PARIS PART 1
8 neighbourhoods to visit เที่ยว 8 ย่านชิคๆ คูลๆ ในปารีส
ใครๆก็รู้ว่า Paris นั้นขึ้นแท่นเป็นเมืองยอดนิยมที่สุดตลอดกาลเมืองหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานจนบางคนอาจรู้สึกว่า Paris กลายเป็นเมืองแมสที่ใครๆก็ไปกัน ไม่เท่เท่าเมืองใหม่ๆ ไม่ชิคเท่าเมืองที่ไปยากๆ แต่เชื่อเราเถอะว่า Paris ได้ตำแหน่งนี้มาอย่างสมศักดิ์ศรีเพราะนางมีดีมากเหลือเกินจริงๆ (อ่อ... คำว่า “ชิค” นี่ก็ภาษาฝรั่งเศสนะ)
ทริปนี้เราจะพาคุณไป #hop ดู Paris ผ่าน 2 มุมมองที่ต่างกัน เพราะ 2 คนที่เดินทางไปด้วยกันนี้ คนหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อนและอีกคนเพิ่งจะได้เปิดซิง Paris เป็นครั้งแรกแม้ว่าเราจะใช้เวลาซ่อกแซ่กอยู่ในปารีส 11 วันเต็มๆ เราก็ยังเที่ยวไม่ครบเล้ยยยย
ครั้งนี้เราใช้บริการการบินไทยและเราจ่ายเพียงค่าภาษี 6,xxx บาทเท่านั้น แต่ก็สามารถติดแฮชแทค #IflyThai #ThaiAirways ได้แบบไม่น้อยหน้าใคร ต้องขอบคุณพลังทวีในการสะสมไมล์ผ่านบัตรเครดิต THAI Amex Platinum Card ที่ทำให้เราสะสมไมล์ได้เร็วขึ้นผ่านการจับจ่ายซื้อของต่างๆในชีวิตประจำวัน และยิ่งถ้าซื้อตั๋วการบินไทยผ่านบัตรนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เราจะได้ไมล์สะสมหลายเด้ง แถมแบ่งชำระ 0% ได้ 3 เดือนอีกต่างหาก
นอกจากหอไอเฟล มาการอง และกระเป๋าแบรนด์เนมที่ใครๆก็นึกถึงเมื่อพูดถึง Paris แล้ว ต้องบอกว่าเมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้คือแหล่งบ่มเพาะการสร้างสรรค์งานศิลปะ แฟชั่น อาหาร ดนตรี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เริ่ดหรูอย่างหน้าตายจนน่าหมั่นไส้ ถ้าเป็นคนชอบเดินดูเมือง ดูคน ดูร้าน ดูงานดีไซน์ไปเรื่อยคุณจะเอ็นจอย Paris มากๆ (โดยเฉพาะย่าน Le Marais ย่านโปรดของเรา)
หลายสิ่งด้านลบที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับปารีส ไม่ว่าคนไม่เฟรนด์ลี่ หรือขโมยเยอะ มาคราวนี้เราไม่เจอเลย คนปารีสส่วนใหญ่ nice กับเรามาก (ยกเว้นเจ้าหน้าที่ Tax Refund ที่สนามบินขากลับ) และถ้าเทียบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าคนปารีสยุคนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมาก และไม่พยายามทำหงุดหงิดแก้เขินเหมือนเมื่อก่อน
ผังเมือง Paris แบ่งง่ายๆเป็น 20 เขต (arrondissements) โดยวนเป็นก้นหอย เริ่มจากฝั่งขวาของแม่น้ำเซน (บริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ Louvre) แล้ววนตามเข็มนาฬิกาออกไปเรื่อยๆจาก 1 จนถึง 20
แต่สำหรับเราแล้ว วิธีที่ทำให้เห็นภาพรวมของ Paris ได้ง่ายกว่านั้นก็คือซีกตะวันตกของ Paris จะเป็นย่านพักอาศัยของคนมีเงินมาก และซีกตะวันออกเป็นย่านของคนมีเงินน้อย ส่วนซีกบนของ Paris (หรือฝั่งขวาของแม่น้ำเซน — La Rive Droite) จะเป็นย่านการค้า และซีกล่าง (หรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน — La Rive Gauche) จะเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียนและนักวิชาการ
การเดินทางใน Paris นั้นง่ายมาก
เพราะรถไฟใต้ดิน(Métro) เชื่อมต่อกันทั่วถึงทั้งเมือง และเชื่อมกับรถไฟออกไปถึงที่เที่ยวนอกเมืองอย่างพระราชวัง Verseille หรือ Euro Disney ด้วย ถ้าจะอยู่ใน Paris นานเป็นสัปดาห์อย่างเรา ขอแนะนำตั๋ว Navigo ที่มีทั้งตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือนซึ่งคุ้มค่ามากๆ สามารถทำได้ตามจุดบริการของสถานี Métro ใหญ่ๆ แอบกระซิบหน่อยว่าต้องเตรียมรูปถ่ายไปติดบัตรด้วยนะ แต่ถ้าไม่ได้เตรียมไป ตามสถานีก็มักมีตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติเอาไว้อำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว
ส่วนที่พัก เราเลือกพัก AirBnB แถวสถานี Grands Boulevards ตั้งอยู่ในเขต 2 ซึ่งสะดวกมากกกก มีสถานี Métro อยู่ปากซอยเลย แม้พื้นที่จะแคบไปหน่อยตามมาตรฐานยุโรป แต่ราคาก็ถือว่าเป็นมิตร แถมโฮสก็ดีด้วย ไปถึงวันแรกเค้าจัดดินเนอร์ให้เลย 1 มื้อ
พูดถึงอาหารการกิน ส่วนตัวแล้วปารีสเป็นเมืองที่หาอาหารอร่อยถูกปากค่อนข้างยาก และราคาค่อนข้างสูง แม้อาหารฝรั่งเศสจะมีชื่อก้องโลก แต่อาหารฝรั่งเศสที่อร่อยก็ไม่ได้หาได้จากร้านข้างทางทั่วไป บางร้านต้องจองล่วงหน้านานๆ ฉะนั้นถ้าอยากกินของดีทำการบ้านกันไปก่อนนะ
ส่วนถ้าใครติดกาแฟอย่างเรา คนที่นี่กินกาแฟค่อนข้างจืดนะ อาจจะหาถูกปากเหมือนบ้านเรายากนิดนึง แต่เราก็แอบบอกพิกัดไว้ในนี้แล้วล่ะว่ามีร้านไหนบ้างที่ขายกาแฟที่รสพอถูกปากเรา
อีกเรื่องคือ ภาษาฝรั่งเศส เป็นอะไรที่ออกเสียงยากสำหรับคนที่ไม่คุ้น หนึ่งในการออกเสียงที่เด่นชัดที่สุดคือการออกเสียงตัว r ซึ่งปกติก็จะเทียบเท่ากับตัว ร.เรือ ในภาษาไทย แต่ภาษาฝรั่งเศสจะออกเสียงตัวอักษรนี้ด้วยการเอาลมผ่านไปที่เพดานอ่อนของช่องปาก ประหนึ่งว่าจะขากถุย 5555 แต่ทำแบบซอฟท์ๆ เสียงที่ออกมาจะเป็นส่วนผสมของ ค.ควาย + ฮ.นกฮูก และเราเขียนออกมาเป็นภาษาไทยค่อนข้างยาก ถึงเขียนได้ก็อ่านยากอยู่ดี เช่น Paris = ปาคฮี หรือ Marais = มาคเฮ่ ดังนั้นเพื่อความสะดวกเราจึงขอเขียนแทนด้วย ร.เรือ ง่ายๆเลยละกันนะ
สุดท้ายก่อนจะไป #hop กัน ร้านใน Paris ส่วนใหญ่ปิดวันอาทิตย์นะ ถ้าวางแผนจะมาก็ลองเช็ควันเวลากันให้ดีคร้าบบบ
พวกแลนด์มาร์คและจุดช้อปปิ้งหลักๆอย่าง หอไอเฟล ถนน Champs-Élysées และห้างดังๆ เราขอข้ามไปเลยนะ น่าจะหาข้อมูลกันง่ายอยู่แล้ว เราพาไปดูอะไรที่ถูกจริตเรากันดีฝ่าาา . อ่ะถ้าพร้อมแล้วไปกัน Let’s Hop Around Paris...
คำว่า Rive Gauche หมายถึงฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน
นั่นก็คือซีกล่าง ของ Paris นั่นเอง อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าฝั่งซ้ายของแม่น้ำนั้นเดิมทีเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียน และนักวิชาการคนสำคัญๆของฝรั่งเศสและของโลก ที่นี่เป็นต้นตอของความเป็นขบถของปารีส เช่น การถือกำเนิดขึ้นของร้าน Yves Saint Laurent Rive Gauche เมื่อปี 1966 ที่เปลี่ยนขนบให้แบรนด์ Haute Couture หันมาทำเสื้อผ้า ready-to-wear เป็นครั้งแรกเพื่อให้เป็นที่จับต้องได้ของคนธรรมดามากขึ้น ฝั่งนี้ของแม่น้ำจึงมีมนต์เสน่ห์บางอย่างที่ยังอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศ แม้จะไม่พลุกพล่านอย่างอีกฝั่งของแม่น้ำ (ถ้าไม่นับบริเวณหอไอเฟลและพิพิธภัณฑ์ Musée D’orsay) แต่ร้านรวงที่อยู่ในละแวกนี้ต่างก็เป็นร้านที่ถูกคัดมาอย่างดีมากจริงๆ
เริ่มจาก Beaupassage แหล่งรวมร้านอาหารติดดาวมิชลินรวมกันไว้ถึง 17 ดวง ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา
Location: https://goo.gl/maps/CFC37rBuxVNpLBZo8
เรามาที่นี่ไม่ได้ตั้งใจมากินอาหารหรอกนะ แต่เรามาหากาแฟรสชาติถูกปากดื่มที่ร้าน %ARABICA หลังจากที่อดอยากมาหลายวัน (อย่างที่บอก.. กาแฟในปารีสส่วนใหญ่ไม่ถูกปากเลย) แถมได้โบนัสด้วยคือได้มุมถ่ายรูปสวยๆที่ปราศจากผู้คน
Location: https://goo.gl/maps/zGVyFnKb3KBfM2P7A
จาก Beaupassage เราเดินเล่นตามถนน Rue de Grenelle ไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับช็อปใหญ่ของ Maison Margiela, Carven, Ami, Yohji Yamamoto รวมถึงแบรนด์เล็กๆแต่เก๋ๆอีกหลายแบรนด์ และร้านขนม ข้าวของกระจุกกระจิกน่ารักๆมากมาย ในรูปคือร้าน NOGLU ร้านอาหาร Gluten-free ที่ตกแต่งภายในได้โดดเด่นน่ารักมาก สามารถหาดูได้ใน Pinterest มีคนเอาไปลงไว้เยอะแยะเลย
Dalloyau (ดาลลัวโย)
เป็นร้านขนมและอาหารเก่าแก่ มีหลายสาขา แม้ตัวร้านจะไม่ใช่ร้านขนมแรกของปารีส แต่ต้นตระกูล Dalloyau นั้นปรุงอาหารถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาตั้งแต่ปี 1682 เชียวนะ
AMI
(แปลว่า ‘เพื่อน’ แต่ดูจากราคาแล้วเพื่อนต้องรวยมากเหมือนกันนะ อิอิ) แบรนด์ที่เน้นเสื้อผ้าผู้ชายวัยรุ่นที่ดูสบาย แต่มีความเชิ่ดแบบปารีเซียงไปในเวลาเดียวกัน ถึง AMI จะมีเสื้อผ้าผู้หญิงด้วย แต่เค้าก็ยังใช้คำว่า “menswear for women” ก็คือเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงที่ inspired มาจากเสื้อผ้าผู้ชายอีกที เก๋ป่ะล่า
หลายคนอาจเคยเห็นโลโก้ตัว A ที่มีหัวใจอยู่ด้านบนของนางไปบ้าง และนางก็มีช็อปอยู่ญี่ปุ่น กะจีนด้วยนะ ก่อตั้งโดยดีไซเนอร์ Alexandre Mattiussi ดีไซเนอร์เสื้อผ้าผู้ชายคนแรกที่ชนะรางวัล ANDAM อันทรงเกียรติในแวดวงแฟชั่นฝรั่งเศส
Maison Margiela แบรนด์แฟชั่นลักชัวรี่สัญชาติฝรั่งเศส (อีกแบรนด์โปรดของเรา) ซึ่งแต่ผู้ก่อตั้งเป็นชาวเบลเยี่ยม
Martin Margiela อดีตมือขวาของ Jean Paul Gaultier ได้ตัดสินใจออกมาเปิดแบรนด์ของตัวเองในปี 1988 ผลงานของ Margiela นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิด deconstructive ที่จับเอาชิ้นส่วนต่างๆของเสื้อผ้ามาแยกองค์ประกอบ ก่อนที่จะประกอบกันใหม่จนเกิดเป็นชิ้นงานที่ดูแปลกตา
เอาเข้าจริงๆคนที่นำแนวคิดนี้มาใช้เป็นคนแรกๆก็คือ Rei Kawakubo แห่ง Comme des Garçons นั่นเอง แต่สไตล์ของ Margiela ก็มีการสร้างอัตลักษณ์ให้ออกมาต่างจากแบรนด์คอนเส็ปต์ deconstructive อื่นๆ ที่ทั้งเรียบง่ายแต่ก็เป็นที่จดจำได้อย่างดี
อย่างเช่น การนำ Margiela numbers 0-23 ที่ใช้ในการแบ่งประเภทของสินค้าของแบรนด์ มาตกแต่งบนตัวสินค้าเลย โดยมีวงกลมล้อมรอบตัวเลขเพื่อบอกไว้ว่าสินค้าชิ้นนั้นอยู่ในแคทตากอรี่ไหน หรือจะเป็นการเดินด้ายหรือเชือกตรงมุมทั้ง 4 ของป้ายที่เป็นเอกลักษณ์ของ Margiela
เดินมาไม่ถึง 10 นาทีก็จะเจอห้างหรูอย่าง Le Bon Marché (Métro สถานี Sèvres–Babylone) ห้างนี้ความเป็นมาอย่างยาวนานมาตั้งแต่ปี 1838 หรือ 181 ปีที่แล้ว ในปัจจุบันได้กลายเป็นห้างทันสมัยและได้ถูกเครือแบรนด์หรูอย่าง LVMH เทคโอเว่อร์ไปเรียบร้อยแล้ว
Le Bon Marché นั้นคัดรวมเอามาทั้งแบรนด์หรูขึ้นหิ้งและแบรนด์นิชต่างๆที่หาได้ยากในห้างอื่น แม้ไม่ได้จะซื้ออะไร แค่เข้าไปดูการตกแต่งห้างก็คุ้มแล้ว อ่อ! ลืมบอกไปว่าทีเด็ดอีกอย่างของ Le Bon Marché ก็คือส่วนของ supermarket ที่มีชื่อว่า La Grande Epicerie de Paris โอยยย เดินเพลินเชียวแหละ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานของฝากต้องมา!
Location: https://goo.gl/maps/5mmuhKYDNRdPqvuj9
ที่อยู่ไม่ไกลจาก Le Bon Marché ก็คือ ร้านใหญ่ของ Hermès (เป็นร้านแรกในฝั่ง Rive Gauche หลังจากที่เปิดขายอยู่ที่อีกฝั่งแม่น้ำมากว่า 170 ปี) สาขานี้ตั้งอยู่ในอาคารที่แต่เดิมเคยเป็นสระว่ายน้ำยอดนิยมที่คนเก๋ๆในยุค 1930s นั้นไปแฮงเอ้าท์กัน การตกแต่งจึงดูโอ่อ่าสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco เมื่อมาทำใหม่ Hermès จึงรื้อเอาเสน่ห์เดิมมาขัดสีฉวีวรรณแล้วก็เพิ่มงานไม้สมัยใหม่ลงไป ทำให้บรรยากาศโดยรวมนั้นดูหรูหรา ทว่าสบายๆไม่เก๊กเกร็งจนเขิน
Location: https://goo.gl/maps/EkYGcu6ccMaKEynJ7
ถัดจากนั้นก็เข้าย่าน Saint-Germain-des-Prés ที่เป็นย่านวัยรุ่นและเข้าถึงง่ายขึ้นมาหน่อย ย่านนี้มีทั้งร้านเสื้อผ้ากระเป๋า เครื่องสำอางค์ เครื่องหอม ร้านหนังสือ รวมไปถึงร้านอาหาร คาเฟ่ เก๋ไก๋มากมาย ในรูปคือร้าน Soeur (เซอร์ - แปลว่าพี่หรือน้องสาว) เป็นร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงแสนเก๋ที่เราเคยเห็นผ่านตาใน IG
จริงๆในย่านนี้มีคาเฟ่โบราณที่โด่งดังในความขลังอย่าง Cafe de Flore หรือ Les Deux Magots (แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาฝาก) คือว่า สมัยก่อน 2 ร้านนี้เป็นเหมือนสภากาแฟของศิลปินและนักคิดนักเขียนระดับตำนานอย่าง Picasso หรือ Hemingway ซึ่งแวะเวียนมา 2 ร้านนี้กันบ่อยๆ
ในย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของ A.P.C. สาขาแรกในโลกบนถนน Rue Madame (ไม่เกี่ยวอะไรกะในรูปนะครับ 555) หรือจะเป็น Maison Kitsuné (อ่า อันนี้อยู่ในรูป), Sandro (มีของผู้ชายด้วยนะ สวยด้วยแหละ), COS ไปจนถึง Uniqlo และ Muji ก็มีให้เลือกซื้อกันตามใจชอบ
นอกจากนี้ยังมีร้านขนมปังเก่าแก่ที่โด่งดังเรื่อง Sourdough อย่างร้าน Poilâne หรือจะเป็นร้านขนมหวานชื่อดังอย่าง Pierre Hermé ที่เมื่อ 10 ปีก่อน เรามักมาแวะซื้อขนมก่อนไปโรงเรียนบ่อยๆก็มีสาขาที่นี่ด้วย
เรารำลึกความหลังด้วยการเดินผ่านร้านหนังสือของสำนักพิมพ์ Taschen ที่เมื่อ 10 ปีก่อนเราเคยเป็นลูกค้าประจำ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเปิดขายอยู่ ใครเป็นแฟน Tashen ก็แวะมาได้เลย
แถวนี้ยังมีร้านหนังสือเจ๋งๆ ที่ดูรกแต่เท่อีกร้านชื่อ Le Pont Traversé ร้านนี้เทิร์นมาจากร้านขายเนื้อเก่าแก่ ถือว่าคี้ปคอนเซ็ปต์ความดิบได้ดีมาก
อีกหนึ่ง stop ที่อยากแนะนำคือร้าน skincare ชื่อ La Boté ที่ปรุงครีมและเซรั่มสดๆในแล็ปหน้าร้านเลย ก่อนปรุงจะมีการทำแบบสอบถามเพื่อหาสภาพผิวและปัญหาของลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ คือ personalise กันสุดๆ ที่สำคัญราคาก็ไม่แพงด้วยนะนี่เหมามา 3 ขวดถ้วน 5555
ฝั่ง Rive Gauche นี้ยังมียังมีย่านย่อยๆที่น่าสนใจอีกเยอะมากไม่ว่าจะเป็น Quartier Latin ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย Sorbonne ที่เก่าแก่กว่า 200 ปี หรือจะเป็นสวน Jardin du Luxembourg เราละเอาไว้ให้ชาว #hopsters มาซ่อกแซ่กต่อกันเองแล้วกันเนอะ
Le Marais ถูกขนานนามว่าเป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดย่านหนึ่งในปารีส
จากเดิมที่เป็นที่ลุ่มไร้ค่า เฉอะแฉะไปด้วยโคลน Le Marais ผ่านความเปลี่ยนแปลงมามากมาย วันนี้นางเป็นย่านที่ผสมสผานความหลากหลายไว้อย่างน่าสนใจ เพราะ Le Marais เป็นทั้งย่านชาวยิว ย่านไชน่าทาวน์ขนาดย่อม(ในอดีต) ย่านเกย์ ย่านศิลปะสมัยใหม่ ย่านงานดีไซน์ และย่านการค้าที่เต็มไปด้วยร้านรวงฮิปๆที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วันถึงจะเดินครบ และเชื่อหรือไม่ว่า Nicolas Flamel ตัวละครที่ถูกยืมชื่อมาใช้ใน Harry Potter (เขาคือเป็นนักแปรธาตุผู้ลึกลับราวกับพ่อมดเมื่อเกือบ 700 ปีก่อน) ก็มีตัวตนอยู่จริงและบ้านของเขาก็ยังอยู่ที่นี่ใน Le Marais
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อ 10 ปีก่อน เราก็เช่าอพาร์ทเม้นท์อาศัยอยู่ในย่านนี้ ทำให้เราคุ้นเคยเป็นพิเศษ ดังนั้นเราจึงพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ย่านนี้เป็น “ย่านโปรดที่สุดของเรา” เลยแหละ
เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อ เราขอพาคุณๆ #hop ไปที่ร้านต่างๆที่เราชอบ และเลือกมาแนะนำเลยแล้วกันเนอะ เรานั่ง Métro มาลงที่สถานี Filles du Calvaire ซึ่งอยู่ในโซน Haut Marais หรือมาเรส์ตอนบน ว่ากันว่าโซนนี้นั้นเป็นย่านดีไซน์ที่คูลที่สุดของปารีสกันเลยทีเดียว
ร้านหนังสือดีไซน์ Yvon Lambert
เป็นร้านแรกที่เราพา #hop มาชมใน Le Marais เราหมดเวลาไปเป็นชั่วโมงกับร้านนี้ร้านเดียว ส่วนใหญ่เป็นหนังสือและแมกกาซีนดีไซน์ที่โคตรเท่ หลายเล่มไม่เคยเห็นที่ไหนเลยเพราะเป็น collection ของทางร้านเอง บางเล่มก็ทำมือ เรางี้เลือกไม่ถูกเลย เอาเข้าจริงๆเราก็ไม่ได้เก็ตความหมายที่คนทำหนังสือต้องการจะสื่อมากหรอกนะ แต่เรารู้แค่ว่าอันนั้นสวย อันนี้ชอบ ซึ่งก็ชอบเกือบหมด 5555
Location: https://goo.gl/maps/Mycw4PAWRN2BPpdX7
Papier Tigre
ร้านขายเครื่องเขียน Stationery สุดคิ้วววท์ ใครชอบเครื่องเขียนน่ารักๆ แนะนำให้มาร้านนี้เลย เราเห็นของน่ารักไม่ได้ เป็นต้องซื้อกลับบ้าน!! (ซื้อเยอะด้วย ฮาๆๆ)
Location: https://goo.gl/maps/wftDYnsUoASWeHzF9
Tom Greyhound Paris
เป็นร้าน select shop ชื่อดังที่มีสาขาแค่ที่ปารีสกับเกาหลีเท่านั้น บอกเลยว่าของครบมาก เลือกของมาได้ดีมากเรียกได้ว่าซื้อไปนี่รับรองไม่ซ้ำใครแน่นอน พนักงานก็เป็นกันเองช่วยเหลือสุดๆ (ช่วยให้เสียตังค์สิ ฮ่าๆ)
Location: https://goo.gl/maps/nwLHtVA5WmhnXc2w9
MHL.
แบรนด์น้องของ Magaret Howell สัญชาติอังกฤษ ถ้าจะซื้อกระเป๋าผ้าที่นี่ไม่มีน้าาา เพราะกระเป๋าผ้าแบบที่ฮิตๆกันเป็นดีไซน์ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น
ร้านนี้เราชอบเป็นพิเศษ เพราะงานดี สไตล์ดี ราคาดี ดีไปหมดจริงๆ ช่วยด้วย! โดนร้านนี้ดูดเงิน! กางเกงยีนส์ประมาณ 80 euros เชิ้ตก็ประมาณ 65 euros
Location: https://goo.gl/maps/LGfD8nu7UVcC9GrM6
Lemaire
ร้านใหญ่แห่งเดียวในกรุงปารีส และที่สำคัญคือสวยสุขุมมาก ชอบมั่กๆๆๆๆๆๆ ไม่ยมกล้านตัว
Location: https://goo.gl/maps/vnVLDwtwdHA5vNji6
ร้านกาแฟเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นแห่งนี้เป็นหนึ่งในใจเลย กาแฟอร่อยจริง อยากให้ไปลองกัน คำว่า "cordonnerie" หมายถึง ร้านซ่อมโรงเท้า พอเปลี่ยนมาเป็นคาเฟ่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนป้าย แต่ดันใช้ชื่อใน Google Map ว่า Boot Café จะแนวไปไหนเนี่ย 555
Location: https://goo.gl/maps/W61sGVz2pfHeR5Sm7
Maison Kitsuné Paris
มาถึงเมืองต้นกำเนิดแล้วก็ต้องแวะซะหน่อย ร้านมีสองชั้น ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไซส์พอให้หมาจิ้งจอกวิ่งเล่นในร้านได้ 5555
Location: https://goo.gl/maps/5hQT6Rp5zUfAjJ4q9
แบรนด์เสื้อผ้าสไตล์เรียบหล่อของผู้ชายปารีเซียง ใครชอบเสื้อผ้าเนี้ยบ แต่ใส่แล้วดูสบายๆ ไม่เกร่อ ไม่เอะอะ แนะนำร้านนี้นะครับ
Location: https://goo.gl/maps/5Mun8TKcAjsES895A
Acne Studios
เป็นอีกหนึ่งในแบรนด์โปรดที่เราชอบแวะเข้าไปดูทุกสาขาไม่ว่าจะไปเที่ยวเมืองอะไร ที่นี่ร้านสวยแต่พนักงานคนจีนพยายามขายไปหน่อยนะ
Location: https://goo.gl/maps/bLsnuGkeKu4v86Gf8
Merci
เป็นร้านรวมของใช้มีดีไซน์ในชีวิตประจำวัน เป็นร้านดังที่แน่นไปด้วยชาวฝรั่งเศสและนักท่องเที่ยว มีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องครัว เครื่องเขียน ของใช้ต่างๆ แถมด้านหน้าก็เปิดเป็นคาเฟ่เล็กๆด้วยนะ ของเยอะ น่าสนใจหลายอย่างแต่สุดท้ายแล้วเราแทบไม่ได้ซื้ออะไรกลับออกมาเลย ว้าาา
Location: https://goo.gl/maps/gqtSGt8EWbKEqhFN6
Archive 18.20
ร้าน Select Shop ที่เราชอบอีกร้าน เน้นงานดีไซน์และสินค้าที่ยูนี้คหาซื้อไม่ค่อยได้จากที่อื่น มีทั้งสินค้าแฟชั่น น้ำหอม แกลอรี่ และร้านกาแฟเล็กๆ ให้นั่งชิลกันทุกวันตั้งแต่ 11:00 - 19:00 กันเลย (แต่โซนคาเฟ่พนักงานดูงงนิดหน่อย 555)
Location: https://goo.gl/maps/94eSMTpNctQFQvkBA
ที่ปารีสเค้าซัพพอร์ทกลุ่ม LGBT สุดๆ ดูได้จากการตกแต่งตึกทั้งสองข้างทางแม้แต่ทางม้าลายก็เอา
นอกจากร้านค้าแล้ว ย่านนี้มีแกลอรี่/มิวเซี่ยมเด็ดๆน่าตามรอยไปด้วย ขอแนะนำ 2 ที่ก่อนนะ
ที่แรกคือ Lafayette Anticipations
สร้างขึ้นโดยมูลนิธิของห้างดังอย่าง Galeries Lafayette เราสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโลโก้ที่หน้าเว็ป เพราะมันช่างถูกจริตเราเหลือเกิน ที่นี่เป็นเหมือนมิวเซี่ยมเล็กๆแต่เท่มากๆ เน้นงาน contemporary art งานดีไซน์และแฟชั่น ตลอดจนงานสร้างสรรค์เชิงทดลองต่างๆจากศิลปินทั่วโลก ความดีงามที่เอ็กซ์ตร้าไปอีกก็คือที่นี่มีคาเฟ่เฮลตี้จากร้านมังสวิรัติชื่อดังอย่าง Wild and the Moon มาเปิดอยู่ด้วย โซน Gift Shop ก็มีของที่ทั้งสวย เก๋ เท่ น่ารักเยอะแยะไปหมดเลย ให้ทายซิว่าเสียเงินมั้ย 55555
ค่าเข้า Exhibitions : free admission Events : from 5 to 15 €
เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดวันอังคาร
Location: https://goo.gl/maps/ramg8DG88oXqziWr5
ด้านในแกลอรี่ก้มีขายของที่ระลึกด้วยนะ รวมไปถึงของดีไซน์ น้ำหอม เครื่องใช้ต่างๆ ที่เลือกมาขายที่นี่โดยเฉพาะ
ที่ต่อมาคือ Galerie Emmanuel Perrotin
เป็นห้องแสดงงานศิลปะที่จะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนงานของศิลปินดังๆระดับโลกมาโชว์กันที่นี่ ตอนที่เราไปกันเป็นผลงานของ ELMGREEN & DRAGSET (เอ็ล์มกรีน แอนด์ แดรกเซ็ท) ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงงาน Bangkok Art Binale เค้าก็มาตั้งผลงานสระของเขาที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะ งานของเค้าจะจำง่ายก็คือ ประติมากรรมจัดวางสระน้ำแนวตั้ง ซึ่งเค้าทั้งสองคนก็ได้สร้างการนำเสนองานศิลปะรูปแบบใหม่ที่จะให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วมกับงานของเค้า
ที่นี่เข้าฟรีนะ เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดเฉพาะวันจันทร์ อังคาร
Location: https://goo.gl/maps/cJJ9r3BKQkfNgJoV8
เดินไปเรื่อยๆก็ผ่าน Études Studio
แบรนด์ดังสัญชาติฝรั่งเศส มีช็อปหลักแค่ที่นี่ที่เดียว (อาจจะมีตามราวแขวนในห้างบ้าง) แบรนด์นี้เป็นแบรนด์เล็กมีทีมงานอยู่ในสตูดิโอไม่กี่คน แต่ความเท่นี่ดังไกลมากนะขอบอก
Location: https://goo.gl/maps/rVDN4K2vdXY5yNg98
แล้วเราก็แวะกินร้านอาหารอิตาเลี่ยนร้านนี้ชื่อ BIGLOVE
เห็นคนต่อแถวเยอะดี ขอเข้าไปลองดูหน่อยละกันเนอะโดยรวมเราว่าอร่อยดีนะ อาหารก็หน้าตาดี ไม่จืดเหมือนอาหารฝรั่งเศส ชอบบรรยากาศโดยรวมในร้าน รวมไปถึงพนักงาน ที่บริการดีมากกก
อย่างที่บอกเนอะ Le Marais มีดีอีกเยอะมาก เอามาอวด 3 วันก็ไม่ครบ ต้องไปดูกันเองน้าาาา
Rue Saint-Honoré (รู ซางต์ ตอนอเร่ - เขต 1 และ 8)
ถนน Saint-Honoré อยู่ในเขต 1 และเชื่อมต่อกับถนน Faubourg-Saint Honoré เข้าไปในเขต 8 (คำว่า “Faubourg” หมายถึง ถนนเส้นเดียวกันนี้ แต่ทะลุออกนอกเขตเมืองเก่าในสมัยยุคกลาง) ถนนสายนี้แทบจะขนานไปกับถนนชื่อดังอย่าง Champs-Élysées เลยทีเดียว
ที่นี่เป็นไฮเอ็นด์ช็อปปิ้งสตรีทที่ยาวเกือบ 2 กิโลเมตรใจกลางกรุง Paris เรียงรายไปด้วยร้านหลักของแบรนด์หรู แบรนด์สตรีทแฟชั่น และร้านขายจิวเวอรี่ นาฬิกาหายากทั้งมือหนึ่งและมือสอง ใครที่ตั้งใจมาช้อปแบรนด์เนม เดินเส้นนี้เส้นเดียวก็น่าจะได้เกือบครบ รวมถึงแบรนด์ Maison Goyard ที่มีสาขาน้อยมากด้วย คำเตือน ระวังจะสำลักความหรูหราและราคานะครับ
Getting there: Métro สถานี Concorde
เริ่มต้นกันที่เวิ้งระหว่างอาคารที่ดูเหมือนทำเลจะไม่ค่อยดี เพราะหลบๆอยู่หลังตึก แต่กลับเป็นที่ตั้งของ Comme des Garçons สาขาใหญ่หนึ่งเดียวในปารีส และเป็นสาขาที่มีของครบมากไม่แพ้สาขาใหญ่ใน Aoyama ญี่ปุ่นเลย แถมพนักงานก็เป็นกันเองมาก ทำให้ไม่เกร็ง การจัดวางสินค้าก็ให้อารมณ์เหมือนเดินเข้าชมแกลอรี่เลย ครีเอทสุดๆ
Location: https://goo.gl/maps/8cv7h2P9qjU3BYtr5
เมื่อเราเดินออกมาก็จะเจอร้าน Honor Café เป็นร้านขายกาแฟ และขนม ซึ่งเค้าเคลมตัวเองว่าเป็น “Paris's first and only outdoor specialty coffee shop serving coffee that this city should be known for.” เหมือนจะแอบกัดปารีสเบาๆ ว่าเมืองเก๋ๆแบบนี้ เรื่องกาแฟก็ควรจะมีชื่อด้วยนะ
Location: https://goo.gl/maps/dr64zy3Lv8W3gSWf8
สำหรับเรากาแฟอร่อยดีนะ เข้มกำลังดี ไม่เหมือนกาแฟตามร้านทั่วไปในปารีส ที่จะมีรสชาติจืดๆ และพนักงานที่พูดอังกฤษสำเนียงบริทิชก็ทำให้ร้านดูคูลขึ้นอีกเป็นเท่าตัว อ่ะ! คอกาแฟแวะมากันได้เลย
"Coffee is a lot more than just a drink: it's something happening."
A.P.C. โผล่มาสวัสดีทุกย่านเลยยย A.P.C. สาขาเล็กๆ แต่ของไม่น้อยเลยน้าาา แต่เอาจริงๆในปารีสก็มี A.P.C. หลายสาขามาก ไปแวะสาขาอื่นวันหลังก็ได้
เดินต่อไปตามถนนเรื่อยๆก็จะเจอร้านแบรนด์เนมมากมาย และจะไปเจอกับโบสถ์ลา มัดเลน (L’église de la Madeleine) อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในย่านนี้
น้ำหอม Diptyque ที่นี่ราคาดีน้าาา ขอคืนภาษีได้อีกต่างหากถัดมาเป็นร้าน WILD & THE MOONอาหารสุขภาพแสนเก๋ที่โด่งดังในหมู่คนเฮลธ์ตี้ (และคนที่อยากจะดูว่าเป็นคนเฮลธ์ตี้)