เราจะต้องเช็คเอ้าท์ออกจาก Cabin ของเราก่อน 8:00 น. หมายความว่าเราจะต้องตื่นไปทาน Breakfast และเตรียมตัวทุกอย่างให้พร้อมก่อนเวลา เราจัดการเคลียร์ทุกอย่างจนเรียบร้อยทันเวลา แล้วไปนั่งรอรถแท็กซี่มารับที่ The Main Lounge ระหว่างนั้นเราก็ขอบคุณทีมงานและเพื่อนใหม่ที่แวะเวียนเข้ามาทักทาย และบอกลา ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงเวลา 10 วันบนเรือ เราจะสร้างความรู้สึกผู้พันได้มากขนาดนี้ ในใจเราแอบเศร้าที่ต้องจากลากันแล้ว แต่หลายๆคนเราก็แลกคอนแทคท์กันไว้ก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน ในที่สุด Taxi ของเราก็มาถึง ทีมงานก็เดินมาเรียกให้เราลงจากเรือ ไปรับกระเป๋าใบใหญ่ที่ทางเรือขนลงไปข้างล่างเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ เราทักทายคนขับรถแท็กซี่และขอบคุณที่ช่วยยกกระเป๋าขึ้นรถให้ ขณะที่รถกำลังจะขับออกไป เราโบกมือลาเรือ L’Austral และทีมงานที่น่ารักทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ภาพเรือที่จอดอยู่ที่ท่าจะค่อยๆมีขนาดเล็กลงไปพร้อมๆกับระยะทางที่แท็กซี่ขับออกมาเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบิน สรุปความประทับใจ ถ้าคะแนนเต็ม 10 เราให้ทริปนี้ 100 คะแนนไปเลยครับ เป็นหนึ่งในทริปที่เราประทับใจที่สุดในชีวิตเลยล่ะ ไม่ใช่เพราะมันเพอร์เฟ็คท์สมบูรณ์แบบทุกอย่างหรอกนะครับ บางอย่างเราก็แอบอยากให้มันมากหรือน้อยกว่าที่มันเป็นอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วเราดีใจจริงๆที่ได้มาเห็นโลกกว้างอันสวยงามจนใจฟูแล้วฟูอีก และมี Ponant เป็นผู้เปิดโลกและนำพาเรามาเสพทั้งบรรยากาศ สถานที่ท่องเที่ยว ความรู้ ศิลปะ ดนตรี อาหาร และวัฒนธรรมการเดินเรือแบบฝรั่งเศสแท้ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เราอิ่มเอมใจที่สุดก็คือผู้คน ไม่ว่าจะเป็นลูกเรือหรือแขกคนอื่นๆที่เราได้ทำความรู้จักกันนั้นล้วนแล้วแต่น่ารักเป็นกันเองมากๆ ทั้งที่ตอนแรกเราก็แอบกังวลเพราะเป็น Cruise ที่มีผู้โดยสารชาวฝรั่งเศสกว่า 90% น่าจะทำให้เราเกร็ง แต่ถ้าเราเปิดเข้าหาเขา เขาก็จะเปิดเข้าหาเรา เช่นกันครับ อย่างที่บอกว่าการมาล่องเรือกับ Ponant นั้นไม่เหมือนใคร เป็นประสบการณ์ที่เติมเต็มในหลายๆด้านเพราะเค้าเสิร์ฟทั้งอาหารตา อาหารสมอง และอาหารจิตใจ Ponant สามารถทำสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของงานบริการได้สำเร็จอย่างงดงามจนน่าทึ่ง นั่นก็คือ “ความพอดี” นั่นเองครับ 10 วันของเรานั้น “พอดี” ระหว่างการได้พักผ่อนและความตื่นตาตื่นใจ “พอดี” ระหว่างความหรูหราและความอบอุ่น เราเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นลูกค้าประจำที่กลับขึ้นเรือซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเราเองก็กำลังดูๆอยู่เหมือนกันว่าทริปหน้าจะไปเส้นทางไหนกับ Ponant ดี ☺️ Exclusive Offer: Hoparound.co X Ponant 1. ทุกเส้นทาง ลดเพิ่ม 5% จากราคาหน้าเวป www.ponant.com (ราคามีการปรับอยู่เรื่อยๆ ยิ่งจองล่วงหน้านานยิ่งถูก) 2. พิเศษ! สำหรับเส้นทางจาก Valetta, Malta - Antalya, Türkiye (The Mediterranean: in the footsteps of great civilisations) ออกเดินทางวันที่ 22 มีนาคม - 1 เมษายน 2026 (11 วัน) ราคาเริ่มต้นที่ 6,207 ยูโร/ท่าน โดยจะไม่ปรับขึ้นหากจองภายใน 30 พฤศจิกายน 2025 (1 ห้องต้องพัก 2 ท่าน) วิธีการจอง 1. ดูเส้นทางและวันเดินทางที่ต้องการได้ที่หน้าเวป https://us.ponant.com/discover-our-destinations 2. คลิกที่ลิงค์ www.hoparound.co/exclusiveoffers เพื่อกรอกรายละเอียดทริปที่ต้องการเพื่อรับสิทธิ์ลดเพิ่ม 5% 3. รอให้ตัวแทนของ Ponant ติดต่อกลับทางอีเมลเพื่อดำเนินการจองกับลูกค้าโดยตรง Ponant Exclusive Offers www.hoparound.co #LetsHoparound #Ponant

  • The Surin Phuket เดอะสุรินทร์ ภูเก็ต อีกครั้งกับสวรรค์สีครามที่งดงามยิ่งกว่าเดิม

    The Surin Phuket เดอะสุรินทร์ ภูเก็ต อีกครั้งกับสวรรค์สีครามที่งดงามยิ่งกว่าเดิม วันนี้เราดีใจมากครับที่ได้กลับมาพักที่ The Surin รีสอร์ทหรูบนหาดที่สวยที่สุดและเป็นส่วนตัวที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะภูเก็ต ตลอดกว่า 40 ปีที่ผ่านมาดีไซน์รีสอร์ทระดับตำนานแห่งนี้ได้ร่ายมนต์ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้กลับมาเป็นแขกประจำซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดทั้งปี แต่สำหรับคนไทยแล้วกลับมีน้อยคนที่จะรู้จักหรือเคยได้มาสัมผัสเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครของที่นี่ด้วยตัวเอง และในการที่เรากลับมาคราวนี้ The Surin ก็มีโซนใหม่ให้เราได้ไปอัพเดทกันด้วย ปกติแล้ว The Surin จะมีแขกค่อนข้างแน่นหมุนเวียนกันจองเข้ามาเกือบตลอดปี และแทบจะไม่เคยมีข้อเสนอพิเศษสำหรับคนไทยเลย วันนี้  hoparound.co  จึงภูมิใจพรีเซนต์ดีลหายากที่เราได้ทำร่วมกับ The Surin Phuket มากๆครับ แต่เพื่อนๆต้องรีบกันหน่อยนะ จองห้องพักกับดีลพิเศษ BOOK NOW WITH EXCLUSIVE OFFER อย่างที่เกริ่นไว้ว่าครั้งนี้เป็นการกลับมาพักครั้งที่ 2 ของเรา คราวนี้จึงเน้นการอัพเดท และแจ้งดีลพิเศษเป็นหลัก ถ้าใครต้องการอ่านประสบการณ์เข้าพักครั้งแรกของเราก็ คลิกที่นี่ได้ครับ สิ่งแรกที่ทุกคนน่าจะสังเกตเห็นเมื่อมาถึงรีสอร์ทแห่งนี้นั้นน่าจะเป็นทะเลสีฟ้าคราม ณ หาดพันทรี (อ่านว่าพัน-ซี) ที่มีทรายขาวละเอียดนุ่มเท้า ทะเลที่นี่สวยจริงๆครับ ไม่ว่าเราจะมากี่ครั้งเห็นมากี่ทีก็ยังอดรู้สึกว้าวไม่ได้เลย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แดดออก ทะเลจะมีสีฟ้าเป็นพิเศษเลย  และด้วยโลเคชั่นของรีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนหาดที่มีโขดหินปิดทั้ง 2 ฝั่งโดยธรรมชาติ จึงทำให้แขกของ The Surin (และ Amanpuri ที่อยู่ติดกัน) ได้ใช้หาดนี้แบบเป็นส่วนตัวโดยไม่มีใครมารบกวน นี่คือความโดดเด่นมากๆที่ The Surin มีเหนือคู่แข่งเกือบทั้งตลาด อีกหนึ่งเสน่ห์ของ The Surin ก็คือตัวรีสอร์ทเองที่สวยงามมีเอกลักษณ์และได้รับออกแบบทั้งหมดโดยคุณ Edward Tuttle สถาปนิกระดับตำนานของโลกผู้ล่วงลับไปเมื่อปี 2020 ดังนั้นแขกที่เข้าพักจึงได้มากกว่าการพักผ่อนในบรรยากาศที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังได้มาเสพผลงานชั้นครูของปรมาจารย์ด้านการออกแบบอีกด้วย และสุดท้าย รีสอร์ทสวยๆบนหาดงามๆก็คงจะไร้ชีวิตชีวาหากไม่มีผู้คนในทีม The Surin ที่ช่วยกันส่งมอบความประทับใจผ่านการบริการอย่างมืออาชีพและพร้อมใบหน้าแต้มยิ้มทุกๆครั้งที่สบตากับแขก เมื่อความดีงามทั้ง 3 อย่างมาบรรจบกัน The Surin จึงมักกลายเป็นรีสอร์ทโปรดของแทบทุกคนที่เคยได้มาสัมผัส The Cottages ห้องพักส่วนใหญ่ของที่นี่จะมีลักษณะเป็น Cottage ซึ่งแบ่งย่อยเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับขนาด (มีทั้งแบบ 1 และ 2 ห้องนอน) และตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละหลัง แต่ Vibes โดยรวมนั้นให้อารมณ์เดียวกันเกือบทั้งหมดด้วยการตกแต่งที่เน้นงานไม้ทาสีเทาอ่อนตัดกับผนังสีขาวสะอาดตา พูดง่ายๆก็คือห้องพักของ The Surin นั้นมีเสน่ห์น่าพักทุกประเภทเลยครับ แม้กระทั่ง Room Type เริ่มต้นที่อยู่บนเนินเขาและมีทิวมะพร้าวเขียวชอุ่มเป็นวิวก็ให้ความรู้สึกร่มเย็นและเป็นส่วนตัวมากๆ แต่เพื่อให้ตอบโจทย์ของเพื่อนๆมากที่สุด เราแนะนำให้สอบถามโดยตรงกับทางรีสอร์ทว่า Cottage แบบไหนที่จะเหมาะกับเงื่อนไขต่างๆของเรามากที่สุดนะครับ  Beach Suites กลับมาคราวนี้ห้องพักของเราคือ Beach Suite หมายเลข 340 ซึ่งอยู่บนหาดเลย ได้วิวทะเลแบบเต็มตาไม่มีอะไรมากั้นยกเว้นกรอบหน้าต่าง ตอนกลางคืนก็ได้ยินเสียงคลื่นกล่อมนอน และยังมีระเบียงให้ออกไปนั่งเล่นจิบกาแฟชิลๆริมหาดด้วย ห้องของเราขนาดประมาณ 65 ตร.ม. แบ่งสัดส่วนเป็นห้องนอนพร้อมมุมนั่งเล่นชมวิว ถัดเข้าไปอีกหน่อยก็จะเป็น Walk-In Closet แยกเป็น 2 ฝั่งสำหรับผู้เข้าพักแต่ละคน และจากนั้นก็เป็นห้องน้ำพร้อมอ่างอาบน้ำตรงกลาง ประกบด้วยอ่างล้างหน้าแยกกัน 2 ฝั่ง ใครที่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับทะเลก็ต้องเป็น Room Type นี้เลยครับ ในปี 2021 ที่เรามาพัก The Surin เมื่อคราวก่อน ตอนนั้น Pool Villa และ ร้านอาหาร Beach Restaurant นั้นยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง แต่กลับมาในคราวนี้ทุกอย่างเปิดพร้อมให้บริการกันแล้ว เราไปอัพเดทกันดีกว่าครับ  Pool Villa  แม้คุณ Edward Tuttle จะล่วงลับไปก่อนที่ Pool Villa ของ The Surin จะสร้างขึ้น แต่งานออกแบบก็ยังคงอ้างอิงจากสไตล์ของเขามาทั้งหมด เพียงแต่ Pool Villa จะเน้นสีไม้ธรรมชาติ ไม่ทาสีเทาอ่อนแบบ Cottage อื่นๆ และมีเพียง 6 หลังเท่านั้น ขึ้นชื่อว่า Pool Villa แน่นอนว่าต้องมีสระส่วนตัวมาให้ แต่ของที่นี่ยังมีศาลาพักผ่อนส่วนตัวมาให้อีกด้วย ส่วนด้านในนั้นแบ่งสัดส่วนเป็นอย่างดีครับ มี 1 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น ให้อารมณ์เหมือนบ้านที่อบอุ่นและหรูหราไปพร้อมๆกัน อ่างอาบน้ำในห้องน้ำนั้นดูทันสมัยและใหญ่กว่าที่อ่างของห้องแบบเก่าพอสมควรเลยครับ Pool Villa นั้นเหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว และชอบพื้นที่ใช้สอยกว้างๆ (ประมาณ 90 ตร.ม.) Beach Restaurant มาถึงห้องอาหารไทยที่เปิดใหม่อย่าง Beach Restaurant กันบ้าง สำหรับเพื่อนๆที่จองด้วยโค้ด Hop Around ก็จะได้เซ็ตดินเนอร์ 1 มื้อ (Degustation Set) สำหรับ 2 ท่าน ที่ห้องอาหารนี้ด้วยนะครับ Beach Restaurant นั้นตกแต่งสไตล์ไทยโมเดิร์น ตั้งอยู่หน้าหาดมีทั้งโซน Indoor และ Outdoor สามารถรองรับได้ตั้งแต่โต๊ะเล็กๆ 1-2 คน ไปจนถึงกรุ๊ปใหญ่ๆ หรืองานจัดเลี้ยงก็ได้เช่นกัน วันนี้เราสั่งมาชิมหลายเมนูเลย อร่อยทุกจานครับ แต่เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของ The Surin จะเป็นชาวต่างชาติ การปรุงรสจึงมีการปรับให้เหมาะกับแขกส่วนใหญ่ของทางรีสอร์ท แต่ถ้าเราชอบรับประทานรสจัดจ้านแบบคนท้องที่ก็สามารถรีเควสต์กับพนักงานได้เลยนะครับ Breakfast at Lomtalay Restaurant ไหนๆก็พูดถึงอาหารกันแล้ว เรามาดูหน้าตาอาหารเช้าที่รวมอยู่ในข้อเสนอของเรากันด้วยดีกว่านะครับ อาหารเช้าที่นี่เสิร์ฟที่ห้องอาหารลมทะเล โดยมีทั้งแบบบุฟเฟต์และ A la carte ปรุงสดให้เราเลือกสั่งได้เต็มที่เลยครับ อาหารเช้าของ The Surin นั้นมีความหลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ มีทั้งแบบตะวันตกและเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ นม ไข่ ชีส เบเกอรี่ ไปจนถึงแบบสุขภาพที่เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชและโยเกิร์ต เราชอบน้ำผลไม้คั้นสดและสมูธตี้ในไลน์บุฟเฟ่ต์เป็นพิเศษ ส่วนอาหารท้องที่ก็มีทั้งติ่มซำ ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน โรตี ไปจนถึงข้าวราดผัดกะเพรา และข้าวเหนียวหมูทอดแบบ A la carte  Poolside Dining สำหรับมื้ออื่นๆ ที่ Poolside Dining จะมีเสิร์ฟทั้งอาหารไทยและฝรั่งในเมนูที่อร่อยง่ายๆแบบ All Day Dining เช่น ผัดไทย สเต๊ะ เบอร์เกอร์ แซนด์วิช หรือพิซซ่า  จองห้องพักกับดีลพิเศษ BOOK NOW WITH EXCLUSIVE OFFER Sunset Restaurant ส่วนที่ห้องอาหาร Sunset ที่อยู่ติดกันในอาคาร ก็พร้อมเสิร์ฟดินเนอร์แบบเมดิเตอร์เรเนียนเลิศรสให้แขกทุกๆเย็นครับ Beach Bar อีกหนึ่งสิทธิพิเศษสำหรับแขกที่จองด้วยโค้ด Hop Around ก็คือส่วนลด 10% สำหรับเครื่องดื่มผสมแอลกOฮอล ซึ่งสั่งได้จากทุกห้องอาหารของรีสอร์ท แต่ถ้ามาดื่มที่ Beach Bar ก็จะชิลล์เป็นพิเศษครับเพราะอยู่ติดหาด และเขาเสิร์ฟเครื่องดื่มทั้งกลางวันและกลางคืนเลย Spa สปาเราก็มีส่วนลด 10% ให้เช่นกัน สำหรับแขกที่จองด้วยโค้ด Hop Around นะครับ และที่ The Surin นั้นก็มีชื่อเสียงในด้านสปาด้วยเช่นกัน เราประทับใจที่ก่อนนวดพี่ Therapist จะมีการวนขัน Singing Bowl เพื่อทำ Sound Bath ให้เรารู้สึกสงบก่อน และน้ำหนักมือที่ถูกฝึกมาอย่างดีนั้นก็ทำให้เราเคลิ้มจนเผลอหลับไปได้อย่างรวดเร็วเลยครับ Water Activities นอกจากเราจะสามารถลงเล่นน้ำในสระ 6 เหลี่ยมสีดำขนาดใหญ่สุด Iconic ที่เป็นมรดกงานออกแบบของคุณ Edward Tuttle แล้ว ทางรีสอร์ทยังมีอุปกรณ์สำหรับเล่นกิจกรรมทางน้ำไว้คอยให้บริการเราซึ่งส่วนใหญ่ก็จะฟรีด้วยนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศนะครับ ไม่ว่าจะเป็น บอดี้บอร์ด แพดเดิ้ลบอร์ด เรือแคนู วินด์เซิร์ฟ ดำน้ำสนอร์เกิ้ล ไปจนถึงเรืออย่าง Hobie Cat และ Catamaran Sailing แต่ถ้าใครชอบอยู่แค่บนชายหาด ก็มีอุปกรณ์วอลเลย์บอลกับฟุตบอลชายหาดไว้ให้ยืมด้วย Gym เพื่อนๆเคยออกกำลังกายในห้องแอร์หน้าหาดมั้ยครับ เราอยากให้ได้มาลองการออกกำลังที่นี่กันครับ เพราะทั้งชิลล์และได้เหงื่อไปพร้อมๆกัน ที่สำคัญคืออุปกรณ์ทุกอย่างของที่นี่นั้นครบครันทันสมัยได้มาตรฐานโลกไปเลย Boutique ใครอยากหาของที่ระลึกติดไม้ติดมือให้แวะเข้ามาที่ The Boutique ของรีสอร์ทครับ ในนี้จะมีทั้งของที่คัดมาจากแหล่งต่างๆ และสินค้าที่เป็นแบรนด์ของรีสอร์ทเอง น่าสนใจหลายชิ้นเลยล่ะ Library ถ้าเต็มอิ่มกับลมทะเลและแสงแดดแล้วอยากจะหาที่ตากแอร์พักร้อนโดยไม่ต้องกลับห้องพัก เราขอแนะนำห้องสมุดสุดสวยของ The Surin ที่นี่มีหนังสือให้เลือกอ่านและดูรูปได้เพลินๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเชิงศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ แถมยังมีโต๊ะ Pool ให้เล่นได้ด้วยครับ ใครจะหิ้วคอมฯหอบงานมานั่งทำในนี้ก็เย็นสบายแถมดีไซน์สวยมากเหมือนอยู่ห้องสมุดบ้านเศรษฐีเก่าเลยแหละ จองห้องพักกับดีลพิเศษ BOOK NOW WITH EXCLUSIVE OFFER ยอมรับเลยว่า The Surin เป็นรีสอร์ทที่มีเสน่ห์มากๆครับ ถ่ายรูปสวยทุกมุม ดูรูปที่เราถ่ายมาฝากเป็นหลักฐานได้เลย แต่ที่มากกว่าความโฟโตเจนิคก็คือ Vibes ของสถานที่จริงครับ เราได้รับพลังงานบวกทุกครั้งที่กลับมาที่นี่ ทั้งจากธรรมชาติที่สวยงาม งานสถาปัตย์ระดับโลก และการบริการที่อบอุ่นรู้ใจ ที่สำคัญคือลูกค้าคนไทยยังค่อนข้างน้อยมากๆ เราจึงอยากให้เพื่อนๆชาว #Hopsters ได้ไปลองสัมผัสกันดูสักครั้งครับ จองห้องพักกับดีลพิเศษ BOOK NOW WITH EXCLUSIVE OFFER The Surin Phuket Pansea Beach, 118 Moo 3, Choengtalay, Thalang, Phuket 83110 Thailand Tel: +66 (0) 76 316 400 Fax: +66 (0) 76 621 590 E-mail: hotel@thesurinphuket.com Website: www.thesurinphuket.com #TheSurinPhuket #Phuket #LuxuryBeachResort #LetsHoparound #รีวิวโรงแรม #รีวิวรีสอร์ท #เดอะสุรินทร์ภูเก็ต #ภูเก็ต #BestHotelsInPhuket #PlacestoStay #LuxuryResort

  • ล่องเรือสำราญ PONANT Luxury Expeditions สำรวจโลกกับราคาสุดพิเศษ

    ล่องเรือสำราญ PONANT Luxury Expeditions สำรวจโลก ดีลพิเศษสำหรับการออกเดินทางครั้งใหม่ พร้อมเปิดเรือต้อนรับเพื่อนๆแล้วครับ Hoparound.co X Ponant ชวนเพื่อนๆไปสัมผัสกับซอกมุมแรร์ไอเท่มของโลกใบนี้ในวิถี Quiet Luxury บนหลากหลายเส้นทางเดินเรือตั้งแต่ขั้วโลกเหนือจรดใต้ในจุดหมายที่เรือน้อยลำจะเข้าถึงได้ Ponant (โพน้องต์) คือแบรนด์เรือสำราญสุด Exclusive สัญชาติฝรั่งเศสที่ตอบโจทย์นักเดินทางผู้หลงไหลการสำรวจโลก (Expedition) โดยไม่ต้องลดคุณภาพ Lifestyle ในมิติที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน นอกจาก Ponant จะพาเราออกเดินทางสู่ความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ด้วยพลังงาน Hybrid เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่ละเส้นทางของ Ponant ก็เป็นประสบการณ์ที่ห่อหุ้มด้วย Theme เฉพาะไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นแนว Gastronomy ที่ชวนลิ้มรสอาหารชั้นเลิศ และวัตถุดิบท้องถิ่นที่เลือกสรรมาอย่างดี และบางเส้นทางก็มีการเชิญเชฟชื่อดังระดับโลกตัวจริงมาปรุงอาหารให้เราเลย หรือจะเป็น Theme ดนตรีที่เชิญนักดนตรีชั้นครู (บางท่านเป็นแชมป์โลกเลยครับ) มาบรรเลงเพลงขับกล่อมเราตลอดเส้นทาง แขกของ Ponant จะได้สัมผัสกับความน่าตื่นตาตื่นใจของเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คน และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่เราคาดไม่ถึง มาตกหลุมรักกับดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกให้ลึกซึ้งกว่าเดิม พร้อมส่วนลดพิเศษเมื่อจองผ่าน Hoparound.co Exclusive Offer: Hoparound.co X Ponant 1. ทุกเส้นทาง ลดเพิ่ม 5% จากราคาหน้าเวป www.ponant.com (ราคามีการปรับอยู่เรื่อยๆ ยิ่งจองล่วงหน้านานยิ่งถูก) 2. พิเศษ! สำหรับเส้นทางจาก Valetta, Malta - Antalya, Türkiye (The Mediterranean: in the footsteps of great civilisations) ออกเดินทางวันที่ 22 มีนาคม - 1 เมษายน 2026 (11 วัน) ราคาเริ่มต้นที่ 6,207 ยูโร/ท่าน โดยจะไม่ปรับขึ้นหากจองภายใน 30 พฤศจิกายน 2025 (1 ห้องต้องพัก 2 ท่าน) วิธีการจอง 1. ดูเส้นทางและวันเดินทางที่ต้องการได้ที่หน้าเวป https://us.ponant.com/discover-our-destinations 2. คลิกที่ลิงค์ www.hoparound.co/exclusiveoffers  เพื่อกรอกรายละเอียดทริปที่ต้องการเพื่อรับสิทธิ์ลดเพิ่ม 5% 3. รอให้ตัวแทนของ Ponant ติดต่อกลับทางอีเมลเพื่อดำเนินการจองกับลูกค้าโดยตรง เลือกชมเส้นทางเดินเรือรอบโลกได้ที่ Ponant Expedition รับส่วนลดขั้นต่ำ 5% ทุกเส้นทางรอบโลกเมื่อจองกับ Hoparound.co #PONANT #Luxury #Expeditions #Letshoparound

  • VALA Hua Hin บูทีค บีช รีสอร์ตกับบรรยากาศสุดชิลริมหาดหัวหิน

    VALA Hua Hin บูทีค บีช รีสอร์ตกับบรรยากาศสุดชิล ลุคโมเดิร์น ริมหาดหัวหิน VALA Hua Hin โรงแรมเปิดใหม่ล่าสุดในหัวหิน การันตีด้วยการเป็นสมาชิกของ Small Luxury Hotels Of The World เพียงสองชั่วโมงจากกรุงเทพฯคุณก็จะได้พบกับโรงแรมริมหาดหัวหินที่สวยหมดจดไปซะทุกมุม และเป็นจุดกลมกล่อมลงตัวพอดิบพอดีระหว่างความทันสมัยและความเป็นธรรมชาติ พร้อมการบริการระดับ 5 ดาว ทำให้ประสบการณ์ของเราที่ Vala นั้นทั้งหรูหรา ผ่อนคลาย และร่วมสมัยไปพร้อมๆกันอย่างไม่เคอะเขิน นอกจากห้องพักที่งดงามตามท้องเรื่องแล้วจุดเด่นที่สุดของที่นี่น่าจะเป็นสระว่ายน้ำสีฟ้าสดใสขนาดใหญ่กว่า 770 ตร.ม. ที่ทอดตัวยาวไปจนถึงชายหาดเลยทีเดียว "VALA” แปลว่า พลังของธรรมชาติ จากคำที่สะดุดหูจากหนังสือวรรณกรรมที่ทางผู้ก่อต้้งโรงแรมชอบอ่านตอนเด็กๆ และมีความหมายว่า "พลังธรรมชาติ" ซึ่งสอดคล้องกับคอนเซปต์ "Nature's Touch with a Modern Design" ในการออกแบบโรงแรมที่ต้องการพอดี เพราะอยากให้แขกที่มาเยือนได้ผ่อนคลายและรีชาร์จด้วยพลังธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยต้นไม้และทะเล ล็อบบี้โรงแรมเน้นการตกแต่งโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติเพื่อให้แขกได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทันที่ที่มาถึง โดยเน้นสีเอิร์ธโทน สว่าง ไม่ฉูดฉาด เพื่อสร้างให้เกิดความรู้สึกเบาสบาย และปลอดภัย รายละเอียดในการแต่งแต้มงานสถาปัตยกรรมหลักที่สื่อถึงธรรมชาติแบบอ้อมๆเข้าไปเพิ่มนั้นก็เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกยัดเยียดให้ชมงานสถาปัตยกรรมมากจนเกินไป เส้นสายที่โค้งของเสา ผนัง และเฟอร์นิเจอร์ถูกหยิบเอามาใช้บ่อยๆ เพื่อช่วยลดทอนความแข็งตึ้บงานโครงสร้างปูน ทั้งยังเข้ากับสมัยนิยมอีกด้วย เราชอบต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกอยู่ในดิสเพลย์เป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเปิดรับแสงอาทิตย์ให้ความสว่าง และความรู้สึกอ่อนโยนในล็อบบี้แล้ว แสงเงาที่ตกกระทบผ่านแมกไม้เข้ามายังพื้นผิวภายในซึ่งค่อยๆเปลี่ยนองศาในแต่ละช่วงของวันนั้นยังเปรียบเสมือนชิ้นงานศิลปะจากธรรมชาติที่ทำให้หัวใจรู้สึกได้ถึงความรื่นรมย์และเป็นมิตรตลอดวัน เมื่อมาถึง พนักงานจะคอยบริการเช็คอิน ยกกระเป๋า และขับรถไปจอดให้ จากนั้นก็นำเวลคัมดริ้งค์มาเสิร์ฟ เป็นน้ำตะไคร้หวานน้อย เพื่อเติมความสดชื่นให้กับแขกผู้มาเยือน เช็คอินเรียบร้อยแล้ว พนักงานจะพาเดินไปที่ห้องของเราโดยผ่านเหล่ากำแพงสีขาวที่ขนาบทางเดินพร้อมกับต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางทางเดิน ทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ห้องพักแบบแรกที่เราเข้าพักคือ Deluxe Seaview วิวสระน้ำและทะเลมาพร้อมระเบียงขนาดปานกลาง ชั้นสาม ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากๆ ขนาดห้องประมาณ 46 - 50 ตร.ม. ภายในห้องตกแต่งด้วยวัสดุที่หลากหลาย ทั้งไม้ ปูน หิน เหล็ก หวาย และผ้า โดดเด่นหัวเตียงทรง Arch โค้ง ห้องต่อมาเป็นห้อง Deluxe Beachfront มีวิวทะเลส่วนตัว มาพร้อมกับ Out-door Bathtub บนระเบียงขนาดใหญ่ พร้อมที่นั่งพักผ่อน ตั้งอยู่บนชั้นสอง ขนาดห้องประมาณ 50 ตร.ม. ซึ่งถือว่ากว้างมากๆ โดยในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามมาตรฐานโรงแรม 5 ดาว ห้อง Pool Villa Beachfront มีวิวทะเล มาพร้อมกับสระว่ายน้ำส่วนตัว มีอ่างอาบน้ำ ขนาดห้องประมาณ 90-120 ตร.ม. เราว่าห้องนี้มีเป็นส่วนตัวและใหญ่สุดๆ ไฮไลท์สำคัญของโรงแรมจริงๆเลยก็คือสระว่ายน้ำไซส์ใหญ่เบิ้ม ที่โดดเด่นอยู่กลางโรงแรม ซึ่งช่วยเชื่อมเอาประสบการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกันจากอาคารสู่ท้องทะเลทั้งในแง่ของตำแหน่งสระ และการดีไซน์รูปทรง โทนสี และอารมณ์ของน้ำ เราประทับใจการไล่เฉดสีฟ้าสดจากอ่อนไปเข้มด้วยขั้นบันไดที่ปูด้วยหินสีเทาอ่อนเป็นพิเศษ (ระวังสันบันไดบางขั้นมีความคมนะครับ - เราได้แจ้งทางโรงแรมไปแล้ว) เพราะมันทั้งเข้ากันกับสภาพแวดล้อม แต่ก็โดดเด่นในตัวเองไปพร้อมๆกัน ความร่มเย็นหลังพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อแสงอาทิตย์เคลื่อนองศาไปตามช่วงเวลาของวัน mood ของโรงแรมก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน จากความสว่างสดใส ก็กลายเป็นแสงสีทองที่ soft สุขุมลงมา เพื่อย้ำเตือนว่าเวลาอีกหนึ่งวันกำลังจะหมดไปแล้ว กระทั่งความมืดมิดเริ่มเข้าปกคลุม ไฟวอร์มไลท์สีอุ่นตัดกับบรรยากาศฟ้ามืด ทำให้พื้นที่ว่างหลายจุดในโรงแรมจะกลายเป็น Space ที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับให้ลูกค้าได้ใช้เวลาส่วนตัวนั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆ หรือในทางกลับกันนั้น พื้นที่ว่างนี้ยังสามารถใช้สำหรับจัดงานรื่นเริง หรืองานปาร์ตี้เล็ก ๆ กับ กลุ่มเพื่อน ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่ว่างภายในโรงแรมเพื่อสร้าง space แห่งสีสันและความสนุกได้เช่นเดียวกัน WOODS Kitchen & Bar ห้องอาหารและบาร์ เป็นห้องอาหารหนึ่งเดียวในโรงแรม โดยตัวอาคารเป็นทรงกลมมีสองชั้นโดยชั้นแรกจะเสริฟเป็นอาหาร Thai และ International ที่มีการดัดแปลงส่วนผสมและการเลือกสรรวัตถุดิบท้องถิ่นมาปรุงอาหาร โดยแบ่งรูปแบบของอาหารเป็น 2 ส่วนคืออาหารกลางวัน Thai and Interna tional Favorites และ มื้อเย็นจะเสิร์ฟทาปาส เมนูซีฟู้ดกริลที่หอมเตะจมูกชวนรับประทาน เมื่อความสดของวัตถุดิบท้องถิ่นชั้นยอดได้มาพบกับรสมือของเชฟผู้ชำนาญ เมนูทั้งหมดจึงถูกรังสรรค์ขึ้นมาได้อย่างลงตัวโดยเชฟ Nelson Amorim จาก Il FUMO ส่วนชั้นที่สองก็จะเป็นบาร์ที่มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลาย ให้เราได้ชิลกันบนดาดฟ้าชมวิวอ่าวไทยอันงดงามสุดสายตา ซึ่งที่นี่เพื่อนๆจะได้ลิ้มลองค็อกเทลแปลกใหม่ซึ่ง วาลาหัวหิน ได้ร่วมกับ Vesper ซึ่งเป็นบาร์ที่มีชื่อเสียงและติดอันดับ 11 ใน 50 บาร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย นำวัตถุดิบในท้องถิ่นมารังสรรค์เป็นเครื่องดื่มสุดพิเศษ เช่น น้ำตาลโตนดแทนไซรัป โดยมี 8 เมนูค็อกเทลซิกเนอเจอร์ และอีก 12 เมนูทวิสต์ค็อกเทล เริ่มต้นมื้อเช้าที่ห้องอาหาร WOODS Kitchen อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบบุฟเฟต์นานาชาติจัดเต็มมาให้เลือกเพียบ ตั้งแต่เมนูไทยๆอย่าง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด หมี่ผัด ข้าวต้ม ไปจนถึงอาหารวิถีฝรั่งอย่าง ขนมปัง ครัวซองต์ สลัด น้ำผลไม้ สด ชา กาแฟ เมนูไข่สารพัดรูปแบบ ใครเป็น Breakfast lover ต้องถูกใจแน่นอน The Morning light at VALA อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือการตื่นเช้ามาชมดวงอาทิตย์ฉายรัศมีสีทองขึ้นจากทะเล ถ้าวันไหนฟ้าเปิดมากๆ จะสวยไม่แพ้ดวงอาทิตย์ตกเลยหล่ะ สรุปความประทับใจกับ VALA Hua Hin เรารู้สึกประทับใจกับการมาพักผ่อน 2 วัน 1 คืน โดยเฉพาะอัธยาศัยไมตรีของพี่ๆน้องๆพนักงานทุกๆส่วนที่ให้บริการจากใจทำให้รู้สึกผ่อนคลายเป็นกันเองมากๆ สิ่งต่อมาคืองานดีไซน์โรงแรมที่ทำให้ทุกมุมขึ้นกล้องราวกับอยู่ในนิตยสาร Condé Nast ถ่ายรูปได้ออกมาสวย เท่ หมดเลย ส่วนคุณภาพของเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกห้องพักก็ได้คะแนนเต็ม (ปล.เตียงนุ่มสบายและห้องกว้างมากกก) แต่เนื่องจากโรงแรมเพิ่งเปิดสดๆร้อนๆ อาจจะมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ต้องเก็บตกอยู่บ้าง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ความเพอร์เฟ็คท์นั้นอยู่ในความไม่เพอร์เฟคท์นั่นเอง รีวิว VALA huahin รีวิวโรงแรมวาลาหัวหิน Vala hua hin รายละเอียดเพิ่มเติม Tel: 02 651 9080 LINE @valahuahin: https://bit.ly/35Gru5C Website: https://bit.ly/2TA7wUs Email: stay@valahuahin.com #Letshoparound FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co

  • AMANPURI อมันปุรี The Original Aman

    AMANPURI อมันปุรี The Original Aman ป่ะ! ไป #hop ชมรีสอร์ทหรูระดับ Ultra-Luxury ที่ Amanpuri ภูเก็ตกัน ที่นี่คือรีสอร์ทแห่งแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Aman แบรนด์ที่พัก Exclusive ที่เลอค่าที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก และรีสอร์ทหรูแห่งนี้ยังเป็น Flagship Property ของแบรนด์ที่พิเศษสุดๆอีกด้วย Aman (แปลว่าความสงบในภาษาสันสกฤติ) ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ Hospitality สุดหรูที่มีโอกาสต้อนรับแขก A-list ทั่วโลกอยู่บ่อยๆเท่านั้น แต่ทุกๆ Property ของ Aman นั้นตั้งอยู่ในทำเล Exclusive ที่คัดสรรมาอย่างดีทั่วโลก ทั้งที่อยู่แนบชิดกับธรรมชาติที่งดงามตระการตา หรือเป็นสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติของแต่ละถิ่นที่ ทำให้ Aman เป็นมากกว่าที่พักสวยหรูทั่วๆไป แต่เป็นจุดหมายปลายทางที่หลายคนใฝ่ฝันว่าจะต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิตเพื่อลิ้มรสความสมบูรณ์แบบในทุกๆองค์ประกอบของความเป็นสถานที่แห่งความสุขสงบเหนือระดับ Exclusive Rate for Hoparound.co Fans ! ! ราคาพิเศษเฉพาะ Hoparound.co เท่านั้น!! ตั้งแต่โลเคชั่นที่งดงามทรงคุณค่าและเป็นส่วนตัวขั้นสุด งานสถาปัตยกรรมที่ผสานเสน่ห์วัฒนธรรมของสถานที่นั้นๆ ให้เข้ากับความสะดวกสบายตามวิถีชีวิตสมัยใหม่ได้อย่างมีรสนิยม การบริการอันดีเยี่ยมไร้ที่ติ และที่เหนือชั้นในการฝึกอบรมทีมมากๆก็คือการแสดงออกถึงความจริงใจของพนักงานทุกคนที่เราสัมผัสได้จึงทำให้ไม่รู้สึกเกร็งใดๆเลย รวมไปถึงการสนับสนุนให้แขกได้ตักตวงเอาประสบการณ์ดีๆจากแต่ละโลเคชั่นให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะในรูปแบบของกิจกรรมที่ยูนีคและหลากหลาย หรือการช่วยให้แขกได้ออกไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนจริงๆอย่างไม่เคอะเขิน ทั้งหมดนี้รวมเป็นความ Luxury ที่แท้จริงที่ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของ “มูลค่า” แต่ให้ความสำคัญกับ “คุณค่า” และการส่งมอบพลังอันดีงามจาก Aman ไปสู่แขกเพื่อให้บรรลุถึงความสุขสงบสมกับความหมายของชื่อแบรนด์ และที่น่าดีใจก็คือแบรนด์รีสอร์ทระดับท็อปของโลกอย่าง Aman นี้มีจุดเริ่มต้นที่แหลมเล็กๆที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของต้นมะพร้าวริมทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ตบ้านเรานี่เอง Amanpuri แปลว่า Place of Peace หรือสถานที่แห่งความสงบ และจากประสบการณ์ตรง 3 วัน 2 คืนของเราที่นี่ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะมีอายุถึง 32 ปีแล้ว แต่ทุกตารางนิ้วของที่นี่ก็ได้รับการดูแลอย่างยอดเยี่ยม และยังคงเปี่ยมด้วยเสน่ห์และรสนิยม เรือนที่พักสำหรับแขกจร (Guest Pavilion) ประมาณ 40 หลัง และวิลล่าที่มีเจ้าของซื้อขาดอีกประมาณ 47 หลัง ถูกออกแบบให้เป็นเรือนทรงอยุธยาโดยสถาปนิกชื่อดัง Ed Tuttle แม้จะมีอาคารเดี่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก แต่การจัดวาง landscape และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบนั้นทำให้เรารู้สึกถึงความสงบและเป็นส่วนตัวท่ามกลางแมกไม้ และต้นมะพร้าวจนน่าประทับใจ ระหว่างเดินทางบนรถลิมูซีนของ Aman ที่ไปรับเรามาจากสนามบิน เราพยายามมองหาป้าย Amanpuri ระหว่างทาง แต่ก็ไม่เห็นเลย เราจึงไม่แน่ใจว่าเราใกล้ถึง Amanpuri แล้วหรือยัง แต่จู่ๆรถลิมูซีนของเราก็จอดลงอย่างนุ่มนวล และทันทีที่เราก้าวเท้าลงจากรถ เสียงฆ้องก็ดังกังวาลขึ้นเพื่อต้อนรับการมาถึงของเรา ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นดาราฮอลลีวู้ดทั้งหลายที่เคยเป็นแขกที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Leonardo DiCaprio, Tom Cruise หรือแม้กระทั่ง Beyonce ที่เข้ามาใช้บริการอยู่หลายครั้ง จากนั้นรถรับ-ส่งภายในรีสอร์ทก็มารับช่วงต่อเพื่อพาเราไปเข้าเช็คอินที่ Partial Ocean Pool Pavilions ของเราได้เลย โดยไม่ต้องเช็คอินที่ล็อบบี้เหมือนโรงแรมทั่วไป Partial Ocean Pool Pavilions แบบ 2 ห้องนอน หลังจากที่ Porter ทั้ง 3 คนช่วยยกสัมภาระของเราเข้าที่พักซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนคู่สไตล์อยุธยาที่พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว พนักงานต้อนรับอีกคนก็เข้ามาช่วยเรากรอกเอกสารในการเช็คอิน พร้อมกับแนะนำรายละเอียดต่างๆของ Pavilions ของเรา เริ่มตั้งแต่บริเวณด้านนอกซึ่งมีทั้งสระว่ายน้ำพร้อมเตียงอาบแดดส่วนตัว และศาลานั่งเล่นส่วนตัวอีก 2 หลังสำหรับแขกในเรือนนอนแต่ละเรือน ด้านบนโต๊ะก็มีจดหมายจากทีมงานน่ารักๆ พร้อมช็อกโกแลตสุดอร่อย (เราประทับใจที่นี่มากจนกลับมาซ้ำรอบ 2) ที่พักเราเป็นแบบ 2 ห้องนอน ซึ่งแยกกันอยู่ในเรือน 2 เรือนติดกัน เรือนละ 1 ห้องนอน และมีสะพานเชื่อมไปมาหาสู่กันได้) ส่วนภายในเรือนนอนแต่ละหลังก็เป็นห้องนอนที่ดูกว้างขวาง มีสมาร์ททีวีขนาดใหญ่ซ่อนอยู่หลังบานเลื่อนไม้ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ตู้เซฟ ระบบอิเล็คโทรนิคทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ แอร์ ทีวี นาฬิกาปลุกนั้นสามารถควบคุมด้วย iPad และยังใช้สั่ง Room Service และอ่านนิตยสารได้อีกด้วย หากต้องการความสดชื่นก็มีน้ำตะไคร้เป็น Welcome Drink ให้เราบริการตัวเองได้เลย ส่วนผลไม้ ขนม ชา กาแฟ (แบรนด์ illy) และเครื่องดื่มในตู้เย็นที่วางไว้ก็สามารถหยิบทานได้ตามสบายและมาเติมให้ทุกวันโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม และที่สำคัญสำหรับชาว Hoparound.co รับฟรี! In-room Cocktail Session for Two ทันที!! (เมื่อทำการจองผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์โดยตรงกับทางโรงแรมแล้วแจ้ง โปรโมชั่นโค้ด Hop Around) ที่ขนาดใหญ่กว่าห้องนอนก็คือห้องน้ำซึ่งมาพร้อมกับอ่างอาบน้ำแบบฝังบนพื้นไม้ยกระดับ แยกโซน Shower และโซนชักโครกต่างหากเป็นสัดส่วน มีผ้าขนหนูทั้งเช็ดหน้า เช็ดตัว รองเท้าใส่ในห้อง รองเท้าแตะใส่ไปหาด หมวกแก๊ปกันแดด กระเป๋าชายหาด ไปจนถึงเสื่อโยคะ สำหรับเครื่องประทินผิวนั้นเป็นของแบรนด์ Aman Skincare โดยเฉพาะ และมีให้ครบครันตั้งแต่ครีมอาบน้ำ เกลือขัดผิว สบู่ก้อนล้างมือ และโลชั่นบำรุงผิว โดยที่ของเหลวทุกอย่างจะถูกบรรจุไว้ในขวดเซรามิคเพราะ Aman มุ่งมั่นที่จะจำกัดการใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด สำหรับรอบที่สอง เราเลือกนอนห้องแบบ Ocean Pool Pavilion มีสระว่ายน้ำ วิวทะเล ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี เราสั่ง Room Service จากห้องอาหารไทย Buabok มาภูเก็ตทั้งทีเราจึงสั่งเมนูอาหารใต้มาประเดิมมื้อแรกกันก่อนด้วยหมี่สะปำ แกงเหลือง คั่วกลิ้ง และหมี่หุ้นแกงปูใบชะพลู โดยทาง Aman นำมาเสิร์ฟให้ถึงศาลาริมสระส่วนตัวของเราเลย ยิ่งกว่านั้นเชฟกรรณิการ์ประจำห้องอาหาร Buabok ก็ให้เกียรติมาอธิบายอาหารแต่ละจานด้วยตัวเองทำให้เราประทับใจมาก รสมือของเชฟนั้นเข้มข้นถึงเครื่องแบบกลมกล่อมพอดี และที่สำคัญคือวัตถุดิบนั้นสดและคุณภาพดีจริงๆ นั่งชิลรับประทานมื้อเที่ยงสไตล์ไทยๆที่ Beach Terrace สำหรับรอบที่สองที่เราได้ไปเยือนอมันปุรี เราได้ลองไปชิมอาหารที่ Beach Terrace ติดริมหาดพันทรี บอกเลยว่ารสชาติอร่อยถึงเครื่องไม่แพ้กัน แถมบรรยากาศก็ฟินอีกด้วย หาดพันทรี (Pansea Beach) หาดส่วนตัวของ Aman ที่สงบและงดงาม อิ่มอร่อยกันจนพุงกางแล้วเราจึงไปเดินเล่นริมหาดพันทรี (Pansea Beach) หาดส่วนตัวของ Aman ที่งดงามและลงตัวด้วยองค์ประกอบต่างๆ ทั้งทรายที่ขาวละเอียดเหมาะแก่การนอนอาบแดด น้ำทะเลใสไล่เฉดสีเขียวอมฟ้าแกมน้ำเงิน ต้นมะพร้าวสูงลิ่วยืนตระหง่านเรียงรายอยู่ริมหาด แม้กระทั่งโขดหินธรรมชาติก็ตั้งประดับอยู่อย่างเหมาะเจาะ ทำให้บรรยากาศดูสงบสวยงามจริงๆ นอกจากจะมีพนักงานที่คอยให้บริการอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังมีกิจกรรมทางน้ำแทบจะทุกรูปแบบให้เลือกเล่นได้ด้วยเช่น ตั้งแต่ของเบสิคอย่างคายัค จักรยานน้ำ ซีบ๊อบ เจ็ทสกี ฟลายบอร์ด สกูบา ไปจนถึงคลาสโยคะบนแพดเดิ้ลบอร์ด และคลาสสอนบังคับเรือใบเลยทีเดียว บันไดทางลงหาดก็เป็นอีกมุมที่มีเสน่ห์มากๆของที่นี่ Retail Pavilion ร้านรวมสินค้าที่คัดสรรโดย Aman ออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นผู้เลื่องชื่อ Kengo Kuma สิ่งหนึ่งที่เราตื่นตามากก็คือ Retail Pavilion คอนเส็ปต์ใหม่ของ Aman ซึ่งมีที่ Amanpuri เป็นที่แรกในโลก ร้านรวมสินค้าดีไซน์ระดับแห่งนี้ออกแบบโดย Kengo Kuma สินค้าทุกชิ้นในร้านล้วนเป็นผลงานที่ทีมคัดสรรของ Aman ได้ออกไปหยิบเลือกเอามาจากทั่วโลก และหลายๆชิ้นก็ผลิตขึ้นให้กับ Aman เท่านั้นโดยเป็นการร่วมมือกันของ Aman กับศิลปินทั้งโลคอลและอินเตอร์ มีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ สกินแคร์ งานฝีมือ ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน หลังจากที่สำรวจรีสอร์ตมาทั้งวัน ก็ถึงเวลากลับห้องพัก และก็พบกับของขวัญเซอร์ไพรส์ในคืนแรกวางอยู่บนเตียงเป็นกางเกงเล เช้าวันที่สองเริ่มต้นที่ห้องอาหารไทย Buabok กับขนมจีนน้ำยาปูและเมนูเพื่อสุขภาพมากมาย สำหรับเช้าวันที่สอง หัวใจเราโหยหาอาหารสไตล์ภูเก็ตอีกครั้ง ทางรีสอร์ทจึงเสิร์ฟขนมจีนน้ำยาปูและมีไข่เจียวปูแน่นๆ เป็นเบรคฟัสต์ปักษ์ใต้เพื่อสนองนี้ดของเรา ความจริงแล้วที่ Aman ยังมีห้องอาหารญี่ปุ่น Nama (ยังไม่กลับมาเปิดให้บริการในช่วงที่เราไป) และห้องอาหารอิตาเลียนที่ชื่อว่า Arva ด้วย เราจึงเลือกรับประทานอาหารอิตาเลียนเลิศรสในมื้อเย็นของเมื่อวานไป แต่เนื่องจากบรรยากาศค่อนข้างมืดเราจึงไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากกัน Water sports at AMANPURI เรามาลองเล่น Fliteboard eFoil เซิร์ฟบอร์ดแบบใหม่ที่สามารถเล่นได้ไม่จำเป็นต้องอาศัยคลื่น เพียงแค่เรายืนบนบอร์ดหรือนั่ง แล้วใช้การบิดไหล่เพื่อเลี้ยวเท่านั้น ใต้บอร์ดจะมีใบพัดคอยควบคุมโดยเราต้องถือรีโมทเพื่อบังคับความเร็วของใบพัด ความเร็วสูงสุดประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (เร็วมากๆ) เครื่องเล่นนี้มีเฉพาะที่ Amanpuri เท่านั้น ใครมาที่นี่เราแนะนำให้เล่น eFoil ครับ เพราะสนุกและคุ้มมาก จากนั้นเราก็แวะว่ายน้ำ อาบแดดที่ Main Swimming Pool ของรีสอร์ต จิบชาพร้อมขนมครกที่ริมสระ ตกบ่ายแก่ๆ ช่วงเวลาประมาณ 4-5 โมงเย็นบริเวณริมสระส่วนกลางก็จะมีขนมครก ขนมไทย ผลไม้ น้ำดื่มผลไม้ ชา คอยเสริฟให้พวกเรา หรือใครจะลองทำขนมครกก็ได้นะ พี่ๆ เค้าจะคอยสอน บอกเลยว่าเรากินจนอิ่มมากเพราะมันอร่อยทุกอย่างจริงๆ Amanpuri's Holistic Wellness Centre ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่มีเฉพาะที่ Flagship Property อย่าง Amanpuri เท่านั้น ในฐานะที่ Amanpuri เป็น Flagship Property ของ Aman ที่นี่จึงมีความพิเศษอีกอย่างตรงที่มีศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness Center) ที่มีโปรแกรมดูแลสุขภาพโดยผู้เชี่ยวชาญในแทบจะทุกศาสตร์อย่างครบครัน (และจริงจังด้วย) ตั้งแต่การบำบัดเพื่อความผ่อนคลาย ดูแลน้ำหนักตัว ปรับเปลี่ยนรูปร่าง ล้างพิษ เจริญสติ เรกิ ชี่กง คลายเครียด ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ฯลฯ โดยแต่ละโปรแกรมจะเป็นการดูแลแบบครบทุกแง่มุมตั้งแต่เรื่องโภชนาการ การออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อ การบำบัดด้วยศาสตร์แห่งสปาและพลังธรรมชาติ โดยจะ customize มาเพื่อให้บรรลุโจทย์ของเราจริงๆ น่าเสียดายที่เวลาของเรามีน้อยเกินกว่าจะเข้าร่วมโปรแกรมใดๆ เราจึงได้แค่เพียงลิ้มลองอาหาร Raw Food ของทางรีสอร์ต อาหาร Raw มื้อนี้เราย้ายมาทานกันที่ Villa ส่วนตัวที่ชาวเยอรมันคนหนึ่งซื้อเอาไว้และให้ทางรีสอร์ทบริหารจัดการ หลังจากทานเสร็จ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลวิลล่าแห่งนี้ก็พาเราเดินทัวร์รอบๆ ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าดีงามมากๆ โดยเฉพาะวิวทะเลของวิลล่าหลังนี้นั้นเกินบรรยายจริงๆ สำหรับคนที่สนใจเช่าวิลล่าส่วนตัวแบบนี้สามารถติดต่อผ่านเวปไซต์ของ Aman ได้เลย โดยวิลล่าหลังใหญ่ที่สุดนั้นมีห้องนอนถึง 9 ห้อง มากันเป็นกรุ๊ปใหญ่ได้สบายๆ ปิดท้ายวันด้วยมื้อค่ำกับอาหารไทยที่ห้องอาหาร Buabok (อีกครั้ง!) คงไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้ว่าเราอินกับอาหารไทยมากขนาดไหน และมานั่งชิลจิบเครื่องดื่มกันต่อที่ Beach Bar "The Lounge" ของขวัญคืนที่สองเป็นที่คั่นหนังสือไม้ฉลุลาย อาหารเช้ามื้อสุดท้ายที่ Pavilions ตื่นเช้ามาวันสุดท้าย เราเลือกที่จะทานอาหารเช้ากันที่ห้อง โดยผสมกันทั้งแบบไทยและฝรั่ง มีข้าวกล้องต้ม เซ็ทขนมปังหลากชนิด ธัญพืช ไส้กรอก แซลม่อนรมควัน น้ำผลไม้ และอีกมากมายยยยย ฟินกันก่อนกลับเลย (ปล. ข้าวกล้องต้มอร่อยมากกกก) สรุปความประทับใจกับ AMANPURI เรารู้สึกประทับใจพนักงานและการบริการตลอดทั้ง 3 วัน 2 คืน เราใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ที่ Amanpuri ทำให้เราได้เข้าใจว่าเหตุใด Aman จึงได้รับการยกย่องว่ามาหนึ่งในแบรนด์ Hospitality ที่ดีที่สุดในโลก ประสบการณ์ในครั้งนี้ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้ว Aman อื่นๆอีกกว่า 30 แห่งรอบโลกล่ะ จะมีสเน่ห์เหมือนหรือต่างจากที่นี่ยังไงบ้าง เพียงแค่ลอง Search หาดูรูปของ Amannoi ที่เวียดนาม, Amanemu ที่ญี่ปุ่น หรือ Amangiri ที่อเมริกา ต่อมอยากเที่ยวก็เต้นแรงแทบหยุดไม่อยู่ แล้วเพื่อนๆล่ะ รู้สึกยังไงกันบ้างครับ โปรโมชั่นพิเศษ AMANPURI CLOSER TO HOME #สุดยอดดีลพิเศษ กับรีสอร์ทหรู 𝗔𝗠𝗔𝗡𝗣𝗨𝗥𝗜 ภูเก็ต จุดเริ่มต้นของ 𝗔𝗠𝗔𝗡 แบรนด์ระดับ 𝗨𝗹𝘁𝗿𝗮-𝗹𝘂𝘅𝘂𝗿𝘆 เริ่มต้นเพียงคืนละ 𝟭𝟳,𝟬𝟬𝟬++ **พิเศษสุดๆ** สำหรับชาว Hoparound.co โปรดแจ้ง Code: HOP AROUND เพื่อรับราคาและสิทธิ์พิเศษ อัตราค่าห้องพักพิเศษเฉพาะ Hoparound.co : ⛱ เริ่มต้นที่ 𝟭𝟳,𝟬𝟬𝟬++ สิทธิพิเศษเฉพาะ Hoparound.co : 𝟭. อาหารเช้า ณ พาวิลเลียน หรือ ห้องอาหารบัวบก สำหรับ 𝟮 ท่าน 𝟮. บริการรถรับส่งสนามบินไป – กลับจากอมันปุรี เมื่อสำรองห้องพาร์เชียลโอเชียล พาวิลเลียน เป็นต้นไป 𝟯. ชุดน้ำชา เครื่องดื่มพิเศษประจำวันและขนมครกยามบ่าย 𝟰. มินิบาร์ (เติมให้วันละ 𝟭 ครั้ง) 𝟱. บริการอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทางน้ำ (สำหรับเครื่องเล่นชนิดที่ไม่มีเครื่องยนต์) 𝟲. โปรดสำรองห้องพักอย่างต่ำ 𝟮 คืนเพื่อรับข้อเสนอดังกล่าว 𝟳. ระยะเวลาในการจองและเข้าพัก: วันนี้ - 𝟯𝟭 มีนาคม 𝟮𝟱𝟲𝟲 𝟴. อัตราค่าห้องพักอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตขึ้นอยู่กับนโยบายของอมัน เรทสุดคุ้มและให้เยอะแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่า “ดีที่สุด” ในรอบ 𝟯𝟰 ปี ตั้งแต่ 𝗔𝗠𝗔𝗡 เริ่มก่อตั้งมาเลย ใครที่หมายปองความสงบหรูหราหาที่เปรียบไม่ได้ในแบบ 𝗔𝗠𝗔𝗡 นี่คือโอกาสทองที่เกิดขึ้นยากกว่าสุริยุปราคาเต็มดวงซะอีก จองเลยไม่ต้องรอ!!! สำรองห้องพัก: โทร 𝟬𝟳𝟲-𝟯𝟮𝟰𝟯𝟯𝟯 อีเมล 𝗮𝗺𝗮𝗻𝗽𝘂𝗿𝗶𝗿𝗲𝘀@𝗮𝗺𝗮𝗻.𝗰𝗼𝗺 𝗟𝗶𝗻𝗲: 𝗵𝘁𝘁𝗽𝘀://𝗹𝗶𝗻.𝗲𝗲/𝗽𝗙𝟲𝟭𝗛𝟱𝗨 FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co #LetsHoparound #AMANPURI #TheOriginalAman #ClosertoHome #อมันปุรี #เราเที่ยวด้วยกัน #LetsHoparoundThailand #Aman #เที่ยวไทย #ไทยเที่ยวไทย #เที่ยวไทยเท่ # เที่ยวภูเก็ต #พักผ่อนที่ภูเก็ต #เที่ยวทะเล #รีวิวรีสอร์ต #รีวิวโรงแรม #รีวิวอมันปุรี #รีสอร์ทหรูสไตล์ไทยในพื้นที่เงียบสงบ #ราคาคนไทย #เรทคนไทย

  • PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 2

    PARIS PART 2 8 neighbourhoods to visit เที่ยว 8 ย่านชิคๆ คูลๆ ในปารีส ใครๆก็รู้ว่า Paris นั้นขึ้นแท่นเป็นเมืองยอดนิยมที่สุดตลอดกาลเมืองหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานจนบางคนอาจรู้สึกว่า Paris กลายเป็นเมืองแมสที่ใครๆก็ไปกัน ไม่เท่เท่าเมืองใหม่ๆ ไม่ชิคเท่าเมืองที่ไปยากๆ แต่เชื่อเราเถอะว่า Paris ได้ตำแหน่งนี้มาอย่างสมศักดิ์ศรีเพราะนางมีดีมากเหลือเกินจริงๆ (อ่อ... คำว่า “ชิค” นี่ก็ภาษาฝรั่งเศสนะ) ทริปนี้เราจะพาคุณไป #hop ดู Paris ผ่าน 2 มุมมองที่ต่างกัน เพราะ 2 คนที่เดินทางไปด้วยกันนี้ คนหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อนและอีกคนเพิ่งจะได้เปิดซิง Paris เป็นครั้งแรกแม้ว่าเราจะใช้เวลาซ่อกแซ่กอยู่ในปารีส 11 วันเต็มๆ เราก็ยังเที่ยวไม่ครบเล้ยยยย ครั้งนี้เราใช้บริการการบินไทยและเราจ่ายเพียงค่าภาษี 6,xxx บาทเท่านั้น แต่ก็สามารถติดแฮชแทค #IflyThai #ThaiAirways ได้แบบไม่น้อยหน้าใคร ต้องขอบคุณพลังทวีในการสะสมไมล์ผ่านบัตรเครดิต THAI Amex Platinum Card ที่ทำให้เราสะสมไมล์ได้เร็วขึ้นผ่านการจับจ่ายซื้อของต่างๆในชีวิตประจำวัน และยิ่งถ้าซื้อตั๋วการบินไทยผ่านบัตรนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เราจะได้ไมล์สะสมหลายเด้ง แถมแบ่งชำระ 0% ได้ 3 เดือนอีกต่างหาก นอกจากหอไอเฟล มาการอง และกระเป๋าแบรนด์เนมที่ใครๆก็นึกถึงเมื่อพูดถึง Paris แล้ว ต้องบอกว่าเมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้คือแหล่งบ่มเพาะการสร้างสรรค์งานศิลปะ แฟชั่น อาหาร ดนตรี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เริ่ดหรูอย่างหน้าตายจนน่าหมั่นไส้ ถ้าเป็นคนชอบเดินดูเมือง ดูคน ดูร้าน ดูงานดีไซน์ไปเรื่อยคุณจะเอ็นจอย Paris มากๆ (โดยเฉพาะย่าน Le Marais ย่านโปรดของเรา) หลายสิ่งด้านลบที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับปารีส ไม่ว่าคนไม่เฟรนด์ลี่ หรือขโมยเยอะ มาคราวนี้เราไม่เจอเลย คนปารีสส่วนใหญ่ nice กับเรามาก (ยกเว้นเจ้าหน้าที่ Tax Refund ที่สนามบินขากลับ) และถ้าเทียบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าคนปารีสยุคนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมาก และไม่พยายามทำหงุดหงิดแก้เขินเหมือนเมื่อก่อน 20 arrondissements ผังเมือง Paris แบ่งง่ายๆเป็น 20 เขต (arrondissements) โดยวนเป็นก้นหอย เริ่มจากฝั่งขวาของแม่น้ำเซน (บริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ Louvre) แล้ววนตามเข็มนาฬิกาออกไปเรื่อยๆจาก 1 จนถึง 20 แต่สำหรับเราแล้ว วิธีที่ทำให้เห็นภาพรวมของ Paris ได้ง่ายกว่านั้นก็คือซีกตะวันตกของ Paris จะเป็นย่านพักอาศัยของคนมีเงินมาก และซีกตะวันออกเป็นย่านของคนมีเงินน้อย ส่วนซีกบนของ Paris (หรือฝั่งขวาของแม่น้ำเซน — La Rive Droite) จะเป็นย่านการค้า และซีกล่าง (หรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน — La Rive Gauche) จะเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียนและนักวิชาการ การเดินทางใน Paris นั้นง่ายมาก เพราะรถไฟใต้ดิน(Métro) เชื่อมต่อกันทั่วถึงทั้งเมือง และเชื่อมกับรถไฟออกไปถึงที่เที่ยวนอกเมืองอย่างพระราชวัง Verseille หรือ Euro Disney ด้วย ถ้าจะอยู่ใน Paris นานเป็นสัปดาห์อย่างเรา ขอแนะนำตั๋ว Navigo ที่มีทั้งตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือนซึ่งคุ้มค่ามากๆ สามารถทำได้ตามจุดบริการของสถานี Métro ใหญ่ๆ แอบกระซิบหน่อยว่าต้องเตรียมรูปถ่ายไปติดบัตรด้วยนะ แต่ถ้าไม่ได้เตรียมไป ตามสถานีก็มักมีตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติเอาไว้อำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว ส่วนที่พัก เราเลือกพัก AirBnB แถวสถานี Grands Boulevards ตั้งอยู่ในเขต 2 ซึ่งสะดวกมากกกก มีสถานี Métro อยู่ปากซอยเลย แม้พื้นที่จะแคบไปหน่อยตามมาตรฐานยุโรป แต่ราคาก็ถือว่าเป็นมิตร แถมโฮสก็ดีด้วย ไปถึงวันแรกเค้าจัดดินเนอร์ให้เลย 1 มื้อ พูดถึงอาหารการกิน ส่วนตัวแล้วปารีสเป็นเมืองที่หาอาหารอร่อยถูกปากค่อนข้างยาก และราคาค่อนข้างสูง แม้อาหารฝรั่งเศสจะมีชื่อก้องโลก แต่อาหารฝรั่งเศสที่อร่อยก็ไม่ได้หาได้จากร้านข้างทางทั่วไป บางร้านต้องจองล่วงหน้านานๆ ฉะนั้นถ้าอยากกินของดีทำการบ้านกันไปก่อนนะ ส่วนถ้าใครติดกาแฟอย่างเรา คนที่นี่กินกาแฟค่อนข้างจืดนะ อาจจะหาถูกปากเหมือนบ้านเรายากนิดนึง แต่เราก็แอบบอกพิกัดไว้ในนี้แล้วล่ะว่ามีร้านไหนบ้างที่ขายกาแฟที่รสพอถูกปากเรา อีกเรื่องคือ ภาษาฝรั่งเศส เป็นอะไรที่ออกเสียงยากสำหรับคนที่ไม่คุ้น หนึ่งในการออกเสียงที่เด่นชัดที่สุดคือการออกเสียงตัว r ซึ่งปกติก็จะเทียบเท่ากับตัว ร.เรือ ในภาษาไทย แต่ภาษาฝรั่งเศสจะออกเสียงตัวอักษรนี้ด้วยการเอาลมผ่านไปที่เพดานอ่อนของช่องปาก ประหนึ่งว่าจะขากถุย 5555 แต่ทำแบบซอฟท์ๆ เสียงที่ออกมาจะเป็นส่วนผสมของ ค.ควาย + ฮ.นกฮูก และเราเขียนออกมาเป็นภาษาไทยค่อนข้างยาก ถึงเขียนได้ก็อ่านยากอยู่ดี เช่น Paris = ปาคฮี หรือ Marais = มาคเฮ่ ดังนั้นเพื่อความสะดวกเราจึงขอเขียนแทนด้วย ร.เรือ ง่ายๆเลยละกันนะ สุดท้ายก่อนจะไป #hop กัน ร้านใน Paris ส่วนใหญ่ปิดวันอาทิตย์นะ ถ้าวางแผนจะมาก็ลองเช็ควันเวลากันให้ดีคร้าบบบ พวกแลนด์มาร์คและจุดช้อปปิ้งหลักๆอย่าง หอไอเฟล ถนน Champs-Élysées และห้างดังๆ เราขอข้ามไปเลยนะ น่าจะหาข้อมูลกันง่ายอยู่แล้ว เราพาไปดูอะไรที่ถูกจริตเรากันดีฝ่าาา . อ่ะถ้าพร้อมแล้วไปกัน Let’s Hop Around Paris... PARIS PART 2 5. Montmartre (มงมาร์ตร์ - เขต 18) Montmartre (มงมาร์ตร์ - เขต 18) ช่วงท้ายศตวรรษที่ 19 เมื่อค่าครองชีพในตัวเมืองชั้นใน Paris ขยับสูงขึ้น บรรดาจิตรกร และศิลปินชั้นครู ไม่ว่าจะเป็น โมเน่ต์ เรอนัวร์ มอนเดรียน ปิกัสโซ่ หรือแม้กระทั่งแวนโก๊ะห์ ต่างก็พากันย้ายสตูดิโอมารังสรร์งานศิลป์กันในย่านเนินเขาทางตอนเหนือของ Paris แห่งนี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นย่านศิลปะและย่านสถานบันเทิง (เช่น Moulin Rouge และ piano bars ต่างๆ) ที่มีคาแร็คเตอร์เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนย่านอื่น Getting there: Metro สถานี Anvers (สาย 2) หรือ สถานี Abbesses หรือสถานี Château Rouge (สาย 12) มีร้านอาหารให้พักขาก่อนเดินขึ้นบันไดไปยังมหาวิหารซาเคร-เกอร์ ทำเลร้านนี้คือสุดจริง ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนเป๊ะ Location: https://goo.gl/maps/BCMde9PySm5yuit59 หัวใจหลักของย่านนี้คือมหาวิหาร Sacré Coeur (ซาเคร-เกอร์) แหม แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น “หัวใจศักสิทธิ์” หลังสีขาวสง่า ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเนินเขามงมาร์ตร์ ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวยอดฮิตอีกจุดที่สามารถมองเห็นเมืองปารีสได้ทั้งเมือง แม้ต้องเดินขึ้นมาเหนื่อยหน่อย แต่วิวคือคุ้มมาก (ถ้าฟ้าเปิด) และคนก็จะเยอะมากเช่นกัน 5555 Location: https://goo.gl/maps/MRWoKBvh58susbj36 หลังจากชมมหาวิหารซาเคร-เกอร์แล้ว เราเลือกที่จะเดินลงอีกทาง เพื่อจะไปสนามบาสเก็ตบอลที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Playground Duperré สนามบาสเก็ตบอลสีสุดจัดจ้าน ทำให้ย่านนี้ดูสดใสขึ้นมาทันตา Location: https://goo.gl/maps/UvJfiGk8ibyNY6vaA Rose Bakery Rose Bakery ร้านโปรดตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว Rose Bakery Rose Bakery A.P.C. Surplus อย่าบอกใครไปล่ะว่า ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังเนินเขามงมาร์ตร์ จะมีร้าน A.P.C. Surplus ซึ่งเป็นเสมือนเอ๊าท์เล็ตเล็กๆไว้คอยระบายของจากคอลเล็คชั่นก่อนๆในราคาพิเศษ ลด 40-60% ให้เราแวะเสียตังค์อีกด้วย ซึ่งร้าน A.P.C. Surplus มีเพียงไม่กี่สาขาบนโลกนะ เช่น นิวยอร์ก ปารีส โตเกียว โอซาก้า บอกเลยว่าคุ้มมว้าก ใครผ่านมาอย่าลืมแวะนะ รับรองได้ของดีๆไปครอบครองอย่างแน่นวลลลล Location: https://goo.gl/maps/EUyMDG8rHNwkutBT7 6. Canal Saint-Martin (กานาล ซางต์-มาร์ตัง - เขต 10) ย่านอินดี้ริมคลองซางต์-มาร์ตัง ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากย่านหลักที่เต็มไปด้วยทัวริสต์ มาที่นี่ได้เลย (แต่ถ้าเป็นช่วง high season ยังไงก็หลบทัวริสต์ไม่พ้นนะ) ที่นี่เป็นย่านสุดฮิปที่หนุ่มสาวชาวปารีเซียง นิยมออกมาปิคนิคและพบปะสังสรรค์ริมสองฝั่งคลอง โดดเด่นไปด้วยกราฟิตี้เท่ๆตามถนน มีบาร์และร้านอาหารเก๋ๆอยู่ในย่านนี้เยอะมาก ถ้ามากลางคืนก็จะได้บรรยากาศที่แตกต่างไป คนก็จะมาดินเนอร์กันทำให้คึกคักไปอีกแบบ Getting there: Metro สถานี Jacques Bonsergent Holybelly 5 ร้านแรกที่เรามากินอาหารเช้าเลยก็คือ Holybelly 5 “Where Good Coffee Meets Good Food” ร้านนี้เป็นที่นิยมมากๆใน Paris ว่ากันว่าร้านเค้าได้รับแรงบันดาลใจจากคาเฟ่ของประเทศออสเตรเลีย บรรยากาศในร้านนี่ดู lively มาก โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานอย่างสนอกสนใจลูกค้าไป ฮัมเพลงไป และเพลงที่นี่ก็เลือกมาดีจริงๆ มีพี่พนักงานคนไทยด้วย ใจดีมากเลย แนะนำทุกอย่าง แอบเม้าท์ว่าเจ้าของร้านใจดีมาก ชอบทำเซอร์ไพร้ซ์พนักงาน ช่วงคริสต์มาสก็แอบเอาเสื้อยืดที่สั่งผลิตพิเศษไปซ่อนไว้ใต้ต้นคริสต์มาสให้พนักงานทุกคน ที่สำคัญรสชาติอร่อยใช้ได้เลย ใครมาสายต้องต่อคิวยาวเลยแหละ ร้านนี้เปิดทุกวันตั้งแต่ 9:00–17:00 Location: https://goo.gl/maps/XNhcuu7m2KhvkFaz5 Holybelly 5 Holybelly 5 Bob's Juice Bar Green Factory Green Factory ร้านขายต้นไม้น่ารักมาก Green Factory Liberté Liberté ร้านขนมปังสไตล์ฝรั่งเศส Liberté Liberté Drapeau Noir Drapeau Noir ร้านเสื้อผ้าผู้ชาย ดีไซน์ดี ราคาค่อนไปทางสูง เราเกือบเสียเงินไปแล้วววว Location: https://goo.gl/maps/zbE52jffau1b4Vos7 Drapeau Noir เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอคลอง St. Martin ที่เป็นโลเคชั่นถ่ายหนังหลายเรื่องเลย บรรยากาศแถวนี้ชิลมากกก แถมสองข้างทางก็มีร้านดีๆ เต็มไปหมดเลย ชอบ Paris ตรงที่ ตรงไหนก็สามารถสร้างงานอาร์ตได้ ดูจากการเพ้นกำแพงลายต่างๆ ลายกราฟิตี้ยุ่งๆ ยังดูสวยเลยอะ 7. Palais Royal - Bourse (ปาเลส์รัวยาล - บูร์ส — เขต 1และ2 ) คนส่วนใหญ่แวะลงสถานี Palais Royal - Musée du Louvre เพื่อเดินลงต่อไปทางทิศใต้ไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ แต่คราวนี้เราขอละแลนด์มาร์คปีรามิดชื่อดังไว้ก่อน จึงพา #hop ไปทางทิศเหนือ ไปทางสถานี Bourse Palais Royal เดิมที่เป็นที่พำนักของ Cardinal Richelieu ผู้ทรงอำนาจทั้งทางศาสนาและการเมืองในช่วง 1585-1642 ปัจจุบันแปลงสภาพกลายเป็นย่านร้านค้า และร้านอาหารมีระดับ หลายร้าน โดยเฉพาะร้าน Le Grand Véfour ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็น “grand restaurant” ร้านแรกในปารีส พร้อม 3 ดาวมิชลินการันตีความพรีเมี่ยม แม้แต่นโปเลียนก็ยังเคยเป็นแขกของที่นี่ Getting there: Metro สถานี Palais Royal Musée du Louvre สาย 1, 7 Café Kitsuné Palais Royal เป็นที่หลบความวุ่นวายที่แสนเพอร์เฟ็คท์ จากนักท่องเที่ยวที่มักพลุกพล่านอยู่ทั่วไปในเขต 1 ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Café Kitsuné สำหรับแฟนๆของแบรนด์จิ้งจอก และเป็นอีกพิกัดสำหรับผู้โหยหารสชาติกาแฟที่ถูกปากเหมือนอย่างในแถบเอเชีย Location: https://goo.gl/maps/EFXsUvWdUAUjxNU86 Café Kitsuné Palais Royal สวนของ Palais Royal นั้นก็มีความ “iconic” อย่างมาก เพราะ เรียงรายไปด้วยต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นทรงสี่เหลี่ยม ยิ่งถ้ามาในช่วงหน้าร้อน เราก็จะเห็นพุ่มสี่เหลี่ยมสีเขียวเรียงกันเป็นแถวๆ เหมาะแก่การโพสท่าถ่ายรูปอย่างยิ่ง “Les Deux Plateaux” by Daniel Buren 1986 สิ่งที่เป็น “iconic” อีกอย่างก็คืองานประติมากรรมที่มีชื่อว่า “Les Deux Plateaux” โดย Daniel Buren สร้างขึ้นเมื่อปี 1986 เป็นอีกหนึ่งงานคอนทราสต์ที่เอาอาร์ทสมัยใหม่มาตัดกับอาร์ทแบบคลาสสิค ซึ่งเป็นเสน่ห์ของ Paris งานชิ้นนี้มีลักษณะเป็นเสาทาสีขาวสลับดำสูงต่ำไม่เท่ากันกว่า 280 ต้น ใครมาเห็นแล้วก็คงอดถ่ายรูปไม่ได้ แล้วเราจะเหลือเรอะ นอกจากนี้ยังมีช็อปของแบรนด์เริ่ดๆ เช่น Stella McCartney, Rick Owen, Acne Studios ด้วย เราแอบถูกใจกับร้าน Maison de l’Ambre ร้านขายอำพันทั้งในเรื่องดีไซน์และราคาที่ถูกกว่าในเมืองไทย รอบๆนอกของ Palais Royal ยังมีช็อปเก๋ๆ ของทั้ง Maison Margiela และ Maison Kitsuné ด้วยนะ Galerie Vivienne เดินขึ้นทางทิศเหนือมาหน่อยก็จะเจอกับ Passage ที่ดูหรูหราที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ใน Paris และมีอายุเกือบ 200 ปีที่ชื่อว่า Galerie Vivienne อยากถ่ายรูปข้างในมาให้ดูมากๆ แต่ดันเหลือบไปเห็นป้ายห้ามถ่ายรูปเฉพาะด้านในด้วย Galerie Vivienne Gribaudo Paul สิ่งที่เตะตาตั้งแต่แรกเข้ามาก็คงจะเป็นร้านหนังสือโบราณชื่อ Gribaudo Paul ที่คูลหนักมาก เห็นลูกหมูสามตัวนั่นไหมภายในยังมีร้านอาหารชื่อ Le Grand Colbert ซึ่งถูกใช้เป็นฉากในหนังเรื่อง Something’s gotta give อีกด้วย Statue of Louis XIV เดินเลาะมาอีกนิด ก็จะพบกับออฟฟิศของ Celine, Kenzo และ Marc Jacobs ซึ่งก็คงจะบอกถึงความเก๋ของย่านนี้ได้อยู่พอควร แต่ถึงไม่มีแบรนด์เหล่านี้ ลำพังตึกรามบ้านช่องก็ดูน่ายกกล้องขึ้นมาชักภาพรัวๆได้ไม่รู้เบื่อเลยล่ะ ป้อมโฆษณาริมถนนสไตล์ปารีเซียง ป้ายสถานี Métro ที่เขียนด้วย Font สไตล์ Art Nouveau อันเป็นเอกลักษณ์ 8. Sentier-Grands Boulevards (ซองทีเย่-กร็องด์ส์ บูลเลอวาร์ดส์ - เขต 2) Sentier-Grands Boulevards (ซองทีเย่-กร็องด์ส์ บูลเลอวาร์ดส์ - เขต 2) ย่านนี้ไม่ใช่ย่านนักท่องเที่ยว แต่เป็นย่านใกล้ที่พักที่เราเดินผ่านประจำ และรู้สึกว่ามีเสน่ห์ที่ไม่เสแสร้งซุกซ่อนอยู่มากมาย แต่เดิมย่านนี้เป็นแหล่งผลิตภัณฑ์สิ่งทอ แต่ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นแหล่งออฟฟิศธุรกิจ Start-up จนได้รับฉายาใหม่ว่า Silicon Sentier Getting there: Métro สถานี Richelieu - Drouot เสน่ห์ของย่านนี้ก็คือ passage โบราณที่ตกแต่งอย่างงดงาม (passage หมายถึง ช่องทางเดินที่มีร้านค้าอยู่ 2 ข้างทางและมีหลังคาคลุม) เช่น Passage Jouffroy และ Passage des Panoramas L'Appartement Sézane ตามซอกซอยของย่านนี้ ชาว #hopsters จะได้พบกับร้าน concept store เก๋ๆอย่าง L'Appartement Sézane ที่เราปักหมุดตั้งใจจะไปให้ได้ตั้งแต่ยังหาข้อมูลอยู่เมืองไทย เหมาะกับสาวๆ ร้านนี้ก็มีสาขาที่นิวยอร์กด้วยนะ L'Appartement Sézane ร้านที่เราไปแวะกินวันแรกนั้นคือร้านชื่อ Bouillon Chartier แนะนำโดยโฮสต์ของเรา (คงคิดเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว) แต่เราก็ไปนะ เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราก็ไม่เคยได้ลองเหมือนกัน Location: https://goo.gl/maps/EDXn41whoyoUzeKZ6 Nous อีกร้านชื่อ Nous เป็นร้านอาหารสมัยใหม่ที่รูปลักษณ์ของร้านกระตุ้นความอยากให้เราเข้าไปใช้บริการตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเดินผ่าน และได้เข้าไปชิมในที่สุด อาหารที่นี่นั้นแนว Mexican ผสม American (แต่ตั้งอยู่ในฝรั่งเศส งงมะ) ให้อารมณ์เหมือนจะเฮลธ์ตี้แต่ก็เสิร์ฟฟรายส์นะ รวมๆคือให้ 3.8 เต็ม 5 ละกัน Nous Hôtel des Grands Boulevards เรื่องที่พัก (พักแถวนี้สะดวกจริงๆ) เราเจอโรงแรมที่สไตลิชน่าพักมากๆอยู่ 2 โรงแรมที่เราเองก็อยากลอง ถ้าไม่ได้จอง AirBnB มาซะก่อน นั่นก็คือโรงแรม The Hoxton ที่เท่ คูล และเอ็ดจี้มากๆ ลองเข้าไปดูรูปเพิ่มเติมในเวปดูเองแล้วกันนะว่าดีงามขนาดไหน ( https://thehoxton.com/france/paris/hotels ) และอีกที่ก็คือ Hôtel des Grands Boulevards ที่ดีงามไม่แพ้กัน ( https://www.grandsboulevardshotel.com/ ) Crème de Paris ร้าน Crème de Paris นางเคลมตัวเองว่ามีเครปและวาฟเฟิ่ลที่ดีที่สุดในปารีสนะ ICI librairie ร้านหนังสือแถวที่พักเราสองชั้นใหญ่ใช้ได้ด้านในหนังสือครบทุกแนว มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศษ พวกเครื่องเขียนอะไรก้มีครบนะ และยังมีร้านคาเฟ่เล็กตั้งอยู่กลางร้านด้วย ใครอยากจะนั่งชิลทำงานอ่านหนังสือจิบกาแฟที่นี่แนะนำเลยคร้าบ Location: https://goo.gl/maps/2xhZ8P73gotM8mG69 ICI librairie Sentier เดินมาทาง Sentier เรื่อยๆ เราก็จะพบกับร้านค้าน่าสนใจกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณ ใครอยากจะหลบเลี่ยง“ความทัวริสตี้” ขอให้มาย่านนี้ เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ดูมีดีไซน์และมีคุณภาพ ตั้งแต่ร้านแฟชั่น ร้านเครื่องสำอางค์ ร้านขนม ร้านอาหาร ไปจนถึง supermarket แนวเฮลธ์ตี้ คือไม่ใช่ร้านแนวตีหัวนักท่องเที่ยวเข้าบ้านเหมือนในย่านท่องเที่ยว อ่อ.. บริเวณนี้มีร้าน COS และ Yohji Yamamoto ด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีตรอกอาหารในตำนาน อย่าง Rue Montorgueil (รู มงตอร์เกย) ที่ดูมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยนักกินและนักท่องเที่ยว จะเข้าร้านไหนก็ต้องศึกษาดูดีๆนะ เพราะทุกทำเลทองก็จะมีทั้งตัวจริงและตัวปลอมมาฉวยโอกาสกับนักท่องเที่ยวเหมือนกันทุกที่ หนึ่งในร้านที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็น Stohrer ร้านขายขนมที่เก่าแก่ที่สุดใน Paris ก่อตั้งขึ้นในปี 1730 หรือเกือบ 300 ปีมาแล้ว 8 ย่านที่เรายกมาแนะนำนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของความดีงามที่ Paris มีให้ไปเยี่ยมชม เมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้ยังมีของดีอีกเยอะมากๆ เราถ่ายรูปจนหมด memory card ไปหลายแผ่น และยังสามารถเอามาลงได้อีกหลายโพสต์ ดังนั้นติดตามกันต่อนะค้าบบบ . #LetsHoparoundPARIS #LetsHoparound #Travel #Amex #EarnMilesFaster #Paris #ParisCityGuide #เที่ยวปารีส #ปารีส #เมืองปารีส #ช็อปปิ้งในปารีส #คาเฟ่ในปารีส #รีวิวปารีส #เที่ยวปารีสด้วยตัวเอง #ฝรั่งเศส #เที่ยวฝรั่งเศส #ปารีสไปไหนดี #ไปไหนดีในปารีส #ช็อปอะไรที่ปารีส #ร้านดีๆในปารีส PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 1

  • Teshima เที่ยวเกาะเทชิมะ เกาะสวรรค์ของเหล่าคนรักศิลปะ

    เพียง 20 นาทีบนเรือโดยสารจาก Naoshima เกาะศิลปะยอดนิยมที่เรานำเสนอไปในโพสต์ที่แล้ว เราก็จะได้พบกับเกาะศิลปะอีกเกาะที่ดีงามไม่แพ้กัน (แต่นักท่องเที่ยวน้อยกว่ามาก) ในนามว่า Teshima และที่นี่เองที่จะเป็นปลายทาง #hopstination ของเราในวันนี้ Teshima แปลว่าเกาะที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีแหล่งน้ำพุธรรมชาติที่บริสุทธิ์แหล่งใหญ่ผุดขึ้นที่ใจกลางเกาะ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้คาดเดาได้ว่า เกาะนี้มีมนุษย์อาศัยมายาวนานกว่า 25,000 ปีแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันประชากรของเกาะก็ยังคงมีตัวเลขอยู่ประมาณ 1,000 คนเท่านั้น เกาะแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มากเสียจนเคยเป็นหนึ่งในไม่กี่เกาะที่สามารถผลิตข้าว และสินค้าทางการเกษตรอื่นๆได้มากเกินการบริโภคของคนบนเกาะ จนต้องส่งออกไปขายที่อื่น โชคไม่ดีที่ Teshima ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมอื้อฉาวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของญี่ปุ่น เมื่อตรวจพบว่ามีการใช้พื้นที่บนเกาะเป็นที่ทิ้งขยะพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมโดยผิดกฎหมายจำนวนมหาศาลกว่า 600,000 ตันมาตั้งแต่ปี 1975 กว่าขยะพิษต่างๆจะเริ่มทยอยได้รับการจัดการก็ปาเข้าไปปี 2000 แม้จะพยายามเคลียร์ขยะกันอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงทุกวันนี้ 18 ปีให้หลัง ขยะก็ยังไม่หมดซะทีเดียว และยังคงต้องจัดการรีไซเคิลกันต่อไป ความสดใสเข้ามาเยือน Teshima อีกครั้งในเดือนตุลาคมปี 2010 เมื่อ Teshima Art Museum (ที่เรารู้สึกว่า “โคตรรรรรเจ๋ง”) ได้เปิดตัวขึ้น และสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิด art sites อื่นๆเรื่อยมา ค่อยๆสะสมเป็นแรงดึงดูดให้นักเสพศิลปะทั้งจากญี่ปุ่นและทั่วโลกมาเยือน วิธีการเดินทางมายังเกาะเทชิมะ การเดินทางมายังตัวเกาะเทชิมะนั้น มีหลายวิธีมาก แต่ที่เราจะแนะนำคือขึ้น "รถไฟ" แล้วต่อ "เรือ" ถ้าใครที่มาจากโอซาก้า เราขอแนะนำให้เพื่อนๆเริ่มต้นจาก 1.สถานีรถไฟ Shin-Ōsaka Station โดยขึ้นรถไฟขบวน Tokaido-Sanyo Shinkansen ที่มุ่งหน้าไปทาง のぞみHakata 2.จากนั้นมาลงที่สถานีรถไฟ Okayama Station แล้วเปลี่ยนรถไฟไปเป็น JR สาย Seto-Ohashi Line มุ่งหน้าไปทาง 快速Takamatsu 3.จากนั้นให้เปลี่ยนรถไฟที่สถานี Chayamachi Station โดยขึ้นรถไฟ JR สาย Uno Line ซึ่งจะมุ่งหน้าไปทาง 各停Uno 4.แล้วให้ลงสถานีสุดท้ายปลายทางคือ Uno Station แล้วเดินไปขึ้นเรือที่ท่า Uno Port เพื่อไปลงที่เกาะเทชิมะ หรือใครจะลองค้นหาในกูเกิ้ลแมปก็ได้นะ สะดวกสุดๆ ที่เที่ยวนรอบๆเกาะเทชิมะ เราเลือกมาลงที่ท่าเรือ KARATO PORT ฝั่งขวาของเกาะก่อน เพราะมันอยู่ใกล้กับ Teshima Art Museum ซึ่งเป็นตัวไฮไลท์ของเกาะนี้กันก่อนเพราะเช้าๆ คนยังไม่เยอะมาก Teshima Art Museum มิวเซี่ยมแห่งนี้บริหารงานโดย Benesse Foundation ทีมเดียวกันกับที่ดูแลโปรเจ็คบนเกาะ Naoshima แต่ Teshima Art Museum นี้มีบุคลิกที่ต่างไป อาจจะเพราะความอ่อนช้อยของเส้นโค้งตามแนวอาคารที่เกลี้ยงเกลาล้ำยุค บวกกับความเปิดโล่งของ landscape ที่เป็นเนินเขาอันสวยงามก็เป็นได้ เนินเขาแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหญ้าและนาข้าวเขียวขจี (เฉพาะในฤดูร้อน) ที่ลาดลงไปทางทะเล ตลอดทางที่เราปั่นจักรยานไฟฟ้าขึ้นมาที่นี่ เรารู้สึกรื่นรมย์ไปกับทิวทัศน์ที่งดงาม นาข้าวบนเนินแห่งนี้นั้นครั้งหนึ่งเคยถูกทอดทิ้งให้รกร้างไปในยุคที่เกาะเต็มไปด้วยขยะพิษ บัดนี้ก็กลับมาได้รับการดูแลชุบชีวิตอีกครั้ง ตัวอาคารทรงหยดน้ำได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะที่จัดแสดงถาวรอยู่ด้านใน โถงภายในนั้นไม่มีเสาคำ้เลยแม้แต่ต้นเดียว โครงสร้างหลังคามีลักษณะคล้ายเปลือกหุ้มทำจากคอนกรีตที่หนาเพียง 25 ซม.โค้งทอดแบบไร้รอยต่อคลุมพื้นฝั่งหนึ่งถึงอีกฝั่งโดยมีความยาวกว่า 60 เมตร ตาม concept ที่ไม่ต้องการให้มีเส้นตรงในงานออกแบบทั้งหมดแม้แต่เส้นเดียว อีกหนึ่งแนวคิดที่ทำให้อาคารมิวเซี่ยมแห่งนี้แตกต่าง คือความตั้งใจที่จะออกแบบ space ให้มีลักษณะที่ทั้งปิดและเปิดในเวลาเดียวกัน คือแม้จะมีหลังคาเปลือกคลุมพื้นที่ให้เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด แต่ก็มีการเจาะช่องวงรี 2 ช่องขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อเปิดรับอากาศและแสงธรรมชาติด้วย Teshima Art Museum Teshima Art Museum เดินไปซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อนเลย คนละ 1,540 YEN Teshima Art Museum Teshima Art Museum Teshima Art Museum Teshima Art Museum ระหว่างทางที่เดินเข้าไปยังตัวอาคารหลักนั้น เราก็ได้เพลิดเพลินกับต้นไม้ใบหญ้า และวิวทะเลจากมุมสูง แต่ไม่ว่าภายนอกอาคารนี้จะดีงามเพียงใด ก็ดูเหมือนว่าจะเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์เมื่อเราได้ก้าวเท้าเข้าไปภายในเพื่อชื่นชมชิ้นงานศิลปะที่แสนจะเรียบง่าย ทว่าล้ำลึกและทรงพลังของ Rei Naito ศิลปินหญิงวัย 57 ปี The Matrix คือชื่อของ Artwork ชิ้นที่อยู่ภายในมิวเซี่ยมนี้ Rei ตั้งใจจะสื่อถึงการกำเนิดขึ้นของชีวิตและให้ผู้เข้าชมได้เป็นผู้เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของชีวิตมนุษย์ โดยถ่ายทอดเชิงสัญลักษณ์ผ่านการผุดขึ้นของน้ำหยดเล็กๆจากรูขนาดจิ๋วบนพื้น จิ๋วจนแทบสังเกตไม่เห็นด้วยตาเปล่า Teshima Art Museum ด้านในของตัวมิวเซียม ห้ามถ่ายรูปด้วยนะ Teshima Art Museum เจ้าหยดน้ำเหล่านี้เมื่อผุดขึ้นแล้วก็ค่อยๆไหลเป็นทางโดยไม่มีรูปแบบที่แน่นอน บ้างก็ไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มแอ่งน้ำน้อยๆ บ้างก็เป็นแอ่งใหญ่ อยู่บนพื้นปูนเดียวกับที่เราเดิน(หรือนั่ง)ชมอยู่นั่นเอง เปรียบให้เห็นถึงการแปรเปลี่ยนสภาพอยู่เสมอของสรรพสิ่ง... ชีวิตของเราก็เช่นกัน เราเองก็ไม่เคยคิดว่าเพียงการนั่งดูหยดน้ำไหลจะเป็นประสบการณ์ที่งดงามได้ถึงเพียงนี้ อาจจะเพราะอากาศ ต้นไม้ และเสียงแมลงที่ขับกล่อมให้จิตใจเรารู้สึกเบาสบาย หรือเพราะสถาปัตยกรรมระดับ Master Piece ที่ตรึงอารมณ์ของเราให้อยู่ในความสงบสำรวม เอาจริงๆก็คงเป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันนั่นแหละที่เอื้อให้เราสามารถซึมซับความละเมียดแห่งการได้อยู่ที่นั่น ณ เวลานั้นอยู่กับทุกๆปัจจุบันขณะที่ค่อยๆเคลื่อนผ่านไปอย่างเรียบง่าย Teshima Art Museum Teshima Art Museum เมื่อดื่มด่ำกับงานศิลป์จนเต็มอิ่มแล้ว เราก็มาแวะที่ shop/cafe ของมิวเซี่ยม ที่นี่เต็มไปด้วยของดีไซน์เท่ๆ เก๋ๆ เต็มไปหมด สำหรับตัวคาเฟ่นั้นแม้จะเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มเพียงไม่กี่อย่าง แต่เราก็รู้สึกได้ถึงความตั้งใจทำของพนักงานทุกคน (แต่อาหารช้าไปนิดนะ อิอิ) Teshima Art Museum Teshima Art Museum Teshima Art Museum No One Wins - Multibasket นอกจาก Teshima Art Museum แล้ว รอบๆเกาะนั้นยังมี art sites อีกหลายแห่ง ก่อนหน้าที่เราจะมาถึงมิวเซี่ยมนี้ เราก็แอบแวะสนามบาสที่มีแป้น 6 ห่วง หรือชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ “No One Wins - Multibasket” โดย Jasmina Llobet & Luis Fernandez Pons ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เรามองศิลปะในมุมใหม่เป็นมุมที่เข้าถึงง่ายไม่ถือตัว (เราสามารถเอาลูกบาสมาโยนเล่นลงห่วงกันได้จริงๆ) และกระตุ้นให้เราคิดถึงข้อความที่แฝงอยู่ซึ่งก็คือ “No One Wins” หรือ “ไม่มีใครชนะ” Les Archives du Cœur Les Archives du Cœur โดย Christian Boltanski เป็นอีกหนึ่งงาน art (หรือเปล่า?) ที่น่าสนใจทีเดียว เพราะที่นี่เก็บบันทึกเสียงเต้นของหัวใจจากคนทั่วโลก (และเราเองก็สามารถบันทึกเสียงหัวใจของเราที่นี่ได้เช่นกัน) และแน่นอนวิธีการเสพงานชิ้นนี้ก็ใช่ว่าจะให้เราไปนั่งใส่หูฟังฟังเสียงหัวใจชาวบ้านกันเฉยๆเท่านั้น แต่เขาได้สร้างห้องมืดทรงยาวลึกเข้าไปเอาไว้ พร้อมกับหลอดไฟ 1 ดวงห้อยไว้อยู่กลางห้อง ที่จะติดๆดับๆตามจังหวะการเต้นของหัวใจตุ้บๆด้วย พูดตามตรงก็แอบหลอนอยู่เหมือนกันนะ Les Archives du Cœur Les Archives du Cœur Teshima Yakoo House อีกงานที่เราชอบก็คือ Teshima Yakoo House (โดย Tadanori Yakoo) ที่เล่นกับมิติความลึก และกระจกสีแดงที่ลวงตาให้เราเห็นสวนญี่ปุ่นด้านนอกเป็นสีสดผิดจากสวนธรรมชาติที่เราคุ้นเคย ที่จริงแล้วงานของ Yakoo นั้นต้องการจะสื่อถึงชีวิตและความตาย โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับความตาย จึงมีการหยิบเอาความเหนือจริง มิติความลึก และภาพลวงตาต่างๆมาใช้เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดแนวคิดของเขา Teshima Yakoo House Teshima Yakoo House น่าเสียดายที่ art sites หลายแห่งบนเกาะ Teshima นั้นปิดในวันที่เราไป โดยเฉพาะ IL VENTO (แปลว่า “สายลม” ในภาษาอิตาเลียน) โดย Tobias Rehberger ศิลปินชาวเยอรมัน ที่นี่เป็นทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานที่แสดงงานศิลปะในที่เดียวกัน โดดเด่นด้วยลวดลายกราฟฟิคเฟี้ยวฟ้าวลายตา ทั้งบนผนัง พื้น เพดาน รวมถึงบนเฟอร์นิเจอร์ด้วย แต่วันนี้เราก็คงได้แค่ถ่ายรูปเล่นด้านหน้า ฮือๆ.. IL VENTO อันนี้ก็ปิดเช่นกัน Needle Factory (โดย Shinro Ohtake) โรงงานเข็มเก่าที่ถูกทิ้งร้างไปตั้งแต่ช่วงปี 80s ตัวอาคารถูกนำมาดัดแปลง และนำเอาเรือที่ไม่เคยถูกใช้งานเลยมาคว่ำโชว์ เป็นการเล่นกับความทรงจำที่น่าเศร้าของทั้ง 2 สิ่ง นั่นก็คือการหมดประโยชน์ของโรงงาน กับการที่ไม่เคยถูกใช้ให้เป็นประโยชน์เลยของเรือ ...จะหดหู่ไปไหนเนี่ย เราก็ปั่นมาเรื่อยๆ จนถึงอีกฝั่งนึงของเกาะ คือ Ieura Port เพื่อรอขึ้นเรือกลับที่พัก ระแวกนี้แมวเยอะมากกกกกก เป็นสิบยี่สิบตัวเลย อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่แรกแล้วว่า Teshima นั้น แม้จะยังไม่ได้รับความนิยมเหมือนกับ Naoshima แต่ความดีงามในบุคลิกที่แตกต่างออกไปนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย นอกจากงานศิลปะแล้วสิ่งที่เราเอ็นจอยมากๆก็คือการได้ปั่นจักรยานไปในธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามเงียบสงบ ตลอดเวลาที่เราอยู่บนเกาะ Teshima นี้ นอกจากที่ Teshima Art Museum ที่เป็นจุดท่องเที่ยวหลักของเกาะแล้ว เราก็แทบไม่ได้พบเจอผู้คนเลย ยิ่งเมื่อได้รู้ความเป็นมาและปัญหาที่เกาะแห่งนี้ต้องเผชิญแล้ว เราก็ยิ่งอยากจะเอาใจช่วยให้ Teshima กลับมารุ่งโรจน์อย่างที่มันควรจะเป็น เราไม่ได้หมายถึงการมีเศรษฐกิจที่อู้ฟู่ หรือการท่องเที่ยวที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน แบบนั้นก็คงไม่เหมาะกับจริตของเกาะเท่าไรนัก แต่เราหมายถึงการที่ Teshima จะได้รับการมองเห็นถึงคุณค่าความดีงาม และมีคนกลับมาดูแลเกาะแห่งนี้มากขึ้น และมากพอที่จะให้เกาะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ไม่หดหู่เหมือนกับงานที่จัดแสดงอยู่ที่ Needle Factory เราเชื่อว่าศิลปะ ธรรมชาติ และความตั้งใจสร้างสรรค์ของมนุษย์นั้นมีพลังเพียงพอที่จะจุดประกายพลิกฟื้นชีวิตให้กับเกาะแห่งนี้และจะสำเร็จได้ในสักวันที่ไม่นานเกินรอ แล้วเราจะไปเยี่ยมเธอใหม่ #Teshima นะ :-) ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจาก http://setouchi-artfest.jp/en/ , http://benesse-artsite.jp/en/art/ , http://google.com #LetsHoparound #LetsHOParoundJapan #Teshima #Teshimaartmuseum

  • AMANDAYAN ขุมทรัพย์แห่งยูนนาน อลังการเขาหิมะมังกรหยก มรดกโลกลี่เจียง อมันดายัน

    Amandayan ขุมทรัพย์แห่งยูนนาน อลังการเขาหิมะมังกรหยก มรดกโลกลี่เจียง อมันดายัน ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าเมืองโบราณลี่เจียงและวิวภูเขาหิมะที่ตระการตาเบอร์นี้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพฯเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เรารู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆทันทีที่ได้รับคำเชิญจากรีสอร์ทที่ Exclusive ที่สุดในลี่เจียงอย่าง Amandayan ให้ไปสัมผัสกับความงดงามของทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรมชาวเขาเผ่านาชี (Naxi บางทีก็สะกด Nakhi) และเมืองโบราณ “ดายัน” ที่มีอายุกว่า 800 ปีแถมสวยเว่อร์วังอย่างกับฉากในภาพยนตร์ และสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกหลายขั้นก็คือการดูแลอย่างดีเยี่ยมโดยทีมของ Aman ซึ่งไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักครั้ง ถ้าเพื่อนๆอ่านโพสต์นี้แล้ว อยากจะตามรอย เรามีโปรดีๆมาบอกกันเอาไว้ก่อนด้วยนะครับราคาพิเศษสำหรับแฟนๆ ชาว Hoparound.co กับราคาเริ่มต้นดังนี้ Courtyard Suite เริ่มต้น CNY 4,876++, Deluxe Suite เริ่มต้น CNY 5,336++, Amandayan Villa เริ่มต้น CNY 16,560++ ต่อคืนพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย Overview เพื่อนๆชาว #hopsters คงรู้ดีกันอยู่แล้วถึงความ Exclusive และเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Aman ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของวงการรีสอร์ทและโรงแรมหรูทั่วโลก สำหรับที่ Amandayan นี้ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่บนยอดเนินเขาสิงโต (Lion Hill) ที่คั่นระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ ทำให้จากรีสอร์ทเราก็สามารถมองเห็นวิวเมืองเก่าได้แบบพาโนราม่าเลย และหากจะลงมาเดินเล่นไม่ว่าจะในเขตเมืองเก่าหรือเมืองใหม่ก็ใช้เวลาเดินลงมาไม่ถึง 10 นาที จึงสะดวกมากๆและในขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายในรีสอร์ทก็มีความเป็นส่วนตัวขั้นสุดสมกับความหมายของ “Aman” ที่แปลว่าความสงบ ส่วนคำว่า “Dayan” นั้นเป็นชื่อของเมืองเก่าที่อยู่เบื้องล่างรีสอร์ทนั่นเอง ที่จริงลี่เจียงมีเมืองโบราณอยู่ถึง 3 เมืองซึ่งเกิดจากการค่อยๆย้ายถิ่นฐานเพื่อหาแหล่งเพราะปลูกลงมาทางใต้ของชาว Naxi ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในแถบนี้มาแต่โบราณ จากเมือง Baisha (ไป๋ชา) ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดถึง 1,200 ปีทางตอนเหนือ และยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ลงใต้มาสู่เมือง Shuhe (ชู่เหอ) อายุ 1,000 ปี ก่อนจะลงใต้มาอีกสู่แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดจนก่อตั้งเป็นเมือง Dayan (ดายัน) เมื่อ 800 ปีก่อน เมืองเก่าดายันจึงเป็นกลายเป็นเมืองเก่าขนาดใหญ่ (3.8 ตารางกิโลเมตร) และยังมีสภาพดีที่สุด และก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในเมืองลี่เจียงด้วยเช่นกัน เมืองลี่เจียงตั้งอยู่บนความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,400 เมตร (ใกล้เคียงกับยอดดอยอินทนนท์) และล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูงเสียดฟ้าอีกมากมาย แต่ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของลี่เจียงก็คือเขาหิมะมังกรหยก ซึ่งสูงถึง 5,596 เมตรจากระดับน้ำทะเล (สูงกว่า Mont Blanc ในยุโรปซะอีก) นอกจากนี้ลี่เจียงเป็นเมืองปลอดอุตสาหกรรมหนัก จึงไร้มลพิษในอากาศและมีความเย็นตลอดทั้งปี แม้ในหน้าร้อนที่สุดในเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิก็ยังอยู่ที่ประมาณ 25-28 องศาเท่านั้น และด้วยเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง แถมไม่ต้องทำวีซ่าให้ยุ่งยาก จึงทำให้เราสามารถหลบร้อนมาที่ลี่เจียงได้อย่างสะดวกสบาย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมณฑลยูนนานก็คือประชากรส่วนใหญ่ยังคงเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอยู่รวมกันมากถึง 25 ชนเผ่า ซึ่งต่างจากมณฑลอื่นๆของจีนที่ประชากรส่วนใหญ่มักเป็นชาวฮั่น และสำหรับลี่เจียงนั้นก็เป็นดินแดนของชนเผ่า Naxi เป็นหลัก จะมีชนเผ่าอื่นๆแซมบ้างก็เพียงเล็กน้อย ชาว Naxi ถือเป็นชนเผ่าที่มีหัวก้าวหน้า เฉลียวฉลาดรู้จักวางแผน และมีค่านิยมส่งเสริมเรื่องการศึกษามาแต่โบราณ เคยรุ่งเรืองถึงขนาดก่อตั้งเป็นราชวงศ์มู่ (Mu) ขึ้นมาปกครอง มีทั้งภาษาพูดและเขียนเป็นของตัวเอง ทำให้ลี่เจียงเป็นหนึ่งในเมืองการค้าที่สำคัญบนเส้นทาง Tea Horse Road ที่ก่อตั้งขึ้นกว่า 1,000 ปีก่อน เพื่อนำใบชาจากผู่เอ๋อร์แบกขึ้นหลังม้าไปกระจายสู่ภูมิภาคอื่นๆของจีน ทิเบต และบางส่วนของอินเดีย วัฒนธรรมของลี่เจียงจึงมีความรุ่มรวยไม่เหมือนใคร ในปัจจุบันว่ากันว่า 80% ของจำนวนประชากรกว่า 1.25 ล้านคนของลี่เจียงนั้นยังคงกระจายอาศัยกันอยู่บนภูเขามากกว่าอยู่ในเมือง วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านจึงยังคงดำเนินไปอย่างไม่ถูกรบกวนจากเทคโนโลยีภายนอกมากนัก ลี่เจียงแห่งแคว้นยูนนานเป็นเมืองจีนโบราณอายุนับพันปีที่งดงามเปี่ยมเสน่ห์พร้อมสะกดทุกผู้มาเยือน ยิ่งได้ฉากหลังเป็นเขามังกรหยกสูงเสียดฟ้ากว่า 5,500 เมตร มีหิมะปกคลุมยอดตลอดทั้งปี ก็ยิ่งทำให้ทั้งเมืองดูขลังและอลังการสมกับที่ UNESCO รับรองให้เป็นมรดกโลกเลยล่ะครับ สำหรับการเดินทางก็สะดวกเพราะไม่ต้องขอวีซ่า และบินตรงเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นการหลบร้อนไปพึ่งเย็นที่ทั้งง่ายและชวนหลงไหลจนไม่น่าเชื่อว่าลี่เจียงจะอยู่ใกล้บ้านเรามากขนาดนี้ และคงไม่น่าแปลกใจเลยหากที่นี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายยอดฮิตสำหรับคนไทยในอนาคตอันใกล้นี้ครับ The Arrival  Ruili Airlines เป็นสายการบินเดียวที่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯไปลี่เจียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพียง 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงลี่เจียงเลย อีกทางเลือกหนึ่งก็คือเดินทางด้วยสายการบินหลักอื่นๆไปลงที่คุนหมิง แล้วนั่งรถไฟต่อมาที่ลี่เจียงก็ได้เช่นกัน หากเพื่อนๆเลือกจองที่ Amandayan ด้วยโค้ด “Hop Around” ก็สามารถเลือกให้ทางรีสอร์ทมารับที่สนามบินได้เลยก็จะสะดวกมากๆ ในแพ็คเก็จแขกสามารถเลือกรับบริการจาก Amandayan ระหว่างให้มารับหรือมาส่งที่สนามบินได้ขาใดขาหนึ่ง แต่เราแนะนำให้เลือกให้มารับมากกว่าเพราะการเรียกรถแท็กซี่จาก International Terminal ที่ลี่เจียงอาจจะไม่ค่อยสะดวกมากนัก (ถ้าเดินไปที่ Domestic Terminal จะมีแท็กซี่มากกว่า) และแนะนำดาวน์โหลดแอ๊ป WeChat และ AliPay พร้อมผูกบัตรเครดิตเอาไว้ให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ไทย จะได้พร้อมใช้งานเลย ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องอินเตอร์เน็ตเมื่อไปถึง จากสนามบินเราใช้เวลาบนรถ Mercedez-Benz ที่ทาง Amandayan ส่งมารับประมาณ 45 นาทีก็มาถึงรีสอร์ทบนเนินเขา Lion Hill กลางเมืองลี่เจียง เมื่อถึงจุด Drop Off พนักงานของ Amandayan ก็มายืนรอต้อนรับกันพร้อมหน้า นับเป็นความประทับใจแรกตามตำรับ Aman ที่เราคุ้นเคย หลังจากรับผ้าเย็นแล้ว เราก็ถูกเชิญให้ไปนั่งพักจิบ Welcome Drink (ชาเขียวยูนนานผสมน้ำผลไม้) เพื่อรอเช็คอินที่ Lobby  Amandayan เปิดตัวในปี 2015 และออกแบบโดยสถาปนิกระดับตำนานอย่าง Ed Tuttle โดยได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะของชาว Naxi อาคารทั้งหมดนั้นสร้างขึ้นมาใหม่ให้มีกลิ่นอายโบราณเป็นหนึ่งเดียวกับเมืองเก่า มีเพียงอาคารเดียวในเขตรีสอร์ทเท่านั้นที่เป็นศาลเจ้าโบราณสถานอายุกว่า 300 ปีซึ่งเปิดให้คนนอกสามารถเข้าชมได้ และเราจะพาเพื่อนๆไปชมกันหลังจากเช็คอินแล้วนะครับ  เราสัมผัสได้ถึงความนิ่งสงบตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้ามาสู่ Lobby วัสดุในการตกแต่งภายในส่วนใหญ่ทำมาจากไม้ ซึ่งให้ความรู้สึกที่หรูหราและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นโคมไฟทรงกระบอกยาว 9 โคมที่แขวนสูงทะลุขึ้นไปถึงโถงชั้น 2 ของอาคาร รสนิยมอันละเมียดละไมของคุณ Ed Tuttle ที่ทำให้สเปซมีความโดดเด่นอย่างกลมกล่อมนั้นฝังตัวอยู่ในทุกอณูของ Lobby ที่นี่เลยครับ Our Room: Courtyard Suite เช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราพาไปชมห้องพักของเรากันดีกว่าครับ ก่อนอื่นต้องขอเล่าให้เห็นภาพใหญ่กันก่อนว่าบนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ของ Amandayan นี้ มีห้องพักเพียงแค่ 34 ห้อง บวกกับอีก 1 วิลล่าที่เปิดให้จองได้ ดังนั้นเรื่องความเป็นส่วนตัวจึงไม่ต้องห่วงเลย ส่วนของห้องพักก็แบ่งเป็น 2 แบบเท่านั้น คือ Courtyard Suite ที่อยู่ชั้นล่างและ Deluxe Suite ที่อยู่ชั้นสอง ห้องชั้นล่างนั้นได้เปรียบเรื่องความสะดวกเวลาจะเข้าออกห้องพัก ส่วนชั้นสองจะได้เปรียบเรื่องระเบียงที่สามารถเห็นวิวจากมุมที่สูงกว่า แต่หากคืนใดมีงานเลี้ยงเสียงดังในเขตเมืองเก่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป ห้องชั้นบนก็อาจจะมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาง่ายกว่าชั้นล่างเช่นกัน การตกแต่งภายในห้องพักทั้ง 2 ประเภทนี้มีรูปแบบและหน้าตาห้องเหมือนกันหมดทุกประการ อาจจะมี Layout ที่สลับฝั่งซ้าย-ขวากันบ้างในบางห้อง แต่ในภาพรวมแล้วการพาไปดูห้องของเราซึ่งเป็นแบบ Courtyard Suite เพียงห้องเดียวก็เท่ากับว่าเพื่อนๆจะได้เห็นหน้าตาห้องของทั้งรีสอร์ทเลยครับ ห้องของเราหมายเลข 121 มีขนาด 72 ตารางเมตร กว้างขวางสะดวกสบายมาก การจัดแบ่งพื้นใช้สอยก็ทำได้ดีเลิศเลยครับ เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา เราก็จะเจอกับพื้นที่นั่งเล่นที่มีโซฟาขนาดใหญ่สำหรับเอกเขนกก่อนเลย ด้านหลังโซฟาเป็นผนังบุผ้าทอลวดลายศิลปะท้องถิ่นที่นอกจากจะประดับไว้เพื่อความงามแล้ว ยังเป็นบานเลื่อนในตัวที่เอาไว้เปิด-ปิดซ่อนทีวีที่อยู่เบื้องหลังได้ด้วย บนโต๊ะกลางก็มีผลไม้ ของว่าง และข้อมูลต่างๆของรีสอร์ทที่ทางแม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้เรา เมื่อหันไปทางซ้ายก็จะเจอกับเตียง King Size ที่ดูโอ่อ่านุ่มสบาย แต่สิ่งที่ทำให้ห้องดูสวยงามและโดดเด่นอย่างมากก็คือฉากไม้ที่เจาะฉลุลวดลายดอกไม้แบบจีน ช่างไม้ฝีมือเนี้ยบมากครับ ยิ่งเมื่อแสงแดดส่องทะลุเข้ามา แสงเงาที่เกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้ห้องดูงดงามราวกับมีเวทมนตร์เลยทีเดียว ด้านหลังฉากไม้ฉลุนี้เป็นโซนของโต๊ะทำงาน และมินิบาร์ซึ่งเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล เราสามารถรับประทานได้ทั้งหมดเพราะรวมอยู่ในค่าห้องเรียบร้อยแล้ว ตรงจุดนี้นอกจากอุปกรณ์ชง Cocktail ที่เราจะเจอได้ตามโรงแรมหรูทั่วไปแล้ว ที่นี่ยังจัดเตรียมเซ็ตชงชาเอาไว้ให้แขกเป็นพิเศษด้วย ซึ่งช่วยยกระดับบรรยากาศของห้องพักให้มีความพิถีพิถันแบบจีนมากขึ้นไปอีก ถัดจาก Minibar เข้าไปหลังผนังโซนนั่งเล่น ก็จะเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet มีอ่างล้างหน้าแยก 2 เซ็ตสำหรับแขก 2 ท่าน ตรงกลางเป็นอ่างอาบน้ำ และมีห้อง Shower กับห้องส้วมแยกออกไปต่างหากอย่างเป็นสัดส่วนดีมากครับ  สิ่งหนึ่งที่เราขอให้ทางรีสอร์ทจัดหาให้เพิ่มเติมก็คือเครื่องทำความชื้นในอากาศครับ เพราะลี่เจียงอากาศค่อนข้างแห้งจึงทำให้รู้สึกแห้งในจมูกและคอเวลาตื่นนอน นี่แหละครับข้อดีของการมาพักที่ Aman เขาใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างจริงๆ Private Villa ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราพาเพื่อนๆไปดู Private Villa หนึ่งเดียวของ Amandayan ที่เปิดให้จองกันได้ต่อเลยดีกว่าครับ วิลล่าหมายเลข 888 นี้ (เลขมงคลสุดๆ) เป็นวิลล่า 2 ห้องนอนสำหรับแขกที่ต้องการอยู่เป็นกรุ๊ป 4-5 ท่านแบบเป็นส่วนตัว สำหรับกรุ๊ปที่ใหญ่กว่านี้สามารถปรึกษาทาง Reservation ได้นะครับ เพราะจริงๆแล้วทางรีสอร์ทก็สามารถเปิด Private Villa หลังอื่นเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษได้อีก ห้องพักแบบวิลล่านั้นจะมาพร้อมกับ Butler ส่วนตัวที่คอยให้บริการเราตลอด 24 ชม. มีการจัดสรรพื้นที่เป็นห้องนอนให้ Butler นอนพักภายในตัววิลล่าด้วยเลย ซึ่งทาง Aman แบ่งโซนตรงนี้ได้ดีมากครับ ยังคงความเป็นส่วนตัวของแขกอย่างเต็มที่ เนื่องจากถ้าไม่สังเกตเราก็แทบมองไม่เห็นห้องพักของ Butler เลย วิลล่า 888 มีการจัดวางอาคาร 2 ชั้นเป็นรูปตัว L บนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีพื้นที่ว่างเป็นลาน Courtyard ส่วนตัวที่เงียบสงบ เมื่อเปิดประตูเข้ามา ด้านขวามือภายในตัวอาคารก็จะเป็นห้องรับประทานอาหารกับโต๊ะกลมหมุนได้แบบจีน เดินลึกเข้าไปอีกนิดก็จะพบกับห้องครัวส่วนตัวที่มีอุปกรณ์พร้อมสรรพ  อีกฝั่งของอาคารตัว L ก็จะเป็นห้องนั่งเล่น ที่มาพร้อมกับโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเบ้อเริ่มตรงกลางห้อง พร้อมโซฟาที่นั่งได้รอบโต๊ะเลย ถัดออกไปติดผนังก็เป็นทีวี นอกจากนี้ก็ยังมีโต๊ะทำงานเซ็ตใหญ่อีก 2 เซ็ตตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ที่ชั้นล่างนี้จะมีห้องน้ำอยู่ตรงจุดก่อนถึงบันไดขึ้นชั้น 2 และทางเข้าห้องพักของ Butler ก็อยู่ใต้บันไดนี่เอง  ชั้น 2 ของวิลล่าก็จะเป็นห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว ซึ่ง Layout ทุกอย่างก็เหมือนกับห้องพักของเราเลยครับ เพียงแต่ห้องนอนของวิลล่าที่อยู่คนละปีกก็จะมีการสลับฝั่งของการจัดสรรพื้นที่ให้อยู่ทิศตรงข้ามกัน Man Yi Xuan - The Main Chinese Restaurant สำหรับเรื่องอาหารที่ Amandayan จะมีทั้งสิ้น 3 Outlets แต่ห้องอาหารหลักนั้นมีชื่อว่า Man Yi Xuan ซึ่งเสิร์ฟอาหารจีนในมื้อกลางวันและเย็นโดยมีทั้งเมนูจีนทั่วไป และอาหารยูนนานท้องถิ่นที่ทั้งอร่อยและหาทานได้ยากครับ ในวันที่ฟ้าใสเพื่อนๆก็จะสามารถมองเห็นวิวภูเขาหิมะมังกรหยกแบบเต็มตาได้จากห้องอาหาร Man Yi Xuan นี้ได้เลย เรียกได้ว่าอร่อยลิ้นและอิ่มเอมสายตาไปพร้อมๆกัน วิวตรงนี้คือ Iconic View พันล้านที่เป็นจุดขายในภาพโฆษณาของ Amandayan เลยก็ว่าได้ครับ เมนูที่เราอยากจะแนะนำหากเพื่อนๆได้มารับประทานอาหารที่นี่ก็คือ Hot Pot แต่ต้องสั่งจองกันล่วงหน้านิดนึงนะครับ เนื่องจากทางห้องอาหารต้องเตรียมการอย่างน้อย 4 ชั่วโมงเลย Hot Pot ของที่นี่เสิร์ฟในหม้อดินดำที่นำเข้ามาจาก Shangri-la ดูสวยขลังมากครับ ตัวน้ำซุปนั้นกลมกล่อม ส่วนเนื้อสัตว์ก็มีให้เลือกทั้งเนื้อไก่ฟาร์ม ซี่โครงหมูบ่ม 6 เดือน และเนื้อจามรี มื้อนี้เราเลือกลองซี่โครงหมูและเนื้อจามรีจานเล็กๆมาลองครับ เชฟจะนำเนื้อซี่โครงหมูดิบๆมานวดคลึงเคล้าด้วยเครื่องปรุงและเครื่องเทศท้องถิ่น ก่อนจะบ่มเก็บเอาไว้นานถึง 6 เดือนจนเข้าเนื้อ ตอนแรกเราคาดหวังว่าเนื้อหมูคงจะนุ่มเปื่อยแบบละลายไปเลย แต่จริงๆแล้วเท็กซ์เจอร์นั้นนุ่มกำลังดียังมีความสู้ฟันพอให้เราได้เคี้ยวอยู่ครับ แต่มีรสชาติเข้มข้นแทรกซึมอยู่ในเนื้อหมูเลย ส่วนเนื้อจามรีนั้นรสชาติเหมือนเนื้อวัวชั้นดีเลยครับ ไม่เหนียวหรือมีกลิ่นสาบอย่างที่คิด อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของ Hot Pot ก็คือเห็ดและผักซึ่งสดอร่อยมาก โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่เป็นฤดูเก็บเห็ด เพื่อนๆก็จะได้ลิ้มลองเห็ดหลายชนิดเลยครับ ที่มีชื่อที่สุดน่าจะเป็นเห็ดสน หรือ Matsutake ที่ปกติราคาค่อนข้างสูง ถ้ามีโอกาสอย่าลืมสั่งมาลองดูกันนะครับ The Lounge มื้อเช้าของทุกวันนั้นรวมอยู่ในแพ็คเก็จข้อเสนอพิเศษเมื่อจองด้วยโค้ด Hop Around ด้วยนะครับ ซึ่งมื้อเช้าที่ Amandayan จะเสิร์ฟกันที่ The Lounge ซึ่งอยู่ในพื้นที่อีกฝั่งของ Lobby เมนูอาหารเช้าของที่นี่ก็จะมีทั้งแบบตะวันตก แบบจีนทั่วไป และแบบยูนนาน และมีเมนูทิเบตแซมๆมาด้วย เช่น ชาผสมเนยจามรี เพราะจริงๆแล้วถัดจากลี่เจียงไปนิดเดียวก็ทิเบตแล้ว ในแต่ละวันที่เข้าพักเราก็พยายามสั่งเมนูที่แตกต่างกันไปเพื่อให้เพื่อนๆได้เห็นหน้าตาอาหารเช้าหลากหลายแบบที่สุด ส่วนตัวแล้วเราถูกใจกับรสชาติที่เข้มข้นของเมนูเส้นเป็นพิเศษทั้งแบบแห้งและแบบน้ำ อยากให้เพื่อนๆได้ลองดูครับ  ส่วนอาหารเช้าแบบท้องถิ่นนั้นมีธัญพืชเป็นวัตถุดิบค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่วเลนทิล (อันนี้มีเอามาทำเป็นเจลลี่ด้วย แปลกดีครับ) รวมไปถึงมันสีต่างๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าดีต่อสุขภาพมากเลย อีกอันที่แปลกดีก็คือก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้กลีบกุหลาบ อ่อ! ลืมบอกไปว่าที่ลี่เจียงนี่เป็นดินแดนแห่งดอกไม้นานาพันธุ์เลยครับ ดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งสวยมากจริงๆ และคนก็นิยมนำดอกไม้หลายชนิดมาประกอบอาหารเช่นกัน อย่างของฝากชื่อดังที่มีขายทั่วเมืองเก่าก็คือขนมเปี๊ยะไส้กลีบกุหลาบนี่แหละครับ The Boutique ในบริเวณเดียวกันกับ The Lounge จะมีห้องเล็กๆที่หลบอยู่ใกล้โต๊ะรีเซ็พชั่น ซึ่งภายในจะเป็น Boutique ร้านขายของที่ระลึกทั้งที่ทาง Amandayan คัดสรรมาจากช่างฝีมือท้องถิ่น และสินค้าในแบรนด์ Aman เองซึ่งมีตั้งแต่เครื่องหอมไปจนถึงเสื้อผ้าเลยครับ เป็นมุมเล็กๆที่น่าสนใจยังไงก็ลองมาแวะชมกันนะครับ The Library and The Meeting Room พาขึ้นมาชมชั้นสองของอาคาร Lobby กันบ้างครับ ห้องสมุดของทุก Aman นั้นเป็นมุมที่เราชอบเป็นพิเศษ เป็นมุมเงียบๆที่ตกแต่งสวยอบอุ่น ให้อารมณ์บ้านผู้ดีเก่าที่มีความ Sophisticated แบบไม่ต้องพยายาม และที่ Amandayan ก็เช่นกันครับ ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ที่พิเศษกว่า Aman อื่นที่เราเคยไปก็คือที่นี่มีห้องประชุมขนาดค่อนข้างใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทุกอย่างเอาไว้ให้บริการด้วย จากสายตาคิดว่าสามารถรองรับคนได้ประมาณ 30 คนสบายๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไม Amandayan ถึงมีบริษัทเก๋ๆพาพนักงานมาพักแบบ Buy Out กันอยู่เรื่อยๆ  The Theatre อาคาร Lobby ยังมีชั้นใต้ดินให้เราลงไปสำรวจกันอีกนะครับ ข้างล่างนี้มีห้องที่พิเศษมากก็คือ Private Theatre หรือโรงหนังส่วนตัวที่เพื่อนๆสามารถชวนกันมาเลือกดูหนังได้อย่างจุใจ ห้องนี้จะเป็นที่นิยมมากในช่วงเทศกาลแข่งขันกีฬาต่างๆไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิค บอลโลก เทนนิสโอเพ่น ฯลฯ ในบางวันก็จะมีโปรแกรมหนังที่ทางทีม Amandayan เลือกเอามาฉายด้วย และห้องนี้ก็ไม่ได้มาเล่นๆนะครับ ตั้งแต่การออกแบบ วัสดุที่ใช้ตกแต่ง ระบบภาพและเสียง รวมไปถึงคุณภาพของที่นั่งทุกอย่างคือดีเยี่ยมทั้งหมด ตอนที่เปิดเข้ามาเห็นครั้งแรก เราเซอร์ไพร้ซ์กับความจริงจังนี้มากครับ The Spa นอกจากห้องพักที่สวยงามแล้ว อีกสิ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากที่ Aman ก็คือสปาครับ จากประสบการณ์การใช้สปาในแต่ละ Aman ที่เราเคยได้ไปสัมผัสมานั้นดูเหมือนว่าจะมีเวทมนตร์บางอย่างที่มากไปกว่าแค่เพียงความผ่อนคลายสบายตัว แต่จิตใจเราก็รู้สึกสงบนิ่งปลอดภัยราวกับเราได้เข้าไปอยู่ใน Sanctuary บางอย่าง และที่ Amandayan นี้ก็เช่นกัน คุณ Therapist นวดโดยใช้เทคนิคจีนเข้ามาผสม แต่คำว่า “นวด” ก็อาจจะดูน้อยและเบาไปนิดในความรู้สึกของเรา คำว่า “บำบัด” น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะเรารู้สึกได้ถึงความใส่ใจในทุกๆการกด การรีด และการลงน้ำหนักมืออันไหลลื่นซึ่งช่วยให้ความตึงเครียดที่สะสมอยู่ในทั้งร่างกายและจิตใจของเราค่อยๆคลายลงจนเราเผลอหลับไปเลยครับ  The Gym ชั้นล่างของอาคารสปาเป็นที่ตั้งของห้องฟิตเนสและห้องโยคะที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป แต่อุปกรณ์นั้นมีครบครันและทุกชิ้นก็มาตรฐานสูงจากแบรนด์ TechnoGym สายออกกำลังไม่ต้องห่วงเลยครับ ได้ใช้อุปกรณ์ชั้นเยี่ยมอย่างเป็นส่วนตัวแน่นอนครับ The Pool นี่คือหนึ่งในสระน้ำ Outdoor เพียงไม่กี่สระในเขตเมืองเก่าของลี่เจียง (เราคิดว่าน่าจะเป็นสระกลางแจ้งสระเดียวเลยด้วยซ้ำ) ยิ่งไปกว่านั้นสระของ Amandayan ยังมีระบบรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 28 องศาเซลเซียส ดังนั้นแม้ในวันที่อากาศหนาว แขกของรีสอร์ทก็ยังสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายตัว จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะได้ว่ายน้ำในเซ็ตติ้งจีนโบราณแบบนี้ The View Pavilion และนี่ก็น่าจะเป็นศาลาชมวิวจากบนเนินเขาหนึ่งเดียวของเมืองเก่าลี่เจียงเช่นกัน เพื่อนๆจะได้ชมวิวเมืองเก่าในมุมที่สวยที่สุดของลี่เจียงแบบพาโนรามาโดยไม่ต้องไปแย่งชิงกับฝูงชนใดๆ นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ Exclusive สำหรับแขกของ Amandayan เท่านั้นครับ เพราะคนนอกไม่สามารถเข้ามาตรงจุดนี้ได้ The Tea House ยูนนานนั้นเป็นอีกแหล่งปลูกชาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน โดยเฉพาะที่เมืองผู่เอ๋อร์ทางใต้ของลี่เจียง ด้วยความที่ลี่เจียงเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคมาแต่อดีต โดยเป็นจุดผ่านที่สำคัญของ Tea Horse Road จึงทำให้ลี่เจียงเป็นแหล่งซื้อขายใบชาชั้นดีไปโดยปริยาย การจิบน้ำชาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวที่ลี่เจียง และในเมืองเก่าก็มีร้านขายชาเก่าแก่มากมายที่เพื่อนๆสามารถไปลองชิมชาได้ แต่ที่ The Tea House ของ Amandayan ไม่ได้มีดีแค่ชาเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆให้เลือกหลากหลาย และมีบริการทั้งติ่มซำและเซ็ต Afternoon Tea แบบจีนประยุกต์ที่พรีเซ้นต์ได้สวยงามขึ้นกล้องมากๆ และที่ว้าวที่สุดก็คือวิวเมืองเก่าจากมุมสุด Exclusive ที่ยิ่งช่วยเสริมให้รสชาติของชานั้นยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก Wenchang Palace ศาลเจ้าเหวินชางเป็นอีกหนึ่งไอเท่มลับของ Amandayan เลยครับ เมื่อ 300 กว่าปีก่อนสถานที่แห่งนี้เคยถูกใช้เป็นจุดสอบคัดเลือกเข้าเป็นขุนนางข้าราชการของจีน ปัจจุบันผู้คนจึงนิยมมาขอพรเรื่องการเรียนและการงานที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ต้นไม้บางต้นที่อยู่ในบริเวณศาลเจ้าก็เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่ก่อนสร้างศาลเจ้าด้วยซ้ำ และเนื่องจากศาลเจ้านี้อยู่ติดกันกับพื้นที่ของรีสอร์ท ทางการจีนจึงมอบหมายให้ Amandayan เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยทั้งหมด ดังนั้นบริเวณนี้จึงเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเที่ยวชมได้ตั้งแต่ 10:00-17:00 น. ในบางวันนอกจากจะมีคนมาขอพรและชมวิวแล้ว เราอาจจะได้เห็นศิลปินมานั่งสเก็ตช์ภาพสวยๆด้วย ได้อารมณ์ชะมัด The Old Town Dayan นั้นเป็นเมืองที่เก่าที่อยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุดในบรรดา 3 เมืองโบราณของลี่เจียง ตัวเมืองจึงมีขนาดใหญ่ที่สุดและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดด้วยเช่นกัน กลายเป็นภาพจำของผู้คนทั่วไปเมื่อพูดถึงเมืองเก่าลี่เจียงโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยว ดังนั้นชื่อเมือง Dayan จึงถูกแทนที่ด้วย Lijiang Old Town ไปโดยปริยาย เขตเมืองเก่าของลี่เจียงนั้นสวยงามดั่งภาพในนิยายจีนโบราณ และมีพื้นที่ถึง 3.8 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นโซนต่างๆได้ตามทิศเหนือ-ใต้-ออก-ตก ข้อดีของ Amandayan ก็คือมีทางเดินลงมาที่เมืองเก่าได้หลายทางซึ่งแต่ละทางก็จะพาไปโซนที่ต่างกันของเมือง โดยโซนทางเข้าฝั่งทิศเหนือ (North Gate) นั้นนับว่าเป็นทางเข้าหลัก นักท่องเที่ยวก็จะค่อนข้างเยอะกว่าทางเข้าอื่น ตรงกันข้ามกับฝั่ง South Gate ที่นักท่องเที่ยวจะบางตากว่า ใจกลางของเมืองเก่าก็คือ Square Market (จตุรัสกลางเมือง) ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวหนาแน่นเช่นกัน ทางเดินในเมืองเก่านั้นเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมาย วิธีการเดินเที่ยวที่ดีที่สุดคือเดินไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ตัวเองได้หลงทางสำรวจเมืองแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก อาจจะยึดเอา Square Market ที่อยู่กลางเมืองและสายน้ำที่ไหลจากเหนือลงใต้ทะลุเมืองเก่าเป็นหลักในการเดาทิศแบบคร่าวๆ ในแต่ละซอกซอยก็เรียงรายไปด้วยร้านค้าตลอดสองข้างทางทั่วทั้งเมือง แต่ก็มักจะขายสินค้าคล้ายๆกัน สินค้าที่มีชื่อจากลี่เจียงและควรค่าจะซื้อกลับไปเป็นของฝากก็อย่างเช่น ชาผู่เอ๋อร์เกรดต่างๆ เห็ดตากแห้ง ขนมเปี๊ยะไส้กลีบกุหลาบ และเครื่องเงิน (อันนี้ต้องเลือกร้านดีๆนะครับ หรือปรึกษา Conceirge ที่ Aman ก่อนก็ได้ เพราะได้ข่าวมาว่าบางร้านก็ไม่ใช้เงินแท้)  ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เมืองเก่าจะมี Vibes ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ช่วงเช้าเป็นช่วงที่เราชอบมากที่สุด เพราะยังเงียบสงบ ร้านรวงยังเปิดกันไม่ครบ นักท่องเที่ยวยังน้อย เหมาะมากกับการเดินเล่นชมเมืองเพลินๆและเก็บภาพสวยๆ ลี่เจียงในช่วงเช้ามีเสน่ห์มาก เราแนะนำให้เพื่อนๆลองมาเดินเล่นกันดูนะครับ ช่วงกลางวันตัวเมืองเริ่มพลุกพล่านไปด้วยผู้คนทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ เราเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนตั้งใจมาแต่งชุดพื้นเมืองถ่ายรูปกันแบบจริงจังเลย ส่วนในช่วงกลางคืน (โดยเฉพาะบริเวณ Square Market) เมืองเก่าก็จะกลายร่างเป็นผีเสื้อราตรีงานแสงสีเสียงฉ่ำมาก ผับบาร์พร้อมใจกันอวดแสงไฟหลากสี และมีดนตรีทั้งเล่นสด และเปิดแผ่นเรียกลูกค้ากันสนุกสนานเลย Zhongyi Market ถ้าเพื่อนๆอยากจะหลบหลีกนักท่องเที่ยวไปหามุมที่ “Authentic” ในเมืองเก่าลี่เจียง เราขอแนะนำให้ลองมาเดินตลาดจงยี่ตอนเช้า ที่นี่เป็นตลาดสดที่เราแทบไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย แต่จะเป็นคนท้องที่ที่เข้ามาจับจ่ายผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ เราจะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารและวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขารอบๆลี่เจียง ลำพังแค่หัวมันก็มีตั้งหลายชนิดและหลายสีให้เลือกแล้ว Fun Fact ที่เราก็เพิ่งรู้ก็คือถ้าเนื้อของหัวมันเป็นสีอะไร ดอกของต้นมันก็จะเป็นสีนั้นไปด้วย ส่วนใครที่อยากลิ้มลองอาหารท้องถิ่น ใกล้ๆกับตลาดก็มีฟู้ดคอร์ทแบบชาวบ้านไว้บริการด้วยนะครับ Mu’s Mansion ตระกูล Mu (มู่) เป็นตระกูลชาว Naxi ที่ปกครองดินแดนละแวกนี้มากว่า 1,200 ปี ตระกูล Mu มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการวางผังเมือง และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอารยธรรมของชาว Naxi ให้ก้าวหน้าแซงชนเผ่าอื่นๆในละแวกนี้จนถึงขั้นมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง นอกจากนี้ยังมีค่านิยมที่ปลูกฝังให้ลูกหลานรักการอ่านเขียน จึงยิ่งทำให้ชาว Naxi นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าใคร ด้วยการให้ความสำคัญกับการศึกษามายาวนาน เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภายในคฤหาสน์ของตระกูล Mu นี้จึงมีหอสมุดที่เป็นอาคารสูง 3 ชั้นเพียงหลังเดียวในเมืองเก่าลี่เจียง อาคารอื่นๆทั้งหมดในตัวเมืองจะเตี้ยกว่านี้ทั้งสิ้น ในวันที่รุ่งโรจน์ที่สุดของตระกูล Mu อาณาบริเวณของคฤหาสน์แห่งนี้เคยกว้างขวางถึงประมาณ 40 ไร่ และมีความยิ่งใหญ่งดงามจนมีคนเอาไปเปรียบว่าเป็นขนาดย่อส่วนลงมาของพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง ตระกูล Mu นั้นอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ต่อเนื่องกันมาถึง 22 รุ่น แต่หลังจากผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนก่อนจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง Mu’s Mansion บางส่วนจึงถูกทำลายลงไปจนปัจจุบันเหลือพื้นที่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และอาคารส่วนใหญ่ที่เห็นในปัจจุบันก็เป็นการสร้างขึ้นใหม่ตามดีไซน์เก่าในช่วงทศวรรษ 90 แต่ความสวยงามก็ยังคงทำให้เราตื่นตะลึงได้ไม่ยากนัก  Naxi Ancient Music Recital สำหรับใครที่อยากดื่มด่ำกับความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของชาว Naxi ไปอีกระดับ เราขอแนะนำให้มาชมการแสดงดนตรีโบราณแบบสดๆ สามารถให้ทาง Amandayan จองให้ได้เลยครับ แนวดนตรีจะมีความคล้ายงิ้วที่ประณีตขึ้นมาอีกระดับ เป็นเรื่องน่าทึ่งนะครับที่คนโบราณสามารถประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้นมาได้หลากหลายแบบ และทำให้ทุกชิ้นสอดประสานกันขึ้นเป็นเพลงที่ไพเราะและมีเอกลักษณ์ได้แบบนี้ Black Dragon Pool อีกหนึ่งพิกัดสุด Iconic ของลี่เจียงก็คือสระมังกรดำที่ตั้งอยู่ที่เชิงเนินเขาช้าง (Elephant Hill) ซึ่งสระแห่งนี้เป็นทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน สวนสาธารณะที่ร่มรื่นเดินเพลิน สถานอนุรักษณ์น้ำของรัฐ ที่ตั้งพิพิธภัณฑ์และสถาบันวิจัยวัฒนธรรมตงปา (Dongba) ของชาว Naxi และเป็นแหล่งรวมงานสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัยทั้งแบบ Naxi และแบบชาวฮั่น อาคารบางหลังเช่นหอ Wufeng หลังคาซ้อน 3 ชั้นที่ปัจจุบันตั้งอยู่คู่กับสะพานหินอ่อนสีขาวกลางสระ ก็เป็นศิลปะตั้งแต่ราชวงศ์หมิง อายุกว่า 400 ปี ซึ่งถูกย้ายมาจากวัด Fuguo ที่อยู่นอกเมือง Dayan ออกไป  ใดๆก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Black Dragon Pool มีชื่อเสียงที่สุดก็คือวิวที่สวยหยาดเยิ้มชวนฝัน เป็นความลงตัวของการจัดวางสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์กับวิวภูเขาหิมะมังกรหยกที่ตั้งเป็นฉากปังๆอยู่ด้านหลัง สระน้ำที่สะท้อนเงาวิวทั้งหมดในวันฟ้าใสก็ยิ่งเพิ่ม Wow Factor ให้กับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า หากเพื่อนๆมีเวลานอกจากจุดชมวิวชื่อดังแล้ว Black Dragon Pool ก็ยังมีอะไรอีกเยอะแยะให้เดินดูได้เพลินๆหลายชั่วโมงเลยครับ Excursions มณฑลยูนนานของจีนนั้นเป็นมณฑลที่มีเมืองที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่หลักสิบเมตรไปจนถึงหลายพันเมตร ถ้าจะเอาตัวเลขเป๊ะๆก็คือ 76.4 - 6,740 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ดังนั้นจึงเป็นมณฑลที่มีความหลากหลายมาก ข้อดีของการมาเที่ยวลี่เจียงก็คือเราสามารถเทค Day Trip ออกนอกเมืองไปที่อื่นได้อีกหลายจุด โดยเราสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วและราคาไม่แพง (โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถไฟ) เช่น ต้าลี่ และคุนหมิง ซึ่งในทริปนี้เรายังไม่มีโอกาสได้ไปเก็บภาพมาฝากกัน แต่ไม่ต้องห่วงครับ เราไปเยี่ยมชมที่อื่นๆมาอีกหลายที่เลยครับ ลองดูเพื่อเป็นไอเดียตามรอยได้ด้านล่างนี้ครับ Jade Dragon Snow Mountain ที่แรกที่พลาดไม่ได้ก็คือภูเขาหิมะมังกรหยกที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,596 เมตร ซึ่งสูงกว่า Mont Blanc (4,809 เมตร) ภูเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตกเสียอีก นอกจากจะสวยมากๆแล้ว ภูเขาแห่งนี้ยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาว Naxi ให้ความเคารพมาแต่โบราณ ด้วยเหตุนี้จึงว่ากันว่ายังไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเหยียบบนจุดสูงสุดยอดเขาจริงๆเสียที แต่เราสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปที่ความสูง 4,506 เมตร เพื่อชมยอดเขาในระยะใกล้ๆได้ จากจุดนี้ก็จะมีทางให้เดินเท้าขึ้นต่อไปได้อีกแต่ก็ไม่ถึงจุดยอดสุดนะครับ สำหรับการเดินทางจากลี่เจียง เราต้องนั่งรถออกนอกเมืองไปประมาณ 1 ชม. เราสามารถเช่ารถพร้อมคนขับ แล้วให้คนขับช่วยจัดการเรื่องตั๋วกระเช้าลอยฟ้าและตั๋วจุดท่องเที่ยวอื่นๆได้เลย (หาดูได้ตามกลุ่มเที่ยวเมืองจีนต่างๆในเฟสบุ้คนะครับ) หรือจะให้ทาง Amandayan จัดทริปให้ก็จะสะดวกมากกว่า อีกอย่างก็คืออย่าลืมพกกระป๋องออกซิเจนขึ้นมาด้วยนะครับ เพราะอาการข้างบนค่อนข้างบาง ส่วนใครที่เป็นโรคแพ้ความสูงก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้ามาให้ดีด้วยนะครับ Lijiang Impression Show ใกล้ๆกับสถานีกระเช้าลอยฟ้าขาขึ้นด้านล่างเขามังกรหยก ก็จะเป็นโรงละครสำหรับการแสดงอันเลื่องชื่อของเมืองลี่เจียงที่กำกับโดยจาก อี้ โหมว ผู้กำกับชาวจีนผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 ครั้ง และยังเป็นผู้ออกแบบการแสดงในพิธีโอลิมปิกที่ปักกิ่งเมื่อปี 2008 ด้วย  สารภาพตามตรงว่าครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีการแสดงที่นี่ เราไม่ได้รู้สึกอยากดูเลยเพราะคิดว่าจะต้องเป็นกับดักนักท่องเที่ยวที่การแสดงจะออกแนวแห้งๆปลอมๆแน่ๆ แต่เมื่อได้เข้ามาดูจริงๆกลับรู้สึกประทับใจกับการนำเสนอที่มีรสนิยมสมชื่อ Lijiang Impression Show ความตระการตาเริ่มต้นตั้งแต่ภูเขามังกรหยกที่ตั้งเป็น Background อยู่ด้านหลัง ตัดกับเวทีสีแดงสุด Iconic เอาเข้าจริงๆเราแทบไม่ได้ติดตามเส้นเรื่องของตัวโชว์เท่าไหร่นัก แต่เราก็อินไปกับงาน Visual และ Movement ของนักแสดงในทุกๆฉาก แม้ในวันที่เราเข้าชมฝนจะตกหนักเกือบตลอดการแสดง แต่นั่นก็ยิ่งกลับทำให้ได้ความ Dramatic ไปอีกแบบ ที่สำคัญนักแสดงกว่า 500 ชีวิตนั้นเป็นชาว Naxi พื้นเมืองทั้งหมดก็แสดงแบบมืออาชีพมาก ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร The Show Must Go On ฉะนั้นก็เท่ากับว่าเราก็จะได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้ไปด้วย ใครที่ลังเลอยู่ว่าจะดูโชว์ดีมั้ย เราก็แอบเชียร์ให้ดูนะครับ อย่างน้อยก็จะได้รูปปังๆมาอวดเพื่อนแน่นอน Blue Moon Valley ไม่ไกลจากจุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์ของภูเขามังกรหยกมาทางทิศตะวันออก ก็คือ “ไป๋ซุยเหอ” หรือ Blue Moon Valley ซึ่งเป็นอุทยานน้ำสีฟ้าที่สวยงามมาก จนมองลงมาจากที่สูงแล้วเห็นเหมือนมีพระจันทร์สีน้ำเงินฝังอยู่ในหุบเขา  เนื่องจากบนเขาหิมะมังกรหยกนั้นมีแร่ธาตุ Copper Sulfate ค่อนข้างเข้มข้น เมื่อหิมะละลายไหลลงมาจึงพาเอาไอออนทองแดง (Copper Ion) มาอยู่ในน้ำด้วย ซึ่งน้ำสวยๆแบบนี้ไม่เหมาะกับการบริโภคนะครับ แต่จะมีความเชื่อให้ล้างมือ 3 ครั้งในน้ำเพื่อความโชคดี 3 เรื่อง โดยครั้งแรกจะหมายถึงอาชีพการงาน ครั้งที่สองหมายถึงทรัพย์สินเงินทอง และครั้งที่สามหมายถึงความรักที่มั่นคง แม้ชื่อจะแปลว่าหุบเขา แต่หุบเขา Blue Moon Valley นี้ก็ยังตั้งอยู่ที่ระดับความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ลำธารที่ไหลมาจะถูกแนวหินกั้นแบ่งเอาไว้กลายเป็นแอ่งน้ำคล้ายทะเลสาบย่อยๆถึง 5 แห่ง หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็จะมีบริการรถ Buggy สีเขียววิ่งรับส่งระหว่าง 3 จุดสต็อปอยู่ตลอดเวลาและเราก็สามารถขึ้นลงได้ตามความสะดวก ตัวธรรมชาตินั้นมหัศจรรย์และสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกก็ยอดเยี่ยมมาก แต่อาจจะต้องเล็งจังหวะในการถ่ายรูปดีๆ เพราะความสวยของหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินนี้ก็มีพลังดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากให้เดินทางมาชมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคู่ว่าที่บ่าวสาวที่นิยมมาถ่ายรูป Pre-Wedding กันหลายคู่เลย Wenhai Yi Village ความเอ็กซ์คลูซีฟของ Aman ก็คือเราสามารถขอให้ไกด์จัดทริปพาออกนอกเส้นทางที่เป็นที่นิยมนักท่องเที่ยวทั่วไปเพื่อไปสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบ Authentic ของผู้คนท้องถิ่นได้ด้วย อย่างที่เล่ามาตั้งแต่แรกว่า Naxi คือชนเผ่าหลักที่อาศัยอยู่ในลี่เจียง แต่ในความเป็นจริงแล้วยูนนานประกอบไปด้วยชนเผ่าต่างๆกว่า 25 เผ่า วันนี้ทาง Amandayan จึงพาเราไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชาว Yi (ยี่) ที่อยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบเหวินไห่ และแวะชมธรรมชาติที่สวยงามระหว่างทางไปด้วย ทะเลสาบเหวินไห่เป็น Alpine Lake ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,100 เมตร และจะมีน้ำเป็นบางฤดูกาล ทำให้พื้นที่รอบๆนั้นเป็น Wet Land ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าเขียวขจี และชาวบ้านจึงใช้เป็นสถานที่เลี้ยงม้าหลายสิบตัว จึงเกิดเป็นภาพที่สวยงามแปลกตา เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยว Unseen ของลี่เจียงครับ หลังจากแวะถ่ายรูปกับน้องม้าจนพอใจแล้ว ไกด์ (คุณโทมัส) ก็พาเราเดินทางขึ้นเขาต่อไปยังหมู่บ้านของชาว Yi แบบไม่ได้มีจุดหมายว่าจะไปบ้านไหนเป็นพิเศษ คุณโทมัสบอกว่าถ้าเจอใครอยู่บ้านก็จะไปเคาะประตูขอเข้าไปชมบ้านและพูดคุยแบบดิบๆเลยเพื่อความ Real และเราก็โชคดีครับ มีคุณตาคุณยายคู่หนึ่งอยู่ที่บ้านพอดี เราจึงได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในบริเวณบ้านของพวกเขา และได้นั่งคุยโดยมีไกด์ช่วยแปลภาษาให้ด้วย เป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากเลยครับ คุณโทมัสเล่าให้ฟังว่าชาวเผ่า Yi นั้นรักสนุก และใช้ชีวิตแบบมีความสุขวันต่อวัน โดยเฉพาะผู้ชายที่จะดื่มสุราหนักและมักจะมีชีวิตสั้นกว่าผู้หญิง ต่างจากชาว Naxi ที่ชอบคิดการณ์ไกลและวางแผนล่วงหน้าโดยคุณโทมัสเปรียบเทียบว่า ถ้ามีการฆ่าหมูมาทำอาหาร ชาว Yi ก็จะชวนคนมาสังสรรค์กันทั้งหมู่บ้านและกินหมูให้หมดภายในคราวเดียว ส่วนชาว Naxi จะมีการแบ่งและถนอมอาหารเก็บไว้กินในอนาคต  Tiger Leaping Gorge ช่องเขาเสือกระโจนอันเลื่องชื่อนั้นอยู่ห่างจากลี่เจียงไปทางเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร ถ้าใครเดินทางไป Shangri-la ด้วยรถยนต์ก็แวะเที่ยวเป็นทางผ่านได้นะครับ ช่องเขาเสือกระโจนเป็นช่องแคบระหว่างภูเขาสูงเสียดฟ้า 2 ลูกเป็นระยะทาง 23 กิโลเมตรคือเขาหิมะมังกรหยก (สูง 5,596 เมตร) กับเขาหิมะฮาปา (สูง 5,390 เมตร) โดยเบื้องล่างมีแม่น้ำแยงซีตอนบน (Upper Yangtze) ไหลผ่าน แต่จุดที่เป็นที่มาชองชื่อช่องเขาเสือกระโจนจริงๆนั้นจะเป็นจุดที่แคบที่สุด (25 เมตร) โดยชื่อนี้ได้มาจากตำนานที่ว่าเคยมีเสือตัวหนึ่งกระโจนข้ามแม่น้ำณ จุดนี้เพื่อหลบหนีนายพราน และความแคบนี้ก็ยิ่งทำให้แม่น้ำเชี่ยวกรากดุดันสุดๆเช่นกัน สำหรับจุดที่ลึกที่สุดของช่องเขานี้โดยวัดจากยอดเขาลงไปที่แม่น้ำด้านล่างก็คือ 3,790 เมตร ซึ่งลึกกว่าแกรนด์แคนยอนเกือบ 2 เท่า สรุปง่ายๆว่าทั้งแคบมาก แรงมาก และลึกมากกกกกกก การเข้าชมช่องเขาเสือกระโจนนั้นต้องซื้อตั๋วคนละ 45 หยวน และถ้าไม่อยากออกแรงเดินลงและเดินกลับขึ้นมาด้วยตัวเองซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็สามารถจ่ายเพิ่มเพื่อใช้บันไดเลื่อนอีกคนละ 70 หยวนรวมสำหรับทั้งขาลงและขากลับขึ้นมา  นอกจากจุดที่แคบที่สุดแล้ว ตลอดระยะทาง 23 กิโลเมตรของช่องเขาเสือกระโจนนี้เต็มไปด้วยวิวที่สวยอลังการตลอดเส้นทาง เราขับรถทะลุออกมาอีกฝั่งและแวะจิบกาแฟชมยอดเขาหิมะ Haba ที่สูงไล่เลี่ยกันกับเขามังกรหยกเลย ปล.ถ้ามีเวลา มีคนแนะนำให้ลองค้างคืนแบบ Glamping แถวๆจุดที่เราแวะจิบกาแฟนี้ จะเห็นดาวเต็มฟ้า และทางช้างเผือกได้ชัดๆเลยครับ Bai Shui Tai  ไป๋สุยไถ หรือระเบียงธารน้ำขาว อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่อยู่ห่างจาก Shangri-la ประมาณ 106 กิโลเมตร ถ้าไม่ได้เดินทางด้วยรถยนต์จากลี่เจียงมา Shangri-la อาจจะต้องข้ามที่นี่ไป ว่ากันว่าไป๋สุ่ยไถนั้นเป็นจุดที่ผู้ก่อตั้งลัทธิ Dongba (ตงปา) ของชาว Naxi ที่นับถือธรรมชาติเป็นพระเจ้าใช้ประกาศคำสอนหลังเดินทางกลับมาจากทิเบต แอ่งน้ำทรงโค้งสีขาวที่เรียงตัวลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดลงมาตามไหล่เขาเกิดจากหินปูน (Calcium Carbonate) ในน้ำที่ค่อยๆก่อตัวผ่านกาลเวลาปีแล้วปีเล่าทำให้เกิดภาพที่มหัศจรรย์ไม่เหมือนใคร สีของน้ำเองก็มีหลายเฉดทั้งใส ฟ้า เขียว และเหลืองสวยงามมาก ขาขึ้นเราตัดสินใจเช่าม้าแคระขี่ขึ้นมา และค่อยๆเดินลงเองไปตามเส้นทางที่เดินค่อนข้างสะดวกสบายครับ Shangri-La    แชงกรีล่า หรือ เซียงเกอหลีลา เป็นชื่อเมืองในเขตการปกครองตนเองของชนชาติทิเบตตี๋ชิ่งที่รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจเปลี่ยนจากชื่อเดิมคือจงเตี้ยน เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเมืองลึกลับที่ถูกสมมติขึ้นมาในนิยายเรื่อง The Lost Horizon ที่เขียนโดย James Hilton ในปี 1933 หลังจากที่เขาได้เดินทางมายังเทือกเขาหิมาลัยไม่กี่ปีก่อนหน้านั้นโดยในนิยายเขาพรรณนาถึง Shangri-la ไว้ว่าเป็นเมืองอันใกล้โพ้นซึ่งงดงามดั่งสวรรค์ มีผู้คนที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและมีอายุยืนยาวนับร้อยปี  แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าบริเวณใดในเทือกเขาหิมาลัยที่ตรงกับคำบรรยายในนิยายที่สุด บ้างก็ว่าน่าจะเป็นที่ Hunza Valley ในปากีสถานมากกว่า แต่เมืองจงเตี้ยนนั้นเคลมไวก่อนใคร และได้ใช้ชื่อแชงกรีล่าอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 2001 ที่นี่จึงกลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งเมื่อมาเที่ยวลี่เจียงเพราะสามารถนั่งรถไฟมาถึงได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที  อย่างไรก็ตาม แชงกรีล่าหรือเมืองจงเตี้ยนเดิมนั้นก็สวยงามและมีเอกลักษณ์ในแบบทิเบต ตัวเมืองเก่านั้นดูขลังและสงบ มีแลนด์มาร์คเป็นกงล้อธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกสีทองอร่ามของวัดต้าฝอ (วัดพระใหญ่) ที่อายุเก่าแก่กว่า 1,600 ปีตั้งเด่นอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง กงล้อธรรมนั้นมีลักษณะเหมือนหอคอยสูง 23 เมตรที่สามารถหมุนได้เมื่อหลายๆคนช่วยกันผลัก ว่ากันว่าเมื่อสวดมนต์ขอพรขณะหมุนกงล้อก็จะทำให้บทสวดนั้นก้องกังวานไปถึงสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีอีกวัดที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือวัดซงจ้านหลิน (Songzanlin) ซึ่งอยู่ห่างออกจากเมืองเก่าไปประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นวัดทิเบตนิกายลามะหมวกเหลืองที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน และถอดแบบมาจากพระราชวังโปตาลาในกรุงลาซา จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น Little Potala Palace วัดซงจ้านหลินสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1679 โดยดาไลลามะองค์ที่ 5 ด้วยศิลปะทิเบตผสมจีนฮั่น ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดว่ากันว่ามีกุฏิในวัดที่สามารถรองรับพระสงฆ์ได้ถึง 2,000 รูป แต่ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน วัดก็ได้รับความเสียหายไปเยอะมากจึงต้องบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1983 ปัจจุบันแม้พระสงฆ์จะมีจำนวนน้อยลงกว่าในยุคก่อน แต่ภายในวัดนั้นก็ยังเต็มไปด้วยสมบัติเก่าและวัตถุมีค่าให้ไปศึกษามากมาย แต่หากมีเวลาน้อย(เหมือนเรา) แค่เดินชมบรรยากาศก็คุ้มค่ามากๆแล้วครับ ถ้าใครชอบแต่งชุดท้องถิ่นถ่ายรูป ก็สามารถจัดเต็มที่นี่ได้เช่นกันครับ Wrapping Up Our Stay การมาพักที่ Amandayan นั้นดูเหมือนจะสามารถต่อยอดเป็นทริปย่อยๆออกไปได้ไม่รู้จบ เวลาถูกถามว่าควรที่นี่พักกี่คืนดี เราจึงตอบได้ค่อนข้างยากเพราะขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆอยากจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง แต่หากเน้นเที่ยวเมืองเก่าลี่เจียงเป็นหลักและอาจจะออก Day Trip โดยรวบเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก ดูโชว์ Lijiang Impression และ Blue Moon Valley ให้ครบทั้ง 3 ที่ภายในวันเดียวกันก็สามารถทำได้ เพราะทั้ง 3 จุดนั้นอยู่ใกล้กัน จากประสบการณ์เราคิดว่า 3-4 คืนน่าจะกำลังดีครับ แต่หากจะไปเที่ยวจุดอื่นๆที่ไกลออกไปด้วยก็ต้องเผื่อเวลาเพิ่ม หรือแทรกด้วยการไปนอนค้างที่เมืองอื่น อย่าลืมว่าตัว Amandayan เองก็เป็นจุดหมายปลายทางในตัวเองอยู่แล้วด้วยเช่นกัน ในเมื่อเพื่อนๆมีโอกาสได้มาพักที่นี่ทั้งที เราก็อยากให้เพื่อนๆได้มีเวลาดื่มด่ำประสบการณ์วิถี Aman ที่รีสอร์ทอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเร่งรีบ ธรรมชาติที่อลังการและความ Exotic ของลี่เจียงนี้อยู่ใกล้บ้านเรามากกว่าที่คิด ยังไงมาตามรอยกันนะครับ Amandayan รอให้คุณมาสัมผัสอยู่ครับ ข้อเสนอพิเศษ Lijiang Escape จาก Amandayan ร่วมกับ Hoparound.co 1. ห้องพักเรทพิเศษ เริ่มต้น 4,876 ++ หยวน (ลดลงจากเรทปกติของแต่ละ Room Type 20%) 2. อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน 3. บริการรถรับหรือส่งจาก สนามบิน Lijiang Sanyi Airport หรือสถานีรถไฟ (เลือกได้ขาใดขาหนึ่ง) 4. บริการผลไม้สดประจำวัน และ Turn Down Amenities 5. กิจกรรมเชิงวัฒนธรรมประจำวัน 6. ซอฟท์ดริ้งค์ในมินิบาร์ ห้องพักเรทพิเศษ (ขึ้นอยู่กับห้องว่างและราคาในแต่ละช่วง) Courtyard Suite เริ่มต้น CNY 4,876++ Deluxe Suite เริ่มต้น CNY 5,336++ Amandayan Villa เริ่มต้น CNY 16,560++ #LetsHoparound

  • Palmier by Guillaume Galliot บรั้นช์พรีเมี่ยมสไตล์ฝรั่งเศสโดยเชฟ 3 ดาวมิชลิน

    Sunday Brunch at Palmier by Guillaume Galliot บรั้นช์พรีเมี่ยมสไตล์ฝรั่งเศสโดยเชฟ 3 ดาวมิชลิน 3 ดาวมิชลินคือรางวัลสูงสุดจาก Michelin Guide ที่ร้านอาหารจะสามารถได้รับมาประดับยศ และในประเทศไทยก็ยังไม่มีร้านใดที่ได้รับรางวัลนี้เลย แต่วันนี้เชฟ Guillaume Galliot เชฟผู้ดูแลร้าน Caprice แห่ง Four Seasons Hotel Hong Kong ผู้ครอง 3 ดาวมิชลินติดต่อกันเป็นเวลาถึง 6 ปีซ้อน ได้บินลัดฟ้าพาเอาประสบการณ์และสูตรอาหารเลิศรสจากความทรงจำวัยเด็กของเชฟมาเสิร์ฟให้เราได้ลิ้มลองกันที่ Palmier ห้องอาหารแนว French Brasserie ที่ Four Seasons Hotel Bangkok at Chao Phraya River เพิ่มอีก 1 ร้าน นับเป็นครั้งแรกของโรงแรมหรูเครือ Four Seasons ที่ให้เชฟมากฝีมือได้ดูแลห้องอาหารแบบข้ามประเทศกันแบบนี้ ผลประโยชน์ก็ตกเลยเป็นของผู้บริโภคอย่างเราครับ และช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ Palmier ก็มีแพ็คเก็จ Brunch ซึ่งเป็นมื้อพิเศษของสัปดาห์ไว้ให้บริการด้วย วันนี้เราจะพาเพื่อนๆออกเดินทางไปกับสำรับอาหาร Brunch ของเชฟ Guillaume ณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยากันครับ สำหรับราคาและรายละเอียดของแพ็คเก็จ Brunch มื้อนี้ เพื่อนๆ ดูได้ที่นี่เลยครับ https://www.fourseasons.com/.../palmier-by.../sunday-brunch/ ? เริ่มต้นกันด้วย Amuse-bouche ซึ่งมาเป็นสองชิ้น คือ Lobster and Avocado Roll & Baby Cos และ Salmon with Condiments เพื่อปลุกลิ้นเราให้ตื่นพร้อมรับความสนุกที่จะตามมาในจานต่อๆไป สำหรับเครื่องดื่ม Soft Drinks, Mocktails ชาและกาแฟนั้นรวมอยู่ในราคาตั้งต้นแล้ว แต่เราอัพเกรดอีก 1,600.- เพื่อเพิ่ม Crémant (เครมองต์) ซึ่งก็คือ Sparkling Wine ที่ผลิตนอกแคว้น Champagne (จริงๆอ่านว่า ชอมปาญ) ก็เลยใช้ชื่อเรียกว่าแชมเปญไม่ได้ หรือถ้าเพื่อนๆจะอัพเกรดไปเป็นแพ็ค Champagne ก็ได้เช่นกัน ดูราคาได้ที่ลิงค์ด้านบนนะครับ คอร์สที่ 2 ก็คือ Starter to Share เปิดตัวน่ารักๆด้วยจานมะเขือเทศหลากสายพันธุ์วางบน Gazpacho Jelly และ Marinated Burrata Foam ก่อนจะตามมาด้วยความอร่อยที่หนักขึ้นมาอย่างกระดาน French Cold Cuts พร้อมกับ Pickles และ Paté en Croute หนึ่งในจานซิกเนเจอร์รสเข้มข้นที่เชฟ Guillaume แนะนำ ต่อด้วย Beef Tartare à la Parisienne เนื้อดิบปรุงรสแบบชาวปารีสที่ทางพนักงานต้องเข็นรถพา Ingredients ต่างๆมาให้เราจิ้มเลือกแล้วคลุกเคล้ากันสดๆตรงนั้นเลย ถ้าจะอัพเกรดเพิ่ม Caviar ไปด้วยก็สามารถเพิ่มเงินได้ครับ จานสุดท้ายของ Starter (ถ้าเรียกว่า “พาน” น่าจะถูกต้องกว่า) ก็คือ Seafood Platter ที่มาทั้งหอยนางรมฝรั่งเศส กุ้งลายเสือ หอยเชลซาชิมิ และกุ้งแลงกูสตีนที่หาทานค่อนข้างยากในประเทศไทย ทุกอย่างหวานความสดมาก และส่วนตัวเราคิดว่าสิ่งที่เชฟ Guillaume ทำได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือซอสต่างๆ ถ้าเพื่อนๆได้มาลองก็อย่าลืมบอกเราหน่อยว่าเห็นด้วยมั้ยนะครับ สำหรับ Seafood Platter นี้ หากใครอยากเพิ่มล็อบสเตอร์อีก ก็เพิ่มเงินได้เช่นกันนะครับ ยังครับ ยังไม่เข้า Main Course สำหรับมื้อ Brunch ที่รวบเอา Breakfast กับ Lunch เข้าด้วยกัน ถ้าพลาดเมนูไข่ไปก็อาจจะไม่สมบูรณ์ จานถัดมาจึงขอแวะไปเมนูไข่นิดนึงครับ จานนี้คือ Slow Cooked Free-Range Eggs ที่มาพร้อมกับ Emulsion ที่ทำจากชีส Comté ซึ่งเป็นชีสโปรดของเราเลย รสชาติของชีสจะเค็มๆมันๆแต่ที่ทำให้ Comté ต่างจากชีสอื่นๆก็คือความนัตตี้ที่ค่อนข้างชัด ซึ่งก็ยิ่งช่วยเพิ่มความอุมามิให้มากขึ้นอีก สำหรับจานนี้มีความคล้ายไข่ตุ๋นที่ปรุงแบบฝรั่ง เนื้อสัมผัสนุ่มเนียนครีมมี่มากๆครับ เข้า Main Course กันซะทีครับ ฮ่าๆๆๆ คอร์สนี้เพื่อนๆสามารถเลือกได้ 1 อย่าง จาก 3 ตัวเลือกนะครับ เรามากัน 2 คน (ใช่ครับเราเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ที่มาลองอาหารทั้งหมดนี้กันแค่ 2 คนครับ) ก็เลยเลือกมาคนละอย่าง เชฟ Guillaume แนะนำ Bouillabaisse (บุยยาเบสส์) อาหารต้นตำรับจากเมือง Marseille แต่จานนี้เป็นสูตรเฉพาะของเชฟที่หน้าตาดูเรียบโก้กว่าแบบ Traditional เยอะเลย มีปลาเนื้อขาวชิ้นใหญ่ๆวางเป็นดาวเด่น เราก็ลืมถามไปเลยว่าเป็นปลาอะไร แต่เนื้อแน่นและนุ่มลิ้นมากครับ จานนี้ฟีลเหมือนฟีเลต์สเต้กปลาในซอสบุยยาเบสส์มากกว่าจะเป็นซุปเหมือนในแบบดั้งเดิม ส่วนอีกจานที่เราเลือกมาก็คือ Steak Frites กับซอส Béarnaise และ French Fries แบบคลาสสิคที่กินแล้วอบอุ่นคุ้นเคย แต่คุณภาพเยี่ยมอร่อยพรีเมี่ยมกว่าตามท้องตลาดทั่วไป แน่นอนครับระดับความสุกต้อง Medium Rare เท่านั้น เนื้อนุ่มอร่อยถูกใจเลย และซอสแบร์เนสก็รสชาติถูกต้องทำถึงเช่นเคย มาถึงจุดนี้คือเราก็อิ่มมากๆแล้วครับ หายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ๆ แต่สายตาของเราดันเหลือบไปเห็นออปชั่นส์เพิ่มเมนู Signature ของเชฟได้อีก 3 เมนู ด้วยความเป็นห่วงอยากให้ชาว #Hopsters  ได้เห็นอะไรที่พิเศษ เราก็เลยรวบรวมพื้นที่ในกะเพาะที่เหลือ (ซึ่งก็แทบจะไม่มีแล้ว) เพื่อสั่งเมนู Add On มาอีก 1 ซึ่งเราเลือกเป็นลักซาที่ตัวเส้นทำมาจากเนื้อปู Alaskan King Crab ล้วนๆ เพราะเราสืบรู้มาว่าเป็นเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคุณ Juliana ภรรยาของเชฟซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ ว่ากันว่าคุณแม่ของคุณ Juliana นั้นทำลักซาอร่อยมากๆ เมื่อมาถึงมือเชฟ Guillaume อาหาร Comfort Food ของสิงคโปร์เมนูนี้จึงถูกยกระดับให้รวสชาติเข้มข้นขึ้นไปอีก และเนื้อสัมผัสก็ข้นขึ้นด้วยเช่นกัน น่าจะถูกใจคนที่ชอบความอร่อยแบบครีมมี่มากเลยครับ แต่หากใครเลี่ยนง่าย อาจจะเลือกลองเมนูอื่นๆดูนะครับ และแล้วก็เดินทางมาถึงของหวาน เอ๊ะ! หรือจะเรียกว่าของหวานเดินทางมาถึงเราน่าจะตรงกว่านะครับ เพราะคุณพนักงานพาน้องรถเข็นกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับขนมเต็มไปหมด ในเมนูถึงกับเรียกคอร์สนี้ว่า Dessert Show เพราะมีความละลานตาเหมือนเป็นการแสดงจริงๆ บนรถเข็นมีตั้งแต่ Macaron, Canelle, Flan, Baba au Rhum ไปจนถึงขนมเค้ก ทาร์ต ชูครีม และลูกกวาด Bon Bon ต่างๆหลากหลายรสชาติ แต่ละวันขนมหวานอาจจะมีหน้าตาแตกต่างกันไป ดังนั้นเลือกเอาที่ถูกใจได้เลยครับ อย่าลืมว่าชาและกาแฟก็รวมอยู่ในแพ็คแล้ว ดังนั้นเพื่อนๆสั่งกันได้เต็มที่เพื่อมาดื่มคู่กับขนมนะครับ ข้อดีอีกอย่างของห้องอาหาร Palmier ก็คือคอนเส็ปต์ Casual Elegance คือโก้หรูแบบสบายๆ ฉะนั้นทางห้องอาหารแจ้งว่าไม่ต้อง Dress Up เพื่อนๆแต่งตัวสบายๆมาได้เลยครับ แหม…วันอาทิตย์ทั้งทีก็ต้องผ่อนคลายสิเนอะ เป็นยังไงกันบ้างครับกับมื้อพิเศษ Brunch พรีเมี่ยมแบบฝรั่งเศสมื้อนี้ ถ้าเพื่อนๆได้เคยไปลิ้มลองมาแล้ว ก็ลองมาคอมเม้นต์ให้กันฟังบ้างนะครับ ลิ้นแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีรสนิยมต้องแบ่งปันครับ Palmier by Guillaume Galliot บรั้นช์สไตล์ฝรั่งเศส at Four Seasons Bangkok Location: https://maps.app.goo.gl/6vJqLpKi6erAYmN48 300/1 ถ. เจริญกรุง Yannawa, เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 เวลาเปิด-ปิด: อังคาร ถึง อาทิตย์ Lunch 11:30 - 14:30 Dinner 18:00 - 22:30 โทร : 06-4646-9245 ที่จอดรถ: ที่จอดรถ Palmier by Guillaume Gallio t at Four Seasons Bangkok สามารถจอดรถได้ภายในที่จอดรถของโรงแรม Four Seasons Bangkok ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/palmierbkk Line: http://bit.ly/FSBangkokLine www.hoparound.co #LetsHoparound #FSBangkok   #PalmierbyGuillaumeGalliot #GuillaumeGalliot #Bangkok #SundayBrunch #FourSeasonsBangkok

STAY IN TOUCH

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon

INSTAGRAM

  • TikTok
  • Black YouTube Icon

YOUTUBE

Hoparound.co ฮ็อปอะราวด์ เว็ปไซต์นำเที่ยว บล็อกเกอร์ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ และงานดีไซน์ อัพเดทที่เที่ยวใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นสถานที่ครีเอทีฟ ทั้งพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรมที่พัก ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมไปถึงสินค้าและแบรนด์ที่น่าสนใจ ผ่านการเล่าเรื่องราวและการออกแบบภาพอย่างสร้างสรรค์อ่านสนุก ได้ทั้งความรู้และแรงบันดาลใจไปพร้อมๆกัน | Travel wesite | Thai Travel Blogers | Travel Influencers | a travel website travel influencers thailand รีวิวท่องเที่ยว รีวิวโรงแรม รีวิวร้านอาหาร
 

Contact and Collaboration with Hoparound.co
E-mail: info.hoparound@gmail.com | Facebook: @hoparound.co | Instagram: @hoparound.co | Youtube: hoparound.co | Tiktok: @hoparound.co

Follow us on Instagram

black-01.png
bottom of page