Search Results
126 results found with an empty search
- K5 Hotel ดีไซน์โฮเทลเปิดใหม่ในโตเกียว
K5 HOTEL ความกลมกล่อมของงานอินทีเรียญี่ปุ่นผสมสแกนดิเนเวียน เราเคยพยายามจินตนาการว่าถ้าเราจะแต่งบ้านให้มีส่วนผสมของทั้งแนวญี่ปุ่นและสแกนดิเนเวียนที่เราชื่นชอบ มันจะออกมาเป็นยังไงนะ นึกตั้งนานก็นึกไม่ออก จนกระทั่งได้มาเจอกับโรงแรม K5 ดีไซน์โฮเทลธีม “nature in the city” ในย่าน East Tokyo ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราก็เลยอยากจะชวนเพื่อนๆชาว #hopsters ไป #hop ชมงานตกแต่งภายในที่สวยไม่เหมือนใครด้วยกันนน โรงแรมแสนเก๋แห่งนี้ดัดแปลงมาจากตึกธนาคารเก่าในยุค 1920s จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ความวินเทจอย่างแท้จริง งานแปลงโฉมทั้งหมดตกอยู่ในความรับผิดชอบของ Claesson Koivisto Rune (CKR) บริษัทดีไซน์สัญชาติสวีเดนฝีมือเฉียบที่พกพาความสแกนฯมาเต็มพอร์ท แต่มาโตเกียวคราวนี้ทางทีมงานก็ทำการบ้านมาอย่างดี พวกเขาตั้งใจที่จะเก็บโครงสร้างอาคารเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด และต่อ ยอดการใช้วัสดุเดียวกันกับของเก่าที่ทรงคุณค่าอยู่แล้ว ก่อนจะนำเอางานดีไซน์ใหม่ๆถักทอเข้าไปผ่านแนวคิดทั้งแบบญี่ปุ่นและสแกนดิเนเวียน ผลลัพธ์คือเสน่ห์ทางสถาปัตยกรรมที่งดงามลงตัว “Aimai” คือแนวคิดญี่ปุ่นที่ทาง CKR หยิบมาใช้ หากแปลตรงๆก็แปลว่า “ความคลุมเครือ” แต่ในที่นี้ aimai ถูกนำมาใช้ในการอธิบายความต่อเนื่องของสเปซที่ไหลไปหากันโดยไม่มีเส้นแบ่งระหว่างห้องที่ชัดเจน และการใช้สอยพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นฟังก์ชั่นที่ต่างกันไปในแต่ละช่วงของวันได้ รวมไปถึงการเล่นกับแสงธรรมชาติและแสงไฟจราจรด้านหลังโรงแรมผ่านกระจกสีที่ช่วยร่ายมนต์ให้พื้นที่เดียวกันสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยๆได้อย่างชาญฉลาด ความเป็นญี่ปุ่นที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งก็คือการใช้ผ้าย้อมสี Indigo ผืนมหึมามาแขวนลงมาจากเพดานสูงจนถึงพื้นเพื่อแบ่งสเปซหลวมๆให้มองเห็นทะลุลางๆได้ตามคอนเส็ปต์ "Aimai" ทั้งยังเป็นการสร้างความอบอุ่นพริ้วไหวและเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัดให้กับโรงแรมแห่งนี้ด้วย เสน่ห์แบบสแกนดิเนเวียนที่อยู่ในสายเลือดของทีมดีไซน์ ก็ถูกโปรยลงไปในโปรเจ็คต์อย่างถูกที่ถูกทาง ผ่านการจัดวางใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ดีไซน์โดย CKR, Maruni และ Emeco ทั้งแบบลอยตัวและบิลท์อิน ไปจนถึงกระถางต้นไม้ ภาพแขวนผนัง และโคมไฟกระดาษ washi ทรงเกลี้ยงเกลาที่ดีไซน์พิเศษโดย CKR เองก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการผสานเสน่ห์แบบสแกนดิเนเวียนให้เข้ากับการใช้วัสดุพื้นถิ่นแบบญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีดีไซน์ไอเท่มที่น่าสนใจอีกกว่า 20 ชิ้นตั้งแต่เก้าอี้ไปจนถึงแท่งดินสอที่ทาง CKR ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อเสริมคาแร็คเตอร์ให้กับโรงแรม K5 แห่งนี้ ห้องพักในโรงแรมมีให้เลือกทั้งหมด 7 รูปแบบ ROOM TYPE: Junior Suite Loft Floor ขนาด 43 sqm ROOM TYPE: Junior Suite ขนาด 43 sqm ROOM TYPE: K5 Room Loft Floor ขนาด 38 sqm ROOM TYPE: K5 Room ขนาด 38sqm ROOM TYPE: K5 Loft ขนาด 80 sqm ROOM TYPE: Studio Loft Floor ขนาด 21 sqm ROOM TYPE: Studio ขนาด 21 sqm สายกินดื่มห้ามพลาดกับ ร้านกาแฟ บาร์ และร้านอาหาร นอกจากห้องพักที่สวยหยดทั้ง 20 ห้องที่กว้างขวางกว่าห้องพักโดยเฉลี่ยในกรุงโตเกียวแล้ว โรงแรมแห่งนี้ยังจัดเต็มในเรื่องของการกินดื่มด้วย สายละเลียดเบียร์ต้องไม่พลาดชั้นใต้ดินของที่นี่เพราะเป็นที่ตั้งของ Tap Room โดย Brooklyn Brewery แห่งแรกและแห่งเดียวที่อยู่นอก New York นอกจากนี้ยังมี Ao Bar ที่เสิร์ฟ cocktails สูตรเฉพาะในธีมบาร์ Kabutocho ผสมกับห้องสมุดสีแดง (เท่สุดๆไปเลย!) ต่อด้วยร้าน Caveman โดยเชฟ Atsuki Kuroda ที่เสิร์ฟ progressive Japanese cuisine ล้ำๆ ไปจนถึง Switch Coffee ร้านกาแฟ specialty ท่ามกลางแมกไม้เขียวเข้ม ซึ่งอยู่ติดกันกับร้านดอกไม้ของทางโรงแรมเอง ร้านอาหาร CAVEMAN ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ร้านอาหารชื่อดังจากย่าน Meguro โตเกียว เป็นอาหารฟิวชั่น ที่ผสมผสานระหว่างญี่ปุ่น ฝรั่งเศสและเดนมาร์กได้อย่างลงตัว ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารคู่กับไวน์ธรรมชาติและเบียร์ ร้านกาแฟ Coffee Stand: SWITCH COFFEE ร้านกาแฟชื่อดังที่มีสาขาทั่วโตเกียวตั้งแต่ Meguro, Yoyogi, Hachiman และที่นี่ Kabutocho เป็นสาขาที่สามของ SWITCH COFFEE ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจากเอสเพรสโซ่ ลาเต้ไปจนถึงอเมริกาโน่ บาร์ Ao Ao เป็นร้านที่รวมห้องสมุดและบาร์ไว้ในที่เดียวกัน ให้บริการค็อกเทลที่มีส่วนผสมหลักเป็นชาในเอเชียและสมุนไพรจีน K5 เป็นหนึ่งในสมาชิกของ Design Hotels ซึ่งเป็นชุมชนโรงแรมอิสระ ที่มีดีไซน์เฉียบและคาแร็คเตอร์ชัด เพียง 15 นาทีด้วยการเดินจาก Tokyo Station ทำให้โรงแรมแห่งนี้นอกจากจะสวยสะดุดตาแล้ว ยังสะดวกมากๆ ล่าสุดเราเช็คออนไลน์ ปรากฏว่าราคาเริ่มต้นต่อคืนไม่ถึง 5,000 บาท เรานี่แทบอยากจะวาร์ปฟรอมโฮมไปโตเกียวเลยแหละ ฮือๆ เอาไว้ถ้ามีโอกาสได้ไปโตเกียวเราจะไปนอนที่นี่อย่างแน่นอน!! แล้วเพื่อนๆล่ะครับ เห็นรูปแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างน้าาา K5 Hotel ราคาเริ่มต้น 4,XXX บาท / คืน เวลา Check In 15:00 PM และ Check Out 12:00 PM สามารถจองที่พักผ่าน https://k5-tokyo.com/ K5 3-5 Nihonbashi Kabutocho, Chuo-ku, Tokyo โทร: 03-5962-3485 อื่นๆ: cafe, restaurant, beer hall, etc. All photos ©︎K5 . FB/IG: @hoparound.co Youtube : hoparound.co Website: www.hoparound.co . #LetsHoparoundTokyo #LetsHoparound #Travel #CentralJapan #Japan #Tokyo #Hotel #DesignHotel #LifestyleHotel #K5 #โตเกียว #เที่ยวโตเกียว #ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #เที่ยวโตเกียว #โตเกียวนอนไหนดี #นอนไหนดีในโตเกียว #เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #เที่ยวโตเกียวด้วยตัวเอง #เมืองโตเกียว #รีวิวโรงแรมโตเกียว #รีวิวโรงแรม #รีวิวK5 #K5Hotel #โรงแรมสวยในโตเกียว #รีวิวโรงแรมสวย #โรงแรมดีๆในโตเกียว
- Les Espaces D’Abraxas ทะลุมิติสู่อพาร์ทเม้นท์ดีไซน์แปลก ณ ชานเมืองปารีส
Les Espaces D’Abraxas ทะลุมิติสู่โลเคชั่นถ่ายทำ Hunger Games ท่ามกลางสิ่งก่อสร้างดีไซน์แปลก ณ ชานเมืองปารีส ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามา เราก็ได้แต่แหงนหน้ามองดูกลุ่มอาคารที่ดูลึกลับจนเกือบจะเหนือจริงแห่งนี้ด้วยความประทับใจ (การเลือกใช้ คำว่า Abraxas ซึ่งอยู่ในตำนานโบราณอายุนับพันปีก็ยิ่งทำให้ดูลึกลับไปอีก) และมันก็ช่างเข้ากันกับอารมณ์ Dystopia ของหนัง Hunger Games: Mockingjay จริงๆด้วย ตึกเหล่านี้ในความเป็นจริงแล้วเป็นโปรเจ็คท์ที่พักอาศัยสไตล์ Post-Modern ในย่าน Marne-La Vallée ทางฝั่งตะวันออกของปารีส และที่นี่ก็มีคนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 80s โดยสามารถรองรับได้ถึง 591 ครัวเรือน และส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างด้าวที่อพยพมาจากประเทศต่างๆ จากหน้าตาของอาคาร ชาว #hopsters หลายคนอาจจะพอเดาออกว่าสถานที่แห่งนี้ออกแบบโดย Ricardo Bofill ปรมาจารย์สถาปนิกชาวสเปน เพราะงานของเขานั้นมีเอกลักษณ์โดดเด่น และมีความ Theatrical สูงมาก เขาออกแบบให้ Les Espaces D’Abraxas ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้าง 3 ส่วนคือ Le Palacio, Le Théâtre และ L’Arc ซึ่งถูกจัดวางให้ปิดล้อมพื้นที่ด้านในเกือบรอบด้านและมีลานอยู่ตรงกลาง ไม่แน่ใจว่างานดีไซน์พื้นที่แบบเกือบปิดทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจจะสนองนโยบายผู้มีอำนาจสมัยนั้นที่ตัดสินใจสร้างเมืองใหม่โดยพยายามแบ่งแยกไม่ให้ผู้อพยพต่างด้าวไปอยู่ปะปนกับชาวฝรั่งเศสหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือ Drama ความแปลกแยกทางสังคมนั้นเข้มข้นกว่าความ Dramatic ของงานดีไซน์ไปอีกหลายดีกรี เพราะมันนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานระหว่างผู้คนต่างเชื้อชาติกับชาวฝรั่งเศสแท้ๆ จนทำประเด็นการทุบอาคารเหล่านี้ทิ้งได้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกกันหลายครั้งหลายครา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ทุบจริงๆเสียที นี่ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ชัดๆอีกครั้งว่าการออกแบบ Space นั้นมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างมากจริงๆ ลองคิดดูสิว่าหากประเทศเราให้ความสนใจกับสิ่งนี้ บ้านเมืองเราจะน่าอยู่ขนาดไหน ความรู้สึกส่วนตัวของเราตอนที่ได้ไปเยือน Les Espaces D’Abraxas นั้นผสมกันระหว่างความประทับใจในมวลหนักๆของงานดีไซน์ชั้นครูที่ถ่ายรูปแล้วขึ้นกล้องมากๆ และความรู้สึกวังเวงชวนขนลุกพิกล ยิ่งตอนที่เรากำลังจะเดินกลับออกมาด้านนอกแล้วได้ยินเสียงคนดำตะโกนตามหลังซ้ำๆเป็นภาษาฝรั่งเศส ก็ทำให้เราต้องรีบสาวเท้าฉับๆเดินออกมาโดยเร็ว ฉะนั้นถ้าเพื่อนๆอยากจะตามรอยก็ขอให้ระวังก้นด้วยนะครับ www.hoparound.co
- BAUM ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ผิวกายและน้ำหอมน้องใหม่จาก Shiseido
ใครที่ชื่นชอบงานแพ็คเกจจิ้งดีไซน์สวย ต้องหลงรักแบรนด์นี้แบบเราอย่างแน่นอน BAUM ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าผิวกายและน้ำหอมน้องใหม่จาก Shiseido ที่มีคอนเซ็ปต์ “EVERY TREE, A BEAUTIFUL BEGINNING” BAUM เน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ่านแนวคิด "พลังแห่งต้นไม้" และ "การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ" ซึ่งเป็นแก่นแท้ของคนญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษ BAUM อ่านว่า "บาอุม" เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่า "ต้นไม้" ประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ 27 ประเภทรวมถึงผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอาง, ทำความสะอาดหน้า, ครีมบำรุงผิว, ครีมทามือ, โลชั่นบำรุงผิวและน้ำหอมในห้อง มากกว่า 90% ของผลิตภัณฑ์ของ BAUM ผลิตจากวัสดุที่ได้จากธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้พาราเบน, ซิลิโคนหรือสีสังเคราะห์เลย จากแนวคิดของพลังแห่งต้นไม้ ที่มีอายุยั่งยืนเป็นเวลาหลายร้อยปีและมีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง BAUM ก็ให้ความสนใจกับฟังก์ชั่นสามอย่างคือ "การกักเก็บน้ำ", "การเติบโต" และ "การปกป้องสิ่งแวดล้อม" เพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ทางแบรนด์ BAUM จึงเลือกใช้ขวดพลาสติกและขวดแก้วที่สามารถนำกลับมาเติมรีฟิล แบบใช้ขวดเดิมซ้ำได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น BAUM ได้รีไซเคิลไม้โอ๊คจากกระบวนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ร่วมกับ Karimoku Furnitire Inc. ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ชื่อดังของญี่ปุ่น และแค่นั้นยังไม่พอ ด้วยความรักษ์โลกของแบรนด์ ทางแบรนด์ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมการอนุรักษ์ป่าไม้โดยร่วมปลูกต้นไม้และปลูกต้นโอ๊กที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ร่วมกับบริษัท Sumitomo Forestry Co. ในญี่ปุ่นอีกด้วย ตัวอย่างกลุ่มผลิตภัณฑ์ SKIN BAUM CLEANSING OIL 4,000 ¥ / 180 mL ราคาไทยประมาณ 1,200 บาท BAUM FACE WASH FOAM 3,500 ¥ / 150g ราคาไทยประมาณ 1,050 บาท BAUM HYDRO ESSENCE LOTION 6,500 ¥ / 150mL ราคาไทยประมาณ 1,950 บาท BAUM MOISTURIZING OIL 8,000 ¥ / 60mL ราคาไทยประมาณ 2,450 บาท ตัวอย่างกลุ่มผลิตภัณฑ์ MIND BAUM AROMATIC CANDLE 10,000 ¥ / 230g ราคาไทยประมาณ 3,000 บาท ตัวอย่างกลุ่มผลิตภัณฑ์ HAND & BODY BAUM AROMATIC HAND CREAM 2,700 ¥ / 75g ราคาไทยประมาณ 810 บาท BAUM AROMATIC BODY LOTION 3,600 ¥ / 180mL ราคาไทยประมาณ 1,080 บาท BAUM เปิดตัวเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ที่ห้างสรรพสินค้า NEWoMAN สาขาโยโกฮาม่าที่แรก และก็จะมี Pop-up shop วันที่ 30 พฤษภาคมถึง 9 มิถุนายนที่ห้างสรรพสินค้า Isetan สาขาชินจุกุและจาก 6 มิถุนายนถึง 21 มิถุนายนที่ร้าน NEWoMAN สาขาชินจุกุ และที่ Takashimaya JR Gate Tower นาโงย่า Reference: baumjapan.com, corp.shiseido.com, IG; baum_global #Letshoparound #InspiringStuff #Skincare #BAUM #BAUM_beauty #skincareproducts #MoisturizingEmulsion #Emulsion #Shiseido #ญี่ปุ่น #ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวญี่ปุ่น #รีวิวผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
- MINI TRIP ธีมตรุษจีนที่ ASAI CHINATOWN
MINI TRIP ธีมตรุษจีนที่ ASAI BANGKOK CHINATOWN คงไม่มีที่ไหนในสยามประเทศที่จะเหมาะกับบรรยากาศตรุษจีนไปมากกว่าเยาวราช และคงไม่มียุคไหนที่การท่องเที่ยวเยาวราชจะโก้เก๋ไปกว่ายุคนี้ เพราะทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร และโรงแรมดูดีมีดีไซน์ต่างก็ทยอยผุดขึ้นมาให้ฮือฮาอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราขอนำเสนอไอเดีย Mini Trip ธีมตรุษจีนให้ชาว #hopsters ได้มีกิจกรรมไม่ซ้ำใครเอาไปลงเป็นคอนเท้นต์ใน Social Media เราอยากชวนให้ไปปักหลักพักค้างกันที่ ASAI โรงแรมไลฟ์สไตล์ ดีไซน์ดี ในราคาที่เอื้อมถึง แถมอยู่ใจกลางไชน่าทาวน์ศูนย์รวมความอร่อย (ขออนุญาตปลดตะขอกางเกงนิดนึง) และความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมที่ตกทอดกันมานับร้อยปี ASAI เป็นแบรนด์ใหม่ล่าสุดในเครือดุสิตธานีที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยุคใหม่ซึ่งมาพร้อมกับแนวคิด “Live Local” โดยสนับสนุนให้แขกที่เข้าพักได้รับประสบการณ์ที่เป็นเสน่ห์เฉพาะในแต่ละ Location อย่างเต็มที่ เรื่องของความเป็นมืออาชีพนั้นมียี่ห้อ DUSIT รับรองหายห่วง และบนถนนเจริญกรุงกลางแหล่งวัฒนธรรมชาวจีนที่เก่าแก่ของกรุงเทพฯแห่งนี้ก็เป็นทำเลแรกที่ ASAI เลือกให้เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวแห่งอนาคตตาม vision ของแบรนด์ งานตกแต่งภายในของ ASAI นั้นดูทันสมัยถูกจริตคนรุ่นใหม่จริงๆทั้งเรื่องของรูปทรง เส้นสาย และวัสดุที่เลือกใช้ รวมไปถึงการสร้าง Courtyard ตรงกลางให้แสงธรรมชาติสาดเข้ามาเพื่อให้รู้สึกโปร่งสบาย ในขณะเดียวกันทุกๆมุมนั้นก็เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ท้องที่ของเยาวราชที่สอดประสานเข้าด้วยกันกับความทันสมัยได้อย่างงดงามและกลมกลืน หลายๆคนคงจะมีห้องอาหาร JAMJAM เป็นมุมโปรดในโรงแรมเหมือนกับเรา ที่นี่เสิร์ฟตั้งแต่อาหารเช้า กลางวัน และเย็น รวมไปถึงเครื่องดื่มและของทานเล่นระหว่างมื้อด้วย เอาเข้าจริงๆเราก็ใช้ที่นี่เป็นที่หลบร้อนระหว่างเดินสำรวจเยาวราช (อย่างที่บอกโรงแรมอยู่ตรงกลางจุดท่องเที่ยวต่างๆพอดี) และบางทีก็นั่งคุยกันจนเพลินเลย เราเลือกห้องพักแบบ Roomy Queen City View ห้องพักค่อนข้างกว้างมาก ขนาด 22 ตร.ม. มีโซนโต๊ะทำงาน ทีวี ตู้เย็น ตู้นิรภัย ครบครันมากๆ มื้อเช้าของโรงแรม อาหารเช้าเป็นเซ็ตมาตรฐานคาดเดาได้ สำหรับเรารู้สึกว่าน้อยไปนิด แต่เมื่อเทียบกับราคาค่าห้องแล้วก็ถือว่ารับได้ และความจริงเราก็แพลนว่าจะไปตระเวนชิมร้านข้างนอกอยู่แล้วก็เลยคิดว่าดีที่ไม่อิ่มเกินไป เพื่อให้เต็มอิ่มกับทริปนี้มากขึ้น เรามาปูพื้นฐานประวัติศาสตร์ของเยาวราชกันเล็กน้อย ว่ากันว่าชุมชนเยาวราชนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์บางอย่างก็แสดงให้เห็นว่ามีชุมชนชาวจีนอยู่มาก่อนหน้านั้นอย่างยาวนาน เช่นศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ย ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในเยาวราชนั้นก็มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่พ.ศ. 2201 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียว (อายุ 363 ปีแล้ว!)ใครสนใจจะเข้าไปไหว้ขอพร ก็เดินจากโรงแรมเพียง 4-5 นาที หรือหากจะไปวัดมังกรฯ (วัดเล่งเน่ยยี่) สถานที่แก้ชงท็อปฮิตของชาวกรุง ก็ห่างจากโรงแรมไปแค่ 3 นาทีเท่านั้น ถ้าจะให้ใกล้กว่านั้นไปอีกก็ขอให้ไปที่ศาลเจ้าหลีตีเมี๊ยวในซอยข้างโรงแรม ที่นี่เป็นศาลเจ้าลัทธิเต๋าซึ่งเป็นที่นิยมของคนที่ต้องการขอคู่ครอง ขอลูก และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพต่างๆ ส่วนถนนเยาวราชนั้นถูกตัดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยใช้เวลาถึง 8 ปีทั้งที่ความยาวแค่กิโลเมตรนิดๆเท่านั้น ถนนสายนี้เป็นแหล่งการค้ามาตั้งแต่แรกเพราะได้รับอานิสงส์มาจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่เปิดให้มีการค้ากับชาติตะวันตกมากขึ้น และคงไม่มีใครที่จะค้าขายเก่งไปกว่าชาวจีนแล้วล่ะ อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าตลอดสองฝั่งถนนนั้นเรียงรายไปด้วยร้านค้าสินค้าหลากชนิด ตั้งแต่ทองคำอันเลอค่าอมตะ ไปจนถึงเครื่องเทศยาจีน เครื่องประดับเสริมมงคล และที่ขาดไม่ได้ก็คืออาหารเลิศรสที่หลายคนติดใจ แค่เดินจากโรงแรมไม่กี่ก้าว เราก็จะพบกับ Street Food สไตล์จีนโบราณชวนให้น้ำลายสออย่างไม่ขาดสาย ร้านเจ๊เอ็งก๋วยเตี๋ยวหลอดโบราณ เราแวะต่อคิวร้านเจ๊เอ็งก๋วยเตี๋ยวหลอดโบราณที่อยู่หน้าโรงแรมเพื่อเจิมกะเพาะ ก่อนที่จะออกตามล่าของกินแบบ Non-Stop กันรัวๆ ทั้งร้านดังๆและร้านที่คนรู้จักน้อยแต่อร่อยมากๆ Location: https://goo.gl/maps/gttLC245Q95xH7RcA เดินไปนิดเดียวก็จะเจอหมี่จับกังที่จุใจทั้งรสชาติและปริมาณ / นายหมงหอยทอดเชลล์ชวนชิม Specialist ด้าน หอยทอด ออส่วน อ่อลั่วะ และข้าวผัดปู / ขาหมูนายอุ๊ ขาหมูโบราณใส่ถั่วต้มเห็นแล้วต้องกลืนน้ำลายเอื๊อก / ข้าวต้มปลา(ตรอกถั่วงอก) เนื้อปลาเก๋าชิ้นโตๆซดกับน้ำซุปเคี่ยวรสกลมกล่อม / จก โต๊ะเดียว อาหารทะเลสไตล์จีนอร่อยเกินบรรยาย / ตือฮวนเกี่ยมฉ่ายอาหารโบราณที่หากินได้ยากมาก ลิสต์นี้ที่จริงแล้วก็คงยาวต่อไปได้เรื่อยๆไม่รู้จบจริงๆ นี่ยังมีร้านหวานเย็นแบบจีนๆอีกนับไม่ถ้วนที่ยังไม่ได้พูดถึง กู่หลงเปา สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึก Wow เป็นพิเศษก็คือ ซาลาเปาจากร้าน “กู่หลงเปา” ที่ทำขายกันมาหลายชั่วอายุคน แต่เพิ่งจะเริ่มสร้างเป็นแบรนด์จริงจังในปีที่ผ่านมา จุดเด่นของซาลาเปาที่นี่คือเนื้อแป้งที่หอมกลิ่นหมักอ่อนๆ และมีความ Chewy เบาๆหลังจากที่กัดผ่านความนุ่มลงไปแล้ว เราแนะนำไส้เผือกที่ทั้งหอมมมมมม และมี Texture นุ่มเนียนเหนียวไม่เหมือนใคร อร่อยจริงๆนะ Surprised มาก Location: https://g.page/gulongbao?share ร้านหอยแครงป้าจิน ถนนผดุงด้าว (หรือชื่อที่เราเรียกกันคุ้นปากว่าซอยเท็กซัส) ที่เชื่อมระหว่างเจริญกรุงกับเยาวราชนั้น ก็อยู่ตรงหน้าโรงแรมพอดี เดินผ่านเส้นนี้มีหรือจะไม่แวะร้านหอยแครงป้าจินชื่อดังประจำซอย เราเคยมาทานตั้งแต่ป้ายังยืนขายเอง ตอนนี้กิจการรุ่งเรืองมองไปเห็นแต่ลูกน้องแล้ว ร้านป้าจินเปิดตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึงค่ำ Location: https://goo.gl/maps/9FZ8qKoYFQ3wN3g18 ร้านราดหน้าอยู่อี่ แต่ถ้าเพื่อนๆแวะมาแถวนี้ตอนกลางวันก็มีร้านราดหน้าอยู่อี่สูตรโบราณหอมกระเทียมและมีรสหวานปะแล่มๆกำลังอร่อยให้แวะชิม Location: https://goo.gl/maps/AiWvuuT1Yt1LVH1aA Ba Hao Tien Mi และที่ขาดไม่ได้ก็คือร้านขนมหวานจีนสมัยใหม่ Ba Hao Tien Mi ที่นี่เป็นสาขาที่ได้บรรยากาศความเป็นจีนที่สุด Location: https://g.page/bahaotianmi?share ตอนแรกเราก็กะจะทำคอนเท้นต์แนะนำร้านอื่นๆอีกในเยาวราช แต่ถ้าจะไล่พูดถึงแต่ละร้าน อีก 3 วันก็คงไม่จบ เอาเป็นว่าใครชอบทานอะไรน่าจะหาข้อมูลกันได้ไม่ยาก ทั้งร้านต้นตำรับโบราณ และร้านคาเฟ่เท่ๆเก๋ๆคาแรคเตอร์จัด พอได้มาเดินดูจริงๆย่านนี้มีอะไรมากกว่าที่คิดนะครับ และสำหรับเราแล้วถ้าจะสำรวจเยาวราช ASAI คือโรงแรมที่เหมาะทั้งในเรื่องทำเล ดีไซน์ และราคา เราชื่นชมแนวคิดของทางแบรนด์ ตั้งแต่การคิดชื่อที่มีความหมายเหมาะเจาะกับธุรกิจโรงแรม ต่างชาติก็อ่านง่าย แถมมองผ่านๆยังแอบสลับตัวอักษรอ่านเป็น ASIA ซึ่งก็เข้ากับคาแรคเตอร์ของแบรนด์ได้อีก ยิ่งเป็นแบรนด์ไทยที่ Execute ออกมาได้ดีแบบนี้แล้วก็ยิ่งน่าสนับสนุนมากๆ เราแอบตื่นเต้นอยากเห็นว่า ASAI ในทำเลต่อๆไป (สาทรคือโลเคชั่นถัดไป) ทั้งในไทยและต่างประเทศจะเป็นอย่างไร แต่ในวันนี้ถ้าเพื่อนๆอยากใส่กี่เพ้าเดินเยาวราชช่วงตรุษจีน เราขอแนะนำ ASAI CHINATOWN ก่อนเลยฮะ รายละเอียดเพิ่มเติม Tel: +6622208999 Website: https://asaihotels.com/asai-chinatown/ Email: asai.chinatown@asaihotels.com #LetsHoparound FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co
- CHIM CHIM ชิมชิม Never Chim Never Know
ปัญหาโลกแตกที่ว่าร้านสวยแต่อาหารไม่อร่อยจะหมดไป หากคุณได้มาที่นี่ Chim Chim Bangkok และไม่ใช่แค่ร้านสวยเท่านั้น แต่ยังอาร์ทและรสนิยมดีสุดๆ เหมือนได้มานั่งกินข้าวในแกลอรี่แสนเก๋ยังไงยังงั้นเลยแหละ วันนี้เราจะพาเพื่อนๆชาว #Hop ไปนั่งชิมอาหารรสเยี่ยมท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยสีสันของงานศิลปะและดีไซน์กันที่ Chim Chim Bangkok ณ โรงแรม Siam@Siam ใครสายกินสายอาร์ทต้องถูกใจที่นี่แน่นอน!! 'ชิมชิม' เป็นร้านอาหารคอนเซปต์ Art-inspired social diner ที่จะเสิร์ฟตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงค่ำ แถมยังมีกาแฟเมล็ดพรีเมี่ยมจาก Roots พิซซ่าแป้งซาวร์โด พาสต้าเส้นสดที่รีดเอง บอกเลยว่ารสชาติจัดจ้านไม่แพ้กับสีสัน สไตล์การตกแต่งร้านเลยแหละ! ศิลปะแบบ Dadaism ได้ถูกหยิบยกมาเป็นแรงบันดาลใจหลักให้กับร้านจึงทำให้เรารู้สึกเหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางงานศิลปะในแกลอรี่ และยังมีต้นไม้สีเขียวหลากเฉดมาช่วยเบรกให้ดูสบายตาขึ้น ชื่อของ “ชิม ชิม” มาจากภาษาไทยคําว่า “ชิม” ซึ่งหมายถึง ลิ้มลอง หรือลองกินอะไรใหม่ๆ หรือแตกต่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ ชิม ชิมได้นํามาเป็นปรัญชาในการลองทําอะไรใหม่ๆ นอกเหนือไปจากอาหาร แต่ยังให้ผู้มาเยือนได้รับจินตนาการจากการรับประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต หน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานยังทําให้แสงธรรมชาติลอดเข้ามาส่องกําแพงขาวและพื้นหินขัดลายทําให้รู้สึกเหมือนเข้ามาเยือนยังแกลเลอรี่ศิลปะ เฉดสีอันโดดเด่นยังได้รับการเสริมความจัดจ้านด้วยงานจากศิลปินที่จัดแสดงอยู่ทั่วทั้งร้าน และผลัดเปลี่ยนงานแสดงไปตลอดทั้งปี ใครสนใจภาพวาดเค้าก็ขายให้ได้นะ เฟอร์นิเจอร์ในร้านยังเป็นแบบ Upcycle ที่นําไปปรับโฉมด้วยดีไซน์พิเศษเพื่อนํากลับมาใช้ใหม่ช่วยสร้างบรรยากาศแตกต่างไม่เหมือนที่ไหน รูปทรงอันโดดเด่นของเฟอร์นิเจอร์ต่างๆถูกผสมผสานเข้ากับสีสันและกราฟฟิกจัดจ้านของงานผ้าพิมพ์จาก จิม ทอมป์สัน รวมไปถึงงานเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไอคอนแห่งศตวรรษที่ 20 ด้วย ชิม ชิม แบงค็อก เปิดให้บริการแต่เช้าตรู่เหมาะกับ Breakfast lover เลยหล่ะ เพราะเค้าจะเสิร์ฟอาหารเช้าจานอร่อยอย่าง Breakfast Burrito ที่ทุกเมนูไข่ จะมาจากไข่ไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อย ไส้กรอกเฟนเนลจาก Sloane บุชเชอร์ชื่อดังของกรุงเทพฯ แถมยังมีเชดดาร์ชีส พริกฮาลาเปนโญ อะโวคาโด และซัลซามะเขือเทศห่อในแป้งตอติญา หรือจะเป็น Fully Loaded French Toast เฟรนช์โทสต์ที่ทําจากขนมปังนมแบบญี่ปุ่น Shokupan ราดด้วยครีม เมเปิลไซรัป และผลไม้ตามฤดูกาลอีกด้วยนะ ส่วนจานพาสตาของร้านก็มีทั้งแบบโฮมเมดและเป็นพาสตาแห้งแบบอาร์ติซานที่คัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเส้นเพนเน่ ลิงกุยเน่ บูคาตินี่และเส้นอื่นๆ อีกมากมาย เมนูแนะนําอย่าง Spaghetti & Meatballs ก็มาพร้อมกับก้อนเนื้อวากิวเนื้อฉํ่าหอม หรือจะเลือกเป็นจานวัตถุดิบพรีเมี่ยมอย่าง Crab & Pesto พาสตาปูทะเล หรือพาสตาเฟตตูชินี่กุ้งลายเสือตัวใหญ่เนื้อแน่นกลมกล่อมสุดๆ ที่นี่ยังมีพิซซาที่ทําจากแป้งซาวร์โดที่หมักไว้นานถึง 48 ชั่วโมง ก่อนจะนํามานวดและยืดใหม่ก่อนเข้าเตาอบร้อนที่สั่งทําขึ้นเป็นพิเศษด้วยโมเสคขาวดําอันเป็นจุดเด่นของครัวพิซซา ทำไมถึงต้องหมักแป้งนานขนาดนั้น? ก็เพราะว่าจะทําให้ตัวพิซซามีความกรอบจากความพองตัวและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของแป้งซาวร์โดและมีความยืด เหนียว นุ่มพร้อมผิวกรอบ ส่วนหน้าพิซซานั้นทางร้านก็ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีออกมาเป็นสไตล์คลาสสิกและสร้างสรรค์ตั้งแต่พิซซา Jamon Iberico & Tomato ที่ใช้แฮม Iberico ไปจนถึง Gravlax & Cream พิซซาแซลมอนรมควัน ผักชีลาว และซาวร์ครีม เมนูเครื่องดื่มของ ชิม ชิม แบงค็อก คือการไฮไลท์สิ่งที่ดีที่สุดจากผลิตผลของไทย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟจากร้าน Roots หรือจะเป็นชาจาก Monsoon Tea ไปจนถึงสมูทตี้ซึ่งเต็มไปคุณประโยชน์ เมนูกาแฟมีให้เราเลือกตั้งแต่แก้วคลาสสิกอย่าง เอสเพรสโซ และกาแฟดริป โดยใช้เมล็ด Single origin จาก Roots ร้านกาแฟและผู้ผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพของกรุงเทพฯ ที่เลือกใช้เมล็ดของเกษตรกรท้องถิ่นทางภาคเหนือของไทยจากห้วยนํ้าขุ่น และปางขอนในจังหวัดเชียงราย ตลอดจนเมล็ดอื่นๆ ที่หมุนเวียนมาตามฤดูกาล และที่เราอยากให้ลองมากที่สุดคือกาแฟ Cold Brew เพิ่มกลิ่นเฮเซลนัท คาราเมล อัลมอนด์ มินต์ ไปจนถึงแก้วไนโตรสดชื่นๆ ไร้คาเฟอีนอย่าง Ginger Lemondade หรือจะเลือกชิมเมนูสร้างสรรค์ใหม่อย่าง Mint Mocha Frappe เอสเพรสโซจากเมล็ด Roots ปั่นกับดัทช์โกโก้ นม นํ้าตาลทรายแดงและวิปครีม สำหรับสาวกชา ที่นี่จะเสิร์ฟชาจาก Monsoon Tea แบรนด์ชาขึ้นชื่อของไทยผลิตชาจากไร่ชาปลูกผสมผสานอยู่ท่ามกลางผืนป่าในภาคเหนือของไทย เราแนะนําให้ชิมชาที่ชื่อ “สุขุมวิท” ชาเบลนด์ที่ทําขึ้นมาจากชาดําผสมผสานกับความหอมละมุนของลาเวนเดอร์ มะม่วง และกระวาน หากอยากได้ทางเลือกเพื่อสุขภาพ ก็สามารถเลือกชิมคอมบูฉะทําเอง หรือจะเลือกเมนูดีกับสุขภาพอย่าง Banana Kiwi Yogurt Smoothie ที่นํากล้วยกับกีวี่มาปั่นกับโยเกิร์ต หรือจะเป็น White Tea + Fresh Apple + Honey + Lemon Frappe ช่วยเพิ่มความสดชื่น เมนูที่เราแนะนำ 🥗 Hoki Poke Salad (390.-) เป็น Ice plant ที่หากินยากเหตุผลที่ชอบคือตัวผักมันอร่อยกรุบ แล้วยิ่งกินกับ Tuna poke คือเข้ากันดีสุด 🦐 Jumbo Tiger Prawns (690.-) เป็นกุ้งลายเสือยักษ์ที่นำไปย่างแล้วราดด้วยน้ำปลา พร้อมน้ำจิ้ม Chimmichurri Sauce แล้วแกล้มด้วยผักย่างคืออร่อยมากกกกกก 🍝 Tiger Prawns Fettuccine (550.-) เส้นรีดสดคลุกเคล้ากับซอสครีมมาพร้อมกับกุ้งลายเสือ บอกเลยว่ากลมกล่อมเกินคาด 🐟 Catch of the Day เป็นปลาซีบาสย่างจนหนังกรอบแต่เนื้อยังแน่น กินคู่กับมันฝรั่ง Vongole (430.-) สปาเก็ตตี้เส้นสดผัดหอยลายสดๆ กรุบๆ อร่อย! Gravlax & Cream (10ʼʼ 260.-) พิซซ่าหน้าแซลม่อนครีม แป้งกรอบนอกนุ่มใน Nitro Cold Brew Classic (130.-) กาแฟหอมนุ่มละมุนลิ้น Black Coffee (130.-) เราเลือกเมล็ดกาแฟจากบ้านห้วยน้ำขุ่น เชียงราย กาแฟหอม เปรี้ยวกำลังดี Iced Mocha (120.-) หวานมันกลมกล่อม Corn Millefeuille (260.-) ขนมหวานที่เลือกหยิบข้าวโพดมาเป็นวัตถุดิบหลัก ปิดท้ายมื้อได้อย่างลงตัว และเราเชื่อว่าที่นี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับย่านศิลปะและอาหารใจกลางเมืองได้อย่างดีเลย #NeverChimNeverKnow 🎨สำหรับแฟนๆ ชาว Hoparound.co ที่อยากไปชิมชิม ทางร้านมอบส่วนลด 20% ให้กับทุกคนที่แจ้งว่ามาจาก Hoparound.co สิทธิ์ใช้ได้ถึงวันที่ 15 มีนาคม 64 นี้เท่านั้น พร้อมต้อนรับคนชอบสังสรรค์ที่บ้านหรือนึกถึงอาหาร ชิม ชิม แบงค็อก ตอนอยู่ออฟฟิศ สามารถสั่งอาหารเดลิเวอรี่จากร้านได้ที่แพลทฟอร์มเดลิเวอรี่ทั้งใน Grab food, Lineman, Food panda แต่ถ้าลูกค้าสั่งโดยตรงผ่านไลน์ออฟฟิเชียลของทางร้าน @chichimbangkok จะได้ลด 50฿ ด้วยน้า CHIM CHIM Bangkok Location: https://goo.gl/maps/sYbc79bCRg7NHoD99 โรงแรม สยาม แอ็ท สยาม ดีไซน์ โฮเทล กรุงเทพฯ 865 ถนนพระราม 1 วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาเปิด-ปิด: 08.30-22.30 โทร: 094-972-4865 ที่จอดรถ: จอดได้ในโรงแรมสยาม@สยาม ข้อมูลเพิ่มเติม: www.facebook.com/chimchimbangkok Hashtag: #chimchimbangkok #neverchimneverknow
- สวนคุณปู่ Life Museum เชียงราย
สวนคุณปู่ Life Museum มีใครให้มากกว่านี้มั้ย??? ที่นี่น่าจะมีวิวประกอบการกินกาแฟที่สวยที่สุดเท่าที่เราเคยกินมาในไทย กาแฟว่าอร่อยแล้ว วิวอร่อยทะลุมาตรวัดไปเลยจ้าาา เพื่อนๆคนไหนมีวิวกินกาแฟสวยๆมาอวดกันมั่งน้าาา ป่ะ! #hop ไปจิบคาเฟอีน และดื่มด่ำกับวิวพันล้านที่ร้านสวนคุณปู่กัน บนดอยผาฮี้ และดอยผาหมี จ.เชียงรายนี้เป็นแหล่งปลูกกาแฟชั้นดีอีกแหล่งของไทย ทำให้เกิดร้านกาแฟมากมายที่เสิร์ฟกาแฟจากไร่ของตัวเอง เรียกได้ว่าปลูกตรงนั้น ชงเสิร์ฟตรงนั้นเลย บางร้านก็มีเครื่องคั่วเป็นของตัวเองพร้อมสรรพ แต่ละร้านก็ใช้เครื่องชงต่างระดับราคากันไปตามทุนทรัพย์ แต่ที่มักจะมาพร้อมกับกาแฟก็คือบรรยากาศวิวภูเขาจากบนดอย วิวของร้านสวนคุณปู่คือ Crème de la crème ของร้านกาแฟแถวนี้เพราะทำเลที่ตั้งเหมาะเจาะพอดีระหว่างผาฮี้และผาหมี โลเคชั่นกลางช่องเขา มีบ่อเลี้ยงปลาน้ำสีฟ้าอมเขียวตัดกับวิวของเมืองแม่สายเบื้องล่าง พร้อมกับสวนไม้ดอกไม้ประดับที่ได้รับการออกแบบภูมิทัศน์มาอย่างดี แมลงปอ ผีเสื้อบินกันว่อนไปหมด นอกจากนั้น กาแฟของที่นี่ก็ปลูกเอง มีเครื่องคั่วเอง ชงด้วยเครื่องแบรนด์ Lamarzocco อย่างดี เรียกว่าครบวงจรเลย ถ้าเพื่อนๆผ่านไปเที่ยวเชียงราย ไปแวะกันเสพคาเฟอีนและวิวงามๆเข้าร่างกันได้นะ เส้นทางอาจจะหวาดเสียวหน่อยสำหรับคนที่ไม่ชิน ขับขี่ด้วยความระวัดระวังด้วยนะคับ ปล.ไปช่วงร้านเปิดใหม่ๆจะได้บรรยากาศดีสุดๆ แถมคนน้อยด้วย วิธีเดินทาง เพื่อนๆสามารถเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว มาทางดอยตุง-ผาฮี้ หรือ แม่สาย-ผาหมีก็ได้ ทางแอบโหดนิดนึง ต้องขับกันด้วยความระมัดระวังด้วยน้า . FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #LetsHoparound #Chiangrai #LetsHoparoundChiangrai #LetshoparoundThailand #Travel
- TWA Hotel หนึ่งในโรงแรมดีไซน์ที่คาแรคเตอร์ชัดที่สุดในโลก
©︎Stonehill Taylor TWA Hotel หนึ่งในโรงแรมดีไซน์ที่คาแรคเตอร์ชัดที่สุดในโลก ธีมการบินวินเทจโดดเด้งกระแทกตามาแต่ไกล เพราะดัดแปลงจากอาคารที่เคยเป็นศูนย์การบินของ Trans World Airlines สายการบินที่เคยรุ่งโรจน์สุดๆแต่ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้วที่สนามบิน JFK ในนิวยอร์ค ยังไม่พออาคารแห่งนี้ยังเป็นผลงานของสถาปนิกในตำนานอย่าง Eero Saarinen ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1962 ที่นี่จึงอบอวลไปด้วยกลิ่นไอความชิคคูลแห่งยุค 60s โดยเนื้อแท้แบบไม่ต้องพยายามใดๆ เริ่มต้นเพียงคืนละ 3,4XX บาทเท่านั้น!! . Location: https://g.page/twahotel?share ©︎Stonehill Taylor ©︎Stonehill Taylor ‘CONNIE COCKTAIL LOUNGE’ AT THE TWA HOTEL Interior design by Stonehill Taylor Stonehill Taylor บริษัทด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งภายในชั้นนำของนิวยอร์กได้เปลี่ยนเครื่องบิน Lockheed Constellation L-1649A Starliner L-1649A Starliner ขนาด 116 ฟุตในช่วงกลางศตวรรษที่ไม่เหมือนใคร (หนึ่งในสี่ที่ยังมีเหลืออยู่บนโลก) ให้กลายเป็นบาร์ค็อกเทลสุดฮิปที่ชวนให้นึกถึง TWA Hotel ซึ่งเป็นการบูรณะศูนย์การบิน TWA ที่มีชื่อเสียงของ Eero Saarinen ซึ่งสร้างเสร็จในปี 2505 ที่สนามบิน JFK ในนิวยอร์ก เครื่องบินลำนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2501 ปัจจุบันตั้งอยู่กลางแจ้งระหว่างล็อบบี้และอาคารผู้โดยสาร 5 ที่ทันสมัยของสนามบิน Stonehill Taylor ซึ่งเป็นหัวเรือหลักในการออกแบบตกแต่งภายในกับประสบการณ์ของแขกร่วมสมัยพร้อมรายละเอียดการออกแบบที่ทำให้นึกถึงเสน่ห์ของการเดินทางทางอากาศในปี 1960 และความมหัศจรรย์ของอุตสาหกรรมการบิน การออกแบบของ Connie สะท้อนให้เห็นถึงการตกแต่งภายในที่เสร็จสมบูรณ์สำหรับล็อบบี้และห้องพักของโรงแรมทำให้สัมผัสสุดท้ายที่สมบูรณ์แบบสำหรับจุดหมายปลายทางระดับโลก เมื่อขึ้นบันได ผู้เข้าพักจะเข้าสู่เครื่องบินผ่านช่องทางเดินหน้าซึ่งมาถึงด้านหลังห้องนักบินของนักบิน เมื่อเข้าไปข้างในห้องโดยสารหลักซึ่งสะท้อนการออกแบบ “ท่อ” ที่เป็นที่รู้จักของ TWA Flight Center พร้อมเพดานเรืองแสงที่นุ่มนวลและพรม Eero Saarinen “Chili Pepper Red” ที่อยู่บนพื้น ©︎Stonehill Taylor การทำงานภายใต้พื้นที่แคบสุดจำกัด ที่มีเพดานต่ำ คือความท้าทายหลักให้ทีมค้นหาวิธีเปิดพื้นที่ให้มองเห็นได้: เพื่อให้ได้ภาพลวงตานี้การวิ่งเกือบเต็มเส้นรอบวงของห้องโดยสารที่ท้องของมันคือการ “เปิดช่องด้านหลัง” กว้างหนึ่งฟุต ที่เปิดเผยโครงสร้างดิบของเครื่องบิน แถบด้านหลังที่หุ้มแยกห้องนั่งเล่นออกจากฉากหลังที่ทำด้วยเหล็กขัดเงาซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากทั้งลำตัวเครื่องบินและลิฟต์ Saarinen’s Gateway Arch ในเมืองเซนต์หลุยส์ บางครั้งรูปแบบที่บ่งบอกถึงยุคสมัยมากที่สุดก็คือที่นั่งบนเครื่องบินแบบดั้งเดิมที่ได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมด 16 ที่นั่งในพาเลทลายสก๊อตสีชมพูส้มแดงและเบจ ที่นั่งสะเปะสะปะเพิ่มเติมพยักหน้าให้กับรูปแบบดั้งเดิมของ TWA Commodore Club ซึ่งมีที่นั่งจัดเลี้ยงสีแดงพริกพริกไทยพร้อมที่วางเครื่องดื่มแบบพับเก็บได้โต๊ะและเก้าอี้นั่งของ Saarinen ผู้เข้าพักสามารถถ่ายภาพช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบโดยมองออกไปทางด้านหน้าของห้องโดยสารผ่านหน้าต่าง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เพื่อนำทางเครื่องบินด้วยแสงดาวในเที่ยวบินข้ามคืน ทีมออกแบบได้รับแรงบันดาลใจคือการติดตั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาด 8 คูณ 4 ฟุตสองชิ้นโดย ศิลปิน Mario Zamparelli ต้นฉบับซึ่งแสดงโมเดลในจุดหมายปลายทางจาก กรุงเทพฯ ถึง บอสตัน เรียงราย Starlight Lounge บนเครื่องบินซึ่งเป็นจุดเด่นก่อนอาหารค่ำสำหรับเครื่องดื่มค็อกเทลในยุค 60 ©︎Stonehill Taylor Credit photos ©︎TWA Hotel, Eric Laignel, David Mitchell, Stonehill Taylor . #LetsHoparound #LetsHoparoundUSA #InspiringStuff #TWAHotel
- Majimaya ร้านขายอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ใจกลางกรุงโตเกียว
นี่อาจจะเป็นร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ที่เท่ที่สุดในโลกก็ได้นะ แต่ใครจะรู้ว่าร้าน Majiyama บนถนน Kappabashi ในกรุงโตเกียวแห่งนี้มีอายุกว่า 75 ปีแล้ว! ร้านอยู่มาได้ยาวนานขนาดนี้คงต้องปรับเปลี่ยนพัฒนาให้ทันยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Molds of happiness” หรือ “แม่พิมพ์แห่งความสุข” เหล่าบรรดานักอบเบเกอรี่ต้องตกหลุมรักร้านนี้อย่างแน่นอนนนนน! ร้านมาจิมายะอายุเกือบ 75 ปีสำหรับอุปกรณ์ทำขนมและเบเกอรี่ในโตเกียว ตั้งอยู่บนอาร์เคดความยาว 800 เมตรที่รู้จักกันในชื่อ Kappabashi Tool Street ล้อมรอบไปด้วยร้านค้าเฉพาะประมาณ 170 ร้านที่จำหน่ายอุปกรณ์ในครัวและอื่นๆอีกหลายอย่าง Majimaya ขายเครื่องมือทั่วโลกแม้ว่าจะมีข้อเสนอพิเศษอย่างหนึ่งนั่นคือแม่พิมพ์ไม้ที่สร้างโดยช่างฝีมือผู้ล่วงลับ Hitoshi Ohgawara ที่ร้านเป็นวัตถุดิบมากว่า 60 ปี เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและผู้ผลิตของพวกเขาสำนักงานออกแบบสถาปัตยกรรม Kamitopen ได้ดำเนินการออกแบบร้านค้าใหม่ที่มีแม่พิมพ์ประเภทต่างๆกว่า 3,000 แบบ Kappabashi Tool Street มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2455 เมื่อกลุ่มพ่อค้าเครื่องมือและนักโบราณวัตถุตัดสินใจตั้งร้านค้าในพื้นที่นี้ Majimaya ตั้งอยู่ในร้านหัวมุมห่างจาก Asakusa Higashi Hongan-ji Temple ซึ่งเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นโดยใช้เวลาเดินเพียงไม่นาน Facade ด้านหน้าอาคารหล่อขึ้นจากเหล็กผุกร่อนสีแดงแกมส้มซึ่งเลือกโดยนักออกแบบเพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนานและทนทาน Kamitopen ได้รับมอบหมายให้เปลี่ยนพื้นที่ 52 ตร.ม. ให้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถมองเห็นแม่พิมพ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจนและเพิ่มความคล่องตัวให้กับพนักงาน เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์การช็อปปิ้งให้เป็นแบบสบายตัวมากขึ้นสำหรับลูกค้า นักออกแบบจึงเลือกใช้พื้นที่ต่างระดับที่เชื่อมต่อกัน การแสดงแม่พิมพ์ถูกนำไปใช้กับบันไดหนีไฟและรั้วป้องกันตรงกลางอาคารเพื่อตอบสนองต่อพื้นที่ที่จำกัด แม่พิมพ์ขนมแต่ละชิ้นที่จัดแสดงจะเชื่อมโยงกับกล่องดีบุกที่มีหมายเลขกำกับหนึ่งในจำนวน 3,000 กล่องซึ่งลูกค้าสามารถเลือกและนำไปให้พนักงานจากนั้นผลิตภัณฑ์จะถูกนำออกจากสต๊อกอย่างง่ายดาย Location: Credits: Project location: 2-5-4, asakusa.taito-ku.Tokyo, Japan Site Area: 69.38㎡ Built Area: 52.49㎡ Total Floor area: 198.71㎡ Floors: BF1+4F Project architect: KAMITOPEN Architecture-Design Office Co., Ltd. Construction: EIKEN Photo credits: Keisuke miyamoto - FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website:www.hoparound.co - #LetsHoparound #Tokyo #LetsHoparoundTokyo #KAMITOPEN #Bakery #Kappabashi #โตเกียว #ร้านขายอุปกรณ์ทำเบเกอรี่
- ISLAND THERAPY: KOH MAK เกาะหมาก เนิบช้า-สะอ้าน-งดงาม
ISLAND THERAPY: KOH MAK เกาะหมาก เนิบช้า-สะอ้าน-งดงาม ในบางจังหวะของชีวิตสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งของล้ำค่า แต่กลับเป็นช่วงเวลาสงบเรียบง่ายเพื่อให้เราได้ทบทวนชีวิตและจัดระเบียบความคิดเราเองอีกครั้ง การ #hop ครั้งนี้ เราอยากชวนคุณลดความเร็วชีวิตลง แล้วเดินทางออกจากความวุ่นไปสู่ความว่างพร้อมๆกับเราที่ “เกาะหมาก” เกาะหมากตั้งอยู่เงียบๆตรงกลางระหว่างเกาะช้างและเกาะกูดในทะเลตราด ถ้าวัดกันที่ขนาดและความนิยม เกาะหมากก็ถือเป็นเกาะน้องเล็กสุดใน 3 เกาะนี้ ทำให้ที่นี่เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่จะปกป้องคุณจากความวุ่นวายทั้งปวง และโอบกอดคุณเอาไว้ท่ามกลางน้ำทะเลใสแจ๋ว ทิวมะพร้าวที่ไหวเอนตามสายลม และอากาศบริสุทธ์ที่สูดเข้าปอดได้อย่างสนิทใจ ไปเที่ยวครั้งนี้ เราได้เก็บบรรยากาศสุดชิลรอบๆเกาะมาให้เพื่อนๆรับชมกันในรูปแบบวิดิโอด้วยนะ Cinematography by IG: @Thongake21, @LightHousePattaya ระยะเวลาเกือบ 5 ชั่วโมงด้วยการขับรถจากกรุงเทพฯ อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกาะหมากยังคงรักษาเสน่ห์ของตัวเองไว้ได้อย่างไร้ที่ติ เราจอดรถทิ้งไว้ที่ลานจอดรถใกล้ท่าเรือกรมหลวงชุมพรฯบนแผ่นดินจ.ตราด แล้วนั่งเรือเร็วตรงถึงเกาะหมากได้เลยโดยใช้เวลาอีกประมาณ 45-50 นาที ทันทีที่ถึงที่พัก เราแทบรอไม่ไหวที่จะอาบน้ำชะล้างเอาความเหนื่อยและเหนอะให้มลายหายไป เราอยากขอบคุณ Aesop ดังๆที่ส่งเซ็ต “Rome” มาให้ลองใช้ทันเวลาพอดีกับที่เราเดินทางมาในทริปนี้ เพราะเซ็ต Rome นี้ดีไซน์มาสำหรับปลายทางที่มีอากาศอบอุ่นเหมาะกับชีวิตบนเกาะของเราเลยแหละ . อืมมม... ทันทีที่ชโลม Geranium Leaf Body Cleanser ใต้ฝักบัวน้ำแรงๆ กลิ่นหอมของนางก็ดึงอารมณ์ให้สดชื่นขึ้นจนอยากจะฟอกทิ้งไว้นานๆเลยแหละ โปรดักท์ 9 ชิ้นที่อยู่ในกล่องดีไซน์เนี้ยบนี้มีครบทั้งแชมพู ครีมนวด สบู่เหลว ครีมทาตัว เคลนเซอร์ล้างหน้า โทนเนอร์ ครีมบำรุงหน้า บำรุงปาก และที่เราชอบมากที่สุดก็คือมาสก์ที่สกัดจากดอกคาโมมายล์สีฟ้า เพราะนางช่วยกู้หน้ากร้านแดดของเราให้กลับมาชุ่มชื้นเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ดูแลผิวกันมามากพอละเนอะ เราออกไปสำรวจเกาะกันดีกว่า เกาะหมากเป็นเกาะเล็กๆที่ขับรถวนครึ่งชั่วโมงกว่าๆก็รอบเกาะแล้ว นอกจากรีสอร์ทที่กระจายกันอยู่รอบๆเกาะ ร้านอาหารที่เรียบง่ายก็พอมีให้เลือกสรรกันอยู่บ้าง ว่ากันว่าร้าน “เกาะหมากซีฟู้ด” นั้นเป็นที่หนึ่งในใจนักท่องเที่ยวตลอดกาล ดังนั้นหากไม่รู้จะกินอะไร ก็แวะเกาะหมากซีฟู้ดได้เลย ที่พักของเราตั้งอยู่ที่อ่าวสวนใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ ซึ่งเป็นอ่าวหลักที่ขึ้นชื่อว่ามีหาดทรายที่สวยและปลอดภัยน่าลงเล่นอยู่แล้ว เราจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ นั่งๆนอนๆ อ่านหนังสือ เรียบเรียงไอเดียต่างๆลงสมุด และปล่อยความกระวนกระวายใจไปกับเสียงเห่กล่อมของคลื่นที่เราใช้เป็น organic ambient music แค่เพียงเท่านี้ก็เหมือนเราได้รับการบำบัดสลายความตึงเครียดที่วิเศษสุด และมันก็คุ้มมากๆแล้วสำหรับเรา การมีเวลาได้นั่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันบ้างคือความดีงามอย่างหนึ่งของชีวิต หาดทรายที่ค่อยๆลาดลงไปในทะเลของอ่าวสวนใหญ่นี้ เหมาะแก่การพาย Paddle Board บนน้ำทะเลใสปิ๊งเห็นถึงก้นทะเลอย่างยิ่ง เพราะแม้จะพายออกจากฝั่งไปไกล น้ำก็ยังไม่ลึกจนน่ากลัว เราสามารถปักไม้พายลงไปถึงพื้นทรายได้เกือบตลอดเวลา และถ้าหากคุณมีโดรน (เหมือนเรา) คุณก็จะได้ภาพที่สวยสะพรึงมาอวดเพื่อนๆและ followers ของคุณจนต้องร้องว้าวไปตามๆกัน เสน่ห์อย่างหนึ่งของเกาะหมากก็คือสะพานไม้ที่ทอดลงไปในทะเลแบบนี้ ซึ่งมีอยู่หลายแห่งบนเกาะ จากอ่าวสวนใหญ่ เราสามารถมองเห็นเกาะขามได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้นเรายังสามารถเช่าเรือคายัคเพียงไม่กี่บาท (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะไม่เกิน 100 บาท) แล้วออกกำลังกายพายไปถึงได้ด้วยตัวเองอีกด้วย และนั่นก็เป็นสิ่งที่เราเลือกทำ ยอมรับว่าสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยก็ต้องใช้เวลาและแรงกายสักพักใหญ่กว่าจะจับทางจับจังหวะถูก แนะนำว่าควรมีผู้ชายไปด้วยและควรเตรียมเสื้อแขนยาวกับหมวกกันแดดไปให้พร้อมเพราะดวงตะวันทรงพลังมากและไม่ได้แยแสกับผิวของเราเลย เกาะขามได้ชื่อว่ามีหาดที่ทรายขาวละเอียดเป็นแป้ง สวยไม่แพ้ทะเลใต้เลย เมื่อพายมาถึงเราต้องเสียค่าขึ้นเกาะแบบเหมาลำๆละ 200 บาท แต่ก็สามารถเอาไปแลกเครื่องดื่ม และใช้บริการห้องน้ำบนเกาะได้ พอมาถึงแล้วใครใคร่หามุมถ่ายรูปหรือเล่นน้ำดำทะเลก็แยกย้ายกันประกอบกิจกรรมได้ตามใจชอบ ที่นี่หอยเม่นและโขดหินแหลมคมเยอะเหมือนกัน ก็ระวังกันหน่อยนะครับ ทรายขาวละเอียดจริงๆ ร้อนๆก็แวะหลบนั่งใต้เงามะพร้าวได้เลย นอกจากเนินทรายสีขาวจั๊วะที่ตัดกับน้ำสีฟ้าใสปิ๊งแล้ว บนตัวเกาะขามก็มีโครงการวิลล่าพักอาศัยที่เหมือนจะสร้างไม่เสร็จ แต่ดีไซน์ดูดีจนน่าแปลกใจที่มาโผล่ไกลขนาดนี้ เราใช้เวลาอยู่บนเกาะขามไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็พายเรือคายัคกลับเกาะหมาก เมื่อ #hop มายังอีกฝั่งทางทิศตะวันออกของเกาะหมาก ก็จะพบวิวที่ค่อนข้างต่างไป เราแวะเข้ามาชมวิวใน Cinnamon Art Resort & Spa ซึ่งมีสะพานทอดสู่ทะเลที่มีความยาวที่สุดบนเกาะหมาก สะพานนี้มีชื่อว่าสะพานสู่ฝัน แม้หาดในฝั่งนี้ของเกาะจะไม่ได้ขาวนวลเหมือนอีกฝั่ง แต่บรรดาต้นไม้หงิกๆงอๆที่ขึ้นกระจายกันห่างๆอยู่ในน้ำทะเล ก็เป็นเสน่ห์แปลกตาไม่เหมือนใคร แถมจากสะพานนี้เรายังมองเห็นเกาะน้อยใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะหมากอีกด้วย ...สวยจัง ต้นไม้โตในน้ำทะเล ภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ ถัดลงมาอีกนิดก็จะเป็นจุดตะวันออกสุดของเกาะหมากชื่อว่า “แหลมสน” เราแวะมาที่นี่ขึ้นเรือเพื่อไปเที่ยวอีกเกาะที่อยู่ใกล้ๆกันที่ชื่อว่า “เกาะกระดาด” (สะกดตามพระราชหัตถเลขของล้นเกล้า ร.5 แต่บางที่ก็สะกดว่า “เกาะกระดาษ” เกาะกระดาดแห่งนี้มีความพิเศษ 2-3 อย่าง อย่างแรกเลยคือเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยฝูงกวางเกือบพันตัว! ใช่แล้ว... มีฝูงกวางอยู่บนเกาะกลางทะเล ว่ากันว่าประมาณช่วงพ.ศ. 2512 มีการเปิดรีสอร์ทยุคบุกเบิกของทะเลตราดบนเกาะนี้และมีการนำกวางเข้ามา 2-3 คู่ ต่อมากวางได้ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติจนเต็มทั่วเกาะอย่างในปัจจุบัน นอกจากกวางแล้วก็มีน้องกุ๊กไก่เป็นพลเมืองบนเกาะนี้เหมือนกัน ความพิเศษอย่างที่ 2 ก็คือเกาะแห่งนี้เป็นพื้นที่แบนราบเท่ากันทั้งหมดและมีแหล่งน้ำจืดอยู่กลางเกาะ แปลกดีเนอะ ไม่มีเนิน ไม่มีภูเขาเลย เมื่อมีภาพกวางวิ่งกันเป็นฝูงๆตามธรรมชาติแล้ว ที่นี่ก็มีสภาพเป็นดังทุ่งสวันน่าแต่เรียงรายไปด้วยต้นมะพร้าวที่สวยมีเอกลักษณ์มาก โดยเฉพาะช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เราจะได้เห็นเงา silhouette ของทิวมะพร้าวตัดกับแบ็คกราวน์สีทองเหลือบม่วงอมชมพูของท้องฟ้า มันเป็นภาพที่เรายังคิดถึงจนวันนี้ น้องมะขาม หมาเจ้าบ้านที่คอยวิ่งนำรถที่พาเราสำรวจเกาะกระดาด วันรุ่งขึ้นบนเกาะหมาก พามา #hop กินอาหารเช้ากันซักหน่อยดีกว่า... ร้านนี้ชื่อร้าน Wild Heart เป็นร้านของชายหนุ่มที่เบื่อชีวิตในกรุงเทพฯ จึงตัดสินใจย้ายมาเปิดร้านน่ารักๆอยู่บนเกาะ แต่งร้านดูสบายๆ เข้ากับบรรยากาศเกาะ ไข่กระทะและเบอร์เกอร์ก็มีนะ ทั้งหมดทั้งมวลเกาะหมากทำให้เราประทับใจมากจริงๆ ในความอ้อยอิ่งของวิถีชีวิตคนที่นี่ เราสามารถสัมผัสได้ถึงจังหวะชีวิตที่ผ่อนคลายและพอเพียง เราไม่อาจรู้ได้ว่าจริงๆแล้วคนที่นี่รู้สึกเหมือนกับเราไหม แต่ในฐานะคนเมืองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลภาวะจากทุกทิศทาง การได้ใช้เวลาที่นี่ เป็นเหมือนกับการได้ล้างถ้วยชามที่เลอะเป็นคราบให้สะอาดใสอีกครั้ง บางทีการได้หยุดวุ่นบ้างก็เป็นรางวัลที่มีค่ากว่าสิ่งหรูหราใดๆ ขอขอบคุณ Aesop Thailand อีกครั้งสำหรับสกินแคร์ดีๆแบบนี้ ช่วยให้วันพักผ่อนของเราสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นเลย แล้วไป #Hop กันใหม่ครับ ... FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #AesopSkincare #AesopThailand #KohMak #LetsHoparoundThailand #LetsHoparound #เที่ยวไทย #เที่ยวเกาะหมา #ไทยเที่ยวไทย #เที่ยวไทยเท่ #เที่ยวเกาะ #เกาะสวย #เกาะหมาก #ตราด #รีวิวเกาะหมา #เที่ยวทะเล #เอสอป #สกินแคร์ #เที่ยวตราด #LetshoparoundTrat #วิธีไปเกาะหมาก
- Floragatan 13 ฐานทัพแห่งพลังสร้างสรรค์ใหม่ของ Acne Studios
Floragatan 13 ฐานทัพแห่งพลังสร้างสรรค์ใหม่ของ Acne Studios (แอคเน่สตูดิโอ) เสื้อผ้าอาร์ทๆสีสดใส กางเกงยีนส์ทรงเก๋ ถุงสีชมพูพาสเทล และน้องสี่เหลี่ยมหน้านิ่งที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความฮิปขั้นสุดในหมู่ชาวครีเอทีฟนั้น ล้วนต้องมีสถานที่บ่มเพาะให้เกิดขึ้น ก่อนช่วงโควิดแพร่ระบาดเมื่อปลายปีที่แล้ว Acne Studios ได้ฤกษ์ย้ายฐานทัพเข้าไปในบ้านหลังใหม่บนถนน Floragatan กรุง Stockholm วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไป #hop ดูพลังสร้างสรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในโปรเจ็คท์ Floragatan 13 สำนักงานใหญ่หลังใหม่ของพวกเขา พร้อมกับเล่าเรื่องราวและเกร็ดข้อมูลที่โคตรน่าสนใจของสตูดิโอสิวเขรอะแห่งนี้ให้ฟังกัน จากแบรนด์ที่เริ่มต้นมาจากการเป็นเอเจนซี่โฆษณาและดีไซน์ จู่ๆก็หันทำกางเกงยีนส์พรีเมี่ยมทรงสวย 100 ตัวออกมาแจกเหล่าบรรดา creative ในกรุงสต็อคโฮม แล้วหลังจากนั้นไม่นาน Acne Studios ก็กลายมาเป็นแบรนด์แฟชั่น cult ท่ีมีสาวกอยู่ทั่วโลก (เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน) การที่แบรนด์เลือกเปิดตัวด้วยไอเท่มคลาสสิคอย่างเดนิม โดยเจาะเข้าไปในกลุ่มนักสร้างสรรค์ชั้นนำของเมือง เพื่อปูทางเข้าสู่ตลาดพรีเมี่ยมเดนิมที่ ณ เวลานั้นถือเป็นเขตแดนที่ยังไม่ค่อยมีแบรนด์ไหนเข้ามาสำรวจและยึดครอง ถือเป็นก้าวแรกที่กล้าหาญและชาญฉลาด และทุกวันนี้ Acne Studios ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดพรีเมี่ยมเดนิมไปเรียบร้อยแล้ว ACNE นั้นย่อมาจาก “Ambition to Create Novel Expression” ดูเหมือนว่าตั้งแต่แรกเริ่ม เรื่องราวของ Acne Studios นั้นเต็มไปด้วยความขบถที่ฉีกวิถีเดิมๆของวงการแฟชั่นครั้งแล้วครั้งเล่า จนฝังเข้าไปเป็น DNA ของแบรนด์ สมกับที่คำว่า ACNE นั้นย่อมาจาก “Ambition to Create Novel Expression” ซึ่งแปลว่า ความทะเยอทะยานที่จะสรรค์สร้างการแสดงออกใหม่ๆไม่ซ้ำใคร ว่ากันว่าช่วงแรกๆนั้นแบรนด์ก็ต้องผจญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของการเลือกชื่อ (คนปกติที่ไหนจะเลือกชื่อ “สตูติโอสิวเขรอะ” มาเป็นชื่อเสื้อผ้าไฮเอนด์) ซ้ำยังเลือกใช้สีชมพูที่ก่อนหน้านี้คนมักจะมองว่าเป็นสีน่าเกลียดและดูไม่แพงในวงการแฟชั่น ไปจนถึงการเลือกทำเลที่มักจะหลบมุมหรือไม่ก็ซ่อนอยู่ในซอยย่อยๆที่แยกออกจากถนนหลักอีกที แต่ที่แน่ๆก็คืองานดีไซน์หน้าร้านทุกสาขาของ Acne นั้นสวยเฉียบและมีคาแร็คเตอร์ดึงดูดสายตา ยากที่จะมองผ่านไปเฉยๆโดยไม่หันมามอง และเวลาก็ได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าความซื่อสัตย์ต่อตัวตนของแบรนด์นั้นทำให้ Acne Studios ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในใจกลุ่มแฟนๆทั่วทุกมุมโลกอย่างเหนียวแน่น วันนี้ Acne กลายเป็นจุดกลมกล่อมของคำว่า แฟชั่น ศิลปะ และคัลเจอร์แห่งการแสดงออกของตัวตนที่สรรค์สร้างและแตกต่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยแบรนด์จะทำได้สำเร็จ แม้แต่สีชมพู Acne ที่เคยเป็นที่รังเกียจก็กลายเป็น signature ของแบรนด์ที่ลูกค้าต้องการ และภูมิใจเมื่อได้ถือถุงสีชมพูเดินอวดผู้คนเล่นขณะช็อปปิ้ง นอกจากสีชมพูที่เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของสตูดิโอสิวเขรอะแล้ว รูปใบหน้า straight face สี่เหลี่ยม ก็เป็นอีกไอค่อนสำคัญของ Acne Studios ความเป็นมาของน้องหน้านิ่งนี้เรียบง่ายกว่าที่คิด อยากรู้แล้วใช่ม้าาา อ่ะ! เล่าเลยละกัน ในคอลเล็กชั่น FW2017 ทางแบรนด์ได้ทำแคมเปญเกี่ยว modern family ขึ้นมา Jonny Johansson ผู้ก่อตั้งและ Creative Director ของแบรนด์จึงได้นึกถึงภาพคนสวีดิชทั่วๆไปที่มักจะทำหน้าเฉยๆกลางๆ ไม่ได้ยิ้มแป้นแร้นและไม่ได้โศกเศร้าตรอมใจ หรือในภาษาสวีดิชเรียกว่า “Lagom” ซึ่งแปลว่าไม่มากไปและไม่น้อยไป กำลังดี เขาจึงสเก็ตช์รูปง่ายๆออกมาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีจุด 2 จุดเป็นตาและเส้นตรงเป็นปาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือน้องหน้านิ่งได้กลายเป็นที่หลงไหลของสาวกแบรนด์ จนน้องถูกเชิญให้เข้ามาเป็นสมาชิกถาวรของครอบครัว Acne Studios และปรากฎตัวอยู่แทบจะทุกคอลเล็กชั่นหลังจากนั้นมา ยิ่งได้รู้จัก Acne ก็ยิ่งทำให้เราอยากรู้ว่าบรรยากาศเบื้องหลังการสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เหมือนใครของ Acne Studios นั้นจะเป็นยังไง อะไรเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ใน space ที่ทำงานนั้นคิดและทำอะไรที่ใหม่และเท่แหวกแนวชาวบ้านได้อยู่ตลอดเวลา แม้แบรนด์ในวันนี้จะมีอายุ 24 ปีแล้วก็ตาม เมื่อปลายปีที่แล้วในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2019 ก็ถึงเวลาที่โปรเจ็คต์ Floragatan 13 หรือ Head Quarter แห่งใหม่ในกรุงสต็อคโฮมของ Acne Studios ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และแน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวและแนวคิดใหม่ๆตามครรลองของ Acne Studios แบบไม่ต้องเดาเลย อาคาร 10 ชั้น ซึ่งแต่เดิมเป็นสถานทูตเก่าของประเทศเชคโกสโลวาเกียสไตล์ Brutalist ในยุค 70s ที่ตั้งอยู่บนถนน Floragatan แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยความลับของสงครามเย็น และความภาคภูมิใจในสถาปัตยกรรมโมเดิร์นนิสซึ่มแบบยุโรปตะวันออก ทำให้โดยพื้นฐานแล้ว ตึกหลังนี้มีคาแร็คเตอร์ต่างจากตึกส่วนใหญ่ในสต็อคโฮม (ช่างถูกจริตความคิดต่างของแบรนด์จริงๆ) ซ้ำยังมีการเลือกใช้วัสดุที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยจะย้ำเตือนทำให้ทีมสร้างสรรค์ของแบรนด์หมั่นสำรวจสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา เมื่อได้ตึกหลังนี้มาครอบครองแล้ว ทีมดีไซน์ของ Acne Studiosโดยการนำของ Jonny Johansson ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ร่วมกับทีมสถาปนิกจาก Johannes Norlander Arkitektur และศิลปินอีกหลายคน ก็ทำการเนรมิตพื้นที่ภายในให้พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์นั้นไหลล้นเอ่อออกมาตั้งแต่ชั้นบนสุดถึงล่างสุด โดยมีการแบ่งพื้นที่ให้กับงานดีไซน์และโปรดักชั่นถึง 4 ชั้นเต็มๆ Johansson เลือกชั้นที่ 6 เป็นห้องทำงานของตัวเอง (ชั้นนี้เคยถูกใช้เป็นที่พำนักส่วนตัวของท่านทูตสมัยก่อนด้วย) และห้องอาหารสุดชิคของทีมงานก็ถูกดัดแปลงมาจากห้องฉายหนังเก่าในชั้นใต้ดินของสถานทูตในวันวาน เราสะดุดตากับเก้าอี้หินที่ผุดขึ้นมาเซอร์ไพร้ซ์ในล็อบบี้มากๆ ในห้องสมุดเราก็แอบปลื้มโต๊ะเมทัลลิคฟรีฟอร์ม และถูกใจกับโต๊ะกลมน่ารักๆในห้อง Board Room เฟอร์นิเจอร์สุดอาร์ทและเครื่องตกแต่งที่สั่งทำพิเศษเหล่านี้เป็นผลงานของ Max Lamb ในแต่ละห้องยังมีงาน collage แนว abstract โดย Daniel Silver ที่ใช้ผ้าที่เหลืออยู่จาก collection เก่าๆมาร่วมด้วย และสเปซแห่งนี้คงจะดูไม่เจ๋งขนาดนี้ ถ้า Benoit Lalloz ไม่มาออกแบบและจัดแสงเท่ๆให้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทางทีมดีไซน์บอกว่าต้องการออกแบบบรรยากาศให้เหมือน Fashion School ในแบบ Acne Studios ที่เน้นส่งเสริมให้ผู้คนภายในอาคารมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และกระตุ้นให้กล้าทดลองและสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆออกมาอยู่เสมอ นี่แหละที่เป็นคำตอบว่าทำไมแบรนด์อายุกว่า 20 ปีที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1996 ยังดูสดใหม่และยังคงรักษาสถานะผู้แหวกขนบในวงการแฟชั่นได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ถ้ายังไม่เชื่อเรา ลองอ่านคำพูดจากปากของ Jonny Johansson ผู้ก่อตั้งแบรนด์และ Creative Director ของ Acne Studios เองเลยก็ได้ “Acne Studios is always evolving, and I want this space to evolve with us. We will continue to add details in the month and years ahead. I believe design is alive, whether it’s fashion or interiors.” เมื่อต้นปีนี้ Acne Studios ก็มีการปรับโลโก้ใหม่อีกครั้ง แม้ส่วนตัวเราจะแอบชอบอันเก่ามากกว่า แต่ความไม่หยุดนิ่งและความกล้าที่จะรื้อวิถีเก่าๆของวงการ รวมถึงวิถีเก่าๆของตัวแบรนด์เองเช่นกัน สิ่งนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้เราตกหลุมรัก Acne Studios ตั้งแต่แรก ในยุคแห่ง disruption และความแปรปรวนของโลกในทุกมิติขณะนี้ เราเองก็เฝ้าติดตามสตูดิโอสิวเขรอะแห่งนี้อยู่เสมอ จะ disrupt ตัวเองอย่างไรต่อไป และจะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆออกมาให้แฟนๆชื่นชมอีกบ้าง Top 10 สาขา Acne Studios ที่เราชอบที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก 1) สาขา Geary Street, San Francisco อเมริกา แต่เดิมเคยเป็นโรงน้ำแข็งมาก่อน และสีที่เลือกใช้ก็ได้รับแรงบันดาลใจมากจากสะพาน Golden Gate ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซานฟรานนั่นเอง!! Location: https://goo.gl/maps/RFuissFqFY7QyiVA6 2) สาขา Piazza del Carmine, Milan อิตาลี Location: https://goo.gl/maps/1RnrqoTKLGsD1SB47 3) สาขา Shibuya project store, Tokyo ญี่ปุ่น สาขาที่สองในโตเกียวโดยสาขานี้เปิดตัวด้วยแบรนด์ Blå Konst denim ซึ่งเป็นแบรนด์ยีนส์โดยเฉพาะของ Acne Studios Location: https://goo.gl/maps/46kiepXi9xS7rNvt7 4) สาขา Taikoo Li, Chengdu จีน 5) สาขา Pilestræde, Copenhagen เดนมาร์ก เป็นสาขาที่สองของโลกของ Acne Studios Location: https://goo.gl/maps/rtExfQvk8e2Duzc66 6) สาขา Horatio Street, New York อเมริกา Location: https://goo.gl/maps/tYxgwjmoFb8NRpmd8 7) สาขา Rue Froissart, Paris ฝรั่งเศส Location: https://goo.gl/maps/oRBpnNCX4Z49HL2GA 8) สาขา Cheongdam, Seoul เกาหลีใต้ Location: https://goo.gl/maps/1KrSseZtsYL4XyE97 9) สาขา Øvre Slottsgate, Oslo นอร์เวย์ Location: https://goo.gl/maps/9Pe8Fn8z5NFtD5SY6 10) สาขา West Hollywood, Los Angeles อเมริกา Location: https://goo.gl/maps/2FWwS1hE6L6LE3bz6 cr. acnestudios.com . FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound Website:www.hoparound.co . #LetsHoparound #AcneStudios #InspiringStuff #ArtandDesign #ประวัติแบรนด์Acne #ความเป็นมาของAcneStudios
- TOKYO: MIDTOWN ใจกลางโตเกียว
เมืองเล็กในเมืองใหญ่ เมืองใหม่ในเมืองเก่า . โปรเจ็คพัฒนาเมืองที่ชื่อว่า Tokyo Midtown นั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 2000 เรียกได้ว่าเริ่มมาพร้อมๆกันกับสหัสวรรษใหม่เลยทีเดียว บนที่ดินผืนใหญ่ขนาด 10 Hectares (ประมาณ 60 ไร่) ที่ยังเหลืออยู่กลางอภิมหานครโตเกียวโจทย์ของโครงการ Tokyo Midtown คือการสร้างพื้นที่แห่งสุนทรียภาพของชีวิตคนเมืองยุคใหม่ เป็นเหมือนของขวัญให้กับชาวญี่ปุ่น และชาวโลกผู้มาเยือน ซึ่งกว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นก็ต้องอาศัยการประสานกำลังความสามารถจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเลยทีเดียว เมืองเล็กกลางเมืองใหญ่แห่งนี้ ประกอบไปด้วยอาคารที่ทันสมัยขนาดใหญ่ 6 หลัง ภายในมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม สำนักงาน รวมไปถึงมิวเซี่ยม ซึ่งต่างก็ถูกโอบอุ้มไปด้วยพื้นที่สีเขียวที่หลอมหลวมทั้งธรรมชาติและศิลปะเข้าด้วยกัน 21_21 Design Sight หนึ่งในพื้นที่สีเขียวอันงดงามของโครงการ ก็คือสวน Midtown Garden และที่นี่เองก็เป็นที่ตั้งของ “21_21 Design Sight” มิวเซี่ยมโมเดิร์นที่เราจะพาคุณ #hop ไปชมกัน อาคารที่เรียบเท่แห่งนี้ออกแบบโดย Tadao Ando สถาปนิคอัจริยะชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก (ถ้าจะพูดถึง Tadao Ando จริงๆคงต้องแยกไปอีกโพสต์นึงเลย เพราะเฮียแกไม่ธรรมดาจริงๆ) Location: https://goo.gl/maps/BbXVYnvmQ4qv9kxW8 Pizza Slice & Soda Fountain เดินออกมาฝั่งตรงข้าม เราก็ไปแวะทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน Pizza Slice & Soda Fountain Location: https://goo.gl/maps/Et9RSY4AQoS861rC8 Bluebottle Coffee ก่อนจะตบท้ายด้วยกาแฟร้านดังจาก San Francisco ที่ Blue Bottle Coffee สาขา Roppongi Hill (อยู่ตรงข้ามกันกับ Tokyo Midtown นี่เอง) Location: https://goo.gl/maps/5esriShDyMcKfR5c8 Paul Smith Roppongi Location: https://goo.gl/maps/yBPJj6NgiK2GY7aB6 Mercedes me Tokyo / DOWNSTAIRS COFFEE|六本木 Location: https://goo.gl/maps/fFf8i4WXzshUjgVEA Facebook: @hoparound.co Instagram: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co #Tokyo #LetsHoparoundTokyo #Letshoparound #เที่ยวโตเกียว #คาเฟ่ในโตเกียว #คาเฟ่ #โตเกียวมิดทาวน์ #โตเกียว #ไปไหนดีในโตเกียว #มิวเซียมในโตเกียว #แกลเลอรี่ในโตเกียว
- "The Modern Uniform" by Thom Browne
แถบแดง ขาว น้ำเงินบนเสื้อเชิ้ตสีขาวราคาหลักหมื่นที่เคยฮิตในหมู่คนมีเงินในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นแค่เพียงการแสดงความสามารถแบบผิวๆของดีไซเนอร์ชาวอเมริกันสุดครีเอทีฟคนนี้ วันนี้เราจะพาทุกคน #hop ไปรู้จักเขาในมุมที่ลึกขึ้น ณ ตึก 10 Corso Como สาขากรุงโซล เกาหลีใต้ เชิญส่องและเสพแรงบันดาลใจในงาน exhibition “Thom Browne: The Modern Uniform” by Thom Browne ที่เพิ่งจบลงไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมากันได้เลย งานนี้เป็นเหมือนกันการจำลองโลกแห่งดีไซน์ของ Thom Browne โดยนำผลงานของเขามาจัดแสดงในห้อง 3 ห้องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานอินทีเรียร์ช่วงปี 1950s ว่ากันว่าเป็นแนวมีอิทธิพลกับงานของเขามากจนกลายเป็นสไตล์ซิกเนเจอร์ของเขาเลยทีเดียว ห้องแรกคือห้องกระจกพิศวงซึ่งเต็มไปด้วยรองเท้าหนังสีเงินเงาวับ พร้อมกับสิ่งของต่างๆในยุค 1950s ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ดีด โคมไฟ และอื่นๆที่นำมาย้อมเป็นสีเงินเงาวับเช่นเดียวกัน ทำให้ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยเงาสะท้อนไม่รู้จบของวัตถุสีเงินที่นำมาจัดวางด้วยระยะห่างเท่าๆกันให้เกิดความเป็น Uniform ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ห้องนี้แต่เดิมนั้น Browne ออกแบบให้เป็นงาน installation ให้กับ Le Bon Marche Rive Gauche ที่กรุงปารีสในปี 2015 และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่นำมาจัดแสดงในเอเชียโดยนำมาตีความใหม่อีกครั้ง ห้องที่ 2 เป็นการเลือกเอาผลงานการออกแบบของ Browne ชิ้นที่โดดเด่นในโลกแฟชั่นทั้งของผู้ชายและผู้หญิงมารวมกันไว้ในตู้กระจกทรงยาวเท่ๆ โดยมีหุ่นมาตั้งราวกับมีนายแบบ นางแบบมายืนนิ่งๆโพสให้ดูบนรันเวย์ และแน่นอนการจัดวางก็เน้นให้มีระยะห่างเท่าๆกันเพื่อแสดงออกซึ่งคอนเส็ปต์ “Modern Uniform” ของงานนี้ แอบกระซิบนิดนึงว่า มู่ลี่สีขาวตรงด้านหน้าก็เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจที่ Browne ชอบหยิบมาใช้จนกลายเป็นซิกเนเจอร์อีกอันของตัวเอง ส่วนห้องที่ 3 นั้น เป็นห้องที่รวบรวมวิดิโอฟุตเทจ Runway Shows ต่างๆที่สร้างชื่อให้กับเขาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน มาจัดแสดงให้เราได้เห็นภาพรวมของแนวคิดเบื้องหลังการถ่ายทอดผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ และมี “ความทอมบราวน์”มากๆ สิ่งที่เราปลื้มอีกอย่างหนึ่งก็คือของที่ระลึกแจกฟรีของงาน ซึ่งเป็นโปสต์การ์ด 5 แบบที่เขาดีไซน์ขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยใช้แรงบันดาลใจจากภาพสเก็ตช์ต่างๆของผลงานของเขา ขอบคุณ 10 Corso Como และ Thom Browne ที่จัดงานพิเศษนี้ขึ้นมา ดีและฟรีอย่างนี้แหละที่เราโปรดปราน เรารู้ว่าคุณก็เหมือนกัน (ใช่มั้ยล่าาาา :-)) #LetsHOParoundSeoul #exhibition #ThomBrowne #TheModernUniform #LetsHOParoundSeoul