top of page
black-01.png

Search Results

126 results found with an empty search

  • AMANDAYAN ขุมทรัพย์แห่งยูนนาน อลังการเขาหิมะมังกรหยก มรดกโลกลี่เจียง อมันดายัน

    Amandayan ขุมทรัพย์แห่งยูนนาน อลังการเขาหิมะมังกรหยก มรดกโลกลี่เจียง อมันดายัน ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าเมืองโบราณลี่เจียงและวิวภูเขาหิมะที่ตระการตาเบอร์นี้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพฯเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เรารู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆทันทีที่ได้รับคำเชิญจากรีสอร์ทที่ Exclusive ที่สุดในลี่เจียงอย่าง Amandayan ให้ไปสัมผัสกับความงดงามของทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรมชาวเขาเผ่านาชี (Naxi บางทีก็สะกด Nakhi) และเมืองโบราณ “ดายัน” ที่มีอายุกว่า 800 ปีแถมสวยเว่อร์วังอย่างกับฉากในภาพยนตร์ และสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกหลายขั้นก็คือการดูแลอย่างดีเยี่ยมโดยทีมของ Aman ซึ่งไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักครั้ง ถ้าเพื่อนๆอ่านโพสต์นี้แล้ว อยากจะตามรอย เรามีโปรดีๆมาบอกกันเอาไว้ก่อนด้วยนะครับราคาพิเศษสำหรับแฟนๆ ชาว Hoparound.co กับราคาเริ่มต้นดังนี้ Courtyard Suite เริ่มต้น CNY 4,876++, Deluxe Suite เริ่มต้น CNY 5,336++, Amandayan Villa เริ่มต้น CNY 16,560++ ต่อคืนพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย Overview เพื่อนๆชาว #hopsters คงรู้ดีกันอยู่แล้วถึงความ Exclusive และเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Aman ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของวงการรีสอร์ทและโรงแรมหรูทั่วโลก สำหรับที่ Amandayan นี้ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่บนยอดเนินเขาสิงโต (Lion Hill) ที่คั่นระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ ทำให้จากรีสอร์ทเราก็สามารถมองเห็นวิวเมืองเก่าได้แบบพาโนราม่าเลย และหากจะลงมาเดินเล่นไม่ว่าจะในเขตเมืองเก่าหรือเมืองใหม่ก็ใช้เวลาเดินลงมาไม่ถึง 10 นาที จึงสะดวกมากๆและในขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายในรีสอร์ทก็มีความเป็นส่วนตัวขั้นสุดสมกับความหมายของ “Aman” ที่แปลว่าความสงบ ส่วนคำว่า “Dayan” นั้นเป็นชื่อของเมืองเก่าที่อยู่เบื้องล่างรีสอร์ทนั่นเอง ที่จริงลี่เจียงมีเมืองโบราณอยู่ถึง 3 เมืองซึ่งเกิดจากการค่อยๆย้ายถิ่นฐานเพื่อหาแหล่งเพราะปลูกลงมาทางใต้ของชาว Naxi ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในแถบนี้มาแต่โบราณ จากเมือง Baisha (ไป๋ชา) ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดถึง 1,200 ปีทางตอนเหนือ และยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ลงใต้มาสู่เมือง Shuhe (ชู่เหอ) อายุ 1,000 ปี ก่อนจะลงใต้มาอีกสู่แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดจนก่อตั้งเป็นเมือง Dayan (ดายัน) เมื่อ 800 ปีก่อน เมืองเก่าดายันจึงเป็นกลายเป็นเมืองเก่าขนาดใหญ่ (3.8 ตารางกิโลเมตร) และยังมีสภาพดีที่สุด และก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในเมืองลี่เจียงด้วยเช่นกัน เมืองลี่เจียงตั้งอยู่บนความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,400 เมตร (ใกล้เคียงกับยอดดอยอินทนนท์) และล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูงเสียดฟ้าอีกมากมาย แต่ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของลี่เจียงก็คือเขาหิมะมังกรหยก ซึ่งสูงถึง 5,596 เมตรจากระดับน้ำทะเล (สูงกว่า Mont Blanc ในยุโรปซะอีก) นอกจากนี้ลี่เจียงเป็นเมืองปลอดอุตสาหกรรมหนัก จึงไร้มลพิษในอากาศและมีความเย็นตลอดทั้งปี แม้ในหน้าร้อนที่สุดในเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิก็ยังอยู่ที่ประมาณ 25-28 องศาเท่านั้น และด้วยเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง แถมไม่ต้องทำวีซ่าให้ยุ่งยาก จึงทำให้เราสามารถหลบร้อนมาที่ลี่เจียงได้อย่างสะดวกสบาย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมณฑลยูนนานก็คือประชากรส่วนใหญ่ยังคงเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอยู่รวมกันมากถึง 25 ชนเผ่า ซึ่งต่างจากมณฑลอื่นๆของจีนที่ประชากรส่วนใหญ่มักเป็นชาวฮั่น และสำหรับลี่เจียงนั้นก็เป็นดินแดนของชนเผ่า Naxi เป็นหลัก จะมีชนเผ่าอื่นๆแซมบ้างก็เพียงเล็กน้อย ชาว Naxi ถือเป็นชนเผ่าที่มีหัวก้าวหน้า เฉลียวฉลาดรู้จักวางแผน และมีค่านิยมส่งเสริมเรื่องการศึกษามาแต่โบราณ เคยรุ่งเรืองถึงขนาดก่อตั้งเป็นราชวงศ์มู่ (Mu) ขึ้นมาปกครอง มีทั้งภาษาพูดและเขียนเป็นของตัวเอง ทำให้ลี่เจียงเป็นหนึ่งในเมืองการค้าที่สำคัญบนเส้นทาง Tea Horse Road ที่ก่อตั้งขึ้นกว่า 1,000 ปีก่อน เพื่อนำใบชาจากผู่เอ๋อร์แบกขึ้นหลังม้าไปกระจายสู่ภูมิภาคอื่นๆของจีน ทิเบต และบางส่วนของอินเดีย วัฒนธรรมของลี่เจียงจึงมีความรุ่มรวยไม่เหมือนใคร ในปัจจุบันว่ากันว่า 80% ของจำนวนประชากรกว่า 1.25 ล้านคนของลี่เจียงนั้นยังคงกระจายอาศัยกันอยู่บนภูเขามากกว่าอยู่ในเมือง วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านจึงยังคงดำเนินไปอย่างไม่ถูกรบกวนจากเทคโนโลยีภายนอกมากนัก ลี่เจียงแห่งแคว้นยูนนานเป็นเมืองจีนโบราณอายุนับพันปีที่งดงามเปี่ยมเสน่ห์พร้อมสะกดทุกผู้มาเยือน ยิ่งได้ฉากหลังเป็นเขามังกรหยกสูงเสียดฟ้ากว่า 5,500 เมตร มีหิมะปกคลุมยอดตลอดทั้งปี ก็ยิ่งทำให้ทั้งเมืองดูขลังและอลังการสมกับที่ UNESCO รับรองให้เป็นมรดกโลกเลยล่ะครับ สำหรับการเดินทางก็สะดวกเพราะไม่ต้องขอวีซ่า และบินตรงเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นการหลบร้อนไปพึ่งเย็นที่ทั้งง่ายและชวนหลงไหลจนไม่น่าเชื่อว่าลี่เจียงจะอยู่ใกล้บ้านเรามากขนาดนี้ และคงไม่น่าแปลกใจเลยหากที่นี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายยอดฮิตสำหรับคนไทยในอนาคตอันใกล้นี้ครับ The Arrival  Ruili Airlines เป็นสายการบินเดียวที่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯไปลี่เจียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพียง 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงลี่เจียงเลย อีกทางเลือกหนึ่งก็คือเดินทางด้วยสายการบินหลักอื่นๆไปลงที่คุนหมิง แล้วนั่งรถไฟต่อมาที่ลี่เจียงก็ได้เช่นกัน หากเพื่อนๆเลือกจองที่ Amandayan ด้วยโค้ด “Hop Around” ก็สามารถเลือกให้ทางรีสอร์ทมารับที่สนามบินได้เลยก็จะสะดวกมากๆ ในแพ็คเก็จแขกสามารถเลือกรับบริการจาก Amandayan ระหว่างให้มารับหรือมาส่งที่สนามบินได้ขาใดขาหนึ่ง แต่เราแนะนำให้เลือกให้มารับมากกว่าเพราะการเรียกรถแท็กซี่จาก International Terminal ที่ลี่เจียงอาจจะไม่ค่อยสะดวกมากนัก (ถ้าเดินไปที่ Domestic Terminal จะมีแท็กซี่มากกว่า) และแนะนำดาวน์โหลดแอ๊ป WeChat และ AliPay พร้อมผูกบัตรเครดิตเอาไว้ให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ไทย จะได้พร้อมใช้งานเลย ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องอินเตอร์เน็ตเมื่อไปถึง จากสนามบินเราใช้เวลาบนรถ Mercedez-Benz ที่ทาง Amandayan ส่งมารับประมาณ 45 นาทีก็มาถึงรีสอร์ทบนเนินเขา Lion Hill กลางเมืองลี่เจียง เมื่อถึงจุด Drop Off พนักงานของ Amandayan ก็มายืนรอต้อนรับกันพร้อมหน้า นับเป็นความประทับใจแรกตามตำรับ Aman ที่เราคุ้นเคย หลังจากรับผ้าเย็นแล้ว เราก็ถูกเชิญให้ไปนั่งพักจิบ Welcome Drink (ชาเขียวยูนนานผสมน้ำผลไม้) เพื่อรอเช็คอินที่ Lobby  Amandayan เปิดตัวในปี 2015 และออกแบบโดยสถาปนิกระดับตำนานอย่าง Ed Tuttle โดยได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะของชาว Naxi อาคารทั้งหมดนั้นสร้างขึ้นมาใหม่ให้มีกลิ่นอายโบราณเป็นหนึ่งเดียวกับเมืองเก่า มีเพียงอาคารเดียวในเขตรีสอร์ทเท่านั้นที่เป็นศาลเจ้าโบราณสถานอายุกว่า 300 ปีซึ่งเปิดให้คนนอกสามารถเข้าชมได้ และเราจะพาเพื่อนๆไปชมกันหลังจากเช็คอินแล้วนะครับ  เราสัมผัสได้ถึงความนิ่งสงบตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้ามาสู่ Lobby วัสดุในการตกแต่งภายในส่วนใหญ่ทำมาจากไม้ ซึ่งให้ความรู้สึกที่หรูหราและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นโคมไฟทรงกระบอกยาว 9 โคมที่แขวนสูงทะลุขึ้นไปถึงโถงชั้น 2 ของอาคาร รสนิยมอันละเมียดละไมของคุณ Ed Tuttle ที่ทำให้สเปซมีความโดดเด่นอย่างกลมกล่อมนั้นฝังตัวอยู่ในทุกอณูของ Lobby ที่นี่เลยครับ Our Room: Courtyard Suite เช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราพาไปชมห้องพักของเรากันดีกว่าครับ ก่อนอื่นต้องขอเล่าให้เห็นภาพใหญ่กันก่อนว่าบนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ของ Amandayan นี้ มีห้องพักเพียงแค่ 34 ห้อง บวกกับอีก 1 วิลล่าที่เปิดให้จองได้ ดังนั้นเรื่องความเป็นส่วนตัวจึงไม่ต้องห่วงเลย ส่วนของห้องพักก็แบ่งเป็น 2 แบบเท่านั้น คือ Courtyard Suite ที่อยู่ชั้นล่างและ Deluxe Suite ที่อยู่ชั้นสอง ห้องชั้นล่างนั้นได้เปรียบเรื่องความสะดวกเวลาจะเข้าออกห้องพัก ส่วนชั้นสองจะได้เปรียบเรื่องระเบียงที่สามารถเห็นวิวจากมุมที่สูงกว่า แต่หากคืนใดมีงานเลี้ยงเสียงดังในเขตเมืองเก่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป ห้องชั้นบนก็อาจจะมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาง่ายกว่าชั้นล่างเช่นกัน การตกแต่งภายในห้องพักทั้ง 2 ประเภทนี้มีรูปแบบและหน้าตาห้องเหมือนกันหมดทุกประการ อาจจะมี Layout ที่สลับฝั่งซ้าย-ขวากันบ้างในบางห้อง แต่ในภาพรวมแล้วการพาไปดูห้องของเราซึ่งเป็นแบบ Courtyard Suite เพียงห้องเดียวก็เท่ากับว่าเพื่อนๆจะได้เห็นหน้าตาห้องของทั้งรีสอร์ทเลยครับ ห้องของเราหมายเลข 121 มีขนาด 72 ตารางเมตร กว้างขวางสะดวกสบายมาก การจัดแบ่งพื้นใช้สอยก็ทำได้ดีเลิศเลยครับ เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา เราก็จะเจอกับพื้นที่นั่งเล่นที่มีโซฟาขนาดใหญ่สำหรับเอกเขนกก่อนเลย ด้านหลังโซฟาเป็นผนังบุผ้าทอลวดลายศิลปะท้องถิ่นที่นอกจากจะประดับไว้เพื่อความงามแล้ว ยังเป็นบานเลื่อนในตัวที่เอาไว้เปิด-ปิดซ่อนทีวีที่อยู่เบื้องหลังได้ด้วย บนโต๊ะกลางก็มีผลไม้ ของว่าง และข้อมูลต่างๆของรีสอร์ทที่ทางแม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้เรา เมื่อหันไปทางซ้ายก็จะเจอกับเตียง King Size ที่ดูโอ่อ่านุ่มสบาย แต่สิ่งที่ทำให้ห้องดูสวยงามและโดดเด่นอย่างมากก็คือฉากไม้ที่เจาะฉลุลวดลายดอกไม้แบบจีน ช่างไม้ฝีมือเนี้ยบมากครับ ยิ่งเมื่อแสงแดดส่องทะลุเข้ามา แสงเงาที่เกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้ห้องดูงดงามราวกับมีเวทมนตร์เลยทีเดียว ด้านหลังฉากไม้ฉลุนี้เป็นโซนของโต๊ะทำงาน และมินิบาร์ซึ่งเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล เราสามารถรับประทานได้ทั้งหมดเพราะรวมอยู่ในค่าห้องเรียบร้อยแล้ว ตรงจุดนี้นอกจากอุปกรณ์ชง Cocktail ที่เราจะเจอได้ตามโรงแรมหรูทั่วไปแล้ว ที่นี่ยังจัดเตรียมเซ็ตชงชาเอาไว้ให้แขกเป็นพิเศษด้วย ซึ่งช่วยยกระดับบรรยากาศของห้องพักให้มีความพิถีพิถันแบบจีนมากขึ้นไปอีก ถัดจาก Minibar เข้าไปหลังผนังโซนนั่งเล่น ก็จะเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet มีอ่างล้างหน้าแยก 2 เซ็ตสำหรับแขก 2 ท่าน ตรงกลางเป็นอ่างอาบน้ำ และมีห้อง Shower กับห้องส้วมแยกออกไปต่างหากอย่างเป็นสัดส่วนดีมากครับ  สิ่งหนึ่งที่เราขอให้ทางรีสอร์ทจัดหาให้เพิ่มเติมก็คือเครื่องทำความชื้นในอากาศครับ เพราะลี่เจียงอากาศค่อนข้างแห้งจึงทำให้รู้สึกแห้งในจมูกและคอเวลาตื่นนอน นี่แหละครับข้อดีของการมาพักที่ Aman เขาใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างจริงๆ Private Villa ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราพาเพื่อนๆไปดู Private Villa หนึ่งเดียวของ Amandayan ที่เปิดให้จองกันได้ต่อเลยดีกว่าครับ วิลล่าหมายเลข 888 นี้ (เลขมงคลสุดๆ) เป็นวิลล่า 2 ห้องนอนสำหรับแขกที่ต้องการอยู่เป็นกรุ๊ป 4-5 ท่านแบบเป็นส่วนตัว สำหรับกรุ๊ปที่ใหญ่กว่านี้สามารถปรึกษาทาง Reservation ได้นะครับ เพราะจริงๆแล้วทางรีสอร์ทก็สามารถเปิด Private Villa หลังอื่นเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษได้อีก ห้องพักแบบวิลล่านั้นจะมาพร้อมกับ Butler ส่วนตัวที่คอยให้บริการเราตลอด 24 ชม. มีการจัดสรรพื้นที่เป็นห้องนอนให้ Butler นอนพักภายในตัววิลล่าด้วยเลย ซึ่งทาง Aman แบ่งโซนตรงนี้ได้ดีมากครับ ยังคงความเป็นส่วนตัวของแขกอย่างเต็มที่ เนื่องจากถ้าไม่สังเกตเราก็แทบมองไม่เห็นห้องพักของ Butler เลย วิลล่า 888 มีการจัดวางอาคาร 2 ชั้นเป็นรูปตัว L บนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีพื้นที่ว่างเป็นลาน Courtyard ส่วนตัวที่เงียบสงบ เมื่อเปิดประตูเข้ามา ด้านขวามือภายในตัวอาคารก็จะเป็นห้องรับประทานอาหารกับโต๊ะกลมหมุนได้แบบจีน เดินลึกเข้าไปอีกนิดก็จะพบกับห้องครัวส่วนตัวที่มีอุปกรณ์พร้อมสรรพ  อีกฝั่งของอาคารตัว L ก็จะเป็นห้องนั่งเล่น ที่มาพร้อมกับโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเบ้อเริ่มตรงกลางห้อง พร้อมโซฟาที่นั่งได้รอบโต๊ะเลย ถัดออกไปติดผนังก็เป็นทีวี นอกจากนี้ก็ยังมีโต๊ะทำงานเซ็ตใหญ่อีก 2 เซ็ตตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ที่ชั้นล่างนี้จะมีห้องน้ำอยู่ตรงจุดก่อนถึงบันไดขึ้นชั้น 2 และทางเข้าห้องพักของ Butler ก็อยู่ใต้บันไดนี่เอง  ชั้น 2 ของวิลล่าก็จะเป็นห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว ซึ่ง Layout ทุกอย่างก็เหมือนกับห้องพักของเราเลยครับ เพียงแต่ห้องนอนของวิลล่าที่อยู่คนละปีกก็จะมีการสลับฝั่งของการจัดสรรพื้นที่ให้อยู่ทิศตรงข้ามกัน Man Yi Xuan - The Main Chinese Restaurant สำหรับเรื่องอาหารที่ Amandayan จะมีทั้งสิ้น 3 Outlets แต่ห้องอาหารหลักนั้นมีชื่อว่า Man Yi Xuan ซึ่งเสิร์ฟอาหารจีนในมื้อกลางวันและเย็นโดยมีทั้งเมนูจีนทั่วไป และอาหารยูนนานท้องถิ่นที่ทั้งอร่อยและหาทานได้ยากครับ ในวันที่ฟ้าใสเพื่อนๆก็จะสามารถมองเห็นวิวภูเขาหิมะมังกรหยกแบบเต็มตาได้จากห้องอาหาร Man Yi Xuan นี้ได้เลย เรียกได้ว่าอร่อยลิ้นและอิ่มเอมสายตาไปพร้อมๆกัน วิวตรงนี้คือ Iconic View พันล้านที่เป็นจุดขายในภาพโฆษณาของ Amandayan เลยก็ว่าได้ครับ เมนูที่เราอยากจะแนะนำหากเพื่อนๆได้มารับประทานอาหารที่นี่ก็คือ Hot Pot แต่ต้องสั่งจองกันล่วงหน้านิดนึงนะครับ เนื่องจากทางห้องอาหารต้องเตรียมการอย่างน้อย 4 ชั่วโมงเลย Hot Pot ของที่นี่เสิร์ฟในหม้อดินดำที่นำเข้ามาจาก Shangri-la ดูสวยขลังมากครับ ตัวน้ำซุปนั้นกลมกล่อม ส่วนเนื้อสัตว์ก็มีให้เลือกทั้งเนื้อไก่ฟาร์ม ซี่โครงหมูบ่ม 6 เดือน และเนื้อจามรี มื้อนี้เราเลือกลองซี่โครงหมูและเนื้อจามรีจานเล็กๆมาลองครับ เชฟจะนำเนื้อซี่โครงหมูดิบๆมานวดคลึงเคล้าด้วยเครื่องปรุงและเครื่องเทศท้องถิ่น ก่อนจะบ่มเก็บเอาไว้นานถึง 6 เดือนจนเข้าเนื้อ ตอนแรกเราคาดหวังว่าเนื้อหมูคงจะนุ่มเปื่อยแบบละลายไปเลย แต่จริงๆแล้วเท็กซ์เจอร์นั้นนุ่มกำลังดียังมีความสู้ฟันพอให้เราได้เคี้ยวอยู่ครับ แต่มีรสชาติเข้มข้นแทรกซึมอยู่ในเนื้อหมูเลย ส่วนเนื้อจามรีนั้นรสชาติเหมือนเนื้อวัวชั้นดีเลยครับ ไม่เหนียวหรือมีกลิ่นสาบอย่างที่คิด อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของ Hot Pot ก็คือเห็ดและผักซึ่งสดอร่อยมาก โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่เป็นฤดูเก็บเห็ด เพื่อนๆก็จะได้ลิ้มลองเห็ดหลายชนิดเลยครับ ที่มีชื่อที่สุดน่าจะเป็นเห็ดสน หรือ Matsutake ที่ปกติราคาค่อนข้างสูง ถ้ามีโอกาสอย่าลืมสั่งมาลองดูกันนะครับ The Lounge มื้อเช้าของทุกวันนั้นรวมอยู่ในแพ็คเก็จข้อเสนอพิเศษเมื่อจองด้วยโค้ด Hop Around ด้วยนะครับ ซึ่งมื้อเช้าที่ Amandayan จะเสิร์ฟกันที่ The Lounge ซึ่งอยู่ในพื้นที่อีกฝั่งของ Lobby เมนูอาหารเช้าของที่นี่ก็จะมีทั้งแบบตะวันตก แบบจีนทั่วไป และแบบยูนนาน และมีเมนูทิเบตแซมๆมาด้วย เช่น ชาผสมเนยจามรี เพราะจริงๆแล้วถัดจากลี่เจียงไปนิดเดียวก็ทิเบตแล้ว ในแต่ละวันที่เข้าพักเราก็พยายามสั่งเมนูที่แตกต่างกันไปเพื่อให้เพื่อนๆได้เห็นหน้าตาอาหารเช้าหลากหลายแบบที่สุด ส่วนตัวแล้วเราถูกใจกับรสชาติที่เข้มข้นของเมนูเส้นเป็นพิเศษทั้งแบบแห้งและแบบน้ำ อยากให้เพื่อนๆได้ลองดูครับ  ส่วนอาหารเช้าแบบท้องถิ่นนั้นมีธัญพืชเป็นวัตถุดิบค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่วเลนทิล (อันนี้มีเอามาทำเป็นเจลลี่ด้วย แปลกดีครับ) รวมไปถึงมันสีต่างๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าดีต่อสุขภาพมากเลย อีกอันที่แปลกดีก็คือก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้กลีบกุหลาบ อ่อ! ลืมบอกไปว่าที่ลี่เจียงนี่เป็นดินแดนแห่งดอกไม้นานาพันธุ์เลยครับ ดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งสวยมากจริงๆ และคนก็นิยมนำดอกไม้หลายชนิดมาประกอบอาหารเช่นกัน อย่างของฝากชื่อดังที่มีขายทั่วเมืองเก่าก็คือขนมเปี๊ยะไส้กลีบกุหลาบนี่แหละครับ The Boutique ในบริเวณเดียวกันกับ The Lounge จะมีห้องเล็กๆที่หลบอยู่ใกล้โต๊ะรีเซ็พชั่น ซึ่งภายในจะเป็น Boutique ร้านขายของที่ระลึกทั้งที่ทาง Amandayan คัดสรรมาจากช่างฝีมือท้องถิ่น และสินค้าในแบรนด์ Aman เองซึ่งมีตั้งแต่เครื่องหอมไปจนถึงเสื้อผ้าเลยครับ เป็นมุมเล็กๆที่น่าสนใจยังไงก็ลองมาแวะชมกันนะครับ The Library and The Meeting Room พาขึ้นมาชมชั้นสองของอาคาร Lobby กันบ้างครับ ห้องสมุดของทุก Aman นั้นเป็นมุมที่เราชอบเป็นพิเศษ เป็นมุมเงียบๆที่ตกแต่งสวยอบอุ่น ให้อารมณ์บ้านผู้ดีเก่าที่มีความ Sophisticated แบบไม่ต้องพยายาม และที่ Amandayan ก็เช่นกันครับ ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ที่พิเศษกว่า Aman อื่นที่เราเคยไปก็คือที่นี่มีห้องประชุมขนาดค่อนข้างใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทุกอย่างเอาไว้ให้บริการด้วย จากสายตาคิดว่าสามารถรองรับคนได้ประมาณ 30 คนสบายๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไม Amandayan ถึงมีบริษัทเก๋ๆพาพนักงานมาพักแบบ Buy Out กันอยู่เรื่อยๆ  The Theatre อาคาร Lobby ยังมีชั้นใต้ดินให้เราลงไปสำรวจกันอีกนะครับ ข้างล่างนี้มีห้องที่พิเศษมากก็คือ Private Theatre หรือโรงหนังส่วนตัวที่เพื่อนๆสามารถชวนกันมาเลือกดูหนังได้อย่างจุใจ ห้องนี้จะเป็นที่นิยมมากในช่วงเทศกาลแข่งขันกีฬาต่างๆไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิค บอลโลก เทนนิสโอเพ่น ฯลฯ ในบางวันก็จะมีโปรแกรมหนังที่ทางทีม Amandayan เลือกเอามาฉายด้วย และห้องนี้ก็ไม่ได้มาเล่นๆนะครับ ตั้งแต่การออกแบบ วัสดุที่ใช้ตกแต่ง ระบบภาพและเสียง รวมไปถึงคุณภาพของที่นั่งทุกอย่างคือดีเยี่ยมทั้งหมด ตอนที่เปิดเข้ามาเห็นครั้งแรก เราเซอร์ไพร้ซ์กับความจริงจังนี้มากครับ The Spa นอกจากห้องพักที่สวยงามแล้ว อีกสิ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากที่ Aman ก็คือสปาครับ จากประสบการณ์การใช้สปาในแต่ละ Aman ที่เราเคยได้ไปสัมผัสมานั้นดูเหมือนว่าจะมีเวทมนตร์บางอย่างที่มากไปกว่าแค่เพียงความผ่อนคลายสบายตัว แต่จิตใจเราก็รู้สึกสงบนิ่งปลอดภัยราวกับเราได้เข้าไปอยู่ใน Sanctuary บางอย่าง และที่ Amandayan นี้ก็เช่นกัน คุณ Therapist นวดโดยใช้เทคนิคจีนเข้ามาผสม แต่คำว่า “นวด” ก็อาจจะดูน้อยและเบาไปนิดในความรู้สึกของเรา คำว่า “บำบัด” น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะเรารู้สึกได้ถึงความใส่ใจในทุกๆการกด การรีด และการลงน้ำหนักมืออันไหลลื่นซึ่งช่วยให้ความตึงเครียดที่สะสมอยู่ในทั้งร่างกายและจิตใจของเราค่อยๆคลายลงจนเราเผลอหลับไปเลยครับ  The Gym ชั้นล่างของอาคารสปาเป็นที่ตั้งของห้องฟิตเนสและห้องโยคะที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป แต่อุปกรณ์นั้นมีครบครันและทุกชิ้นก็มาตรฐานสูงจากแบรนด์ TechnoGym สายออกกำลังไม่ต้องห่วงเลยครับ ได้ใช้อุปกรณ์ชั้นเยี่ยมอย่างเป็นส่วนตัวแน่นอนครับ The Pool นี่คือหนึ่งในสระน้ำ Outdoor เพียงไม่กี่สระในเขตเมืองเก่าของลี่เจียง (เราคิดว่าน่าจะเป็นสระกลางแจ้งสระเดียวเลยด้วยซ้ำ) ยิ่งไปกว่านั้นสระของ Amandayan ยังมีระบบรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 28 องศาเซลเซียส ดังนั้นแม้ในวันที่อากาศหนาว แขกของรีสอร์ทก็ยังสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายตัว จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะได้ว่ายน้ำในเซ็ตติ้งจีนโบราณแบบนี้ The View Pavilion และนี่ก็น่าจะเป็นศาลาชมวิวจากบนเนินเขาหนึ่งเดียวของเมืองเก่าลี่เจียงเช่นกัน เพื่อนๆจะได้ชมวิวเมืองเก่าในมุมที่สวยที่สุดของลี่เจียงแบบพาโนรามาโดยไม่ต้องไปแย่งชิงกับฝูงชนใดๆ นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ Exclusive สำหรับแขกของ Amandayan เท่านั้นครับ เพราะคนนอกไม่สามารถเข้ามาตรงจุดนี้ได้ The Tea House ยูนนานนั้นเป็นอีกแหล่งปลูกชาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน โดยเฉพาะที่เมืองผู่เอ๋อร์ทางใต้ของลี่เจียง ด้วยความที่ลี่เจียงเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคมาแต่อดีต โดยเป็นจุดผ่านที่สำคัญของ Tea Horse Road จึงทำให้ลี่เจียงเป็นแหล่งซื้อขายใบชาชั้นดีไปโดยปริยาย การจิบน้ำชาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวที่ลี่เจียง และในเมืองเก่าก็มีร้านขายชาเก่าแก่มากมายที่เพื่อนๆสามารถไปลองชิมชาได้ แต่ที่ The Tea House ของ Amandayan ไม่ได้มีดีแค่ชาเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆให้เลือกหลากหลาย และมีบริการทั้งติ่มซำและเซ็ต Afternoon Tea แบบจีนประยุกต์ที่พรีเซ้นต์ได้สวยงามขึ้นกล้องมากๆ และที่ว้าวที่สุดก็คือวิวเมืองเก่าจากมุมสุด Exclusive ที่ยิ่งช่วยเสริมให้รสชาติของชานั้นยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก Wenchang Palace ศาลเจ้าเหวินชางเป็นอีกหนึ่งไอเท่มลับของ Amandayan เลยครับ เมื่อ 300 กว่าปีก่อนสถานที่แห่งนี้เคยถูกใช้เป็นจุดสอบคัดเลือกเข้าเป็นขุนนางข้าราชการของจีน ปัจจุบันผู้คนจึงนิยมมาขอพรเรื่องการเรียนและการงานที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ต้นไม้บางต้นที่อยู่ในบริเวณศาลเจ้าก็เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่ก่อนสร้างศาลเจ้าด้วยซ้ำ และเนื่องจากศาลเจ้านี้อยู่ติดกันกับพื้นที่ของรีสอร์ท ทางการจีนจึงมอบหมายให้ Amandayan เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยทั้งหมด ดังนั้นบริเวณนี้จึงเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเที่ยวชมได้ตั้งแต่ 10:00-17:00 น. ในบางวันนอกจากจะมีคนมาขอพรและชมวิวแล้ว เราอาจจะได้เห็นศิลปินมานั่งสเก็ตช์ภาพสวยๆด้วย ได้อารมณ์ชะมัด The Old Town Dayan นั้นเป็นเมืองที่เก่าที่อยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุดในบรรดา 3 เมืองโบราณของลี่เจียง ตัวเมืองจึงมีขนาดใหญ่ที่สุดและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดด้วยเช่นกัน กลายเป็นภาพจำของผู้คนทั่วไปเมื่อพูดถึงเมืองเก่าลี่เจียงโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยว ดังนั้นชื่อเมือง Dayan จึงถูกแทนที่ด้วย Lijiang Old Town ไปโดยปริยาย เขตเมืองเก่าของลี่เจียงนั้นสวยงามดั่งภาพในนิยายจีนโบราณ และมีพื้นที่ถึง 3.8 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นโซนต่างๆได้ตามทิศเหนือ-ใต้-ออก-ตก ข้อดีของ Amandayan ก็คือมีทางเดินลงมาที่เมืองเก่าได้หลายทางซึ่งแต่ละทางก็จะพาไปโซนที่ต่างกันของเมือง โดยโซนทางเข้าฝั่งทิศเหนือ (North Gate) นั้นนับว่าเป็นทางเข้าหลัก นักท่องเที่ยวก็จะค่อนข้างเยอะกว่าทางเข้าอื่น ตรงกันข้ามกับฝั่ง South Gate ที่นักท่องเที่ยวจะบางตากว่า ใจกลางของเมืองเก่าก็คือ Square Market (จตุรัสกลางเมือง) ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวหนาแน่นเช่นกัน ทางเดินในเมืองเก่านั้นเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมาย วิธีการเดินเที่ยวที่ดีที่สุดคือเดินไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ตัวเองได้หลงทางสำรวจเมืองแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก อาจจะยึดเอา Square Market ที่อยู่กลางเมืองและสายน้ำที่ไหลจากเหนือลงใต้ทะลุเมืองเก่าเป็นหลักในการเดาทิศแบบคร่าวๆ ในแต่ละซอกซอยก็เรียงรายไปด้วยร้านค้าตลอดสองข้างทางทั่วทั้งเมือง แต่ก็มักจะขายสินค้าคล้ายๆกัน สินค้าที่มีชื่อจากลี่เจียงและควรค่าจะซื้อกลับไปเป็นของฝากก็อย่างเช่น ชาผู่เอ๋อร์เกรดต่างๆ เห็ดตากแห้ง ขนมเปี๊ยะไส้กลีบกุหลาบ และเครื่องเงิน (อันนี้ต้องเลือกร้านดีๆนะครับ หรือปรึกษา Conceirge ที่ Aman ก่อนก็ได้ เพราะได้ข่าวมาว่าบางร้านก็ไม่ใช้เงินแท้)  ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เมืองเก่าจะมี Vibes ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ช่วงเช้าเป็นช่วงที่เราชอบมากที่สุด เพราะยังเงียบสงบ ร้านรวงยังเปิดกันไม่ครบ นักท่องเที่ยวยังน้อย เหมาะมากกับการเดินเล่นชมเมืองเพลินๆและเก็บภาพสวยๆ ลี่เจียงในช่วงเช้ามีเสน่ห์มาก เราแนะนำให้เพื่อนๆลองมาเดินเล่นกันดูนะครับ ช่วงกลางวันตัวเมืองเริ่มพลุกพล่านไปด้วยผู้คนทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ เราเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนตั้งใจมาแต่งชุดพื้นเมืองถ่ายรูปกันแบบจริงจังเลย ส่วนในช่วงกลางคืน (โดยเฉพาะบริเวณ Square Market) เมืองเก่าก็จะกลายร่างเป็นผีเสื้อราตรีงานแสงสีเสียงฉ่ำมาก ผับบาร์พร้อมใจกันอวดแสงไฟหลากสี และมีดนตรีทั้งเล่นสด และเปิดแผ่นเรียกลูกค้ากันสนุกสนานเลย Zhongyi Market ถ้าเพื่อนๆอยากจะหลบหลีกนักท่องเที่ยวไปหามุมที่ “Authentic” ในเมืองเก่าลี่เจียง เราขอแนะนำให้ลองมาเดินตลาดจงยี่ตอนเช้า ที่นี่เป็นตลาดสดที่เราแทบไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย แต่จะเป็นคนท้องที่ที่เข้ามาจับจ่ายผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ เราจะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารและวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขารอบๆลี่เจียง ลำพังแค่หัวมันก็มีตั้งหลายชนิดและหลายสีให้เลือกแล้ว Fun Fact ที่เราก็เพิ่งรู้ก็คือถ้าเนื้อของหัวมันเป็นสีอะไร ดอกของต้นมันก็จะเป็นสีนั้นไปด้วย ส่วนใครที่อยากลิ้มลองอาหารท้องถิ่น ใกล้ๆกับตลาดก็มีฟู้ดคอร์ทแบบชาวบ้านไว้บริการด้วยนะครับ Mu’s Mansion ตระกูล Mu (มู่) เป็นตระกูลชาว Naxi ที่ปกครองดินแดนละแวกนี้มากว่า 1,200 ปี ตระกูล Mu มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการวางผังเมือง และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอารยธรรมของชาว Naxi ให้ก้าวหน้าแซงชนเผ่าอื่นๆในละแวกนี้จนถึงขั้นมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง นอกจากนี้ยังมีค่านิยมที่ปลูกฝังให้ลูกหลานรักการอ่านเขียน จึงยิ่งทำให้ชาว Naxi นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าใคร ด้วยการให้ความสำคัญกับการศึกษามายาวนาน เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภายในคฤหาสน์ของตระกูล Mu นี้จึงมีหอสมุดที่เป็นอาคารสูง 3 ชั้นเพียงหลังเดียวในเมืองเก่าลี่เจียง อาคารอื่นๆทั้งหมดในตัวเมืองจะเตี้ยกว่านี้ทั้งสิ้น ในวันที่รุ่งโรจน์ที่สุดของตระกูล Mu อาณาบริเวณของคฤหาสน์แห่งนี้เคยกว้างขวางถึงประมาณ 40 ไร่ และมีความยิ่งใหญ่งดงามจนมีคนเอาไปเปรียบว่าเป็นขนาดย่อส่วนลงมาของพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง ตระกูล Mu นั้นอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ต่อเนื่องกันมาถึง 22 รุ่น แต่หลังจากผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนก่อนจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง Mu’s Mansion บางส่วนจึงถูกทำลายลงไปจนปัจจุบันเหลือพื้นที่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และอาคารส่วนใหญ่ที่เห็นในปัจจุบันก็เป็นการสร้างขึ้นใหม่ตามดีไซน์เก่าในช่วงทศวรรษ 90 แต่ความสวยงามก็ยังคงทำให้เราตื่นตะลึงได้ไม่ยากนัก  Naxi Ancient Music Recital สำหรับใครที่อยากดื่มด่ำกับความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของชาว Naxi ไปอีกระดับ เราขอแนะนำให้มาชมการแสดงดนตรีโบราณแบบสดๆ สามารถให้ทาง Amandayan จองให้ได้เลยครับ แนวดนตรีจะมีความคล้ายงิ้วที่ประณีตขึ้นมาอีกระดับ เป็นเรื่องน่าทึ่งนะครับที่คนโบราณสามารถประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้นมาได้หลากหลายแบบ และทำให้ทุกชิ้นสอดประสานกันขึ้นเป็นเพลงที่ไพเราะและมีเอกลักษณ์ได้แบบนี้ Black Dragon Pool อีกหนึ่งพิกัดสุด Iconic ของลี่เจียงก็คือสระมังกรดำที่ตั้งอยู่ที่เชิงเนินเขาช้าง (Elephant Hill) ซึ่งสระแห่งนี้เป็นทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน สวนสาธารณะที่ร่มรื่นเดินเพลิน สถานอนุรักษณ์น้ำของรัฐ ที่ตั้งพิพิธภัณฑ์และสถาบันวิจัยวัฒนธรรมตงปา (Dongba) ของชาว Naxi และเป็นแหล่งรวมงานสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัยทั้งแบบ Naxi และแบบชาวฮั่น อาคารบางหลังเช่นหอ Wufeng หลังคาซ้อน 3 ชั้นที่ปัจจุบันตั้งอยู่คู่กับสะพานหินอ่อนสีขาวกลางสระ ก็เป็นศิลปะตั้งแต่ราชวงศ์หมิง อายุกว่า 400 ปี ซึ่งถูกย้ายมาจากวัด Fuguo ที่อยู่นอกเมือง Dayan ออกไป  ใดๆก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Black Dragon Pool มีชื่อเสียงที่สุดก็คือวิวที่สวยหยาดเยิ้มชวนฝัน เป็นความลงตัวของการจัดวางสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์กับวิวภูเขาหิมะมังกรหยกที่ตั้งเป็นฉากปังๆอยู่ด้านหลัง สระน้ำที่สะท้อนเงาวิวทั้งหมดในวันฟ้าใสก็ยิ่งเพิ่ม Wow Factor ให้กับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า หากเพื่อนๆมีเวลานอกจากจุดชมวิวชื่อดังแล้ว Black Dragon Pool ก็ยังมีอะไรอีกเยอะแยะให้เดินดูได้เพลินๆหลายชั่วโมงเลยครับ Excursions มณฑลยูนนานของจีนนั้นเป็นมณฑลที่มีเมืองที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่หลักสิบเมตรไปจนถึงหลายพันเมตร ถ้าจะเอาตัวเลขเป๊ะๆก็คือ 76.4 - 6,740 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ดังนั้นจึงเป็นมณฑลที่มีความหลากหลายมาก ข้อดีของการมาเที่ยวลี่เจียงก็คือเราสามารถเทค Day Trip ออกนอกเมืองไปที่อื่นได้อีกหลายจุด โดยเราสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วและราคาไม่แพง (โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถไฟ) เช่น ต้าลี่ และคุนหมิง ซึ่งในทริปนี้เรายังไม่มีโอกาสได้ไปเก็บภาพมาฝากกัน แต่ไม่ต้องห่วงครับ เราไปเยี่ยมชมที่อื่นๆมาอีกหลายที่เลยครับ ลองดูเพื่อเป็นไอเดียตามรอยได้ด้านล่างนี้ครับ Jade Dragon Snow Mountain ที่แรกที่พลาดไม่ได้ก็คือภูเขาหิมะมังกรหยกที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,596 เมตร ซึ่งสูงกว่า Mont Blanc (4,809 เมตร) ภูเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตกเสียอีก นอกจากจะสวยมากๆแล้ว ภูเขาแห่งนี้ยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาว Naxi ให้ความเคารพมาแต่โบราณ ด้วยเหตุนี้จึงว่ากันว่ายังไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเหยียบบนจุดสูงสุดยอดเขาจริงๆเสียที แต่เราสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปที่ความสูง 4,506 เมตร เพื่อชมยอดเขาในระยะใกล้ๆได้ จากจุดนี้ก็จะมีทางให้เดินเท้าขึ้นต่อไปได้อีกแต่ก็ไม่ถึงจุดยอดสุดนะครับ สำหรับการเดินทางจากลี่เจียง เราต้องนั่งรถออกนอกเมืองไปประมาณ 1 ชม. เราสามารถเช่ารถพร้อมคนขับ แล้วให้คนขับช่วยจัดการเรื่องตั๋วกระเช้าลอยฟ้าและตั๋วจุดท่องเที่ยวอื่นๆได้เลย (หาดูได้ตามกลุ่มเที่ยวเมืองจีนต่างๆในเฟสบุ้คนะครับ) หรือจะให้ทาง Amandayan จัดทริปให้ก็จะสะดวกมากกว่า อีกอย่างก็คืออย่าลืมพกกระป๋องออกซิเจนขึ้นมาด้วยนะครับ เพราะอาการข้างบนค่อนข้างบาง ส่วนใครที่เป็นโรคแพ้ความสูงก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้ามาให้ดีด้วยนะครับ Lijiang Impression Show ใกล้ๆกับสถานีกระเช้าลอยฟ้าขาขึ้นด้านล่างเขามังกรหยก ก็จะเป็นโรงละครสำหรับการแสดงอันเลื่องชื่อของเมืองลี่เจียงที่กำกับโดยจาก อี้ โหมว ผู้กำกับชาวจีนผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 ครั้ง และยังเป็นผู้ออกแบบการแสดงในพิธีโอลิมปิกที่ปักกิ่งเมื่อปี 2008 ด้วย  สารภาพตามตรงว่าครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีการแสดงที่นี่ เราไม่ได้รู้สึกอยากดูเลยเพราะคิดว่าจะต้องเป็นกับดักนักท่องเที่ยวที่การแสดงจะออกแนวแห้งๆปลอมๆแน่ๆ แต่เมื่อได้เข้ามาดูจริงๆกลับรู้สึกประทับใจกับการนำเสนอที่มีรสนิยมสมชื่อ Lijiang Impression Show ความตระการตาเริ่มต้นตั้งแต่ภูเขามังกรหยกที่ตั้งเป็น Background อยู่ด้านหลัง ตัดกับเวทีสีแดงสุด Iconic เอาเข้าจริงๆเราแทบไม่ได้ติดตามเส้นเรื่องของตัวโชว์เท่าไหร่นัก แต่เราก็อินไปกับงาน Visual และ Movement ของนักแสดงในทุกๆฉาก แม้ในวันที่เราเข้าชมฝนจะตกหนักเกือบตลอดการแสดง แต่นั่นก็ยิ่งกลับทำให้ได้ความ Dramatic ไปอีกแบบ ที่สำคัญนักแสดงกว่า 500 ชีวิตนั้นเป็นชาว Naxi พื้นเมืองทั้งหมดก็แสดงแบบมืออาชีพมาก ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร The Show Must Go On ฉะนั้นก็เท่ากับว่าเราก็จะได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้ไปด้วย ใครที่ลังเลอยู่ว่าจะดูโชว์ดีมั้ย เราก็แอบเชียร์ให้ดูนะครับ อย่างน้อยก็จะได้รูปปังๆมาอวดเพื่อนแน่นอน Blue Moon Valley ไม่ไกลจากจุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์ของภูเขามังกรหยกมาทางทิศตะวันออก ก็คือ “ไป๋ซุยเหอ” หรือ Blue Moon Valley ซึ่งเป็นอุทยานน้ำสีฟ้าที่สวยงามมาก จนมองลงมาจากที่สูงแล้วเห็นเหมือนมีพระจันทร์สีน้ำเงินฝังอยู่ในหุบเขา  เนื่องจากบนเขาหิมะมังกรหยกนั้นมีแร่ธาตุ Copper Sulfate ค่อนข้างเข้มข้น เมื่อหิมะละลายไหลลงมาจึงพาเอาไอออนทองแดง (Copper Ion) มาอยู่ในน้ำด้วย ซึ่งน้ำสวยๆแบบนี้ไม่เหมาะกับการบริโภคนะครับ แต่จะมีความเชื่อให้ล้างมือ 3 ครั้งในน้ำเพื่อความโชคดี 3 เรื่อง โดยครั้งแรกจะหมายถึงอาชีพการงาน ครั้งที่สองหมายถึงทรัพย์สินเงินทอง และครั้งที่สามหมายถึงความรักที่มั่นคง แม้ชื่อจะแปลว่าหุบเขา แต่หุบเขา Blue Moon Valley นี้ก็ยังตั้งอยู่ที่ระดับความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ลำธารที่ไหลมาจะถูกแนวหินกั้นแบ่งเอาไว้กลายเป็นแอ่งน้ำคล้ายทะเลสาบย่อยๆถึง 5 แห่ง หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็จะมีบริการรถ Buggy สีเขียววิ่งรับส่งระหว่าง 3 จุดสต็อปอยู่ตลอดเวลาและเราก็สามารถขึ้นลงได้ตามความสะดวก ตัวธรรมชาตินั้นมหัศจรรย์และสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกก็ยอดเยี่ยมมาก แต่อาจจะต้องเล็งจังหวะในการถ่ายรูปดีๆ เพราะความสวยของหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินนี้ก็มีพลังดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากให้เดินทางมาชมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคู่ว่าที่บ่าวสาวที่นิยมมาถ่ายรูป Pre-Wedding กันหลายคู่เลย Wenhai Yi Village ความเอ็กซ์คลูซีฟของ Aman ก็คือเราสามารถขอให้ไกด์จัดทริปพาออกนอกเส้นทางที่เป็นที่นิยมนักท่องเที่ยวทั่วไปเพื่อไปสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบ Authentic ของผู้คนท้องถิ่นได้ด้วย อย่างที่เล่ามาตั้งแต่แรกว่า Naxi คือชนเผ่าหลักที่อาศัยอยู่ในลี่เจียง แต่ในความเป็นจริงแล้วยูนนานประกอบไปด้วยชนเผ่าต่างๆกว่า 25 เผ่า วันนี้ทาง Amandayan จึงพาเราไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชาว Yi (ยี่) ที่อยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบเหวินไห่ และแวะชมธรรมชาติที่สวยงามระหว่างทางไปด้วย ทะเลสาบเหวินไห่เป็น Alpine Lake ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,100 เมตร และจะมีน้ำเป็นบางฤดูกาล ทำให้พื้นที่รอบๆนั้นเป็น Wet Land ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าเขียวขจี และชาวบ้านจึงใช้เป็นสถานที่เลี้ยงม้าหลายสิบตัว จึงเกิดเป็นภาพที่สวยงามแปลกตา เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยว Unseen ของลี่เจียงครับ หลังจากแวะถ่ายรูปกับน้องม้าจนพอใจแล้ว ไกด์ (คุณโทมัส) ก็พาเราเดินทางขึ้นเขาต่อไปยังหมู่บ้านของชาว Yi แบบไม่ได้มีจุดหมายว่าจะไปบ้านไหนเป็นพิเศษ คุณโทมัสบอกว่าถ้าเจอใครอยู่บ้านก็จะไปเคาะประตูขอเข้าไปชมบ้านและพูดคุยแบบดิบๆเลยเพื่อความ Real และเราก็โชคดีครับ มีคุณตาคุณยายคู่หนึ่งอยู่ที่บ้านพอดี เราจึงได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในบริเวณบ้านของพวกเขา และได้นั่งคุยโดยมีไกด์ช่วยแปลภาษาให้ด้วย เป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากเลยครับ คุณโทมัสเล่าให้ฟังว่าชาวเผ่า Yi นั้นรักสนุก และใช้ชีวิตแบบมีความสุขวันต่อวัน โดยเฉพาะผู้ชายที่จะดื่มสุราหนักและมักจะมีชีวิตสั้นกว่าผู้หญิง ต่างจากชาว Naxi ที่ชอบคิดการณ์ไกลและวางแผนล่วงหน้าโดยคุณโทมัสเปรียบเทียบว่า ถ้ามีการฆ่าหมูมาทำอาหาร ชาว Yi ก็จะชวนคนมาสังสรรค์กันทั้งหมู่บ้านและกินหมูให้หมดภายในคราวเดียว ส่วนชาว Naxi จะมีการแบ่งและถนอมอาหารเก็บไว้กินในอนาคต  Tiger Leaping Gorge ช่องเขาเสือกระโจนอันเลื่องชื่อนั้นอยู่ห่างจากลี่เจียงไปทางเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร ถ้าใครเดินทางไป Shangri-la ด้วยรถยนต์ก็แวะเที่ยวเป็นทางผ่านได้นะครับ ช่องเขาเสือกระโจนเป็นช่องแคบระหว่างภูเขาสูงเสียดฟ้า 2 ลูกเป็นระยะทาง 23 กิโลเมตรคือเขาหิมะมังกรหยก (สูง 5,596 เมตร) กับเขาหิมะฮาปา (สูง 5,390 เมตร) โดยเบื้องล่างมีแม่น้ำแยงซีตอนบน (Upper Yangtze) ไหลผ่าน แต่จุดที่เป็นที่มาชองชื่อช่องเขาเสือกระโจนจริงๆนั้นจะเป็นจุดที่แคบที่สุด (25 เมตร) โดยชื่อนี้ได้มาจากตำนานที่ว่าเคยมีเสือตัวหนึ่งกระโจนข้ามแม่น้ำณ จุดนี้เพื่อหลบหนีนายพราน และความแคบนี้ก็ยิ่งทำให้แม่น้ำเชี่ยวกรากดุดันสุดๆเช่นกัน สำหรับจุดที่ลึกที่สุดของช่องเขานี้โดยวัดจากยอดเขาลงไปที่แม่น้ำด้านล่างก็คือ 3,790 เมตร ซึ่งลึกกว่าแกรนด์แคนยอนเกือบ 2 เท่า สรุปง่ายๆว่าทั้งแคบมาก แรงมาก และลึกมากกกกกกก การเข้าชมช่องเขาเสือกระโจนนั้นต้องซื้อตั๋วคนละ 45 หยวน และถ้าไม่อยากออกแรงเดินลงและเดินกลับขึ้นมาด้วยตัวเองซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็สามารถจ่ายเพิ่มเพื่อใช้บันไดเลื่อนอีกคนละ 70 หยวนรวมสำหรับทั้งขาลงและขากลับขึ้นมา  นอกจากจุดที่แคบที่สุดแล้ว ตลอดระยะทาง 23 กิโลเมตรของช่องเขาเสือกระโจนนี้เต็มไปด้วยวิวที่สวยอลังการตลอดเส้นทาง เราขับรถทะลุออกมาอีกฝั่งและแวะจิบกาแฟชมยอดเขาหิมะ Haba ที่สูงไล่เลี่ยกันกับเขามังกรหยกเลย ปล.ถ้ามีเวลา มีคนแนะนำให้ลองค้างคืนแบบ Glamping แถวๆจุดที่เราแวะจิบกาแฟนี้ จะเห็นดาวเต็มฟ้า และทางช้างเผือกได้ชัดๆเลยครับ Bai Shui Tai  ไป๋สุยไถ หรือระเบียงธารน้ำขาว อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่อยู่ห่างจาก Shangri-la ประมาณ 106 กิโลเมตร ถ้าไม่ได้เดินทางด้วยรถยนต์จากลี่เจียงมา Shangri-la อาจจะต้องข้ามที่นี่ไป ว่ากันว่าไป๋สุ่ยไถนั้นเป็นจุดที่ผู้ก่อตั้งลัทธิ Dongba (ตงปา) ของชาว Naxi ที่นับถือธรรมชาติเป็นพระเจ้าใช้ประกาศคำสอนหลังเดินทางกลับมาจากทิเบต แอ่งน้ำทรงโค้งสีขาวที่เรียงตัวลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดลงมาตามไหล่เขาเกิดจากหินปูน (Calcium Carbonate) ในน้ำที่ค่อยๆก่อตัวผ่านกาลเวลาปีแล้วปีเล่าทำให้เกิดภาพที่มหัศจรรย์ไม่เหมือนใคร สีของน้ำเองก็มีหลายเฉดทั้งใส ฟ้า เขียว และเหลืองสวยงามมาก ขาขึ้นเราตัดสินใจเช่าม้าแคระขี่ขึ้นมา และค่อยๆเดินลงเองไปตามเส้นทางที่เดินค่อนข้างสะดวกสบายครับ Shangri-La    แชงกรีล่า หรือ เซียงเกอหลีลา เป็นชื่อเมืองในเขตการปกครองตนเองของชนชาติทิเบตตี๋ชิ่งที่รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจเปลี่ยนจากชื่อเดิมคือจงเตี้ยน เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเมืองลึกลับที่ถูกสมมติขึ้นมาในนิยายเรื่อง The Lost Horizon ที่เขียนโดย James Hilton ในปี 1933 หลังจากที่เขาได้เดินทางมายังเทือกเขาหิมาลัยไม่กี่ปีก่อนหน้านั้นโดยในนิยายเขาพรรณนาถึง Shangri-la ไว้ว่าเป็นเมืองอันใกล้โพ้นซึ่งงดงามดั่งสวรรค์ มีผู้คนที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและมีอายุยืนยาวนับร้อยปี  แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าบริเวณใดในเทือกเขาหิมาลัยที่ตรงกับคำบรรยายในนิยายที่สุด บ้างก็ว่าน่าจะเป็นที่ Hunza Valley ในปากีสถานมากกว่า แต่เมืองจงเตี้ยนนั้นเคลมไวก่อนใคร และได้ใช้ชื่อแชงกรีล่าอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 2001 ที่นี่จึงกลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งเมื่อมาเที่ยวลี่เจียงเพราะสามารถนั่งรถไฟมาถึงได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที  อย่างไรก็ตาม แชงกรีล่าหรือเมืองจงเตี้ยนเดิมนั้นก็สวยงามและมีเอกลักษณ์ในแบบทิเบต ตัวเมืองเก่านั้นดูขลังและสงบ มีแลนด์มาร์คเป็นกงล้อธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกสีทองอร่ามของวัดต้าฝอ (วัดพระใหญ่) ที่อายุเก่าแก่กว่า 1,600 ปีตั้งเด่นอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง กงล้อธรรมนั้นมีลักษณะเหมือนหอคอยสูง 23 เมตรที่สามารถหมุนได้เมื่อหลายๆคนช่วยกันผลัก ว่ากันว่าเมื่อสวดมนต์ขอพรขณะหมุนกงล้อก็จะทำให้บทสวดนั้นก้องกังวานไปถึงสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีอีกวัดที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือวัดซงจ้านหลิน (Songzanlin) ซึ่งอยู่ห่างออกจากเมืองเก่าไปประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นวัดทิเบตนิกายลามะหมวกเหลืองที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน และถอดแบบมาจากพระราชวังโปตาลาในกรุงลาซา จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น Little Potala Palace วัดซงจ้านหลินสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1679 โดยดาไลลามะองค์ที่ 5 ด้วยศิลปะทิเบตผสมจีนฮั่น ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดว่ากันว่ามีกุฏิในวัดที่สามารถรองรับพระสงฆ์ได้ถึง 2,000 รูป แต่ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน วัดก็ได้รับความเสียหายไปเยอะมากจึงต้องบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1983 ปัจจุบันแม้พระสงฆ์จะมีจำนวนน้อยลงกว่าในยุคก่อน แต่ภายในวัดนั้นก็ยังเต็มไปด้วยสมบัติเก่าและวัตถุมีค่าให้ไปศึกษามากมาย แต่หากมีเวลาน้อย(เหมือนเรา) แค่เดินชมบรรยากาศก็คุ้มค่ามากๆแล้วครับ ถ้าใครชอบแต่งชุดท้องถิ่นถ่ายรูป ก็สามารถจัดเต็มที่นี่ได้เช่นกันครับ Wrapping Up Our Stay การมาพักที่ Amandayan นั้นดูเหมือนจะสามารถต่อยอดเป็นทริปย่อยๆออกไปได้ไม่รู้จบ เวลาถูกถามว่าควรที่นี่พักกี่คืนดี เราจึงตอบได้ค่อนข้างยากเพราะขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆอยากจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง แต่หากเน้นเที่ยวเมืองเก่าลี่เจียงเป็นหลักและอาจจะออก Day Trip โดยรวบเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก ดูโชว์ Lijiang Impression และ Blue Moon Valley ให้ครบทั้ง 3 ที่ภายในวันเดียวกันก็สามารถทำได้ เพราะทั้ง 3 จุดนั้นอยู่ใกล้กัน จากประสบการณ์เราคิดว่า 3-4 คืนน่าจะกำลังดีครับ แต่หากจะไปเที่ยวจุดอื่นๆที่ไกลออกไปด้วยก็ต้องเผื่อเวลาเพิ่ม หรือแทรกด้วยการไปนอนค้างที่เมืองอื่น อย่าลืมว่าตัว Amandayan เองก็เป็นจุดหมายปลายทางในตัวเองอยู่แล้วด้วยเช่นกัน ในเมื่อเพื่อนๆมีโอกาสได้มาพักที่นี่ทั้งที เราก็อยากให้เพื่อนๆได้มีเวลาดื่มด่ำประสบการณ์วิถี Aman ที่รีสอร์ทอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเร่งรีบ ธรรมชาติที่อลังการและความ Exotic ของลี่เจียงนี้อยู่ใกล้บ้านเรามากกว่าที่คิด ยังไงมาตามรอยกันนะครับ Amandayan รอให้คุณมาสัมผัสอยู่ครับ ข้อเสนอพิเศษ Lijiang Escape จาก Amandayan ร่วมกับ Hoparound.co 1. ห้องพักเรทพิเศษ เริ่มต้น 4,876 ++ หยวน (ลดลงจากเรทปกติของแต่ละ Room Type 20%) 2. อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน 3. บริการรถรับหรือส่งจาก สนามบิน Lijiang Sanyi Airport หรือสถานีรถไฟ (เลือกได้ขาใดขาหนึ่ง) 4. บริการผลไม้สดประจำวัน และ Turn Down Amenities 5. กิจกรรมเชิงวัฒนธรรมประจำวัน 6. ซอฟท์ดริ้งค์ในมินิบาร์ ห้องพักเรทพิเศษ (ขึ้นอยู่กับห้องว่างและราคาในแต่ละช่วง) Courtyard Suite เริ่มต้น CNY 4,876++ Deluxe Suite เริ่มต้น CNY 5,336++ Amandayan Villa เริ่มต้น CNY 16,560++ #LetsHoparound

  • Palmier by Guillaume Galliot บรั้นช์พรีเมี่ยมสไตล์ฝรั่งเศสโดยเชฟ 3 ดาวมิชลิน

    Sunday Brunch at Palmier by Guillaume Galliot บรั้นช์พรีเมี่ยมสไตล์ฝรั่งเศสโดยเชฟ 3 ดาวมิชลิน 3 ดาวมิชลินคือรางวัลสูงสุดจาก Michelin Guide ที่ร้านอาหารจะสามารถได้รับมาประดับยศ และในประเทศไทยก็ยังไม่มีร้านใดที่ได้รับรางวัลนี้เลย แต่วันนี้เชฟ Guillaume Galliot เชฟผู้ดูแลร้าน Caprice แห่ง Four Seasons Hotel Hong Kong ผู้ครอง 3 ดาวมิชลินติดต่อกันเป็นเวลาถึง 6 ปีซ้อน ได้บินลัดฟ้าพาเอาประสบการณ์และสูตรอาหารเลิศรสจากความทรงจำวัยเด็กของเชฟมาเสิร์ฟให้เราได้ลิ้มลองกันที่ Palmier ห้องอาหารแนว French Brasserie ที่ Four Seasons Hotel Bangkok at Chao Phraya River เพิ่มอีก 1 ร้าน นับเป็นครั้งแรกของโรงแรมหรูเครือ Four Seasons ที่ให้เชฟมากฝีมือได้ดูแลห้องอาหารแบบข้ามประเทศกันแบบนี้ ผลประโยชน์ก็ตกเลยเป็นของผู้บริโภคอย่างเราครับ และช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ Palmier ก็มีแพ็คเก็จ Brunch ซึ่งเป็นมื้อพิเศษของสัปดาห์ไว้ให้บริการด้วย วันนี้เราจะพาเพื่อนๆออกเดินทางไปกับสำรับอาหาร Brunch ของเชฟ Guillaume ณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยากันครับ สำหรับราคาและรายละเอียดของแพ็คเก็จ Brunch มื้อนี้ เพื่อนๆ ดูได้ที่นี่เลยครับ https://www.fourseasons.com/.../palmier-by.../sunday-brunch/ ? เริ่มต้นกันด้วย Amuse-bouche ซึ่งมาเป็นสองชิ้น คือ Lobster and Avocado Roll & Baby Cos และ Salmon with Condiments เพื่อปลุกลิ้นเราให้ตื่นพร้อมรับความสนุกที่จะตามมาในจานต่อๆไป สำหรับเครื่องดื่ม Soft Drinks, Mocktails ชาและกาแฟนั้นรวมอยู่ในราคาตั้งต้นแล้ว แต่เราอัพเกรดอีก 1,600.- เพื่อเพิ่ม Crémant (เครมองต์) ซึ่งก็คือ Sparkling Wine ที่ผลิตนอกแคว้น Champagne (จริงๆอ่านว่า ชอมปาญ) ก็เลยใช้ชื่อเรียกว่าแชมเปญไม่ได้ หรือถ้าเพื่อนๆจะอัพเกรดไปเป็นแพ็ค Champagne ก็ได้เช่นกัน ดูราคาได้ที่ลิงค์ด้านบนนะครับ คอร์สที่ 2 ก็คือ Starter to Share เปิดตัวน่ารักๆด้วยจานมะเขือเทศหลากสายพันธุ์วางบน Gazpacho Jelly และ Marinated Burrata Foam ก่อนจะตามมาด้วยความอร่อยที่หนักขึ้นมาอย่างกระดาน French Cold Cuts พร้อมกับ Pickles และ Paté en Croute หนึ่งในจานซิกเนเจอร์รสเข้มข้นที่เชฟ Guillaume แนะนำ ต่อด้วย Beef Tartare à la Parisienne เนื้อดิบปรุงรสแบบชาวปารีสที่ทางพนักงานต้องเข็นรถพา Ingredients ต่างๆมาให้เราจิ้มเลือกแล้วคลุกเคล้ากันสดๆตรงนั้นเลย ถ้าจะอัพเกรดเพิ่ม Caviar ไปด้วยก็สามารถเพิ่มเงินได้ครับ จานสุดท้ายของ Starter (ถ้าเรียกว่า “พาน” น่าจะถูกต้องกว่า) ก็คือ Seafood Platter ที่มาทั้งหอยนางรมฝรั่งเศส กุ้งลายเสือ หอยเชลซาชิมิ และกุ้งแลงกูสตีนที่หาทานค่อนข้างยากในประเทศไทย ทุกอย่างหวานความสดมาก และส่วนตัวเราคิดว่าสิ่งที่เชฟ Guillaume ทำได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือซอสต่างๆ ถ้าเพื่อนๆได้มาลองก็อย่าลืมบอกเราหน่อยว่าเห็นด้วยมั้ยนะครับ สำหรับ Seafood Platter นี้ หากใครอยากเพิ่มล็อบสเตอร์อีก ก็เพิ่มเงินได้เช่นกันนะครับ ยังครับ ยังไม่เข้า Main Course สำหรับมื้อ Brunch ที่รวบเอา Breakfast กับ Lunch เข้าด้วยกัน ถ้าพลาดเมนูไข่ไปก็อาจจะไม่สมบูรณ์ จานถัดมาจึงขอแวะไปเมนูไข่นิดนึงครับ จานนี้คือ Slow Cooked Free-Range Eggs ที่มาพร้อมกับ Emulsion ที่ทำจากชีส Comté ซึ่งเป็นชีสโปรดของเราเลย รสชาติของชีสจะเค็มๆมันๆแต่ที่ทำให้ Comté ต่างจากชีสอื่นๆก็คือความนัตตี้ที่ค่อนข้างชัด ซึ่งก็ยิ่งช่วยเพิ่มความอุมามิให้มากขึ้นอีก สำหรับจานนี้มีความคล้ายไข่ตุ๋นที่ปรุงแบบฝรั่ง เนื้อสัมผัสนุ่มเนียนครีมมี่มากๆครับ เข้า Main Course กันซะทีครับ ฮ่าๆๆๆ คอร์สนี้เพื่อนๆสามารถเลือกได้ 1 อย่าง จาก 3 ตัวเลือกนะครับ เรามากัน 2 คน (ใช่ครับเราเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ที่มาลองอาหารทั้งหมดนี้กันแค่ 2 คนครับ) ก็เลยเลือกมาคนละอย่าง เชฟ Guillaume แนะนำ Bouillabaisse (บุยยาเบสส์) อาหารต้นตำรับจากเมือง Marseille แต่จานนี้เป็นสูตรเฉพาะของเชฟที่หน้าตาดูเรียบโก้กว่าแบบ Traditional เยอะเลย มีปลาเนื้อขาวชิ้นใหญ่ๆวางเป็นดาวเด่น เราก็ลืมถามไปเลยว่าเป็นปลาอะไร แต่เนื้อแน่นและนุ่มลิ้นมากครับ จานนี้ฟีลเหมือนฟีเลต์สเต้กปลาในซอสบุยยาเบสส์มากกว่าจะเป็นซุปเหมือนในแบบดั้งเดิม ส่วนอีกจานที่เราเลือกมาก็คือ Steak Frites กับซอส Béarnaise และ French Fries แบบคลาสสิคที่กินแล้วอบอุ่นคุ้นเคย แต่คุณภาพเยี่ยมอร่อยพรีเมี่ยมกว่าตามท้องตลาดทั่วไป แน่นอนครับระดับความสุกต้อง Medium Rare เท่านั้น เนื้อนุ่มอร่อยถูกใจเลย และซอสแบร์เนสก็รสชาติถูกต้องทำถึงเช่นเคย มาถึงจุดนี้คือเราก็อิ่มมากๆแล้วครับ หายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ๆ แต่สายตาของเราดันเหลือบไปเห็นออปชั่นส์เพิ่มเมนู Signature ของเชฟได้อีก 3 เมนู ด้วยความเป็นห่วงอยากให้ชาว #Hopsters  ได้เห็นอะไรที่พิเศษ เราก็เลยรวบรวมพื้นที่ในกะเพาะที่เหลือ (ซึ่งก็แทบจะไม่มีแล้ว) เพื่อสั่งเมนู Add On มาอีก 1 ซึ่งเราเลือกเป็นลักซาที่ตัวเส้นทำมาจากเนื้อปู Alaskan King Crab ล้วนๆ เพราะเราสืบรู้มาว่าเป็นเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคุณ Juliana ภรรยาของเชฟซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ ว่ากันว่าคุณแม่ของคุณ Juliana นั้นทำลักซาอร่อยมากๆ เมื่อมาถึงมือเชฟ Guillaume อาหาร Comfort Food ของสิงคโปร์เมนูนี้จึงถูกยกระดับให้รวสชาติเข้มข้นขึ้นไปอีก และเนื้อสัมผัสก็ข้นขึ้นด้วยเช่นกัน น่าจะถูกใจคนที่ชอบความอร่อยแบบครีมมี่มากเลยครับ แต่หากใครเลี่ยนง่าย อาจจะเลือกลองเมนูอื่นๆดูนะครับ และแล้วก็เดินทางมาถึงของหวาน เอ๊ะ! หรือจะเรียกว่าของหวานเดินทางมาถึงเราน่าจะตรงกว่านะครับ เพราะคุณพนักงานพาน้องรถเข็นกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับขนมเต็มไปหมด ในเมนูถึงกับเรียกคอร์สนี้ว่า Dessert Show เพราะมีความละลานตาเหมือนเป็นการแสดงจริงๆ บนรถเข็นมีตั้งแต่ Macaron, Canelle, Flan, Baba au Rhum ไปจนถึงขนมเค้ก ทาร์ต ชูครีม และลูกกวาด Bon Bon ต่างๆหลากหลายรสชาติ แต่ละวันขนมหวานอาจจะมีหน้าตาแตกต่างกันไป ดังนั้นเลือกเอาที่ถูกใจได้เลยครับ อย่าลืมว่าชาและกาแฟก็รวมอยู่ในแพ็คแล้ว ดังนั้นเพื่อนๆสั่งกันได้เต็มที่เพื่อมาดื่มคู่กับขนมนะครับ ข้อดีอีกอย่างของห้องอาหาร Palmier ก็คือคอนเส็ปต์ Casual Elegance คือโก้หรูแบบสบายๆ ฉะนั้นทางห้องอาหารแจ้งว่าไม่ต้อง Dress Up เพื่อนๆแต่งตัวสบายๆมาได้เลยครับ แหม…วันอาทิตย์ทั้งทีก็ต้องผ่อนคลายสิเนอะ เป็นยังไงกันบ้างครับกับมื้อพิเศษ Brunch พรีเมี่ยมแบบฝรั่งเศสมื้อนี้ ถ้าเพื่อนๆได้เคยไปลิ้มลองมาแล้ว ก็ลองมาคอมเม้นต์ให้กันฟังบ้างนะครับ ลิ้นแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีรสนิยมต้องแบ่งปันครับ Palmier by Guillaume Galliot บรั้นช์สไตล์ฝรั่งเศส at Four Seasons Bangkok Location: https://maps.app.goo.gl/6vJqLpKi6erAYmN48 300/1 ถ. เจริญกรุง Yannawa, เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 เวลาเปิด-ปิด: อังคาร ถึง อาทิตย์ Lunch 11:30 - 14:30 Dinner 18:00 - 22:30 โทร : 06-4646-9245 ที่จอดรถ: ที่จอดรถ Palmier by Guillaume Gallio t at Four Seasons Bangkok สามารถจอดรถได้ภายในที่จอดรถของโรงแรม Four Seasons Bangkok ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/palmierbkk Line: http://bit.ly/FSBangkokLine www.hoparound.co #LetsHoparound #FSBangkok   #PalmierbyGuillaumeGalliot #GuillaumeGalliot #Bangkok #SundayBrunch #FourSeasonsBangkok

  • Amansara อมันสรา เยี่ยมยลนครวัดอย่างแขกคนสำคัญ กับประสบการณ์ Once-In-A-Lifetime

    Amansara เยี่ยมยลนครวัดอย่างแขกคนสำคัญ กับประสบการณ์ Once-In-A-Lifetime “งามสง่า อบอุ่น รุ่มรวย และทำให้เรารู้สึกเหมือนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด” คือตัวอย่างของคำบรรยาย Amansara ที่เรานึกขึ้นได้ครับ บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ แต่มีเพียง 24 ห้องพัก และมีพนักงานดูแลกว่า 70 คน (เท่ากับมีพนักงานดูแลอย่างน้อย 3 คนต่อ 1 ห้องพัก) ทำให้รีสอร์ทแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์และมีความ Exclusive ขั้นสุด สมกับที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือนรับรองแขกคนสำคัญของกษัตริย์กัมพูชา และการเข้าพักที่ Amansara ในคราวนี้นั้นก็ช่วยยกระดับทริปเสียมเรียบ (เสียมราฐ) และการสำรวจนครวัด-นครธมของเราให้กลายเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะจดจำไปไม่รู้ลืมเลือน ยิ่งได้มาในช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวยังบางตาแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเราแทบจะได้ทั้งมหาวิหารเป็นของตัวเองเลย วันนี้ hoparound.co ขออาสาพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับ Amansara ด้วยกันนะครับ บอกใบ้นิดนึงว่า hoparound.co มีข้อเสนอพิเศษที่ Amansara ให้กับชาว #hopsters โดยเฉพาะด้วย Exclusive Rate for Hoparound.co Fans !! ราคาพิเศษเฉพาะ Hoparound.co เท่านั้น!! Amansara Overview ชื่อ Amansara เกิดจากการผสมคำว่า Aman (ชื่อแบรนด์รีสอร์ทซึ่งแปลว่าความสงบ) + Sara (มาจาก Apsara หรือนางอัปสร นางสวรรค์ผู้ดูแลสถานที่สำคัญในวัฒนธรรมขอม) ดังนั้น Amansara จึงแปลว่า ความสงบสุขดุจสรวงสวรรค์นั่นเอง และจากประสบการณ์ของเราก็พอจะยืนยันได้ครับว่าที่นี่สงบสุขดุจสรวงสวรรค์จริงๆ จากเรือนรับรองพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุที่สร้างขึ้นอย่างงามสง่าในช่วงปี 60s เลอค่าทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ในยุคก่อนความขัดแย้งยาวนานภายในประเทศ สถาปัตยกรรมแบบ New Khmer Style ที่หรูหราทว่าเรียบง่ายและอบอุ่น ไปจนถึงโลเคชั่นที่อยู่ห่างจากทางเข้านครวัดเพียง 10 นาทีเท่านั้น Amansara ได้เกิดขึ้นเพื่อจุดประกายความรุ่งโรจน์ให้กับสถานที่อันทรงเกียรติแห่งนี้อีกครั้งในปี 2002 ในฐานะรีสอร์ทสุด Private ที่มีห้อง Suite เพียง 12 ห้อง (ณ ขณะนั้น) และประตูหน้าที่ปิดตลอดเวลา จะเปิดให้เฉพาะแขกของรีสอร์ทเข้า-ออกเท่านั้น ทำให้ Amansara มักจะได้ต้อนรับแขกระดับ VVIP ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสุด ไม่ต่างจากแขกบ้านแขกเมืองของกษัตริย์ในวันวาน ในปี 2005 Amansara ได้เชิญคุณ William Kerry Hill สถาปนิกระดับตำนานของโลกชาวออสเตรเลียนให้มาออกแบบส่วนต่อขยายเพิ่มเติมอีก 12 ห้อง จากเดิม 12 ห้องพักกลายเป็น 24 ห้องพร้อม Private Pool ทำให้แต่ละห้องมีพื้นที่ถึง 141 ตร.ม.เลยทีเดียว และห้องพักของเราก็อยู่ในส่วนที่สร้างใหม่นี่เองครับ เราสามารถสัมผัสได้ถึงความเคารพอย่างสูงที่คุณ Hill มีต่อสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เพราะหากพนักงานไม่ได้แจ้งเราก็แทบแยกไม่ออกระหว่างส่วนดั้งเดิมกับส่วนต่อขยายเลย เพราะทุกอย่างนั้นมีความกลมกลืนต่อเนื่องกันมากเลยครับ มาตรฐานความ Ultra-luxury ของแบรนด์ Aman ทำให้เราวางใจได้ว่าการบริการที่ Amansara นั้นสมฐานะความดีงามของตัวสถานที่อย่างแน่นอน แม้ในช่วงโควิด ทางรีสอร์ทก็ยังมีทีม Amansanti (ศัพท์เฉพาะของทาง Aman ที่ใช้เรียกทีมงาน) เฉลี่ยถึง 3 คนในการดูแล 1 ห้องพัก ลดลงนิดหน่อยจากช่วงปกติ ทุกๆ Touch Point นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้การเข้าพักที่นี่เป็นมากกว่าการเข้าพักรีสอร์ทหรูทั่วๆไป แต่เป็นประสบการณ์พิเศษที่ย้ำให้เรารู้สึกถึงความเป็นคนสำคัญ ตั้งแต่เช็คอินจนเช็คเอ้าท์ พร้อมเชื้อเชิญให้จ่อมจมลงในประวัติศาสตร์ วัตนธรรม และวิถีชีวิตอันงดงามของชาวเสียมเรียบตลอดระหว่างการเข้าพัก The Arrival เพียง 1 ชม.จากสนามบินดอนเมือง เราก็ลงจอดที่เสียมเรียบด้วยความนุ่นมวล ในช่วงที่เราไปกัมพูชานั้นคนไทยไม่ต้องมีวีซ่า ไม่ต้องตรวจ ATK เพียงแต่ต้องมี Vaccine Passport ติดตัวไปด้วย แต่สำหรับแขก Amansara นั้นพิเศษมากขึ้นด้วยบริการผ่านด่านตม.แบบ Fast-Track แค่เพียงเซ็นเอกสาร แล้วก็ไปรอรับกระเป๋าได้เลย เพราะทาง Amansara มีเจ้าหน้าที่คอยจัดการเรื่องอื่นๆให้ทั้งหมด เมื่อออกมาจากสนามบินแล้ว เราก็ได้พบกับรถลิมูซีนวินเทจในตำนาน เป็นรถยนต์คันยาวที่ดูโอ่อ่าสง่างามมาก เพราะสั่งให้ Mercedez Benz ประกอบขึ้นเป็นพิเศษในปี 1962 ในพระนามพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชาในขณะนั้น แค่เพียงมาถึงสนามบิน Amansara ก็ทำให้เรารู้สึกราวกับเป็นแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญเลยครับ ลองคิดดูว่าเราได้นั่งที่นั่งเดียวกันกับพระราชาในอดีตเลยนะครับ ภายในรถนั้นกว้างขวาง มีบริการน้ำดื่มและผ้าเย็นกลิ่นตะไคร้หอม พร้อมทั้งคนขับรถและพนักงานต้อนรับที่ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถและสถานที่ต่างๆตลอดเส้นทางการไปรีสอร์ทซึ่งใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น ระหว่างทาง เราได้เห็นทั้งวิถีชีวิตชาวบ้าน และความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ และแน่นอนครับเราขับผ่านทางเข้านครวัดด้วย เมื่อเรามาถึง ประตูสีดำด้านหน้า Amansara ก็ค่อยๆเปิดออกเพื่อต้อนรับเรา รถวินเทจคันงามก็พาเราเข้าสู่บริเวณรีสอร์ทที่ร่มรื่นและเงียบสงบ หลังจากจอดเทียบที่ Lobby เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้ยินเสียงต้อนรับทักทายจากพนักงาน Front Office ที่เรียงแถวรอรับการมาถึงของเรา พื้นที่บริเวณ Lobby นั้นมี Vibes ที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ Aman เป็นอย่างมาก มีความมินิมอลที่เปี่ยมรสนิยมและทันสมัย แต่ก็สะท้อนถึงความรุ่มรวยของวัฒนธรรมท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้มายาวนานก็ให้ร่มเงาต้อนรับเราด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ ที่พิเศษมากยิ่งขึ้นสำหรับ Amansara ก็คือมนตร์เสน่ห์ของตัว Property ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคไปเป็นแขกบ้านแขกเมืองผู้ทรงเกียรติยังไงยังงั้นเลยครับ เป็นความรู้สึกพิเศษที่อบอุ่นเป็นกันเอง ไม่ทำให้รู้สึกเกร็งเลย การมาถึงของเรานั้นเป็นความประทับใจแรกที่ยากจะลืมเลือนเลยครับ Our Room ห้องพักของเรา เป็น Pool Suite ขนาด 141 ตร.ม.ที่อยู่ในโซนต่อเติมมาจากอาคารดั้งเดิม แต่ดูเนียนเป็นเนื้อเดียวกันกับของเดิมโดยที่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยครับ แถมโซนนี้ยังร่มรื่นมากๆด้วย เพราะอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ถึง 3 ต้นที่ Courtyard ตรงกลาง ในข้อเสนอพิเศษที่ทาง Amansara ทำร่วมกับ hoparound.co หากโซนนี้มีห้องว่าง เพื่อนๆที่ใช้โค้ดของเราในการจองตรงกับทางรีสอร์ท นอกจากจะได้ราคาพิเศษที่ลดลงกว่าครึ่งจากราคาปกติแล้ว ก็จะได้อัพเกรดมาเป็นห้อง Pool Suite ฟรีเลยด้วยครับ คุ้มที่สุดแล้วครับ มาชมห้องของเรากันดีกว่าว่าเป็นยังไงกันบ้าง การจัดพื้นที่ใช้สอยนั้นมีคอนเส็ปต์ Open Plan Living โดยเน้นความต่อเนื่องของพื้นที่แต่ละโซน ทั้งห้องนอน มุมนั่งเล่น ห้องน้ำ ไปจนถึงพื้นที่ Outdoor บริเวณสระส่วนตัวด้านนอก ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยโทนสีขรึมคลาสสิคอย่างสีขาว-ดำ-น้ำตาล เมื่อเข้าห้องซ้ายมือจะเป็น Dressing กับ Minibar มี Mini Island Bench อยู่ด้านหน้า ซึ่งตอบโจทย์ทั้งเรื่องประโยชน์ใช้สอย และความสวยงาม ข้างใต้มีตระกร้าผ้าที่ใส่แล้วเพื่อส่งซักรีดได้ฟรี เพราะรวมอยู่ในข้อเสนอพิเศษของเราด้วยเช่นกัน ขอบอกว่าบริการเนี้ยบมากเลยครับ ต่อมาเป็นโซนโซฟานั่งเล่นที่มีที่นั่งรองรับได้ถึง 4 คน พร้อมผลไม้และหนังสือประวัติคร่าวๆของรีสอร์ทและนครวัด-นครธมที่เราสามารถนั่งอ่านและนำกลับเป็นที่ระลึกได้ เราชอบฝาผนังห้องที่ประดับด้วยภาพลายนูนต่ำสีขาวที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะขอม ดูเรียบง่ายทันสมัยและสะท้อนความเคารพต่อสถานที่ตามวิถีของ Aman ได้เป็นอย่างดี บริเวณหัวเตียงนั้นทำ 2 หน้าที่ไปพร้อมๆกัน นอกจากจะเป็นหัวเตียงแล้ว ยังเป็นโต๊ะยาวสำหรับนั่งทำงาน พร้อมเครื่องเขียนให้ด้วย นอกจากนี้ด้านหลังหัวเตียงยังเป็นประตูเลื่อนไม้ตีเกล็ดที่เอาไว้เปิด-ปิดได้ตามใจชอบ ซึ่งเราคิดว่าเป็นการออกแบบที่ชาญฉลาดและลงตัวมากเลยครับ มาต่อกันที่โซนห้องน้ำกันครับ ตรงนี้เป็นพื้นที่ต่างระดับที่ต้องเดินบันไดลงมา 1 ขั้น จุดศูนย์กลางของห้องน้ำก็คืออ่างอาบน้ำขนาดแช่ 1 คน และมีอ่างล้างหน้า 2 ฝั่งขนาบด้านซ้ายและขวา โดยมีชุดเทียน ธูปหอมให้จุดสร้างบรรยากาศกันด้วย รวมไปถึง Amenities ต่างๆ ตั้งแต่สบู่ล้างมือ ยาฉีดกันยุง เจลแอลกอฮอล โลชั่นบำรุงผิว และสำลี-คอตต้อนบัด ในโซนนี้ทางฝั่งซ้ายจะเป็นโซนห้องอาบน้ำแบบฝักบัวและชักโครก เราปลื้มกับการจัดพื้นที่ใช้สอยที่เป็นสัดส่วนดีมากๆ โดยเฉพาะห้อง Shower นั้นมีผนังเป็นกระจกใส ที่สามารถดูวิวสระว่ายน้ำส่วนตัวด้านนอกไปได้ด้วย ไฮไลท์แน่นอนว่าอยู่ด้านนอกครับ เป็นพื้นที่ Private Pool ดาวเด่นก็คือสระน้ำที่ปูด้วยกระเบื้องสีดำเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับผนังที่ประดับไปด้วยภาพนูนต่ำที่เราตกหลุมรัก ขนาดของสระ 25 ตารางเมตรกำลังดีครับ เอาไว้แช่เล่นเพลินๆ ว่ายได้นิดน่อย จะถ่ายรูปก็ดูสวยขลังไม่เหมือนใครเลยครับ Late Lunch at The Dining Room ท้องเริ่มหิวกันแล้ว เราไปที่ห้องอาหารของรีสอร์ทกันดีกว่าครับ พอมาถึง The Dining Room สิ่งที่อิ่มก่อนท้องของเราก็คือสายตาครับ ต้องบอกว่าห้องอาหารทรงกลมนี้สวยมากๆ แสงธรรมชาติที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานสูงรอบอาคารสลับกับเสาหินนั้นทำให้พื้นที่ดูสว่างปรอดโปร่ง ให้ความรู้สึกโอ่อ่าภูมิฐานและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน สำหรับเมนูของที่นี่นั้นจะมี 3 ส่วน คือส่วนที่เป็น All-Day Dining ก็จะเป็นอาหาร Comfort Food ทั้งแบบกัมพูชาและแบบสากลที่อร่อยง่ายๆเสิร์ฟตลอดวัน ถัดมาจะเป็นเมนูอาหารเช้าที่เสิร์ฟช่วงเช้าเท่านั้น และส่วนสุดท้ายคือดินเนอร์ที่จะเปลี่ยนเมนูทุกวัน โดยในแต่ละมื้อนั้นจะมีตัวเลือกให้ทั้งอาหารกัมพูชาและอาหารตะวันตก อ้อ! เค้ามีบริการ Afternoon Tea ด้วย ซึ่งจะมีทั้ง Bakery แบบตะวันตกและขนมกัมพูชาที่ใช้วัตถุดิบคล้ายๆบ้านเรา แต่การปรุงและรสชาติอร่อยต่างไปนะครับ เรามาใช้บริการที่นี่แทบทุกมื้อเลยครับ รสชาติดีไม่มีผิดหวัง โดยเฉพาะมื้อเย็นที่เราจะตั้งตารอว่าวันนี้จะมีอะไรให้เราเลือกลองชิมบ้าง แถมยังมีความพิเศษตรงที่ทุกๆคืนจะมีนักดนตรีมาบรรเลงเพลงแบบเขมรดั้งเดิม โดยจะมีการสลับสับเปลี่ยนเครื่องดนตรีชิ้นเดี่ยวให้ต่างไปในแต่ละคืน ทั้งมินิมอลและไพเราะมาก คลอไปกับบรรยากาศที่สวยงามเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ในระหว่างที่เราละเลียดความอร่อย สำหรับเราแล้ว เรา Enjoy เมนูซุปร้อนๆในมื้อค่ำมากๆครับ โดยเฉพาะในวันที่ออกไปเที่ยวชมเมืองและโบราณสถานมาหนักๆ ซุปทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ดีสุดๆเลย เป็น Trick ที่อยากแนะนำดูครับผม เรามาบ่อยจนเริ่มสนิทกับพนักงาน (Amansanti) ข้อมูลที่เราเอามาเล่าต่อให้เพื่อนๆฟังก็มักจะได้มาจากการพูดคุยกับพนักงานที่นี่แหละครับ น่าประหลาดใจที่พนักงานทุกคนรู้เรื่องราวของรีสอร์ทอย่างละเอียด แม่นไปจนถึงปีไหนเกิดอะไรขึ้นบ้าง Walking around the property ได้เวลาเดินสำรวจและทำความรู้จักอมันสราแล้วครับ เนื้อที่โรงแรมไม่ใหญ่มาก ทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้าน ฟีลโฮมมี่มากๆ แอบกระซิบว่าเค้ากำลังจะขยายพื้นที่ เพิ่มเติมห้อง Pool Villa ด้วยนะครับ The Pools & Fitness นอกจากสระน้ำส่วนตัวในห้องแล้ว หากเราอยากเสพบรรยากาศสระว่ายน้ำใหญ่ Amansara ยังมีสระไว้ให้บริการอีก 2 สระ สระแรกก็คือ Main Pool ที่ยาวถึง 27 เมตรเหมาะสำหรับเล่นน้ำทั่วๆไป หรือจะนอนอาบแดด จิบค็อกเทล สั่งอาหารมากินริมสระก็ได้เช่นกัน สระหลักนี้อยู่โซนดั้งเดิมและปรากฏอยู่ในภาพโปรโมทรีสอร์ทบ่อยๆ ฉะนั้นหากเราลงเล่นน้ำและถ่ายรูปที่สระนี้ คนที่รู้จัก Amansara ก็จะอ๋อแกมอิจฉาทันทีเลยครับ แต่หากเพื่อนๆอยากออกกำลังจริงจัง ด้านหลังของโซนต่อขยายจะมีอีกสระซึ่งเป็น Lap Pool ที่ยาวถึง 25 เมตร โบนัสของสระนี้ก็คือความ Private ที่มากกว่า เพราะซ่อนอยู่ด้านในสุดของรีสอร์ท และมีฟิตเนสขนาดย่อมแต่อุปกรณ์ครบครัน ที่สำคัญคือโปร่งสบายด้วยกระจกสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานอยู่ในบริเวณเดียวกันกับ Lap Pool ด้วยครับ ฉะนั้นสาย Active สบายใจได้เลยครับ หากอยากจะเข้าคลาสพิเศษอื่นๆ ไม่ว่าจะฟลายอิ้งโยคะ หรือเรียนรำอัปสราก็สามารถสอบถามทางรีสอร์ทได้เช่นกัน เพราะที่นี่นั้นมีห้อง Movement Studio เอาไว้รองรับคลาสพิเศษโดยเฉพาะเลย ซึ่งบรรยากาศดีมากเลยครับ เพราะอยู่ในส่วนเดียวกันกับสปาจึงสวยสงบและร่มรื่นสุดๆครับ Amansara Spa สปาที่ Amansara นั้นงดงามมีมนตร์จริงๆครับ ทันทีที่ก้าวเท้ามาก็รู้สึกได้ถึงความสงบปราศจากการรบกวนใดๆ แม้จะมีห้อง Treatment เพียง 4 ห้อง แต่ทุกห้องก็มีห้องอาบน้ำ ห้องอบไอน้ำส่วนตัว รวมไปถึงห้องให้นั่งพักผ่อนหลังจบ Treatment ด้วย อีกสิ่งที่เราชอบมากๆในงานตกแต่งก็คือภาพสลักนูนต่ำบนหินทรายที่ยาวกว่า 43 เมตรตลอดแนวกำแพงสปา ซึ่งทั้งงดงาม มีเอกลักษณ์ และสะท้อนถึงศิลปะขอมและความเป็น Aman ได้อย่างลงตัว วันนี้เราเลือกลองกันคนละทรีตเมนต์ครับ คุณเค้กเลือก Full Body Oil Massage (Massa Preng) ด้วยเทคนิครีดกล้ามเนื้อแบบกัมพูชา ส่วนคุณเฟิร์สเลือก Temple Walk ซึ่งเป็นทรีตเม้นต์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่เหนื่อยล้าหลังจากออกไปเดินสำรวจโบราณสถานในเขต Angkor โดยเฉพาะ ซึ่งจะเริ่มด้วยการขัดเท้าแล้วบำรุงด้วยโลชั่นฤทธิ์เย็นของ Aman จากนั้นจึงนวดด้วยน้ำมันทั้งที่เท้า ขา และคอ บ่า ไหล่ เอาเข้าจริงๆเราก็จำอะไรไม่ได้มากเพราะเคลิ้มหลับไปด้วยความสบายซะเป็นส่วนใหญ่ เสร็จทรีตเม้นต์กันแล้ว ก่อนออกจากสปา อย่าลืมแวะดูสินค้าแบรนด์ Aman ด้วยนะครับ น่าสนใจหลายชิ้นเลย Library & Boutique ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนเรามั้ยนะครับ เวลามาพักรีสอร์ทดีๆ เราชอบเข้าไปนั่งทำงาน-อ่านหนังสือในห้องสมุด เพราะเรารู้สึกว่าเป็นอีกจุดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจที่คนมักมองข้าม และห้องสมุดของ Amansara นั้นก็สวยสมเกียรติสถานที่ครับ หนังสือที่นี่เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม งานออกแบบ และรีสอร์ทต่างๆของ Aman และอยากจะบอกว่าตรงนี้เป็นที่หลบร้อนระหว่างวันที่ดีมากๆเลยครับ การบริการก็เป็นเลิศอีกเช่นเคยครับ ทันทีที่เราเข้าใช้ห้อง พนักงานก็เข้ามาถามว่าอยากรับเครื่องดื่มอะไรระหว่างนั่งทำงานมั้ย เรียกว่ารู้ใจในทุกโมเม้นต์เลยครับ นอกจากห้องสมุดแล้ว ใกล้ๆกันก็จะมีห้อง Boutique ที่รวบรวมเอางานฝีมือของชาวกัมพูชาที่ทาง Amansara คัดสรรมาแล้วมาวางขายสำหรับแขกที่สนใจด้วย ยังไงก็อย่าลืมแวะเข้าไปชมกันนะครับ Biking Around Siem Reap แค่เพียงใช้เวลาในรีสอร์ทก็คุ้มค่ามากแล้วครับ แต่ที่นี่ยังมีกิจกรรมอีกมากให้เลือกทำครับ เริ่มต้นเบาๆด้วยการปั่นจักรยานชมเมืองเสียมเรียบ จะไปซื้อกาแฟ กินอาหาร หรือช็อปปิ้งก็เพลินมาก ในเสียมเรียบนั้นมีร้านเก๋ๆซ่อนตัวอยู่ค่อนข้างเยอะกว่าที่เราคิดไว้แต่ต้องรู้จักและหาข้อมูลไปล่วงหน้านิดนึงนะครับ ส่วนตัวเมืองนั้นร่มรื่นและถนนกว้างดีมาก แต่หากใครขี้เกียจปั่นจักรยานก็สามารถให้ทางรีสอร์ทขี่รถลากพ่วง (Remork) ไปส่งได้ทั่วโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเลยครับ เพราะรวมอยู่ในค่าห้องพักแล้ว แต่แน่นอนว่าเสียมเรียบมีอะไรให้สำรวจอีกเยอะมาก และเพื่อนๆก็สามารถเลือกซื้อแพ็คเก็จต่างๆเพิ่มเติมกับทาง Amansara ได้ตามความสนใจเลยนะครับ Breakfast at Dining Room เมื่อคืนเราหลับกันสบายมาก ตื่นมาดูเวลาอีกทีได้เวลาอาหารเช้าแล้วครับ มื้อเช้าที่นี่หลากหลายมากๆ ครับ มีทั้งอาหารสไตล์ฝรั่ง ขนมอบ ครัวซองต์ รวมไปถึงอาหารสไตล์กัมพูชาด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นแบบอาลาการ์ทที่สั่งได้ไม่อั้น แต่อย่าลืมทานให้หมดนะ บอกเลยว่าอาหารที่นี่ถูกปากเรามากๆ Angkor Wat วัตถุประสงค์ของการมาเยือนเสียมเรียบของคนส่วนใหญ่ก็คือมาชมนครวัดนี่แหละครับ ถึงขนาดมีคำกล่าวโดย Arnold Toynbee นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษว่า “See Angkor Wat and die.” เพราะที่นี่เป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งกินอาณาเขตกว่า 1,000 ไร่ และเป็นสิ่งก่อสร้างแห่งอารยธรรมเขมรหรือขแมร์ (Khmer) ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดด้วย โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นคริสตศตวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าสุรยวรมันที่ 2 เพื่อให้เป็นพระราชสุสานของพระองค์เอง จนถึงปัจจุบันรวมอายุได้กว่า 900 ปีแล้ว ถือว่าอายุไม่มากเมื่อเทียบกับอีกหลายๆโบราณสถานในเขมรนะครับ ในปี 1854 มีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสชื่อ คุณพ่อ Charles-Emile Bouillevaux ได้เขียนบันทึกไว้หลายฉบับเอาไว้ว่าเขาได้มาพบนครวัด ซึ่งบทความเหล่านั้นบังเอิญได้มาผ่านสายตาของ Henri Mouhot นักสำรวจชาวฝรั่งเศส ทำให้เขาดั้นด้นหาสปอนเซอร์เพื่อเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอ้างว่ามาศึกษาพันธุ์ไม้และแมลง จนในที่สุดเขาก็ได้พบนครวัดจริงๆในเดือนมกราคม ค.ศ. 1860 (162 ปีที่แล้ว) และนครวัดจึงเป็นที่รู้จักในระดับโลกนับแต่นั้นมา ยิ่งถ้าเป็นจริงตามที่ไกด์เล่าว่าคุณ Henri นั้นได้เข้าป่าตามผีเสื้อมาจนพบนครวัดก็ยิ่งเข้าพล็อต Hollywood มากๆเลยครับ ฮ่าๆๆ ทางเข้านครวัดแบบ Exclusive เฉพาะแขกของ AMANSARA เท่านั้น นอกจากจะเอาไว้เก็บพระบรมศพแล้ว เริ่มแรกนครวัดยังเป็นวัดในศาสนาฮินดูเพื่อบวงสรวงบูชาพระวิษณุโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากวัดฮินดูส่วนใหญ่ที่มักจะสร้างขึ้นเพื่อสักการะพระศิวะ โดดเด่นด้วยศิลปะภาพสลักนูนต่ำบนหินรอบอาคาร โดยเล่าเป็นเรื่องราวความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้คนในยุคโบราณ ซึ่งมีชาวละโว้ (ลพบุรี) เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วยนะครับ แต่ต่อมาไม่นานเมื่อศาสนาพุทธได้เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้มากขึ้น จึงมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นวัดพุทธ ทำให้ในปัจจุบันเราจึงสามาถเห็นได้ทั้งความเป็นพุทธและฮินดูที่นครวัด แต่ถ้าจะให้พูดแบบข้ามมุมมองทางประวัติศาสตร์ใดๆไปเลย ก็ต้องบอกว่านครวัดสวยและขลังมากครับ และขอย้ำอีกทีว่าช่วงนี้เป็นนาทีทองที่ควรจะมาเที่ยวเพราะนักท่องเที่ยวยังบางตา (เพิ่งเริ่มกลับมาแค่ 5% เท่านั้น) ทำให้ถ่ายรูปสวยๆได้ง่ายมาก และถ้าหากซื้อแพ็คเก็จนำชมนครวัดกับทาง Amansara เราก็จะได้สิทธิทางเข้าด้านหลังที่พิเศษเฉพาะแขกรีสอร์ทโดยเฉพาะ ซึ่งจะยิ่งดีงามขึ้นไปอีกหากเราเลือกมาตอนเช้าตรู่จะได้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดเลย และยังมีไกด์มืออาชีพความรู้แน่นที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อ (บางคนก็ได้ภาษาไทยนิดหน่อย) รวมทั้งรถรับส่งที่พกเอาน้ำดื่มเย็นๆและผ้าเย็นไปไว้คอยบริการเราด้วย ถ้าสนใจยังไงลองสอบถามทางรีสอร์ทถึงรายละเอียดต่างๆดูอีกครั้งนะครับ Angkor Thom - Bayon นครธมคืออัครนครอันแห่งสุดท้ายของอาณาจักรเขมร เชื่อกันว่าเคยมีประชากรนับล้านคนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงอันรุ่งโรจน์ขนาด 9 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้ แต่บ้านเมืองของผู้คนนั้นสร้างขึ้นด้วยไม้จึงผุพังมลายไปตามกาลเวลา เหลือไว้แต่เพียงโครงสร้างหินที่ตรงประตูเมืองทั้ง 4 ทิศ (แต่ละทิศใช้เดินทางเข้า-ออกด้วยวัตถุประสงค์ต่างกัน) และปราสาทบายนใจกลางเมืองที่ดูขลังราวกับมีชีวิต ในปัจจุบันเราน่าจะคุ้นเคยกับใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบบายนบนยอดปราสาทกันได้ดี ใบหน้าเหล่านี้ว่ากันว่าเป็นใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธรมซึ่งสถาปนาตนเป็นสมมติเทพ ทำให้มีการอ้างอิงว่าใบหน้าเหล่านี้เป็นใบหน้าเดียวกันกับใบหน้าพระพุทธเจ้าด้วย Bayon ไม่ถึง 100 ปีหลังจากที่นครวัดสร้างเสร็จ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้กอบกู้อาณาจักรเขมรคืนจากอาณาจักรจามปาได้สำเร็จ ก็ได้สร้างปราสาทบายนขึ้นตามพุทธคติ และได้สร้างแนวกำแพงเมืองนครธมล้อมรอบโดยอยู่ห่างจากนครวัดไปทางเหนือเพียง 1.5 กม. แต่ต่อมาศาสนาฮินดูได้กลับมาเป็นศาสนาหลักในเขมรอีกครั้ง จึงมีการทำลายองค์ประกอบแบบพุทธลงแล้วใส่ความเชื่อฮินดูเข้าไปแทน ปราสาทบายนจึงมีความผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและฮินดูเข้าไว้ด้วยกันเช่นเดียวกับนครวัด เพียงแต่สลับยุคสมัยกัน หากเพื่อนๆต้องการมาเที่ยวนครธมด้วย เราแนะนำให้วางแผนล่วงหน้านิดนึงครับ เพราะตั๋วการเข้าชมเขต Angkor นั้นมีหลายแบบ ใช้เข้าชมสถานที่ต่างๆได้มากน้อยต่างกัน หรือจะสอบถามเพิ่มเติมกับทาง Amansara ก็สะดวกดีครับ Ta prohm วัดตาพรหม หรือชื่อทางการว่าราชวิหาร เป็นวัดที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้ก่อตั้งนครธม ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระราชมารดา (และสร้างวัดพระขรรค์ซึ่งเราไม่ได้ไปในทริปนี้ เพื่ออุทิศให้กับพระราชบิดา) ไกด์บอกว่าที่คนเรียกว่าวัดตาพรหมก็เพราะไปเข้าใจว่าใบหน้า 4 ทิศตรงยอดประตูของวัดเป็นใบหน้าของพระพรหม ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดมานานนั่นเอง แต่ในวันนี้ สิ่งที่ผู้คนจดจำวัดตาพรหมได้ก็คือรากต้นสำโรง (หรือต้นสะปง) ขนาดใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมหลังคาวัดหินโบราณ ทำให้ดูขลังอย่างมาก มีเสน่ห์ถึงขนาดเป็นหนึ่งในฉากหลักของภาพยนตร์ Hollywood เรื่อง Lara Croft: Tomb Raider ที่นำแสดงโดย Angelina Jolie เลยทีเดียว ซึ่งก็ยิ่งทำให้ภาพของวัดตาพรหมเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นไปอีก เราแอบไปค้นหาดูว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายเมื่อไหร่ เพราะสำหรับเราแล้วก็รู้สึกเหมือนไม่นานมานี้เอง แล้วก็ต้องตกใจว่าออกฉายตั้งแต่ปี 2001 ก่อนที่ Amansara จะเปิดตัวเสียอีก ฮ่าๆๆๆ สำหรับเราแล้ว วัดตาพรหมกลับกลายเป็นโบราณสถานที่เราชอบที่สุดในทริปนี้เลย ไม่แน่ใจว่าเพราะอากาศเป็นใจและโล่งสบายแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเพราะขนาดของอาคารที่ยังมีความเป็น Human Scale ไม่ได้แกรนด์เท่ากับอีก 2 ที่ที่ไปมา ผสมกับความดิบของต้นไม้ที่ขึ้นไต่ตามสิ่งปลูกสร้างแบบธรรมชาติ แต่การเดินเล่นสำรวจวัดตาพรหมคราวนี้นั้นเพลิดเพลินมากๆครับ ใครที่ได้ไปวัดตาพรหมนอกจากจะมุมถ่ายรูปกับรากไม้ซึ่งมีหลายจุดแล้ว เราขอแนะนำอีก 3 จุดที่คนอาจจะมองข้ามครับ นั่นก็คือโถงปลดปล่อยความโศกเศร้า (อันนี้เราตั้งชื่อให้เองเพราะไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร ฮ่าๆ) เป็นพื้นที่ด้านในพระปรางค์ที่เราสามารถยืนพิงผนังอธิษฐานและทุบไปที่อกของเราจนเกิดเสียงก้อง เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ในใจของเราได้ จุดที่สองก็คือก้อนหินหน้ายิ้มอันนี้บอกยากว่าอยู่ตรงไหน เพราะเราก็บังเอิญเจอเช่นกันแต่น้องน่ารักมากเลยครับ และจุดสุดท้ายก็คือภาพสลักบนหินรูปไดโนเสาร์ที่จนถึงทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังงงๆว่ามาโผล่ที่วัดแห่งนี้ได้ยังไง หรืออาจจะเป็นแค่เป็นผลงานของคนมือบอนก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ นอกจาก 3 โบราณสถานที่ยอดฮิตเราพาไปสำรวจแล้ว เสียมเรียบและบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีวัดและปราสาทหินที่เก่าแก่ยิ่งกว่านี้อีกเยอะมากครับ บ้างก็อยู่บนยอดเขา บ้างก็อยู่กลางน้ำ บ้างก็แฝงตัวอยู่กับบ้านเรือนผู้คน หากเพื่อนๆสนใจในประวัติศาสตร์เขมรก็มีที่ให้สำรวจอีกไม่รู้จบเลยล่ะครับ Aman Khmer Village House เที่ยวที่โบราณๆกันมาเยอะแล้ว เรามาดูชีวิตผู้คนที่ใกล้ตัวเข้ามากันบ้าง หมู่บ้านเขมรดั้งเดิมนั้นยังพอมีให้เราได้เห็นกัน แต่ก็ค่อยๆถูกสังคมแบบใหม่กลืนไปทีละน้อย และ Amansara ก็ได้พยายามช่วยอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวบ้านในวันวานเอาไว้ด้วยการเข้าไปดูแลจัดการบ้านไม้ทรงเขมรแท้ๆพร้อมกับช่วยฝึกอบรมชาวบ้านในละแวกนั้นให้มาช่วยดูแลบ้านหลังนี้ และสาธิตวิถีชีวิตจริงๆของพวกเขาให้เราดู เช่นตอนที่เราไปนั้นก็มีการสาธิตการทำเส้นขนมจีนแบบเขมรและให้เราได้มีส่วนร่วมทำได้ด้วย ถ้าพอใจกับผลงาน จะให้ทีมของ Amansara เอาเส้นไปปรุงต่อกลายเป็นอาหารเขมรฝีมือเราเองก็ได้เช่นกัน ในเคสของเรานั้นเราก็ได้รับประทานขนมจีนเขมรเป็นอาหารเช้าที่นั่นด้วย เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์น่ารักๆที่น่าจดจำมากครับ หากเพื่อนๆสนใจจองมื้ออาหารที่บ้านทรงเขมร หรือต้องการเอ็นจอยกับวิถีชีวิตชาวบ้านแบบ Authentic ก็สอบถามกับทางรีสอร์ทได้เลยนะครับ A Vintage Jeep Ride To Siem Reap’s Outskirt & Water Blessing Ritual อีกกิจกรรมที่สนุกมากก็คือการนั่งรถ Jeep วินเทจไปชานเมืองเสียมเรียบครับ เพราะเสียมเรียบไม่ได้มีแค่โบราณสถาน แต่ยังมีชนบทที่สวยงาม และวิถีชีวิตชาวบ้านจริงๆที่ต่างจากภาพในนิตยสาร ทริปชานเมืองของเราในวันนี้นั้น เราได้นั่งรถจี๊บบนถนนลูกรังผ่านหมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่ในเขตท่องเที่ยว การเกษตรและปศุสัตว์ของชาวบ้านตลอดเส้นทาง และปลายทางของเราก็คือวัดพุทธที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งเราจะมาเข้าพิธีรับพรพระสงฆ์กัมพูชาด้วยการอาบน้ำมนต์กันครับ สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับการบริหารจัดการของ Aman ก็คือการพยายามรักษาจิตวิญญาณดั้งเดิมของแต่ละสถานที่เอาไว้ ที่นี่ก็เช่นกันครับ ทีมงานของรีสอร์ทได้อำนวยความสะดวกจัดห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เราโดยเฉพาะ โดยยังรักษาความกลมกลืนกับวัดแห่งนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียน เมื่อเปลี่ยนชุดเป็นโสร่งเสร็จ ก็ได้เวลาไปนั่งที่แคร่ และพระกัมพูชาก็จะมาสวดมนต์และอาบน้ำมนต์ให้เราประมาณ 3-5 นาที (น้ำค่อนข้างเย็นนะครับ) สดชื่นและอิ่มบุญแล้ว เราก็ไปเปลี่ยนชุดกลับ ซึ่งทุกขั้นตอนสมูธมากๆครับ หลังจากนั้นเราก็จะไปทำพิธีต่ออีกเล็กน้อยที่อุโบสถ หากอยากบริจาคช่วยเหลือวัดก็สามารถทำได้ที่นี่เลยครับ ซึ่งเราก็ทำบุญไปเช่นกัน ขากลับโชคดีที่อากาศเป็นใจ คนขับจึงแวะ Snack Break ข้างๆทุ่งนาเขียวขจี ทางรีสอร์ทได้จัดเอาขนมและเครื่องดื่มเตรียมไว้ให้เรามาปิกนิกกันเล็กๆพร้อมมีผ้าเย็นกลิ่นตะไคร้ให้เราด้วย การแวะสั้นๆนี้เป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ Thoughtful และเซอร์ไพร้ซ์เรามาก ต้องขอชมเชยว่า Amansara ใส่ใจรายละเอียดสุดๆเลยครับ Tonle Sap Cruise เพื่อนๆรู้มั้ยครับว่าที่กัมพูชานั้นมีทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ด้วย ซึ่งก็คือโตนเลสาบนั่นเอง ใหญ่ขนาดไหนน่ะเหรอครับ ก็ 2,700 ตร.กม. หรือแค่ประมาณ 12 เท่าของบึงบอระเพ็ดทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในไทยเท่านั้นเอง และ Amansara ก็มีเรือเฉพาะของรีสอร์ทที่ชื่อ Amanbala ที่จะพาเราล่องไปอย่างไพรเวทเพื่อชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมน้ำ เสพวิวที่กว้างสุดลูกหูลูกตาและรับสายลมเย็นๆจากแหล่งน้ำขนาดมหึมาและธรรมชาติรอบๆ ต้องบอกว่าชิลล์เกินคาดไปมาก หากเพื่อนๆมาตอนเย็นและโชคดีฟ้าเปิดก็จะได้เห็นวิวตะวันตกดินที่งดงามมาก นอกจากนี้บนเรือยังมีอาหารว่างเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มด้วยครับ หรือหากเพื่อนอยากจัดเต็ เป็น Private Dinner Cruise ก็สอบถามกับทาง Amansara ได้เลยครับ ปิดท้ายวันด้วยมื้อค่ำ ณ ห้องอาหาร Dining Room หลังจากไปทำกิจกรรมต่างๆนอกรีสอร์ท เราก็กลับมาทานมื้อค่ำกันที่นี่อีกครั้ง ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจะกลับพรุ่งนี้ รอบนี้เราลองอาหารทั้งสไตล์ฝรั่ง และ กัมพูชาเลยครับ แถมวันนี้ยังได้นั่งฟังเสียงดนตรีบรรเลงจากขิม โดยคนกัมพูชาด้วยครับ Turn Down ได้เวลากลับห้องพักผ่อนกันแล้วครับ ค่ำคืนนี้ห้องของเราได้รับการ Turn Down พร้อมนอน ทีม Housekeeping เซอร์ไพร้ส์เราด้วยการวางพวกมาลัยมะลิ กลิ่นหอมๆ ไว้บนเตียงในคืนแรก ส่วนคืนที่สองก็นำพริกไทยกัมปอตซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่ คืนที่สามจัดเต็มที่สุดคือเป็นภาพถ่ายปราสาทตาพรหม พร้อมข้อความน่ารักๆ และยังมีการจัดเตรียม Bath tab ลอยดอกบัวสีชมพู ให้เราพร้อมลงไปแช่ตัวอีกด้วย ขอบคุณมากๆเลยครับ Wrapping Up Our Trip ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้ว่าเราประทับใจกับ Amansara มากแค่ไหนนะครับ หลายปีมาแล้วสมัยที่เรายังวัยรุ่น เราเคยมาเสียมเรียบเพื่อเที่ยวนครวัดแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นประสบการณ์แตกต่างจากครั้งนี้แบบพลิกแผ่นดินเลย และตัวแปรสำคัญก็คือ Amansara นั่นเองครับ รีสอร์ทระดับ Ultra-Exclusive แห่งนี้นั้นมีบริการที่สามารถยกระดับการเดินทางของเราให้เป็น Once-In-A-Lifetime Experiece ได้แบบเหนือความคาดหมาย เรารู้สึกเป็นคนสำคัญดุจแขกบ้านแขกเมืองในวันวานที่ได้รับการดูแลแบบยอดเยี่ยมที่สุดในทุกๆวันที่เราอยู่ที่นี่ และมันไม่ใช่แค่ความหรูหราหรือสิทธิพิเศษต่างๆที่ทาง Amansara มอบให้เท่านั้น แต่เรารู้สึกได้ถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งถึงจิตใจ ยิ่งซีนที่เราเช็คเอ้าท์ และรถ Vintage Mercedez คันงามค่อยๆพาเราออกจากรีสอร์ท แล้วพนักงานทุกคนมายืนเข้าแถวโบกมือบอกลานั้น สารภาพตามตรงว่าจู่ๆก็น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยครับ แถมตอนพาเรามาส่งที่สนามบิน ยังแอบเห็น Tag กระเป๋าเดินทางดีไซน์พิเศษเฉพาะ AMANSARA ให้เราทั้งสองคนด้วย ไม่รู้ว่าแอบติดตอนไหนนะ บอกแล้วครับ ประสบการณ์ที่นี่ดีมากจริงๆ แล้วเราจะกลับมาอีกแน่นอนครับ :) Amansara: Closer to home ยลนครวัดแบบ Ultra-Exclusive กับข้อเสนอสุดพิเศษที่ hoparound.co เท่านั้น #HoparoundDeals ครั้งแรกกับห้องพักเรทพิเศษสำหรับคนไทยเริ่มต้นคืนละ 𝗨𝗦𝗗 𝟲𝟬𝟬++ เพียงแจ้งโค้ด '𝗛𝗼𝗽 𝗔𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱' สิทธิประโยชน์: 1. ห้องพักเรทพิเศษเริ่มต้นที่ USD 600++/คืน 2. อาหารเช้า ณ The Dining Room 3. อัปเกรดห้องพักฟรีเป็นห้องพักลำดับถัดไป (ขึ้นอยู่กับห้องว่างในแต่ละวัน) 4. การเช็คอิน-เช็คเอ้าท์ที่ยืดหยุ่น (ขึ้นอยู่กับห้องว่างในแต่ละวัน) 5. ชุดน้ำชายามบ่ายพร้อมผลไม้สดทุกวันตลอดการเข้าพัก 6. บริการรถจักรยาน, ตุ๊ก ตุ๊ก และรถรับส่งภายในตัวเมืองเสียมเรียบ 7. บริการซักรีด (ไม่รวมซักแห้ง) 8. บริการจัดทัวร์เข้าชมนครวัดและโบราณสถานอื่นๆ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) 9. พิเศษสำหรับผู้ที่จองและเข้าพักภายในเดือนสิงหาคม-ตุลาคมนี้ เลือกรับฟรีนวดน้ำมัน 60 นาที สำหรับสองท่าน หรือ Afternoon Tea Set สำหรับสองท่าน สำรองห้องพัก: โทร (855) 63 760 333 อีเมล: amansarares@aman.com อย่าลืมแจ้งโค้ด '𝗛𝗼𝗽 𝗔𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱' เมื่อสำรองห้องพัก จองและเข้าพักได้ถึง 31 มีนาคม 2025 โอกาสทองมาถึงแล้ว เราอยากให้เพื่อนๆได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีงามอย่างที่เราได้ไปสัมผัสมา เพราะดาวเคราะห์ใบนี้เป็นของเรา มากระโดดโลดเที่ยวไปด้วยกันกับ hoparound.co นะครับ #LetsHoparound #Amansara #SiemReap #Cambodia #BestDeal #ExclusiveDeal #BestRate

  • PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 1

    PARIS PART 1 8 neighbourhoods to visit เที่ยว 8 ย่านชิคๆ คูลๆ ในปารีส ใครๆก็รู้ว่า Paris นั้นขึ้นแท่นเป็นเมืองยอดนิยมที่สุดตลอดกาลเมืองหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานจนบางคนอาจรู้สึกว่า Paris กลายเป็นเมืองแมสที่ใครๆก็ไปกัน ไม่เท่เท่าเมืองใหม่ๆ ไม่ชิคเท่าเมืองที่ไปยากๆ แต่เชื่อเราเถอะว่า Paris ได้ตำแหน่งนี้มาอย่างสมศักดิ์ศรีเพราะนางมีดีมากเหลือเกินจริงๆ (อ่อ... คำว่า “ชิค” นี่ก็ภาษาฝรั่งเศสนะ) ทริปนี้เราจะพาคุณไป #hop ดู Paris ผ่าน 2 มุมมองที่ต่างกัน เพราะ 2 คนที่เดินทางไปด้วยกันนี้ คนหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อนและอีกคนเพิ่งจะได้เปิดซิง Paris เป็นครั้งแรกแม้ว่าเราจะใช้เวลาซ่อกแซ่กอยู่ในปารีส 11 วันเต็มๆ เราก็ยังเที่ยวไม่ครบเล้ยยยย ครั้งนี้เราใช้บริการการบินไทยและเราจ่ายเพียงค่าภาษี 6,xxx บาทเท่านั้น แต่ก็สามารถติดแฮชแทค #IflyThai #ThaiAirways ได้แบบไม่น้อยหน้าใคร ต้องขอบคุณพลังทวีในการสะสมไมล์ผ่านบัตรเครดิต THAI Amex Platinum Card ที่ทำให้เราสะสมไมล์ได้เร็วขึ้นผ่านการจับจ่ายซื้อของต่างๆในชีวิตประจำวัน และยิ่งถ้าซื้อตั๋วการบินไทยผ่านบัตรนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เราจะได้ไมล์สะสมหลายเด้ง แถมแบ่งชำระ 0% ได้ 3 เดือนอีกต่างหาก นอกจากหอไอเฟล มาการอง และกระเป๋าแบรนด์เนมที่ใครๆก็นึกถึงเมื่อพูดถึง Paris แล้ว ต้องบอกว่าเมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้คือแหล่งบ่มเพาะการสร้างสรรค์งานศิลปะ แฟชั่น อาหาร ดนตรี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เริ่ดหรูอย่างหน้าตายจนน่าหมั่นไส้ ถ้าเป็นคนชอบเดินดูเมือง ดูคน ดูร้าน ดูงานดีไซน์ไปเรื่อยคุณจะเอ็นจอย Paris มากๆ (โดยเฉพาะย่าน Le Marais ย่านโปรดของเรา) หลายสิ่งด้านลบที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับปารีส ไม่ว่าคนไม่เฟรนด์ลี่ หรือขโมยเยอะ มาคราวนี้เราไม่เจอเลย คนปารีสส่วนใหญ่ nice กับเรามาก (ยกเว้นเจ้าหน้าที่ Tax Refund ที่สนามบินขากลับ) และถ้าเทียบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าคนปารีสยุคนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมาก และไม่พยายามทำหงุดหงิดแก้เขินเหมือนเมื่อก่อน 20 arrondissements ผังเมือง Paris แบ่งง่ายๆเป็น 20 เขต (arrondissements) โดยวนเป็นก้นหอย เริ่มจากฝั่งขวาของแม่น้ำเซน (บริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ Louvre) แล้ววนตามเข็มนาฬิกาออกไปเรื่อยๆจาก 1 จนถึง 20 แต่สำหรับเราแล้ว วิธีที่ทำให้เห็นภาพรวมของ Paris ได้ง่ายกว่านั้นก็คือซีกตะวันตกของ Paris จะเป็นย่านพักอาศัยของคนมีเงินมาก และซีกตะวันออกเป็นย่านของคนมีเงินน้อย ส่วนซีกบนของ Paris (หรือฝั่งขวาของแม่น้ำเซน — La Rive Droite) จะเป็นย่านการค้า และซีกล่าง (หรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน — La Rive Gauche) จะเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียนและนักวิชาการ การเดินทางใน Paris นั้นง่ายมาก เพราะรถไฟใต้ดิน(Métro) เชื่อมต่อกันทั่วถึงทั้งเมือง และเชื่อมกับรถไฟออกไปถึงที่เที่ยวนอกเมืองอย่างพระราชวัง Verseille หรือ Euro Disney ด้วย ถ้าจะอยู่ใน Paris นานเป็นสัปดาห์อย่างเรา ขอแนะนำตั๋ว Navigo ที่มีทั้งตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือนซึ่งคุ้มค่ามากๆ สามารถทำได้ตามจุดบริการของสถานี Métro ใหญ่ๆ แอบกระซิบหน่อยว่าต้องเตรียมรูปถ่ายไปติดบัตรด้วยนะ แต่ถ้าไม่ได้เตรียมไป ตามสถานีก็มักมีตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติเอาไว้อำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว ส่วนที่พัก เราเลือกพัก AirBnB แถวสถานี Grands Boulevards ตั้งอยู่ในเขต 2 ซึ่งสะดวกมากกกก มีสถานี Métro อยู่ปากซอยเลย แม้พื้นที่จะแคบไปหน่อยตามมาตรฐานยุโรป แต่ราคาก็ถือว่าเป็นมิตร แถมโฮสก็ดีด้วย ไปถึงวันแรกเค้าจัดดินเนอร์ให้เลย 1 มื้อ พูดถึงอาหารการกิน ส่วนตัวแล้วปารีสเป็นเมืองที่หาอาหารอร่อยถูกปากค่อนข้างยาก และราคาค่อนข้างสูง แม้อาหารฝรั่งเศสจะมีชื่อก้องโลก แต่อาหารฝรั่งเศสที่อร่อยก็ไม่ได้หาได้จากร้านข้างทางทั่วไป บางร้านต้องจองล่วงหน้านานๆ ฉะนั้นถ้าอยากกินของดีทำการบ้านกันไปก่อนนะ ส่วนถ้าใครติดกาแฟอย่างเรา คนที่นี่กินกาแฟค่อนข้างจืดนะ อาจจะหาถูกปากเหมือนบ้านเรายากนิดนึง แต่เราก็แอบบอกพิกัดไว้ในนี้แล้วล่ะว่ามีร้านไหนบ้างที่ขายกาแฟที่รสพอถูกปากเรา อีกเรื่องคือ ภาษาฝรั่งเศส เป็นอะไรที่ออกเสียงยากสำหรับคนที่ไม่คุ้น หนึ่งในการออกเสียงที่เด่นชัดที่สุดคือการออกเสียงตัว r ซึ่งปกติก็จะเทียบเท่ากับตัว ร.เรือ ในภาษาไทย แต่ภาษาฝรั่งเศสจะออกเสียงตัวอักษรนี้ด้วยการเอาลมผ่านไปที่เพดานอ่อนของช่องปาก ประหนึ่งว่าจะขากถุย 5555 แต่ทำแบบซอฟท์ๆ เสียงที่ออกมาจะเป็นส่วนผสมของ ค.ควาย + ฮ.นกฮูก และเราเขียนออกมาเป็นภาษาไทยค่อนข้างยาก ถึงเขียนได้ก็อ่านยากอยู่ดี เช่น Paris = ปาคฮี หรือ Marais = มาคเฮ่ ดังนั้นเพื่อความสะดวกเราจึงขอเขียนแทนด้วย ร.เรือ ง่ายๆเลยละกันนะ สุดท้ายก่อนจะไป #hop กัน ร้านใน Paris ส่วนใหญ่ปิดวันอาทิตย์นะ ถ้าวางแผนจะมาก็ลองเช็ควันเวลากันให้ดีคร้าบบบ พวกแลนด์มาร์คและจุดช้อปปิ้งหลักๆอย่าง หอไอเฟล ถนน Champs-Élysées และห้างดังๆ เราขอข้ามไปเลยนะ น่าจะหาข้อมูลกันง่ายอยู่แล้ว เราพาไปดูอะไรที่ถูกจริตเรากันดีฝ่าาา . อ่ะถ้าพร้อมแล้วไปกัน Let’s Hop Around Paris... 1.La Rive Gauche (ลา รี้ฟ โก๊ช - เขต 5, 6 และ 7) คำว่า Rive Gauche หมายถึงฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน นั่นก็คือซีกล่าง ของ Paris นั่นเอง อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าฝั่งซ้ายของแม่น้ำนั้นเดิมทีเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียน และนักวิชาการคนสำคัญๆของฝรั่งเศสและของโลก ที่นี่เป็นต้นตอของความเป็นขบถของปารีส เช่น การถือกำเนิดขึ้นของร้าน Yves Saint Laurent Rive Gauche เมื่อปี 1966 ที่เปลี่ยนขนบให้แบรนด์ Haute Couture หันมาทำเสื้อผ้า ready-to-wear เป็นครั้งแรกเพื่อให้เป็นที่จับต้องได้ของคนธรรมดามากขึ้น ฝั่งนี้ของแม่น้ำจึงมีมนต์เสน่ห์บางอย่างที่ยังอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศ แม้จะไม่พลุกพล่านอย่างอีกฝั่งของแม่น้ำ (ถ้าไม่นับบริเวณหอไอเฟลและพิพิธภัณฑ์ Musée D’orsay) แต่ร้านรวงที่อยู่ในละแวกนี้ต่างก็เป็นร้านที่ถูกคัดมาอย่างดีมากจริงๆ Beaupassage เริ่มจาก Beaupassage แหล่งรวมร้านอาหารติดดาวมิชลินรวมกันไว้ถึง 17 ดวง ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา Location: https://goo.gl/maps/CFC37rBuxVNpLBZo8 เรามาที่นี่ไม่ได้ตั้งใจมากินอาหารหรอกนะ แต่เรามาหากาแฟรสชาติถูกปากดื่มที่ร้าน %ARABICA หลังจากที่อดอยากมาหลายวัน (อย่างที่บอก.. กาแฟในปารีสส่วนใหญ่ไม่ถูกปากเลย) แถมได้โบนัสด้วยคือได้มุมถ่ายรูปสวยๆที่ปราศจากผู้คน Location: https://goo.gl/maps/zGVyFnKb3KBfM2P7A จาก Beaupassage เราเดินเล่นตามถนน Rue de Grenelle ไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับช็อปใหญ่ของ Maison Margiela, Carven, Ami, Yohji Yamamoto รวมถึงแบรนด์เล็กๆแต่เก๋ๆอีกหลายแบรนด์ และร้านขนม ข้าวของกระจุกกระจิกน่ารักๆมากมาย ในรูปคือร้าน NOGLU ร้านอาหาร Gluten-free ที่ตกแต่งภายในได้โดดเด่นน่ารักมาก สามารถหาดูได้ใน Pinterest มีคนเอาไปลงไว้เยอะแยะเลย NOGLU Dalloyau (ดาลลัวโย) เป็นร้านขนมและอาหารเก่าแก่ มีหลายสาขา แม้ตัวร้านจะไม่ใช่ร้านขนมแรกของปารีส แต่ต้นตระกูล Dalloyau นั้นปรุงอาหารถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาตั้งแต่ปี 1682 เชียวนะ AMI AMI (แปลว่า ‘เพื่อน’ แต่ดูจากราคาแล้วเพื่อนต้องรวยมากเหมือนกันนะ อิอิ) แบรนด์ที่เน้นเสื้อผ้าผู้ชายวัยรุ่นที่ดูสบาย แต่มีความเชิ่ดแบบปารีเซียงไปในเวลาเดียวกัน ถึง AMI จะมีเสื้อผ้าผู้หญิงด้วย แต่เค้าก็ยังใช้คำว่า “menswear for women” ก็คือเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงที่ inspired มาจากเสื้อผ้าผู้ชายอีกที เก๋ป่ะล่า หลายคนอาจเคยเห็นโลโก้ตัว A ที่มีหัวใจอยู่ด้านบนของนางไปบ้าง และนางก็มีช็อปอยู่ญี่ปุ่น กะจีนด้วยนะ ก่อตั้งโดยดีไซเนอร์ Alexandre Mattiussi ดีไซเนอร์เสื้อผ้าผู้ชายคนแรกที่ชนะรางวัล ANDAM อันทรงเกียรติในแวดวงแฟชั่นฝรั่งเศส Carven (คิดถึง....เค้าเคยมีช็อปในไทยด้วยนะ) Maison Margiela Maison Margiela แบรนด์แฟชั่นลักชัวรี่สัญชาติฝรั่งเศส (อีกแบรนด์โปรดของเรา) ซึ่งแต่ผู้ก่อตั้งเป็นชาวเบลเยี่ยม Martin Margiela อดีตมือขวาของ Jean Paul Gaultier ได้ตัดสินใจออกมาเปิดแบรนด์ของตัวเองในปี 1988 ผลงานของ Margiela นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิด deconstructive ที่จับเอาชิ้นส่วนต่างๆของเสื้อผ้ามาแยกองค์ประกอบ ก่อนที่จะประกอบกันใหม่จนเกิดเป็นชิ้นงานที่ดูแปลกตา เอาเข้าจริงๆคนที่นำแนวคิดนี้มาใช้เป็นคนแรกๆก็คือ Rei Kawakubo แห่ง Comme des Garçons นั่นเอง แต่สไตล์ของ Margiela ก็มีการสร้างอัตลักษณ์ให้ออกมาต่างจากแบรนด์คอนเส็ปต์ deconstructive อื่นๆ ที่ทั้งเรียบง่ายแต่ก็เป็นที่จดจำได้อย่างดี อย่างเช่น การนำ Margiela numbers 0-23 ที่ใช้ในการแบ่งประเภทของสินค้าของแบรนด์ มาตกแต่งบนตัวสินค้าเลย โดยมีวงกลมล้อมรอบตัวเลขเพื่อบอกไว้ว่าสินค้าชิ้นนั้นอยู่ในแคทตากอรี่ไหน หรือจะเป็นการเดินด้ายหรือเชือกตรงมุมทั้ง 4 ของป้ายที่เป็นเอกลักษณ์ของ Margiela Yohji Yamamoto Le Bon Marché เดินมาไม่ถึง 10 นาทีก็จะเจอห้างหรูอย่าง Le Bon Marché (Métro สถานี Sèvres–Babylone) ห้างนี้ความเป็นมาอย่างยาวนานมาตั้งแต่ปี 1838 หรือ 181 ปีที่แล้ว ในปัจจุบันได้กลายเป็นห้างทันสมัยและได้ถูกเครือแบรนด์หรูอย่าง LVMH เทคโอเว่อร์ไปเรียบร้อยแล้ว Le Bon Marché นั้นคัดรวมเอามาทั้งแบรนด์หรูขึ้นหิ้งและแบรนด์นิชต่างๆที่หาได้ยากในห้างอื่น แม้ไม่ได้จะซื้ออะไร แค่เข้าไปดูการตกแต่งห้างก็คุ้มแล้ว อ่อ! ลืมบอกไปว่าทีเด็ดอีกอย่างของ Le Bon Marché ก็คือส่วนของ supermarket ที่มีชื่อว่า La Grande Epicerie de Paris โอยยย เดินเพลินเชียวแหละ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานของฝากต้องมา! Location: https://goo.gl/maps/5mmuhKYDNRdPqvuj9 ต้นคริสต์มาสลอยได้ สงสัยได้แรงบันดาลใจมาจาก Hogwarts Hermès ที่อยู่ไม่ไกลจาก Le Bon Marché ก็คือ ร้านใหญ่ของ Hermès (เป็นร้านแรกในฝั่ง Rive Gauche หลังจากที่เปิดขายอยู่ที่อีกฝั่งแม่น้ำมากว่า 170 ปี) สาขานี้ตั้งอยู่ในอาคารที่แต่เดิมเคยเป็นสระว่ายน้ำยอดนิยมที่คนเก๋ๆในยุค 1930s นั้นไปแฮงเอ้าท์กัน การตกแต่งจึงดูโอ่อ่าสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco เมื่อมาทำใหม่ Hermès จึงรื้อเอาเสน่ห์เดิมมาขัดสีฉวีวรรณแล้วก็เพิ่มงานไม้สมัยใหม่ลงไป ทำให้บรรยากาศโดยรวมนั้นดูหรูหรา ทว่าสบายๆไม่เก๊กเกร็งจนเขิน Location: https://goo.gl/maps/EkYGcu6ccMaKEynJ7 เดินมาอีกหน่อยก็จะเจอ Aēsop สาขานี้เก๋อะ Soeur ถัดจากนั้นก็เข้าย่าน Saint-Germain-des-Prés ที่เป็นย่านวัยรุ่นและเข้าถึงง่ายขึ้นมาหน่อย ย่านนี้มีทั้งร้านเสื้อผ้ากระเป๋า เครื่องสำอางค์ เครื่องหอม ร้านหนังสือ รวมไปถึงร้านอาหาร คาเฟ่ เก๋ไก๋มากมาย ในรูปคือร้าน Soeur (เซอร์ - แปลว่าพี่หรือน้องสาว) เป็นร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงแสนเก๋ที่เราเคยเห็นผ่านตาใน IG จริงๆในย่านนี้มีคาเฟ่โบราณที่โด่งดังในความขลังอย่าง Cafe de Flore หรือ Les Deux Magots (แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาฝาก) คือว่า สมัยก่อน 2 ร้านนี้เป็นเหมือนสภากาแฟของศิลปินและนักคิดนักเขียนระดับตำนานอย่าง Picasso หรือ Hemingway ซึ่งแวะเวียนมา 2 ร้านนี้กันบ่อยๆ Maison Kitsuné ในย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของ A.P.C. สาขาแรกในโลกบนถนน Rue Madame (ไม่เกี่ยวอะไรกะในรูปนะครับ 555) หรือจะเป็น Maison Kitsuné (อ่า อันนี้อยู่ในรูป), Sandro (มีของผู้ชายด้วยนะ สวยด้วยแหละ), COS ไปจนถึง Uniqlo และ Muji ก็มีให้เลือกซื้อกันตามใจชอบ นอกจากนี้ยังมีร้านขนมปังเก่าแก่ที่โด่งดังเรื่อง Sourdough อย่างร้าน Poilâne หรือจะเป็นร้านขนมหวานชื่อดังอย่าง Pierre Hermé ที่เมื่อ 10 ปีก่อน เรามักมาแวะซื้อขนมก่อนไปโรงเรียนบ่อยๆก็มีสาขาที่นี่ด้วย Le Pont Traversé เรารำลึกความหลังด้วยการเดินผ่านร้านหนังสือของสำนักพิมพ์ Taschen ที่เมื่อ 10 ปีก่อนเราเคยเป็นลูกค้าประจำ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเปิดขายอยู่ ใครเป็นแฟน Tashen ก็แวะมาได้เลย แถวนี้ยังมีร้านหนังสือเจ๋งๆ ที่ดูรกแต่เท่อีกร้านชื่อ Le Pont Traversé ร้านนี้เทิร์นมาจากร้านขายเนื้อเก่าแก่ ถือว่าคี้ปคอนเซ็ปต์ความดิบได้ดีมาก อีกหนึ่ง stop ที่อยากแนะนำคือร้าน skincare ชื่อ La Boté ที่ปรุงครีมและเซรั่มสดๆในแล็ปหน้าร้านเลย ก่อนปรุงจะมีการทำแบบสอบถามเพื่อหาสภาพผิวและปัญหาของลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ คือ personalise กันสุดๆ ที่สำคัญราคาก็ไม่แพงด้วยนะนี่เหมามา 3 ขวดถ้วน 5555 ฝั่ง Rive Gauche นี้ยังมียังมีย่านย่อยๆที่น่าสนใจอีกเยอะมากไม่ว่าจะเป็น Quartier Latin ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย Sorbonne ที่เก่าแก่กว่า 200 ปี หรือจะเป็นสวน Jardin du Luxembourg เราละเอาไว้ให้ชาว #hopsters มาซ่อกแซ่กต่อกันเองแล้วกันเนอะ 2. Le Marais (เลอ มาเรส์ - เขต 3 และ 4) Le Marais ถูกขนานนามว่าเป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดย่านหนึ่งในปารีส จากเดิมที่เป็นที่ลุ่มไร้ค่า เฉอะแฉะไปด้วยโคลน Le Marais ผ่านความเปลี่ยนแปลงมามากมาย วันนี้นางเป็นย่านที่ผสมสผานความหลากหลายไว้อย่างน่าสนใจ เพราะ Le Marais เป็นทั้งย่านชาวยิว ย่านไชน่าทาวน์ขนาดย่อม(ในอดีต) ย่านเกย์ ย่านศิลปะสมัยใหม่ ย่านงานดีไซน์ และย่านการค้าที่เต็มไปด้วยร้านรวงฮิปๆที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วันถึงจะเดินครบ และเชื่อหรือไม่ว่า Nicolas Flamel ตัวละครที่ถูกยืมชื่อมาใช้ใน Harry Potter (เขาคือเป็นนักแปรธาตุผู้ลึกลับราวกับพ่อมดเมื่อเกือบ 700 ปีก่อน) ก็มีตัวตนอยู่จริงและบ้านของเขาก็ยังอยู่ที่นี่ใน Le Marais ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อ 10 ปีก่อน เราก็เช่าอพาร์ทเม้นท์อาศัยอยู่ในย่านนี้ ทำให้เราคุ้นเคยเป็นพิเศษ ดังนั้นเราจึงพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ย่านนี้เป็น “ย่านโปรดที่สุดของเรา” เลยแหละ เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อ เราขอพาคุณๆ #hop ไปที่ร้านต่างๆที่เราชอบ และเลือกมาแนะนำเลยแล้วกันเนอะ เรานั่ง Métro มาลงที่สถานี Filles du Calvaire ซึ่งอยู่ในโซน Haut Marais หรือมาเรส์ตอนบน ว่ากันว่าโซนนี้นั้นเป็นย่านดีไซน์ที่คูลที่สุดของปารีสกันเลยทีเดียว บ้านเมืองแถว Le Marais Yvon Lambert ร้านหนังสือดีไซน์ Yvon Lambert เป็นร้านแรกที่เราพา #hop มาชมใน Le Marais เราหมดเวลาไปเป็นชั่วโมงกับร้านนี้ร้านเดียว ส่วนใหญ่เป็นหนังสือและแมกกาซีนดีไซน์ที่โคตรเท่ หลายเล่มไม่เคยเห็นที่ไหนเลยเพราะเป็น collection ของทางร้านเอง บางเล่มก็ทำมือ เรางี้เลือกไม่ถูกเลย เอาเข้าจริงๆเราก็ไม่ได้เก็ตความหมายที่คนทำหนังสือต้องการจะสื่อมากหรอกนะ แต่เรารู้แค่ว่าอันนั้นสวย อันนี้ชอบ ซึ่งก็ชอบเกือบหมด 5555 Location: https://goo.gl/maps/Mycw4PAWRN2BPpdX7 Papier Tigre Papier Tigre ร้านขายเครื่องเขียน Stationery สุดคิ้วววท์ ใครชอบเครื่องเขียนน่ารักๆ แนะนำให้มาร้านนี้เลย เราเห็นของน่ารักไม่ได้ เป็นต้องซื้อกลับบ้าน!! (ซื้อเยอะด้วย ฮาๆๆ) Location: https://goo.gl/maps/wftDYnsUoASWeHzF9 Hello = Bonjour Tom Greyhound Paris Tom Greyhound Paris เป็นร้าน select shop ชื่อดังที่มีสาขาแค่ที่ปารีสกับเกาหลีเท่านั้น บอกเลยว่าของครบมาก เลือกของมาได้ดีมากเรียกได้ว่าซื้อไปนี่รับรองไม่ซ้ำใครแน่นอน พนักงานก็เป็นกันเองช่วยเหลือสุดๆ (ช่วยให้เสียตังค์สิ ฮ่าๆ) Location: https://goo.gl/maps/nwLHtVA5WmhnXc2w9 MHL. MHL. แบรนด์น้องของ Magaret Howell สัญชาติอังกฤษ ถ้าจะซื้อกระเป๋าผ้าที่นี่ไม่มีน้าาา เพราะกระเป๋าผ้าแบบที่ฮิตๆกันเป็นดีไซน์ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น Location: https://goo.gl/maps/agauRH6LcGfjxC9GA Maison Standards ร้านนี้เราชอบเป็นพิเศษ เพราะงานดี สไตล์ดี ราคาดี ดีไปหมดจริงๆ ช่วยด้วย! โดนร้านนี้ดูดเงิน! กางเกงยีนส์ประมาณ 80 euros เชิ้ตก็ประมาณ 65 euros Location: https://goo.gl/maps/LGfD8nu7UVcC9GrM6 Lemaire Lemaire ร้านใหญ่แห่งเดียวในกรุงปารีส และที่สำคัญคือสวยสุขุมมาก ชอบมั่กๆๆๆๆๆๆ ไม่ยมกล้านตัว Location: https://goo.gl/maps/vnVLDwtwdHA5vNji6 Boot Café Boot Café ร้านกาแฟเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นแห่งนี้เป็นหนึ่งในใจเลย กาแฟอร่อยจริง อยากให้ไปลองกัน คำว่า "cordonnerie" หมายถึง ร้านซ่อมโรงเท้า พอเปลี่ยนมาเป็นคาเฟ่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนป้าย แต่ดันใช้ชื่อใน Google Map ว่า Boot Café จะแนวไปไหนเนี่ย 555 Location: https://goo.gl/maps/W61sGVz2pfHeR5Sm7 Maison Kitsuné Maison Kitsuné Paris มาถึงเมืองต้นกำเนิดแล้วก็ต้องแวะซะหน่อย ร้านมีสองชั้น ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไซส์พอให้หมาจิ้งจอกวิ่งเล่นในร้านได้ 5555 Location: https://goo.gl/maps/5hQT6Rp5zUfAjJ4q9 Editions MR Editions MR แบรนด์เสื้อผ้าสไตล์เรียบหล่อของผู้ชายปารีเซียง ใครชอบเสื้อผ้าเนี้ยบ แต่ใส่แล้วดูสบายๆ ไม่เกร่อ ไม่เอะอะ แนะนำร้านนี้นะครับ Location: https://goo.gl/maps/5Mun8TKcAjsES895A Acne Studios Acne Studios เป็นอีกหนึ่งในแบรนด์โปรดที่เราชอบแวะเข้าไปดูทุกสาขาไม่ว่าจะไปเที่ยวเมืองอะไร ที่นี่ร้านสวยแต่พนักงานคนจีนพยายามขายไปหน่อยนะ Location: https://goo.gl/maps/bLsnuGkeKu4v86Gf8 Merci Merci เป็นร้านรวมของใช้มีดีไซน์ในชีวิตประจำวัน เป็นร้านดังที่แน่นไปด้วยชาวฝรั่งเศสและนักท่องเที่ยว มีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องครัว เครื่องเขียน ของใช้ต่างๆ แถมด้านหน้าก็เปิดเป็นคาเฟ่เล็กๆด้วยนะ ของเยอะ น่าสนใจหลายอย่างแต่สุดท้ายแล้วเราแทบไม่ได้ซื้ออะไรกลับออกมาเลย ว้าาา Location: https://goo.gl/maps/gqtSGt8EWbKEqhFN6 Archive 18.20 Archive 18.20 ร้าน Select Shop ที่เราชอบอีกร้าน เน้นงานดีไซน์และสินค้าที่ยูนี้คหาซื้อไม่ค่อยได้จากที่อื่น มีทั้งสินค้าแฟชั่น น้ำหอม แกลอรี่ และร้านกาแฟเล็กๆ ให้นั่งชิลกันทุกวันตั้งแต่ 11:00 - 19:00 กันเลย (แต่โซนคาเฟ่พนักงานดูงงนิดหน่อย 555) Location: https://goo.gl/maps/94eSMTpNctQFQvkBA ที่ปารีสเค้าซัพพอร์ทกลุ่ม LGBT สุดๆ ดูได้จากการตกแต่งตึกทั้งสองข้างทางแม้แต่ทางม้าลายก็เอา นอกจากร้านค้าแล้ว ย่านนี้มีแกลอรี่/มิวเซี่ยมเด็ดๆน่าตามรอยไปด้วย ขอแนะนำ 2 ที่ก่อนนะ Lafayette Anticipations ที่แรกคือ Lafayette Anticipations สร้างขึ้นโดยมูลนิธิของห้างดังอย่าง Galeries Lafayette เราสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโลโก้ที่หน้าเว็ป เพราะมันช่างถูกจริตเราเหลือเกิน ที่นี่เป็นเหมือนมิวเซี่ยมเล็กๆแต่เท่มากๆ เน้นงาน contemporary art งานดีไซน์และแฟชั่น ตลอดจนงานสร้างสรรค์เชิงทดลองต่างๆจากศิลปินทั่วโลก ความดีงามที่เอ็กซ์ตร้าไปอีกก็คือที่นี่มีคาเฟ่เฮลตี้จากร้านมังสวิรัติชื่อดังอย่าง Wild and the Moon มาเปิดอยู่ด้วย โซน Gift Shop ก็มีของที่ทั้งสวย เก๋ เท่ น่ารักเยอะแยะไปหมดเลย ให้ทายซิว่าเสียเงินมั้ย 55555 ค่าเข้า Exhibitions : free admission Events : from 5 to 15 € เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดวันอังคาร Location: https://goo.gl/maps/ramg8DG88oXqziWr5 ด้านในแกลอรี่ก้มีขายของที่ระลึกด้วยนะ รวมไปถึงของดีไซน์ น้ำหอม เครื่องใช้ต่างๆ ที่เลือกมาขายที่นี่โดยเฉพาะ Galerie Emmanuel Perrotin ที่ต่อมาคือ Galerie Emmanuel Perrotin เป็นห้องแสดงงานศิลปะที่จะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนงานของศิลปินดังๆระดับโลกมาโชว์กันที่นี่ ตอนที่เราไปกันเป็นผลงานของ ELMGREEN & DRAGSET (เอ็ล์มกรีน แอนด์ แดรกเซ็ท) ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงงาน Bangkok Art Binale เค้าก็มาตั้งผลงานสระของเขาที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะ งานของเค้าจะจำง่ายก็คือ ประติมากรรมจัดวางสระน้ำแนวตั้ง ซึ่งเค้าทั้งสองคนก็ได้สร้างการนำเสนองานศิลปะรูปแบบใหม่ที่จะให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วมกับงานของเค้า ที่นี่เข้าฟรีนะ เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดเฉพาะวันจันทร์ อังคาร Location: https://goo.gl/maps/cJJ9r3BKQkfNgJoV8 Études Studio เดินไปเรื่อยๆก็ผ่าน Études Studio แบรนด์ดังสัญชาติฝรั่งเศส มีช็อปหลักแค่ที่นี่ที่เดียว (อาจจะมีตามราวแขวนในห้างบ้าง) แบรนด์นี้เป็นแบรนด์เล็กมีทีมงานอยู่ในสตูดิโอไม่กี่คน แต่ความเท่นี่ดังไกลมากนะขอบอก Location: https://goo.gl/maps/rVDN4K2vdXY5yNg98 Biglove แล้วเราก็แวะกินร้านอาหารอิตาเลี่ยนร้านนี้ชื่อ BIGLOVE เห็นคนต่อแถวเยอะดี ขอเข้าไปลองดูหน่อยละกันเนอะโดยรวมเราว่าอร่อยดีนะ อาหารก็หน้าตาดี ไม่จืดเหมือนอาหารฝรั่งเศส ชอบบรรยากาศโดยรวมในร้าน รวมไปถึงพนักงาน ที่บริการดีมากกก อย่างที่บอกเนอะ Le Marais มีดีอีกเยอะมาก เอามาอวด 3 วันก็ไม่ครบ ต้องไปดูกันเองน้าาาา 3. Rue Saint-Honoré (รู ซางต์ ตอนอเร่ - เขต 1 และ 8) Rue Saint-Honoré (รู ซางต์ ตอนอเร่ - เขต 1 และ 8) ถนน Saint-Honoré อยู่ในเขต 1 และเชื่อมต่อกับถนน Faubourg-Saint Honoré เข้าไปในเขต 8 (คำว่า “Faubourg” หมายถึง ถนนเส้นเดียวกันนี้ แต่ทะลุออกนอกเขตเมืองเก่าในสมัยยุคกลาง) ถนนสายนี้แทบจะขนานไปกับถนนชื่อดังอย่าง Champs-Élysées เลยทีเดียว ที่นี่เป็นไฮเอ็นด์ช็อปปิ้งสตรีทที่ยาวเกือบ 2 กิโลเมตรใจกลางกรุง Paris เรียงรายไปด้วยร้านหลักของแบรนด์หรู แบรนด์สตรีทแฟชั่น และร้านขายจิวเวอรี่ นาฬิกาหายากทั้งมือหนึ่งและมือสอง ใครที่ตั้งใจมาช้อปแบรนด์เนม เดินเส้นนี้เส้นเดียวก็น่าจะได้เกือบครบ รวมถึงแบรนด์ Maison Goyard ที่มีสาขาน้อยมากด้วย คำเตือน ระวังจะสำลักความหรูหราและราคานะครับ Getting there: Métro สถานี Concorde Comme des Garçons เริ่มต้นกันที่เวิ้งระหว่างอาคารที่ดูเหมือนทำเลจะไม่ค่อยดี เพราะหลบๆอยู่หลังตึก แต่กลับเป็นที่ตั้งของ Comme des Garçons สาขาใหญ่หนึ่งเดียวในปารีส และเป็นสาขาที่มีของครบมากไม่แพ้สาขาใหญ่ใน Aoyama ญี่ปุ่นเลย แถมพนักงานก็เป็นกันเองมาก ทำให้ไม่เกร็ง การจัดวางสินค้าก็ให้อารมณ์เหมือนเดินเข้าชมแกลอรี่เลย ครีเอทสุดๆ Location: https://goo.gl/maps/8cv7h2P9qjU3BYtr5 Honor Café เมื่อเราเดินออกมาก็จะเจอร้าน Honor Café เป็นร้านขายกาแฟ และขนม ซึ่งเค้าเคลมตัวเองว่าเป็น “Paris's first and only outdoor specialty coffee shop serving coffee that this city should be known for.” เหมือนจะแอบกัดปารีสเบาๆ ว่าเมืองเก๋ๆแบบนี้ เรื่องกาแฟก็ควรจะมีชื่อด้วยนะ Location: https://goo.gl/maps/dr64zy3Lv8W3gSWf8 สำหรับเรากาแฟอร่อยดีนะ เข้มกำลังดี ไม่เหมือนกาแฟตามร้านทั่วไปในปารีส ที่จะมีรสชาติจืดๆ และพนักงานที่พูดอังกฤษสำเนียงบริทิชก็ทำให้ร้านดูคูลขึ้นอีกเป็นเท่าตัว อ่ะ! คอกาแฟแวะมากันได้เลย "Coffee is a lot more than just a drink: it's something happening." A.P.C. โผล่มาสวัสดีทุกย่านเลยยย A.P.C. สาขาเล็กๆ แต่ของไม่น้อยเลยน้าาา แต่เอาจริงๆในปารีสก็มี A.P.C. หลายสาขามาก ไปแวะสาขาอื่นวันหลังก็ได้ L’église de la Madeleine เดินต่อไปตามถนนเรื่อยๆก็จะเจอร้านแบรนด์เนมมากมาย และจะไปเจอกับโบสถ์ลา มัดเลน (L’église de la Madeleine) อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในย่านนี้ น้ำหอม Diptyque ที่นี่ราคาดีน้าาา ขอคืนภาษีได้อีกต่างหากถัดมาเป็นร้าน WILD & THE MOONอาหารสุขภาพแสนเก๋ที่โด่งดังในหมู่คนเฮลธ์ตี้ (และคนที่อยากจะดูว่าเป็นคนเฮลธ์ตี้) MARGARET HOWELL MARGARET HOWELL แบรนด์ดังที่เน้นความเรียบง่าย (แต่ราคาไม่ง่ายเด้อ) จากเกาะอังกฤษก็แอบซ่อนตัวอยู่หลังร้าน Ralph Lauren Location: https://goo.gl/maps/Qq9JbBheCQXJHYU6A Louis Vuitton Maison Vendôme Louis Vuitton Maison Vendôme ตกแต่งตัวอาคารได้ครีเอทีฟสุดๆ ใกล้ ๆ กันกับถนนเส้นหลัก ก็จะเป็นที่ตั้งของ “พลาส ว็องดม” (Place Vendôme) จตุรัสกลางเมืองที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่จริงจะเรียกจตุรัสก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะลานแห่งนี้มีรูปร่าง 8 เหลี่ยม ที่นี่เป็นแหล่งช้อปปิ้งเครื่องประดับเพชรพลอยหรูหราราคาสูงลิบเกินคาดเดา มีร้านเรียงรายกันหลายแบรนด์รอบจตุรัส ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Hôtel Ritz Paris โรงแรมระดับตำนานของปารีสและของโลกด้วย เวลาเดินผ่านหน้าโรงแรมลองสังเกตดีๆอาจจะได้เห็นคนดังนะ อย่างเมื่อ 10 ปีก่อน เราเคยเจอ Usher ที่หน้าโรงแรม Ritz ด้วย และที่ซอกตึกในจตุรัสนี้เองก็เป็นสำนักงานใหญ่ของแบรนด์ Comme des Garçons ขอแอบส่องนิดนึงน้าาา 1LDK PARIS 1LDK PARIS เป็น concept store ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากประเทศญี่ปุ่น แนวเสื้อผ้าและเครื่องประดับของแบรนด์เน้นความเรียบง่ายแต่โดดเด่นและสวมใส่ได้ทุกวันกับแนวคิดที่ว่า “non-daily life in daily life” หรือแปลให้เข้าใจง่ายอีกหน่อยก็ประมาณว่า “ชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดา” อะไรเทือกๆนั้น Location: https://goo.gl/maps/xX2s9L2ohiwigv4KA Maison Goyard BALENCIAGA BYREDO BYREDO flagship store แบรนด์น้ำหอมจากสวีเดน สาขานี้พิเศษมากๆ เพราะออกแบบโดยสตูดิโอ M/M PARIS ชื่อดังของฝรั่งเศส โดยภายในมีถึงสองชั้น ไม่ได้มีแค่น้ำหอม แต่มีทั้งเทียนหอม สบู่ล้างมือ สบู่อาบน้ำ แฮนด์ครีม และที่สำคัญสาขานี้มีเครื่องหนังขายด้วยนะ ดีไซน์เรียบๆ น่ารักดี Location: https://goo.gl/maps/tHs43vjfxLgU13ScA 4. Avenue Montaigne (อาเวอนูว์ มงเตญน์ - เขต 8) ถ้ายังไม่หนำใจกับการช้อปปิ้งแบรนด์หรู ต้องมาที่นี่! Avenue Montaigne แยกมาจากถนน Champs-Élysées และทอดยาวไปจนถึงริมแม่น้ำเซน ในจุดที่สามารถเห็นวิวหอไอเฟลได้ลิบๆด้วย ความแตกต่างระหว่างถนน Saint-Honoré กับถนน Avenue Montaigne ก็คือที่นี่ “แกรนด์” กว่า ร้านส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ และตกแต่งเรียบหรูกว่าสาขาในย่านอื่นๆ แต่คนกลับคนน้อยกว่า เราจินตนาการไปว่ากลุ่มลูกค้าหลักน่าจะเป็นกลุ่มคนดังและคนรวยที่มี lifestyle ดั่งภาพใน magazine นอกจากนี้ ถนนเส้นนี้ยังเป็นที่ตั้งของ LVMH สำนักงานใหญ่ และออฟฟิศของ Dior อีกด้วย ร้าน Dior จึงดูโดดเด่น ร้านใหญ่ แยกเป็นหลายๆร้านติดๆกัน ราวกับจะประกาศตัวว่า “ที่นี่ถิ่นช้านนน” DIOR Paris Montaigne เราโชคดีที่ได้มา Paris ช่วงคริสต์มาสพอดี ว่ากันว่าไฟคริสต์มาสบนถนนสายนี้สวยที่สุด ดูอย่างต้นคริสมาสต์ที่มุมตึก Dior นี่ปะไร มันช่างเว่อร์วังพลังดิออร์ยิ่งนัก Jil Sander ที่ชอบเป็นการส่วนตัวอีกอย่างก็คือที่นี่มีช็อป Jil Sander แบรนด์โปรด (แม้ราคาจะแอบโหด) หนึ่งเดียวในปารีสอยู่ด้วย หลังจาก Jil Sander หดตัวให้เล็กลง และปิดร้านในไทยไป เราก็แอบคิดถึงอยู่เรื่อยๆ Location: https://goo.gl/maps/9zwmEZHtAvtTKsQz7 เดินกันจนถึงค่ำ ชิลมากกก แค่ได้มาเดินดูการตกแต่งเหล่า Display window ของแต่ละแบรนด์ก็เพลินแล้ววว 8 ย่านที่เรายกมาแนะนำนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของความดีงามที่ Paris มีให้ไปเยี่ยมชม เมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้ยังมีของดีอีกเยอะมากๆ เราถ่ายรูปจนหมด memory card ไปหลายแผ่น และยังสามารถเอามาลงได้อีกหลายโพสต์ ดังนั้นติดตามกันต่อนะค้าบบบ . #LetsHoparoundPARIS #LetsHoparound #Travel #Amex #EarnMilesFaster #Paris #ParisCityGuide #เที่ยวปารีส #ปารีส #เมืองปารีส #ช็อปปิ้งในปารีส #คาเฟ่ในปารีส #รีวิวปารีส #เที่ยวปารีสด้วยตัวเอง #ฝรั่งเศส #เที่ยวฝรั่งเศส #ปารีสไปไหนดี #ไปไหนดีในปารีส #ช็อปอะไรที่ปารีส #ร้านดีๆในปารีส PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 2

  • The Sukhothai Bangkok เดอะสุโขทัยกรุงเทพฯ สุขละเมียดดุจเวลาอรุณรุ่ง

    แฟชั่นกูรูชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งเคยบอกกับเราว่าความหรูหราที่แท้จริงนั้นไม่ควรทำให้เรารู้สึกว่าต้องพยายามใดๆ "True luxury should be effortless" เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็คือความสุนทรีย์ในคุณภาพชีวิตที่ลงตัว จู่ๆคำกล่าวนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเราเมื่อตอนที่ได้ไปพักผ่อนที่ The Sukhothai Bangkok เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน และตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โรงแรมหรูไพรเวทแบรนด์แห่งนี้ก็ได้ส่งมอบความลักชัวรี่ที่รุ่มรวยสวยสง่าอย่างไทยและสร้างความประทับใจให้กับแขกเหรื่อระดับโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน เราเข้าพักในช่วงที่ Main Wing ของโรมแรมซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์กลางน้ำ 5 องค์ Icon สำคัญของ The Sukhothai กำลังปิดปรับปรุงพอดี แต่ความโชคดีก็คือเราได้ห้องพัก Club Suite ที่ทั้งสวยทั้งใหม่และใหญ่มากๆ (ขนาด 93 ตร.ม.) ในตึก Club Wing ที่เพิ่ง Renovated เสร็จไปเมื่อปลายปี 2018 ก่อนสถานการณ์โควิดพอดี ที่สำคัญและพิเศษที่สุดก็คือการตกแต่งใหม่ทั้งหมดของอาคาร Club Wing นี้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่ได้ฝากโลกเอาไว้ของ Ed Tuttle สถาปนิกชาว Seattle ระดับตำนาน ผู้อยู่ในลิสต์ท็อป 1 ใน 100 ของโลกที่จัดโดย Architectural Digest ก่อนที่เขาจะจากไปด้วยโรคเนื้องอกในสมองเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาอย่างน่าเสียดาย เขาได้ฝากผลงานโรงแรม Ultra Luxury อื่นๆไว้มากมายทั่วโลก โดยเฉพาะรีสอร์ทในเครือ Aman และโรงแรม Park Hyatt ดีลห้องพักราคาพิเศษคลิ๊กจองที่นี่ The Arrival จากถนนสาทรที่คราคร่ำไปด้วยการจราจรอันวุ่นวาย เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่บรรยากาศเงียบสงบร่มรื่นของโรงแรม อาคารทรงไทยประยุกต์หลังเตี้ยๆทยอยปรากฏกายให้เห็น ตัดกันกับตึกสูงระฟ้าย่านสาทรที่ห้อมล้อมอยู่รอบนอกโรงแรม เราเทียบรถที่หน้าอาคาร Club Wing ให้ Porter ช่วยลำเลียงสัมภาระลง ก่อนเจ้าหน้าที่จะเสนอตัวนำรถไปจอดให้ เมื่อก้าวเท้าเข้าด้านในก็พบกับ Conceirge ที่รอให้การต้อนรับเราด้วยแววตาที่ยิ้มละมุน (เราได้เห็นแค่แววตาเพราะเราต่างก็ใส่แมสก์ปิดปากกันอยู่) พี่ตุ้ม Conceirge รุ่นซุปเปอร์ซีเนียร์ของโรงแรมผู้ทำงานที่นี่มาตั้งแต่ลงเสาเข็มก็ได้เข้ามาทักทายดูแล และพาเราไปเช็คอินที่ Lobby บนชั้น 6 ชั้นเดียวกับที่ตั้ง Club Lounge สุด Exclusive ของ The Sukhothai เลยครับ คุณอีฟ Receptionist คนเก่งรับช่วงต่อจากพี่ตุ้มทำการเช็คอินให้เราด้วยความราบรื่นและรวดเร็ว จากนั้นคุณเมี้ยว ไดเร็คเตอร์ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งก็ให้เกียรติมาต้อนรับเราด้วยตัวเองเลย ต้องขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ ประทับใจมากเลยครับ เสน่ห์ของการเป็นโรงแรม Private Brand ที่ไม่ใช่แฟรนไชส์เหมือนโรงแรมส่วนใหญ่ ก็คือการดูแลแขกด้วย Personal Touch ที่ใกล้ชิดเป็นกันเอง ไมตรีระหว่างมนุษย์นั้นช่วยลดความเหินห่างที่มักจะมาพร้อมกับความหรูหราได้ดีจริงๆครับ หลังจากนั้นคุณอีฟก็นำทางพาเราขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพักบนชั้น 7 เพื่อแนะนำส่วนต่างๆของห้อง เราจะได้ใช้สอยพื้นที่ห้องพักได้อย่างทั่วถึงและคุ้มค่าที่สุด Our Room : The Club Suite ทันทีที่เปิดประตูห้องพักหมายเลข 796 เข้าไป กลิ่นอายงานออกแบบของคุณ Ed Tuttle ก็ฟุ้งกระจายอยู่ในทุกอณูของความหรูหรา (ทว่าผ่อนคลาย) การผสมผสานวัสดุไม้เขตร้อน กระจก หินและโลหะนั้นถือเป็น Signature ของเขา แต่ความพิเศษของ The Sukhothai นั้นคืองานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะยุคสุโขทัยอันรุ่งโรจน์สง่างามเน้นความสมมาตร เราสังเกตเห็นขาโต๊ะและเชิงโคมไฟที่ถูกดีไซน์ให้มีลักษณะเป็น Pattern เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆคล้ายกับการย่อมุมของเจดีย์ ความอบอุ่นของไม้สักและผนังบุวอลล์เปเปอร์ไหมของ Jim Thompson นั้นให้ความรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ละเมียดละไมเสียเหลือเกิน ทั้งหมดนี้สอดประสานอย่างลงตัวกับเทคโนโลยีล้ำยุคที่ถูกจัดสรรให้เอาไว้เพื่อความสะดวกสบายภายในห้อง รวมไปถึงงานออกแบบงานหินในห้อง Shower จาก Versace และ Amenities จาก Bottega Venetta ซึ่งเดี๋ยวเราจะค่อยๆพาไปชมนะครับ ภายใน Club Suite ซึ่งมีพื้นที่กว่า 93 ตร.ม.นั้น อาจแบ่งได้เป็น 5 โซนใหญ่ๆที่ไหลต่อเนื่องกัน เริ่มต้นจาก Dining Area พร้อมมินิบาร์ อุปกรณ์ชงชากาแฟ แถมผลไม้และช็อคโกแลตของไทยที่ได้รางวัลการันตีซะด้วย โซนนี้เราสามารถใช้ได้ทั้งรับประทานอาหาร และต้อนรับแขกเพราะมีห้องน้ำแยกต่างหากให้อีก 1 ห้องเลย โซนต่อมาก็คือ Living Area ที่มีแผง Partition ฝัง TV ขนาด 55" กั้นแบ่งเอาไว้ แผงนี้หมุนได้เกือบรอบตัว ซึ่งมีประโยชน์มาก เราสามารถหมุนไปมาเพื่อดู TV ได้ทั้งจากโซน Dining และ Living แน่นอนว่าในโซน Living ต้องมีโซฟา และชุดรับแขกที่นี่ก็ใหญ่บึ้มสะใจมากๆ เรานั่งๆนอนๆอยู่ได้ทั้งวันเลยล่ะ (บางช่วงเกือบผล็อยหลับไปก็มี) แถมยังมีมุมนั่งทำงานให้ด้วย เบื่อๆก็สามารถเดินไปชมวิวที่ Exclusive มากๆของกรุงเทพฯผ่านบานกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน เพราะนอกจากจะมองเห็นสระว่ายน้ำสีเขียวลึกลับที่เป็นอีกหนึ่ง Icon ของโรงแรมแล้ว เรายังจะได้เห็นต้นไม้เขียวขจีสลับกับหลังคาบ้านท่านทูตจากประเทศต่างๆเป็น Foreground ให้กับบรรดาตึกสูงเสียดฟ้าที่อยู่ไกลออกไป กรุงเทพฯของเรานี่มีหลายเลเยอร์เหมือนกันเนอะ แมสก์กับสเปรย์แอลกอฮอลล์สกรีนโลโก้ The Sukhothai ก็มีเตรียมไว้ในห้องให้เราหยิบไปใช้ได้ด้วยนะครับ ห้องนอน โซนที่ 3 ก็คือห้องนอนสุดหรูพร้อมเตียง King Size และเครื่องนอนผ้าคอตต้อน 300 เส้นที่นุ่มเนียนไม่มีสะดุด ตรงหัวเตียงนั้นมีจอ Touch Screen สุดทันสมัยสำหรับควบคุมระบบไฟและเครื่องปรับอากาศในห้องได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ยังมี Armchair และ Bedroom Bench เอาไว้ให้เราเอนกายพักผ่อนโดยไม่ต้องขึ้นเตียงด้วย เกือบลืมบอกไปว่าในโซนนี้ก็มี TV จอใหญ่ให้อีกเครื่องด้วยนะ แต่เราไม่ใช่สาย TV ก็เลยไม่ได้เปิดใช้งานเลย ห้องแต่งตัว ถัดมาคือโซน Dressing Area ที่มีลักษณะเป็น Walk-In Closet ที่เราชอบมากๆ โดยเฉพาะลิ้นชักเก็บรองเท้า ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่มักปรากฏอยู่ในงานของ Ed Tuttle (เราจำฟังก์ชั่นนี้ได้จากตอนไปพักที่ AMANPURI) นอกจากราวแขวนเสื้อผ้า และที่วางกระเป๋าเดินทางแล้ว ในโซนนี้ยังมีตู้นิรภัย ถุง Laundry กระเป๋า Tote Bag สำหรับใส่ของระหว่างออกไปใช้บริการในโซนต่างๆของในโรงแรม รวมไปถึงรองเท้าแตะสำหรับทั้งภายในและภายนอกห้อง อ้อ! เราขอชื่นชมความหนานุ่มเป็นพิเศษของเสื้อคลุมอาบน้ำจาก La Bottega ที่ทางโรงแรมแขวนเตรียมไว้ให้ด้วยครับ นุ่มสบายผิวมากเลยครับ ห้องน้ำ โซนสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของห้องก็คือห้องน้ำ เพราะสวยหมดจดจริงๆ โดดเด่นด้วยงานหิน งานไม้ และที่สำคัญคืองานกระจกที่ช่วยสร้างภาพสะท้อน จนเกิด Visual Effect ที่งดงามราวกับเราได้เดินเข้าไปในกล้อง Kaleidoscope ยังไงยังงั้นเลย จุดรวมสายตาของโซนนี้นั้นคงหนีไม่พ้นอ่างอาบน้ำสุดหรูพร้อมหัวเจ็ทจากุซซี่ แต่ดีเทลอื่นๆนั้นก็ชวนให้ Wow ไม่แพ้กัน เริ่มกันที่ชักโครกไฮเทคสไตล์ญี่ปุ่นในห้องผนังกรุไม้ซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นหนึ่งเดียว อย่างที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่างานหินในห้องชาวเว่อร์นั้นก็ออกแบบโดย Versace เครื่องอาบน้ำตั้งแต่สบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผม ไปจนถึงสบู่ก้อนสำหรับล้างมือ และโลชั่นทาผิวนั้นก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ Bottega Venetta ที่เลิศหรูอย่าบอกใคร ส่วนไดร์เป่าผมนั้นก็คงจะเป็นแบรนด์ใดไปไม่ได้ นอกจาก Dyson พาทัวร์ห้องพักแบบย่อๆกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาไปเสพความผ่อนคลายในสปาหรูของ The Sukhothai กันต่อได้เลย นวดผ่อนคลายที่ Spabotanica เดินจากอาคาร Club Wing เราลัดเลาะผ่านสระว่ายน้ำแล้วตรงมาที่ Spabotanica ของโรงแรม ตกแต่งเรียบง่ายด้วยโทนสีอ่อนสะอาดตา แซมด้วยงานไม้ทำให้ดูอบอุ่นผ่อนคลาย เรานวดคอร์ส The Sukhothai Signature ซึ่งผสมผสานเอาหลายๆเทคนิคการนวดเข้าด้วยกันไว้ในคอร์สเดียวเพื่อความสบายที่สุดของลูกค้า เราคิดว่านี่เป็นวิธีที่เวิร์คมากๆ เพราะหลายครั้งร่างกายอันแสนตึงเครียดของเราก็ต้องการทั้งการนวดแผนไทย อโรม่า สวีดิช รีดเส้น กดจุด ไปใน Session เดียวกันเลย สั้นๆก็คือชอบการนวดแบบรวมเทคนิคแบบนี้มากเลยครับ :-) หลังจากกรอกแบบฟอร์ม เลือกน้ำหนักมือ และจุดเน้นที่ต้องการแล้ว เราก็ถูกนำทางไปยังห้อง Treatment ที่ดูเรียบง่ายแต่มีรสนิยมเพื่อล้างตัวและเปลี่ยนชุดรอ จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะทันทีที่ฝ่ามือของพี่ๆ Therapists สัมผัสกับผิวของเราและค่อยๆเพิ่มแรงกดรีดไปตามแนวกล้ามเนื้อที่เราไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเมื่อย เราก็แทบจำอะไรไม่ได้อีกเลย แบบนี้ใช่ไหมที่เค้าเรียกกันว่า "สบายลืมมมมม" มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ Therapist บอกให้เราพลิกตัว แต่แล้วความทรงจำของเราก็เริ่มเลือนลางอีกครั้ง จนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อการนวดจบลง ถ้าเราไม่มีโปรแกรม Pre-Dinner Cocktail ต่อ ก็อยากจะขอนวดต่อยาวๆอีกซักชั่วโมง Underground Gัym ก่อนจะไป Pre-Dinner Cocktail เราขอแวะลงไปสำรวจ Gym ที่อยู่ชั้นใต้ดินกันซักหน่อย เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาหนาหู พอมาเห็นของจริงบอกได้คำเดียวว่าเกรียงไกรมากกกก ทั้งขนาดสถานที่ อุปกรณ์ และบริการที่มีให้ล้วนครบครันไปทุกสิ่งยิ่งกว่าฟิตเนสที่เราเคยเป็นสมาชิกอยู่ซะอีก ใครต้องการออกกำลังกายแบบ High-End เป็นมืออาชีพ ในบรรยากาศ Exclusive เราแนะนำให้มาลองดูที่นี่ มีสมัครสมาชิกรายปีด้วยนะ ติดต่อสอบถามที่โรงแรมโดยได้เลยครับ Pre-dinner Cocktail ที่ Club Lounge อีกหนึ่งสิทธิพิเศษของการนอนห้อง Club Suite คือเราสามารถใช้บริการ Cocktail ก่อนดินเนอร์ที่ Club Lounge ได้แบบสั่งเพิ่มได้ไม่อั้น ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าจะมีแค่เพียงเครื่องดื่ม ที่ไหนได้คุณอีฟ Receptionist (ที่มาดูแลเราบ่อยจนเริ่มสนิทสนมกันนั้น) ก็ทยอยนำของว่างจานเล็กๆจานแล้วจานเล่าออกมาเสิร์ฟให้ อร่อยหมดทุกอย่างเลยแฮะ แถมขอเพิ่มได้ตลอด คุณอีฟบอกว่าของว่างเหล่านี้จะมีธีมที่หมุนเวียนไปตามช่วงเวลา อย่างช่วงที่เราไปก็จะเป็นธีม Italian ซึ่งก็เข้ากันกับมื้อค่ำต่อจากนี้ที่ La Scala พอดี โจทย์ที่ยากสำหรับเราก็คือจะแบ่งโควตาพื้นที่ในท้องอย่างไรให้เพียงพอกับความอร่อยทั้งหมดทั้งที่ Lounge และที่ La Scala ร้านอิตาเลียนมากรางวัลแห่ง The Sukhothai ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่นานนี้ Dinner at La Scala ในปี 2018 ร้าน La Scala เป็นร้านอาหารอิตาเลียนเพียงร้านเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัล 3 Forks ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดจาก Gambero Rosso Guide ที่ Specialized ในอาหารและไวน์อิตาเลียนโดยเฉพาะ การันตีว่าร้าน La Scala นี้เป็นหนึ่งในร้านอิตาเลียนที่ดีที่สุดที่อยู่นอกประเทศอิตาลี นอกจากนี้ใน Tripadvisor ร้าน La Scala ก็ยังขึ้นแท่นร้านอาหารอิตาเลียนอันดับ 1 จากกว่า 500 ร้านในกรุงเทพฯอีกด้วย และตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. 2021 นี้ ทางร้านก็จะได้เชฟ Eugenio Cannoni ชาวเมือง Monferro แคว้น Piedmont ทางตอนเหนือของอิตาลี เข้ามาเสริมทัพให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เชฟหนุ่มแห่งวงการ Haute Cuisine   ท่านนี้เคยเป็นเชฟให้กับร้านอาหารประดับดาวมิชลิน และที่ปรึกษาให้กับรายการ TV ทั้งในอิตาลีและอีกหลายประเทศมาก่อน แต่เราเข้าไปรับประทานอาหารก่อนวันที่เมนูของเชฟคนใหม่จะเปิดตัว อาหารทั้งหมดในรูปของเราจึงยังคงเป็นเมนูเดิมของร้านอยู่ ตอนแรกเราก็แอบเสียดาย แต่พอคิดอีกทีคือเราโชคดีมากๆที่จะได้ลิ้มรสทั้งเมนูเก่าในวันนี้ และเมนูใหม่ในโอกาสหน้า ซึ่งเราจะกลับมาอย่างแน่นอน เริ่มมื้อด้วยคู่คาวหวานคลาสสิคอย่างพาร์มาแฮมแท้ๆและเมล่อนหอมหวาน ช่วยเปิด Palate รับรสให้พร้อมสำหรับมหากาพย์ความอร่อยที่กำลังจะตามมา Carpaccio Di Capesante หอยเชลล์สดๆสไลซ์บางๆราดด้วย Passion Fruit Dressing ทำให้ได้ความสดชื่นจากทั้งรสเปรี้ยวและหวาน เพิ่มความซับซ้อนอีกนิดด้วยหัวเฟนเนล แอลมอนด์ มะเขือเทศ เนื้อส้ม มินต์ และดิลล์ Zuppa ซุปเห็ด Wild Mushroom และ เห็ดทรัฟเฟิลดำ เข้มข้นกลมกล่อมหอมอร่อย อุ่นๆสบายพุง ทานคู่กับ Mushroom Cracker กรุบกรอบ ดีงามมากครับ Risotto al Fruitti di Mare ริซ็อตโต้ซีฟู้ดที่ขนมาทั้งทะเล ได้กลิ่นและรสชาติของทะเลที่เข้มข้นชัดเจน เดาเอาเองว่าน่าจะมาจาก Shell Fish Stock ที่ทางเชฟเคี่ยวเพื่อนำมาหุงข้าว Arborio ให้สุกแบบ Al Dente ประทับใจทั้งหน้าตาและรสชาติครับ Capellini พาสต้าเส้นเล็กปรุงกับเนื้อล็อบสเตอร์และเนื้อปู ปกติทางร้านจะใช้ Blue Lobster แต่วันที่เราไปวัตถุดิบหมดเลยได้เป็น Canadian Lobster แทน สดอร่อย ไม่หักคะแนนใดๆครับ Agnello เนื้อแกะ Te Mana Lamb จากนิวซีแลนด์ ซึ่งต่างจากเนื้อแกะทั่วไปตรงที่เค้าจะอุดมด้วย Omega-3 และมีไขมันละเอียดแทรกอยู่ในกล้ามเนื้อ เชฟนำมาย่างให้สุกกำลังดี เพิ่มรสด้วยชีส Gorgonzola Dolce ซึ่งเป็นบลูชีสที่เราชอบมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เสิร์ฟคู่กับผักย่างหอมอร่อย รสชาติออกมาลงตัวมากๆและเนื้อแกะก็แทบไม่มีกลิ่นเลย จานนี้เป็น Ora King Salmon ปลาแซลมอนพันธุ์พิเศษจากนิวซีแลนด์เช่นกัน นำไป Poached ในน้ำชาดอกบัวซึ่งเป็นชา Signature ของโรงแรม เสิร์ฟพร้อมลูกเกด ไพน์นัท Jerusalem Artichoke (แก่นตะวัน) Guava Puree และ Kristal Caviar จานนี้เป็นเนื้อ Saitama Wagyu ที่นุ่มละลายในปาก ปรุงแบบเรียบง่ายเพื่อให้รสธรรมชาติของเนื้อเปล่งประกาย สารภาพว่าจำไม่ได้ว่าซอสทำจากอะไรบ้าง แต่จำได้ว่าอร่อยมากๆครับ แอบพลิกมีดไปเจอแบรนด์ Laguiole แบรนด์เครื่อง Cutlery เก่าแก่เกือบ 200 ปีจากฝรั่งเศส หรูหราหมดจดทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ ได้เวลาของหวานแล้ว เป็น Raspberry Pannacotta ใจจริงเราหมายตา Tiramisu เอาไว้แต่กลัวว่าคาเฟอีนจะรบกวนการนอน เลยเลือกน้องคนนี้มาแทน และก็ไม่ผิดหวังเลยครับ เนียนนุ่มหอมนมตัดด้วยความเปรี้ยวของราสป์เบอร์รี่ลงตัวพอดีเป๊ะ ส่วนอันนี้เป็นของหวานที่พิเศษมากๆครับ เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Cocktail คลาสสิคของอิตาลีอย่าง Sgroppino แต่ที่ La Scala นำมาทำเป็นของหวานและทำสดๆให้เราดูที่โต๊ะเลย น้องคนนี้ประกอบไปด้วยเจลาโตวอดก้า โพรเซ็กโก้ และ Limoncello นำมาตีฟองจนเหมือนคาปูชิโน่เลยครับ Sgroppino ทำเสร็จแล้วก็จะหน้าตาสวยงามแบบนี้ครับ เขินจังที่จะบอกว่าทั้งหมดนี้ เราทานกันแค่ 2 คนเท่านั้นเอง ^^ ขึ้นมาแช่น้ำก่อนนอน ได้เวลาลงอ่างแล้วววว ต้องผลัดกันแช่นิดนึง สบายแค่ไหนไม่ต้องบรรยายมาก ให้ภาพเล่าเรื่องแล้วกันนะคับ Turndown Service เตียงนุ่มๆที่เทิร์นดาวน์เรียบร้อยพร้อมให้เราเอาตัวเข้าไปแทรกคุดคู้ได้ตามใจ พร้อมของที่ระลึกก่อนนอนที่ทางพนักงานวางไว้ให้บนเตียง และมีให้เลือกเมนูอาหารเช้าด้วย เมื่อเราติ๊กเสร็จก็นำไปแขวนไว้หน้าประตูได้เลย แต่เราเลือกที่จะไป Order โดยตรงที่ Club Lounge ตอนเช้าเลยดีกว่า เพราะก่อนมามีพรายกระซิบบอกว่าอาหารเช้าที่ Club Lounge ของ The Sukhothai นั้นดีมากๆ พรุ่งนี้เช้าเราไปพิสูจน์กันครับ ตื่นเช้าเริ่มวันใหม่ด้วยการนั่งชิลอ่านหนังสือบนเตียงก่อนจะอาบน้ำลงไปทานมื้อเช้า วันนี้เราเลือกใส่นาฬิกา IWC SCHAFFHAUSEN Pilot's Watch Edition "Le Petit Prince" กันทั้ง 2 คนเลยครับ เรือนแรกเป็น Automatic Chronograph สายหนัง ส่วนอีกเรือนเป็น Mark XVIII สายสแตนเลสครับ ทั้งสองเรือนเป็นนาฬิกาที่ใส่ง่ายได้ทุกวัน โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินที่เป็นโทนเอกลักษณ์เฉพาะของ IWC สั้นๆก็คือใส่แล้วดูดีมากๆครับ แหะๆ เราจับคู่นาฬิกากับสร้อยข้อมือหนังสีน้ำตาลจาก Hermès รุ่น Tournis Tresse พร้อมแต้มน้ำหอม Maison Margiela 'REPLICA' กลิ่น Lazy Sunday แบบ Rollerball ที่เราพกติดกระเป๋าเอาไว้ ชื่อกลิ่นนั้น Appropriate กับสถานการณ์มาก เพราะเช้านี้เราถูก Spoiled จนขี้เกียจสุดๆเลย Breakfast at The Sukhothai ตั้งแต่เช็คอินที่ เดอะ สุโขทัย เราก็ไม่เคยได้ว่างเว้นของอร่อยเลยจริงๆ ยิ่งมื้อเช้าของที่นี่ต้องใช้คำว่า "ล้น" ไปด้วยของกินที่ทั้งเลิศรสและหลากหลาย มีครบทั้งคาวหวาน สัญชาติยุโรป ไทย จีน ญี่ปุ่นตอบทุกความต้องการ ปัญหาเดียวคือพื้นที่ในกระเพาะมีไม่พอจริงๆครับ อร่อยหมดทุกอย่าง แต่ที่เรา Surprised เป็นพิเศษคือข้าวมันไก่ครับ บอกเลยว่าต้องลอง ดีงามเกินเรื่องจริงๆ กลมกล่อม นุ่มนวล พร้อมน้ำจิ้มที่เด็ดดวงเหลือเกิน จริงๆแล้ว The Sukhothai นั้นมีชื่อมายาวนานเรื่องอาหารการกินครับ ที่นี่เป็นโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยที่จัด Sunday Brunch Buffet ที่เรียกได้ว่า Top-Notch อย่างแท้จริง วัตถุดิบที่นำมาเสิร์ฟให้ลูกค้านั้น ล้วนเป็นท็อปเกรดทั้งสิ้น ช่วงที่เราไปนั้นมีโปรโมชั่นที่คุ้มค่ามากๆ ซื้อ Sunday Brunch 2 ท่าน ได้ห้องพักฟรีไปเลย แต่ละช่วงจะมีโปรที่ต่างกันไปนะครับ ต้องลองเช็คดูเรื่อยๆน้าาา Buffet อีกรายการของ The Sukhothai ที่โด่งดังมากๆก็คือ Chocolate Buffet ที่รับผิดชอบโดยเชฟ Laurent Ganguillet เรียกย่อๆว่า "เชฟกัง" พนักงานคนแรกสุดของโรงแรม หมายเลขพนักงานของเชฟคือเบอร์ 1 เลยครับ และยังคงทำงานอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน ลองคิดดูว่าทางเจ้าของนั้นดูแลพนักงานได้ยอดเยี่ยมขนาดไหน ได้ยินมาว่าตอนน้ำท่วมใหญ่ ก็เปิดห้องโรงแรมให้พนักงานนอนฟรีเลยครับ กลับมาเรื่องช็อคโกแลตกันดีกว่าครับ 555 คือในบุฟเฟ่ต์เชฟกังได้คัดเลือกเอาช็อคโกแลตกว่า 30 ชนิดจากแหล่งปลูกทั่วโลก นำมารังสรรค์ให้เกิดเป็นเมนูต่างๆมากมาย แค่ช็อคโกแลตร้อนเมนูเดียว เราก็สามารถรีเควสต์ได้เลยว่าชอบรสชาติประมาณไหน เชฟสามารถนำมาเบลนด์จัดให้ได้หมดเลยครับ นอกจากนี้ยังมีอาหารคาวอร่อยๆเอาไว้ตัดเลี่ยนอีกด้วย ใครสนใจติดต่อโรงแรมด่วนเลยครับ เพราะปกติคิวจองแน่นมากๆ สระเขียว อีกหนึ่งจุด Iconic แห่ง The Sukhothai เคล็ดลับการย่อยอาหารของเราคือการลงไปว่ายน้ำครับ จากอิ่มๆว่ายป๋อมแป๋มแป๊บเดียวอาจกลายเป็นหิวทานต่อได้อีกทันที แน่นอนว่าช่วงเวลาพุงกางอาจจะไม่น่าโชว์นัก แต่โชคดีมากๆที่ทั้งสระไม่มีใครเลยนอกจากเรา นอกจากจะได้ย่อยอาหารแล้ว ยังเป็น Photo Op ที่หาได้ยากอีกด้วย จิบชาก่อนกลับ น่าเสียดายจังที่ Staycation ครั้งนี้ของเราใกล้จบลงแล้ว แม้ทางโรงแรมจะอนุโลมให้เรา Late Check-Out ได้ แต่เวลาก็ยังสั้นไปอยู่ดี ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วแบบนี้เสมอแหละ การว่ายน้ำเพื่อช่วยย่อยอาหารก่อนหน้านี้ของเรานั้นเป็นความคิดที่ถูกต้องมากๆ เพราะยังมี Afternoon Tea อีกเซ็ตใหญ่ๆที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ดูแลพวกเราส่งท้ายก่อนเช็คเอ้าท์ จัดเต็มเหมือนเคยครับทั้งของคาวและของหวาน รวมถึงชากาแฟครบชุด บางทีของที่ระลึกก็อาจมาในรูปแบบของน้ำหนักที่ได้เพิ่มกลับบ้านไปนะครับ สรุปความประทับใจ ก่อนหน้านี้เราเคยแวะมาร่วมงานต่างๆที่ The Sukhothai บ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยได้มีโอกาสมา Staycation แบบนี้เลย ครั้งนี้เราได้เรียนรู้ถึงเรื่องราวที่น่าสนใจของโรงแรมหลายเรื่อง เช่น โรงแรมนี้เป็น Private Brand ที่มีครอบครัวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวฮ่องกงเป็นเจ้าของ (HKRI Group) และมีเพียง 2 แห่งในโลกคือที่กรุงเทพฯและเซี่ยงไฮ้ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และเร็วๆนี้ที่กรุงเทพฯก็จะมีการเปิดตัวโปรเจ็คท์ใหม่ของแบรนด์อีกแห่งหนึ่งด้วย เราได้รู้อีกว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา The Sukhothai ได้ริเริ่มธรรมเนียมปฏิบัติหลายๆอย่างในวงการโรงแรมของไทย ไม่ว่าจะเป็นการมอบดอกไม้ไทยเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน หรือจะเป็นการจัด Sunday Brunch ที่ทุกวันนี้แทบทุกโรงแรมต่างก็มีให้บริการกัน แต่เรื่องเล่านั้นก็ยังไม่เท่าประสบการณ์ที่เราสัมผัสได้ด้วยตัวเองจากไมตรีของผู้ให้บริการ และรายละเอียดที่ลงตัวสวยงามของงานสถาปัตยกรรม ไปจนถึงอาหารเลิศรสมื้อแล้วมื้อเล่าที่เราได้ลิ้มลอง เมื่อทั้งหมดนี้มารวมกันอยู่ที่ The Sukhothai ก็ทำให้โรงแรมแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ สมกับความหมายของ "สุโขทัย" ชื่อโรงแรมจริงๆ "Dawn of Happiness" หรือ "รุ่งอรุณแห่งความสุข" โมงยามแห่งความละเมียดที่เราสามารถสัมผัสได้ทุกวัน ดีลห้องพักราคาพิเศษคลิ๊กจองที่นี่

  • BONCI (บอนซี่) คาเฟ่เปิดใหม่ย่านสะพานควาย

    BONCI (บอนซี่) #คาเฟ่เปิดใหม่ #ย่านสะพานควาย “ความไร้คอนเส็ปต์” ก็กลายเป็นคอนเส็ปต์ได้ ถ้ารสนิยมดีซะอย่าง วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไป #hop ทำความรู้จักกับ BONCI คาเฟ่สวยเก๋ย่าน #สะพานฟราย (สะพานควายนั่นแหละ) ที่กลางวันเป็นคาเฟ่ ส่วนกลางคืนเป็นบาร์สุดฮิป เราถามเจ้าของร้านถึงที่มาของชื่อ BONCI ว่าชื่อนี้มาแต่ใด คำตอบก็คือ ”ตัวอักษร 5 ตัวนี้เรียงกันแล้วสวยดีนะ” แค่นี้ก็พอจะบอกได้ว่าคาเฟ่แห่งนี้สร้างขึ้นจากรสนิยมส่วนตัวของเจ้าของล้วนๆ แต่สำหรับเราแล้วจะว่าไร้คอนเส็ปต์เสียเลยก็ไม่ถูก เพียงแค่คอนเส็ปต์ของร้านนี้ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาด้วยคำพูดให้สวยหรูก็แค่นั้นเอง แต่มันออกมาเป็นบรรยากาศของร้านให้จับต้องได้เลย ถ้าให้เราบรรยายตามความรู้สึกของเราเองก็ต้องบอกว่าที่นี่มี Good Vibes หนาแน่นมาก นอกจากการแต่งร้านที่ทำให้เรานึกถึงสไตล์สแกนดิเนเวียนแล้ว การคัดสรรเมล็ดกาแฟที่นำเข้ามาจากออสเตรเลียตามความชอบของเจ้าของ ก็ทำให้เรารู้ว่าอย่างน้อยก็ต้องมีคำว่า “ใส่ใจรายละเอียด” นั่งอยู่ในใจของเจ้าของอย่างแน่นอน ส่วนชั้นลอยนั้นตอนกลางคืนจะกลายร่างเป็นบาร์สุดฮิปนามว่า BONCI BAR เมนูแนะนำ สำหรับผู้ชอบความครีมมี่ นัวร์ๆ BIMBOM CREAM 150.- สำหรับใครที่ชอบความสดชื่น BIMBOM SOUR 150.- ส่วนครัวซองต์ที่เราได้ลองชิมคือ Spinach Croissant 150.- สายครัวซองต์ก็คือห้ามพลาด สรุปเลยแล้วกัน ร้านสวย กลางวันกาแฟดี กลางคืนนั่งดริ้งค์ได้ มีที่จอดรถด้านหลังร้านใกล้แยกสะพานควาย จะมีคอนเส็ปต์หรือเปล่าก็ช่างมันไปก่อนก็แล้วกัน อะไรดี Hop ก็ว่าดี ไปเช็คอินกันได้เลยค้าบบบ แถมช่วงนี้ก็จะมีตู้ถ่ายรูปสุดฮิตอย่าง Sculpturebangkok ไปตั้งอยู่ในร้านด้วยนะ ถ้าซื้อเครื่องดื่มขนมครบ 550.- จะได้ถ่ายฟรี 1 ครั้ง 1 แผ่น หรือใครอยากถ่ายแบบจัดเต็มก็จ่าย 150.- ต่อครั้งไปเลย!! BONCI Location: https://goo.gl/maps/ZBQrwCVqnf6NLUhdA 1477 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เวลาเปิด-ปิด : Café 10:00-18:00 | Bar 18:00-23:00 (เปิดให้บริการเร็วๆนี้) โทร : 06-4646-9245 ที่จอดรถ : ที่จอดรถ BONCI สามารถจอดรถได้หลังร้าน (ที่จอดรถจำกัด 5-6 ที่นะครับ) ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/hellobonci/

  • NAOSHIMA เที่ยวเกาะศิลปะนาโอชิมะ

    เที่ยวเกาะนาโอชิมะ เกาะศิลปะ เกาะ Naoshima และ Teshima อาจจะเป็นเพียง 2 จุดเล็กๆบนแผนที่ประเทศญี่ปุ่นที่แม้แต่คนญี่ปุ่นบางคนก็ยังไม่รู้จัก แต่จุด 2 จุดนี้มีเรื่องราวที่ไม่ธรรมดา จากชุมชนที่ครั้งหนึ่งเคยต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมเหล็กของบริษัท Mitsubishi เป็นแหล่งรายได้หลัก ก่อนที่จะค่อยๆซบเซาลงจนประชากรเหลือไม่ถึงครึ่ง วันนี้ศิลปะและสถาปัตยกรรมได้เข้ามาช่วยชุบชีวิตและความงดงามให้บานสะพรั่งบนเกาะทั้งสองอีกครั้ง มาเถอะ ชาว #hopsters มา #hoparound ไปสำรวจรอบๆเกาะทั้งสองนี้กัน แต่โพสนี้เรามาเริ่มกันที่ Naoshima กันก่อนดีกว่าเนอะ โรงแรมแนะนำใน Uno Port + Naoshima พร้อมดีลพิเศษ SETOUCHI KEIRIN HOTEL 10 by Onko Chishin Bamboo Village Guest House UOGASHI 7070 Ocean View MY LODGE Naoshima Vacation House Day Naoshima Ryokan Roka 暮らすように過ごすNagi unoport Uno station มาเริ่มกันที่สถานี Uno station เป็นสถานี รถไฟปลายทางที่จะต่อเรือไปยังเกาะนาโอชิมะ แค่สถานีก็แต่งเป็นภาพกราฟิกลวงตา ทำให้เรารู้สึกได้ว่างานอาร์ตกำลังเริ่มต้นแล้วววววว เกาะ Naoshima นั้นมีขนาดกว่า 14 ตร.กม. ตั้งอยู่ในจังหวัดคากาว่า (香川 / Kagawa) ซึ่งเป็นจังหวัดที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น การจะเที่ยวได้รอบๆเกาะนั้นเราควรจะมีเวลาเที่ยวอย่างน้อย 2 วันถึงจะครอบคลุมแบบไม่รีบจนเกินไป วิธีเดินทางที่เราคิดว่าดีที่สุดก็คือการปั่นจักรยานไฟฟ้าสูดอากาศสะอาดๆและเสพงานศิลป์ไปรอบเกาะ ถ้าหากอากาศเป็นใจคุณจะได้รับความอิ่มอกอิ่มใจไปแบบเต็มๆ วิธีไปเกาะนาโอชิมะ วิธีการเดินทางไปเกาะนาโอชิมะ การเดินทางมายังตัวเกาะนาโอชิมะนั้น มีหลายวิธีมาก แต่ที่เราจะแนะนำคือขึ้น "รถไฟ" แล้วต่อ "เรือ" ถ้าใครที่มาจากโอซาก้า เราขอแนะนำให้เพื่อนๆเริ่มต้นจาก 1. สถานีรถไฟ Shin-Osaka Station โดยขึ้นรถไฟขบวน Tokaido-Sanyo Shinkansen ที่มุ่งหน้าไปทาง のぞみHakata 2. จากนั้นมาลงที่สถานีรถไฟ Okayama Station แล้วเปลี่ยนรถไฟไปเป็น JR สาย Seto-Ohashi Line มุ่งหน้าไปทาง 快速Takamatsu 3. จากนั้นให้เปลี่ยนรถไฟที่สถานี Chayamachi Station โดยขึ้นรถไฟ JR สาย Uno Line ซึ่งจะมุ่งหน้าไปทาง 各停Uno 4. แล้วให้ลงสถานีสุดท้ายปลายทางคือ Uno Station แล้วเดินไปขึ้นเรือที่ท่า Uno Port เพื่อไปลงที่เกาะนาโอชิมะ หรือใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ให้เข้าไปตามลิ้งค์นี้ได้เลยครับ http://benesse-artsite.jp/en/access/ ที่เที่ยวบนเกาะนาโอชิมะ ตัวเกาะนาโอชิมะแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ 1) Miyanoura อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะ โซนนี้มีท่าเรือหลัก มีหมู่บ้าน ร้านอาหารเล็กน้อย ร้านให้เช่าจักรยาน และ 7-11 (น่าจะเป็นไม่กี่ร้านบนเกาะ) 2) Honmura อยู่ฝั่งตะวันออก มีท่าเรือเล็กกว่า แต่มีร้านรวงมากกว่า ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และคาเฟ่ รวมถึงเป็นที่ตั้งของบ้านร้างที่ถูกปรับให้เป็นที่แสดงงานศิลปะหลายหลังในโครงการ Art House Project และ Ando Museum 3) Benesse House Area อยู่ทางทิศใต้ของเกาะ โซนนี้จะเน้นหนักไปที่มิวเซียมจริงจัง และโรงแรมที่พัก ไม่ค่อยมีร้านค้าและร้านอาหารด้านนอกสักเท่าไหร่ เราใช้เวลานั่งเรือชมวิวได้ไม่นานก็มาถึงตัวเกาะนาโอชิมะแล้ว Naoshima Tourism Association มาถึงท่าเรือซึ่งจะเป็นจุดสตาร์ทของเราในทริปนี้ โดยที่นี่จะมีล็อกเกอร์ฝากของ ที่นั่งพัก ที่ซื้อตั๋ว ขายอาหาร ของฝาก ห้องน้ำและเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่มีไกด์ท้องถิ่นคอยบริการเพื่อนๆ ด้วย การเดินทางบนเกาะ การเดินทางบนเกาะนั้นมีให้เลือกตั้งแต่รสบัส ที่จะจอดทุก stop ที่มีงานศิลป์และมิวเซี่ยมอยู่ หรือการเช่ารถยนต์ แต่เราเลือกเช่าจักรยานไฟฟ้า เพราะสะดวกดี อยากจะแวะจุดไหนถ่ายรูปก็ได้เลย Red Pumpkin (赤かぼちゃ) - Yayoi Kusama เมื่อมาถึงที่ท่าเรือก็จะมี เจ้าฟักทองสีแดงของคุณป้ายาโยอิออกมาต้อนรับ ตั้งอยู่เด่นมาก แถมเรามาตอนที่คุณลุงกำลังซ่อมและแต่งเติมสีเจ้าฟักทองอยู่พอดี ปฏิบัติการพลิกโฉม Naoshima ด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมเป็นโครงการระยะยาวกว่า 30 ปี เริ่มมาตั้งแต่ปี 1985 ตามวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งบริษัท Benesse Corporation ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาและสิ่งพิมพ์ (เจ้าของโรงเรียนสอนภาษา Berlitz) และนายกเทศมนตรีของเกาะ Naoshima ในขณะนั้นที่ต้องการสร้างพื้นที่ทางการศึกษาและวัฒนธรรมบนเกาะในเขตทะเลปิดเซโตะ (Seto Inland Sea) ให้กับเด็กๆทั่วโลก Mikazukishoten ”ミカヅキショウテン” เราโชคดีที่วันที่เราไปนั้นอากาศดี๊ดี เราสามารถปั่นจักรยานได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เราแวะร้านคาเฟ่ (กาแฟดีมาก!) ร้านนี้ชื่อร้าน Mikazukishoten เป็นร้านที่อร่อยมาก ภายในร้านก็มีขายของกระจุกกระจิกน่าเสียตังเป็นอย่างยิ่ง แถมพ่อค้าก็ใจดีแนะนำหลายๆอย่างให้ทำบนเกาะอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็น Local guide ที่ดีเลย ข้อมูลเพิ่มเติม > http://www.mikazukishoten.jp Hours: 8:30 am - 17:00 pm Closed: Thursday Location: https://goo.gl/maps/aaRqBzT6fYNbAoF97 Naoshima Bath "I❤湯 (I Love YU)" - Shinro Ohtake Naoshima Bath 「I♥湯」 นี่ก็เป็นห้องอาบน้ำสาธารณะที่ตกแต่งได้สวย สะดุดตา ดูสนุกมาก ไปครั้งหน้าก็อยากไปแวะแช่ออนเซ็นเหมือนกันนะนี่ เป็นหนึ่งในผลงานศิลปะของเกาะแห่งนี้เช่นกัน Naoshima Bath "I❤湯" Hours: 13:00 ~ 21:00 (Last reception 20:30) Closed: Mondays *Open on national holidays closed on the following day Admission: JPY 660 ประมาณ 198 บาท Location: https://goo.gl/maps/Di2L1Lk7mQCSmqtb8 Naoshima Pavilion ( 直島パヴィリオン ) ออกแบบโดยศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อ Sou Fujimoto Location: https://goo.gl/maps/BYhLxoMnCEDZiFeG6 Benesse House Museum หลังจากพูดคุยและทดลองมาหลายปี โปรเจ็คท์ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นบนที่ดินผืนใหญ่ทางตอนใต้ของเกาะ โดยมี Tadao Ando สุดยอดปรมาจารย์สถาปนิกอัจริยะชาวญี่ปุ่นชื่อดังระดับโลก (ถ้าจะอวยกันขนาดนี้...) ที่ชำนาญในการใช้วัสดุคอนกรีตมาสร้างเป็นโครงสร้างรูปทรง Minimalist เพื่อล้อกับแสงธรรมชาติที่ให้อารมณ์แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของวัน มาออกแบบตัวอาคาร Benesse House Museum ซึ่งเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และโรงแรม เปิดตัวในปี 1992 เป็นหลังแรก คอนเส็ปต์ของ Benesse House Museum นั้นเน้นให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันของธรรมชาติ สถาปัตยกรรม และศิลปะ พื้นที่หลายส่วนของอาคารจึงถูกฝังอยู่ใต้ดินเพื่อไม่ให้รบกวนทัศนียภาพของเกาะ แม้อาคารจะมีอายุถึง 26 ปีแล้ว เรายังรับรู้ได้ถึงความคูลที่ไม่ล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย และทุกๆมุมที่เราหันไปก็ยังคงสร้างความว้าวให้กับเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ Benesse House Museum Hours: 8:00 am - 21:00 pm (Last admittance: 20:00 pm) Closed: Open year-round Open Days Calendar Admission: JPY 1,050 ประมาณ 315 บาท (ด้านในโซนแกลเลอรี ห้ามถ่ายรูปนะครับ แต่เราก็หารูปมาฝากกันนน) Location: https://goo.gl/maps/97qoReZdDaFcYGGSA © Trent McBride Hiroshi Sugimoto " Time Exposed" , 1980-97 © Forgemind ArchiMedia Kan Yasuda The Secret of the Sky , 1996 © skrytebane Bruce Nauman " 100 Live and Die" , 1984 George Rickey "Three Squares Vertical Diagonal", 1972-82 Dan Graham " Cylinder Bisected by Plane" , 1995 Shinro Ohtake " Shipyard Works: Stern with Hole" , 1990 © Todd Lappin Walter De Maria " Seen/Unseen Known/Unknown" , 2000 Yayoi Kusama "Yellow Pumpkin" , 1994 นอกจากมิวเซี่ยมที่ต้องเสียเงินเข้าชมแล้ว สิ่งที่ทำให้เราตกหลุมรัก Naoshima อย่างจังก็คือการได้ขี่จักรยานไฟฟ้า (ย้ำว่าต้องไฟฟ้า ไม่งั้นต้องปั่นขึ้นเนินกันน่องแตก จากรักอาจจะกลายเป็นเกลียดได้เลย) ชมธรรมชาติ (เราเจอหมูป่าอยู่ข้างมิวเซี่ยมด้วย) และตามล่างาน installation กลางแจ้งตามลายแทงรอบเกาะ เช่นงานฟักทองลายจุดของคุณยาย Yayoi Kusama ในตำนานที่โผล่มาทักทายกันตั้งแต่ลงจากเรือ และอีกฝากหนึ่งของเกาะ Hours: 24HRs OPEN: EVERYDAY Admission: FREE Location: https://goo.gl/maps/HbZHas2cwkLXtbYeA Chichu Art Museum Tadao Ando ได้ฝากผลงาน Masterpiece ด้านสถาปัตยกรรมไว้บนเกาะแห่งนี้รวม 8 แห่ง ที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็น Chichu Art Museum ที่สร้างเสร็จในปี 2004 (ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!!) โดยมีตัวอาคารทั้งหมดฝังอยู่ใต้ดินลึกลงไป 3 ชั้นแต่แสงธรรมชาติก็ยังสามารถส่องทะลุลงมาได้อย่างเหมาะเหม็ง และเมื่อมองจากมุมสูงก็จะเห็นอาคารเป็นรูปทรง 3 เหลี่ยมและ 4 เหลี่ยมหลายอันเรียงรายฝังอยู่ใต้ผิวดิน แค่เพียงก้าวเท้าเข้าไปสู่ Chichu เราก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของความสงบและงดงาม (ไม่ได้พูดเว่อร์นะ) โดยเฉพาะห้องแรกที่แสดงภาพวาดดอกบัวในบึงโดยฝีแปรงของ Claude Monet ขนาดใหญ่มหึมา 5 ภาพ แม้เราจะเคยชมงานของ Monet จากที่อื่นมาบ้างแล้ว แต่คราวนี้ต่างไป อาจจะเพราะขนาดของงานและความโอ่โถงของห้อง เรารู้สึกราวกับถูกร่ายมนตร์ใส่ให้ตกตะลึงอยู่ในห้วงความงดงามที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง Chichu Art Museum Hours: March 1 - September 30 10:00 am - 6:00 pm (Last admittance: 5:00 p.m.) October 1 - last day of February 10:00 am - 5:00 pm (Last admittance: 4:00 p.m.) Closed: Mondays Admission: JPY 2,100 ประมาณ 630 บาท(ราคาสูงแต่เราว่าคุ้มมากๆ ที่ได้เข้าไปชมอะไรดีๆของศิลปินระดับโลก) (ด้านในโซนแกลเลอรี ห้ามถ่ายรูปนะครับ *แต่เราก็นำรูปจากในกูเกิ้ลมาให้ดูเป็นตัวอย่างกัน) Location: https://goo.gl/maps/n8h3VhkfCyELR4GC7 เราต้องเดินมาซื้อตั๋วกันก่อนที่นี่ ก่อนเดินข้ามฝั่งไปยังมิวเซี่ยม Chi Chu Art Museum ได้ตั๋วมาแล้ว ไปลุยกันเลยยยย ส่วนทางเข้าตึกนี้จะอยู่อีกฝั่งของถนนนะครับ แค่ทางเดินเข้ายังสวยขนาดนี้เลยยยย Claude Monet " Water Lilies series" © benesse-artsite.jp Walter De Maria งาน installation ถาวร โดย Walter de Maria ที่ยิ่งใหญ่มากๆ Walter De Maria ( วอลเตอร์เดอมาเรีย) เกิดในปี 1935 ในอัลบานี แคลิฟอร์เนียเรียนด้านประวัติศาสตร์และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านศิลปะจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียบาร์กลีย์ 1953 ถึง 1959 และเสียชีวิตไปเมื่อ 2013 (ตอนอายุ 77) © Iwan Baan James Turrell "Open Field" (2000) ด้านในเป็น space สีน้ำเงินสามารถเดินเข้าไปด้านในได้ด้วย © Iwan Baan James Turrell " Open Sky" (2004) และยังมีงานศิลปะที่เล่นกับแสงของ James Turrell โดยเฉพาะงานที่ชื่อ Open Sky ที่เราสามารถลงชื่อจองสิทธิพิเศษล่วงหน้าเพื่อเข้าร่วม Night Program ไปชมแสงยามตะวันตกดิน (หรือตกน้ำหว่า?) หลังพิพิธภัณฑ์ปิดได้ด้วย และที่นี่ยังมีคาเฟ่ร้านอาหารให้นั่งพักชิลชมวิวทะเลเซโตะอุจิกันด้วยนะ © benesse-artsite.jp Lee Ufan "Lee Ufan Museum" พิพิธภัณฑ์ Lee Ufan เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งใกล้กับ Benesse House Museum เปิดให้เข้าชมเมื่อปี 2010 ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Lee Ufan ศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับสากลเป็น ศิลปินร่วมสมัยชาวเกาหลี Lee Ufan มาทำงานเป็นอาจารย์สอนในประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่งปัจจุบันมีฐานอยู่ที่ยุโรปเป็นหลักและสถาปนิก Tadao Ando โครงสร้างกึ่งใต้ดินที่ออกแบบโดย Ando เป็นที่ตั้งของภาพวาดและประติมากรรมโดย Lee ซึ่งประกอบไปด้วยช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1970 ถึงปัจจุบันผลงานของ Lee สะท้อนกับสถาปัตยกรรมของ Ando ทำให้ผู้เข้าชมประทับใจทั้งความนิ่งสงบและพลศาสตร์ และมหาสมุทร พิพิธภัณฑ์มีพื้นที่อันเงียบสงบที่ธรรมชาติ สถาปัตยกรรมและศิลปะเข้ามาผนวกกัน Lee Ufan Museum Hours: March 1 - September 30 10:00 am - 6:00 pm (Last admittance: 5:30 p.m.) October 1 - last day of February 10:00 am - 5:00 pm (Last admittance: 4:30 p.m.) Closed: Mondays Admission: JPY 1,050 ประมาณ 315 บาท Location: https://goo.gl/maps/dqidYM6Qu9Z8kKEb7 วิวทะเลที่นี่สวยมากจริงๆ รถมินิบัสที่นี่จะจอดทุกป้ายที่มีงานศิลป์และพิพิธภัณฑ์เลยนะ แต่คันนี้ จอดพักอยู่ในอู่ Naoshima District Naoshima Elementary School โรงเรียนแห่งเดียวบนเกาะนาโอชิมะ เราชอบตึกนะ เท่ดี แวะทานมื้อเที่ยงกันที่ Yayoda 八代田 จากนั้นเราปั่นกันต่อไปเรื่อยๆ จนถึงฝั่ง Honmura port แล้วแวะกินข้าวเที่ยงที่ร้าน Yayoda (Kaisen Cuisine) ซึ่งร้านนี้จะเป็นอาหารทะเลท้องถิ่นที่สดและอร่อยมากกกกกก สไตล์โฮมมี่หน่อยๆ มีปลา หอย ปู หลากชนิดที่เราไม่เคยกินที่เมืองอื่นมาให้เลือกสั่งเพียบบบบ และยังมีสาเกจากจังหวัดต่างๆด้วยนะ Yayoda Hours: 12:00–14:30 pm., 18:00–20:30 pm. Closed: Mondays Price: JPY 300-1,500 เริ่มต้นประมาณ 90 บาท แต่ถ้าสั่งเป็นเซ็ทก็จะตกอยู่ที่เซ็ทละ 450 บาทเท่านั้น ถือว่าถูกมาก เพราะอาหารสดมาก Location: https://goo.gl/maps/bpQ6wWiU2dpiKrPBA Miyaura Port Terminal เป็นทั้ง Installation Art และเป็นทั้งที่จอดรถ ดูเผิญๆเหมือนก้อนไรกลมๆ แต่จริงๆแล้วดีไซน์เนอร์ได้รับแรงบันดาลใจมากจากเจ้าก้อนเมฆนั้นเอง Location: https://goo.gl/maps/wuuhCsab85HGB3AM7 Art House Project "Haisha" - Shinro Ohtake Shinro Ohtake "Dream on the Tongue/Peek at the Boccon" 2006 Art house project จะมีอยู่ทั่วเกาะเลยนะครับ เพื่อนๆสามารถซื้อตั๋วแบบเหมาได้เลย Location: https://goo.gl/maps/DdCGecSCSbA18b3z8 Honmura Lounge & Archive แล้วเราก็ขับจักรยานผ่านมาที่ ศูนย์ข้อมูลบริการนักท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งที่นั่งพัก ห้องน้ำ และของที่ระลึกขายกันทุกรูปแบบ ทำให้เสียตังค์กันอีกล้าว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นขายของมีดีไซน์ จากชุมชน และศิลปินต่างๆ รวมไปถึงงานของคุณยาย Yayoi ด้วยนะ ออกแบบโดย สถาปนิก Ryue Nishizawa Honmura Lounge & Archive Hours: 10:00 am. ~ 16:30 pm. Closed: Mondays Admission: Free Location: https://goo.gl/maps/CzXsHChg6C2UeddJ6 Minamidera - James Turrell "Backside of the Moon" 1999 Design: Tadao Ando © archive.jamesturrell.com อีกที่ที่เรา Recommend ก็คือ Minamidera ในโซน Honmura ซึ่งเป็นหนึ่งในอีกผลงานของ Tadao Ando และอยู่ใน Art House Project ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวัดมาก่อน Ando จึงใช้เทคนิคเดียวกันกับการสร้างวัดญี่ปุ่นสมัยก่อนที่ไม่มีการใช้ตะปูเลยแม้แต่ตัวเดียวเพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ ภายในอาคารหน้าตาเรียบง่ายนี้ มีการจัดแสดงงานของ James Turrell ที่ชื่อ Backside of the Moon ข้างในเราได้ถูกพาไปสัมผัสความมืดสนิท และได้เรียนรู้เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของดวงตาตัวเองที่ค่อยๆกินความมืดเป็นอาหารจนสามารถมองเห็นในได้ชัดขึ้นเรื่อยๆแม้ในที่อับแสง Minamidera - James Turrell "Backside of the Moon" Hours: 10:00 am. ~ 16:30 pm. Closed: Mondays Last admission: 16:15 Location: https://goo.gl/maps/mpF2K2xMZ688skki6 ANDO MUSEUM - Tadao Ando และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม (ด้านในโซนแกลเลอรี ห้ามถ่ายรูปนะครับ) Hours: 10:00 am - 16:30 pm (last admission 16:00) Closed: Mondays Admission: JPY 520 ประมาณ 156 บาท Location: https://goo.gl/maps/DEbXSrbZZRkGR6QM9 Naoshima Hall - Hiroshi Sambuichi Design by Sambuichi Architects เป็นอาคารอเนกประสงค์ของเมืองนาโอชิมะ ที่เคยได้รับรางวัลจากนิตยสารระดับโลกอย่าง Wallpaper* ในโครงการ Design Award in Best New Public Building category ปี 2017 Naoshima Hall แห่งนี้เป็นสถานที่สาธารณะสำหรับผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นเท่านั้นและไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้แต่เพื่อนๆสามารถดูจากด้านนอกได้ตลอดเวลา สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่นี่สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ทางการของเมือง Naoshima ที่นี่ตอนกลางคืนก็สวยไปอีกแบบนะ ในวันนี้ Naoshima มีข้อเสนอดีๆและความสะดวกสบายจะหยิบยื่นให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากมาย กว่า 30 ปีได้ผ่านไป พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ งานดีไซน์ งาน installation โดยศิลปะระดับโลกต่างๆก็ทยอยผุดขึ้นกระจายตัวไปทั่วทั้งเกาะ Naoshima และเกาะใกล้เคียง ตามด้วยร้านค้า และธุรกิจท้องถิ่น ส่งผลให้เกาะที่เคยเกือบร้างกลับมามีชีวาอีกครั้ง ในปี 2016 ที่ผ่านมางานศิลปะ Setouchi Trenniale ครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นบนเกาะต่างๆนี้ ก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาได้มากกว่า 1 ล้านคน แม้ในวันที่เราอยู่บนเกาะ เราอาจเจอผู้คนไม่มากนัก และในบางจังหวะเราก็รู้สึกถึงความเงียบราวกับอยู่ในเมืองร้าง แต่นั่นไม่ใช่ความเงียบเหงาวังเวง ในความเงียบนั้น เรารู้สึกปลอดภัยและสบายใจไปกับจังหวะชีวิตที่เนิบช้า ในความเงียบนั้น เรารับรู้ได้ถึงชีวิตที่นิ่งสงบมั่นคง จนอยากจะกด save เอาอารมณ์นั้นเก็บมาใช้ต่อที่เมืองไทยไปอีกนานๆ บางอย่างบอกเราว่า Naoshima น่าจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ในอีกไม่นาน เราก็รู้สึกได้ว่าความเงียบคงมีเวลาอีกไม่นาน ก่อนที่มันจะถูกทำลายกลายเป็นความจอแจของนักเช็คอินที่เมามันกับการถ่ายรูปลงสื่อโซเชี่ยล และถ้าหากคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ เราหวังว่าคุณจะหาเวลาไปเสพความดีงามของ Naoshima ในบรรยากาศที่ยังน่ารื่นรมย์ก่อนที่อะไรต่างๆจะเปลี่ยนไป แล้วพบกันใหม่กับเทศกาล Setouchi Art ครั้งต่อไปปปป #LetsHOParoundJapan สำหรับรีวิวเกาะเตชิมะ (Teshima) คลิ๊กที่นี่เลยยย FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co credit: http://setouchi-artfest.jp/en/ , http://benesse-artsite.jp/en/art/ #Naoshima #ArtSetouchi #LetsHoparound #Japan #Kagawa #เที่ยวเกาะศิลปะ #เที่ยวนาโอชิมะ #เกาะศิลปะ #นาโอชิมะ #รีวิวเกาะศิลปะ #รีวิวนาโอชิมะ #วิธีไปนาโอชิมะ #เที่ยวญี่ปุ่น #ชมงานศิลปะ #มิวเซียม #แกลเลอรี่ #เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #SetouchiArt # Setouchi Triennale

  • Shanghai เซี่ยงไฮ้ เซอร์ไพรส์เกินคาด

    Shanghai เซอร์ไพรส์เกินคาด รีวิวเซี่ยงไฮ้ เที่ยวเซี่ยงไฮ้ด้วยตัวเอง นอกจากรถไฟความเร็วสูงเกินคาด (300 กม./ชั่วโมง) จากสนามบินเข้าตัวเมือง Shanghai แล้ว มหานครจีนแห่งนี้ยังมีเซอร์ไพร้ส์อื่นๆรอให้ชาว # hopsters  ไปค้นพบอีกมากมาย มาๆมา # hop  ไปพร้อมกันเลย!! โรงแรมแนะนำในเซี่ยงไฮ้ พร้อมดีลพิเศษ เดอะ เซี่ยงไฮ้ เอดิชั่น (The Shanghai EDITION) อะลิล่า เซี่ยงไฮ้ (Alila Shanghai) เดอะ แลงแฮม เซียงไฮ้ ซินเทียนตี้ (The Langham Shanghai Xintiandi) ฮอลิเดย์ อินน์ เซี่ยงไฮ้ ถนนนานกิง (Holiday Inn Shanghai Nanjing Road) OPARTMENT(远东饭店) อันดาส ซิงเทียนตี้ เซี่ยงไฮ้ (Andaz Xintiandi Shanghai By Hyatt) แมนดาริน โอเรียนเต็ล ผูตง เซี่ยงไฮ้ (Mandarin Oriental Pudong Shanghai) Caption By Hyatt Zhongshan Park Shanghai วอลดอร์ฟ แอสทอเรีย เซี่ยงไฮ้ ออน เดอะ บันด์ (Waldorf Astoria Shanghai On the Bund) เดอะ สุโขทัย เซี่ยงไฮ้ (The Sukhothai Shanghai) บัตรเข้าสวนสนุก Shanghai Disney Resort สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะผู่ตง สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ The Bund ที่นี่คือสุดยอดจุดชมวิวเมืองที่ชาว #hop   ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง The Bund ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทางเดินริมน้ำที่สวยและมีความ Iconic มากที่สุดในโลก เพราะเรียงรายไปด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปสุดแกรนด์หลากหลายสไตล์ตั้งแต่ Neo-classical, Beaux-arts, Gothic จนถึง Baroque และเมื่อมองข้ามฝั่งแม่น้ำหวงผู่ไป ก็จะเห็นเมืองใหม่ที่แน่นไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้ารวมถึง Oriental Pearl Tower ที่เป็นสัญลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้อีกด้วย เรียกว่าขนาบไปด้วยวิวพาโนราม่าของทั้งเมืองเก่าและใหม่ทั้งซ้ายและขวาเลยทีเดียว ย้อนกลับไปเมื่อค.ศ.1842 The Bund ถือกำเนิดขึ้นบนเจ็บปวดของชาวจีนในขณะนั้น เมื่อจีนแพ้สงครามฝิ่นและต้องจำใจยอมลงนามในสนธิสัญญานานกิง เพื่ออนุญาตให้อังกฤษและชาติตะวันตกเข้ามาถือครองที่ดินตั้งรกรากและทำการค้าในเขตปกครองพิเศษเซี่ยงไฮ้ที่ขณะนั้นยังมีสภาพเป็นพื้นที่ลุ่มทางการเกษตร ใครจะคิดว่าความพ่ายแพ้ของจีนในวันนั้นจะเป็นจุดกำเนิดของเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว “หลายร้อยล้าน” คนในแต่ละปี ในวันนี้อาคารใน The Bund เป็นที่อยู่ของสำนักงานธนาคารและบริษัทใหญ่ๆ รวมถึงโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ และร้านขายสินค้าลักชัวรี่ต่างๆ เดินมาเรื่อยๆ เราก็เจอกับ % Arabica Shanghai Roastery สาขานี้ค่อนข้างใหญ่ มีทั้งโรงคั่ว และร้านกาแฟ บรรยากาศน่ารักๆ เงียบๆ Location: 169 Yuanmingyuan Rd, Wai Tan, Huangpu Qu, Shanghai Shi, China, 200436 https://goo.gl/maps/bW2tdT3ZaN9ShDLa9 Yuyuan Old Street อยู่ติดกันกับ Yuyuan Garden ที่นี่เป็นย่านการค้าขนาดย่อมที่รุ่มรวยไปด้วยสถาปัตยกรรมและบรรยากาศจีนโบราณ สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิงกว่า 400 ปีมาแล้ว มนตร์เสน่ห์และความขลังที่ยังคงอบอวลอยู่ในย่านเก่าแก่แห่งนี้ มีพลังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มารวมพลกันโดยไม่ได้นัดหมายจนบางครั้งต้องเดินเบียดกัน แต่หากหาจังหวะถ่ายรูปเก่งๆก็มีมุมถ่ายรูปสวยๆได้ตลอดทาง Yuyuan มีร้านค้าอยู่ทุกซอกมุมขายทั้งอาหาร เสื้อผ้า และของที่ระลึก (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นกลุ่มลูกค้าทัวริสต์) เราแวะซื้อเสี่ยวหลงเปาซุปปูที่มาพร้อมกับหลอดดูดมาทดลอง รสชาติดีทีเดียว แต่เค้าว่านี่ยังไม่ใช่ร้านต้นตำรับ จากที่นี่ถ้าขยันเดินนิดนึงชาว #hopsters   ก็สามารถเดินลัดเลาะชมเมืองไปถึง The Bund ได้เลย Fosun foundation หรือลองเสิจว่า The Bund Finance Center เป็นตึกที่มีความเท่มาก เพราะตัวเลเยอร์สามารถหมุนได้ด้วย ทางเดินเลาะแม่น้ำใหญ่มาก สะอาดด้วย Nanjing Road ถนนช้อปปิ้งหลักสายยาวของเซี่ยงไฮ้ แยกออกมาจาก The Bund คราคร่ำไปด้วยขาช้อปและนักท่องเที่ยว เนืองแน่นไปด้วยห้างสรรพสินค้า ร้านค้า flagship ของแบรนด์ต่างๆ และร้านอาหารหลายสไตล์ตลอดทาง เราแว่บเข้าไปในห้าง Daimaru ก็สะดุดตากับบันไดเลื่อนโค้งที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร เดินต่อมาอีกซักพักก็เจอตึกที่เป็นร้าน Zara ทั้งตึกใหญ่มากๆ Xintiandi อีกย่านช้อปปิ้งหลักของเซี่ยงไฮ้ แต่บรรยากาศต่างจาก Nanjing Road มาก เพราะที่นี่นักท่องเที่ยวน้อยกว่า ตึกน่ารักกว่า มีซอกมุมเยอะกว่า น่าเดินกว่า และมีร้านเก๋ๆที่คัดของแปลกๆมาขายมากกว่า เอาตรงๆก็คือส่วนตัวเราชอบย่านนี้มากกว่านั่นเอง 5555 ด้วยบรรยากาศที่ดูดีแบบนี้ จึงไม่แปลกที่ Xintiandi จะเป็น Location หลักในการจัดงาน Shanghai Fashion Week ในแต่ละปี อ่อ! สำหรับแฟนๆอุปกรณ์ถ่ายวิดีโอของ DJI แบรนด์จีนที่ดังไกลทั่วโลก ก็อย่าลืมแวะร้าน Flagship กันได้ที่ Xintiandi นี่เลย HEY TEA ร้านชานมไข่มุกชื่อดังในเซี่ยงไฮ้ ชาที่นี่มีให้เลือกมากมายอาจจะต้องใช้เวลายืนสั่งนานนิดนึงฮ่าๆ และจะบอกว่าสาขานี้พิเศษตรงที่มีเบเกอรี่ขายด้วย และอร่อยมากๆๆๆ จนอยากกลับไปซื้อซ้ำ ตรงนี้ก็เป็นร้านสูทร ที่มีคาเฟ่เล็กๆขายด้านหน้าร้านด้วย DOE Coffee ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ในร้านเสื้อผ้าสตรีทสไตล์ แถมบาริสต้ายังใจดีแนะนำร้านอาหาร local ให้เราอีกด้วย Huaihai Middle Road ย่านนี้ไม่ค่อยมีคนแนะนำกันเท่าไหร่ แต่สำหรับเรา นี่คือหนึ่งในย่านที่เราชอบมากที่สุด ด้วยเหตุผลหลายๆข้อ ไม่ว่าจะด้วยที่ตั้งที่ต่อตรงมาจาก Xintiandi ได้เลยและสามารถเดินได้ยาวไปชนกับอีกย่านช้อปปิ้งที่มีห้างๆเก๋ๆสวยๆหลายแห่ง บรรยากาศในละแวกนี้ก็ดูจริงไม่ประดิษฐ์เหมือนย่านช้อปปิ้งอื่นๆ เรายังเห็นชาวเมืองเซี่ยงไฮ้ในวัยต่างๆออกมาจับจ่ายใช้สอย และย่านนี้ก็ยังมีกิจการร้านรวง local แซมอยู่เป็นระยะ แบรนด์ใน Huaihai Middle Road นี้ก็มีทั้งที่เราคุ้นเคยเช่น Nike, Muji, Freitag, Uniqlo รวมถึงแบรนด์เสื้อผ้าจีนอย่าง Urban Revivo Muji (สาขานี้มีหนังสือและของไม่เหมือนที่อื่นด้วยนะ) ส่วนชั้นบนมีร้านอาหาร MUJI DINER ด้วยนะง่ายๆ แนะนำเลย SEE SAW coffee แบรนด์กาแฟชื่อดัง(อีกแล้ว) ของเมืองเซี่ยงไฮ้ มีสาขารอบๆเมืองเลย แถมพนักงานก็บริการดีมากด้วย ร้านรวมของดีไซน์เก๋ๆ "RESEE" อยู่ชั้นบนของตึกเดียวกับ MUJI ที่นี่มีตั้งแต่ของแต่งบ้าน จักรยาน ของใช้ในชีวิตประจำวันรวมไปถึงกระเป๋าชื่อดังอย่าง Freitag ด้วยแหละ mia fringe ซึ่งเป็นร้าน Concept Store ที่คัดแบรนด์เสื้อผ้าชิคๆ และยังมีส่วนที่เป็นคาเฟ่ และชั้นบนสุดก็มี Bar เก๋ๆไว้รองรับลูกค้าด้วย ที่นี่พนักงานพูดภาษาอังกฤษดีมากกก ถ้าเทียบกับหลายๆร้าน ฮ่าๆ 1933 Old Millfun โรงฆ่าสัตว์ขนาด 32,500 ตารางเมตรที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1933 กลับกลายเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมแนว Gotham-Deco อันเป็นเอกลักษณ์ที่หลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในโลก เมื่อก้าวเข้าภายในตัวอาคารบรรยากาศก็ชวนให้พิศวง แอบน่ากลัวเล็กๆ เท่หน่อยๆ น่าสนใจอย่างประหลาด บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนยืนอยู่ใต้ทางด่วนที่ก่ายกันไปมา ภายในมีร้านค้าและสำนักงานอยู่บ้างประปราย มีคนเดินถ่ายรูปกันเยอะพอสมควร เราแอบเห็นคนมาถ่าย Fashion Set ในวันที่เราไปและเราก็คิดว่า ชาว #hopsters ของเราก็ควรจะแวะมาเสพความฮิปของที่นี่ด้วยเช่นกัน เดินออกมาจาก 1933 Old Millfun บรรยากาศเมืองก็จะประมาณนี้ มีกลิ่นความครีเอทีฟนิดๆ Upper Bookstore (Banceng) เดินไปอีกนิดหน่อยบนถนน Ha’erbin Road ที่อยู่ห่างจากตึก 1933 มาเพียงหน่อยเดียว เป็นถนนเงียบๆ ที่มีร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านหนังสือเก๋ๆที่ชื่อ Upper Bookstore (Banceng) ด้วย ร้านนี้เป็นร้านขายหนังสือขนาดสองชั้นที่สายอาร์ต สายดีไซน์ต้องหลงรักแน่ๆ เพราะมีหนังสือและนิตยสารหลายพันเล่มให้เลือกซื้อ ทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ มีเครื่องเขียนเก๋ๆให้เสียตังเยอะเลย ฮ่าๆ แถมด้านหลังร้านก็มีคาเฟ่ให้นั่งจิบกาแฟเบาๆ อีกด้วยแหละ(ก็คือมีสองที่นั่ง) ตรงข้ามกันกับร้านหนังสือก็มีร้านอาหาร และร้านคาเฟ่อื่นๆอยู่ด้วย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในร้านอาหารที่พนักงานร้านคาเฟ่แนะนำมา เป็น ร้านก๋วยเตี๋ยวสไตล์เซี่ยงไฮ้ จะบอกว่าร้านนี้อร่อยจริงๆ น้ำซุปเข้มข้นมาก ไก่ทอดก็ดี คือควรมาชิมมาก เป็นไม่กี่ร้านที่อาหารกลมกล่อมนะ ปกติร้านอื่นติดจืดๆหน่อย ร้านนี้อยู่สถานี Laoximen ออกทางออก 4 หรือลองเสิจในกูเกิลแมปว่า 290号 Ji An Lu Huangpu Qu, Shanghai Shi Jing An Temple Station แม้เซี่ยงไฮ้จะมีวัดมากมาย แต่นี่น่าจะเป็น 2 วัดที่คนนิยมไปไหว้พระกันมากที่สุด โดยที่วัดจิ้งอันนั้นโดดเด่นด้วยสีทองอร่าม โดยเฉพาะยามค่ำคืน สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย 3 ก๊ก มีอายุเกือบ 800 ปี ทำให้วัดผ่านความเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคสมัย ตั้งแต่ถูกย้ายมาจากริมฝั่งแม่น้ำวู่ซ่งสู่ดาวน์ทาวน์เซี่ยงไฮ้ในปัจจุบัน ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่ จากนั้นถูกใช้เป็นโรงงานพลาสติคในยุคปฏิวัติประเทศ และถูกไฟไหม้ จนต้องบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย รวมถึงหินหยกก้อนมหึมาที่ว่ากันว่าหากได้สัมผัสจะนำมาซึ่งความโชคดี เราเลือกที่จะขึ้นไปชมวิววัดจากด้านบน ภายในห้าง Reel mall บอกเลยว่าวิวดีมาก ขึ้นฟรีด้วย ตรงข้ามวัดก็มีร้าน 10 Corso Como เป็น ร้านขายของ multi-brand ของประเทศอิตาลี จะรวมของตามสมัยนิยมตั้งแต่เสื้อผ้า hi-end, hi-street จากทั่วทุกมุมโลกที่เป็นแรไอเท่มมากๆ แต่ละชั้นก็จะขายสินค้าแตกต่างกันไป อีกชั้นก็ขายพวกสินค้าแต่งบ้าน รูปภาพจากศิลปินชื่อดัง หนังสือแม็กกาซีน ซีดีเพลง นาฬิกา ของสะสม เครื่องประดับสวยๆ แต่ราคาปังมากๆ คือแพงแบบปัง แต่เราคิดว่าแค่ได้มาเดินดูก็ถือว่าคุ้มแล้ว อ้อ ชั้นบนมีคาเฟ่ ร้านอาหารวิวดีอยู่ด้วยนะ ลองไปดูกัน Location: https://goo.gl/maps/p75YYYeEY7AQaRZeA อีกห้างที่ใกล้ๆกันคือ Reel mall เป็นห้างที่ขายทุกอย่างที่เป็นสมัยนิยม และที่สำคัญจัดร้าน จัดดิสเพลสวยมาก สวยจนแบบนึกว่ามาเดินแกลอรี่เลยอะ Location: https://goo.gl/maps/pvFwSXrWkonb1tNz6 เดินไปเรื่อยๆตามถนนเส้นนี้ ก็จะมีแบรนด์นอกแถมตึกก็ดีไซน์สวย ให้ได้ชม ได้ถ่ายรูปด้วย Tianzifang เป็นย่านที่อยู่อาศัยเก่าที่เพิ่งถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นมาเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง เริ่มต้นจากที่ เฉิน ยี่เฟย ศิลปินคอนเทมฯจีนชื่อดังมาใช้พื้นที่โรงงานร้างสร้างเป็น Studio เมื่อปี 1998 จนวันนี้ Tianzifang กลายเป็นย่านศิลปะ (ป่ะ?) ที่ครึกครื้นไปด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัยรุ่น ครอบครัว นักท่องเที่ยวจากต่างถิ่น ทุกคนต่างก็เดินเบียดกันอยู่ในซอกซอยของบ้านเรือนผนังหินที่ถูกดัดแปลงมาเป็นร้านค้านานาชนิด สเน่ห์ของย่านนี้คือเป็นตรอกซอกซอยและมีร้านค้าเยอะมาก คนก็เยอะมากเช่นกัน มาลงสถานีรถไฟ Dapuqiao แล้วออกทางออก 1 ได้เลย เรามาตอนที่ HAY ลดราคา 50% ทุกชิ้นนนน จะรอไรละ เหมาาาา ฮาๆ Starbucks Reserve Roastery Shanghai ในบรรดาเกือบ 30,000 ร้านของ Starbucks ทั่วโลก ที่นี่คือนัมเบอร์วัน! ทั้งในเรื่องขนาดร้าน (เกือบ 3,000 ตารางเมตร) และยอดขาย ที่นี่เป็น 1 ใน 3 โลเคชั่นพิเศษของสตาร์บัคส์ที่เหมือนเป็นโรงงานคั่วเมล็ดกาแฟไฮเทคขนาดย่อม พร้อมสายพานโชว์การบรรจุแพ็คเก็จจิ้ง ที่นี่มีเคาน์เตอร์ชงกาแฟหลายจุด พร้อมให้บริการกาแฟทุกรูปแบบการชง รวมถึงค็อกเทลที่มีส่วนผสมของกาแฟด้วย Location: https://goo.gl/maps/zqzCrkEzMJbwwE819 Longhua Temple วัดหลงหัวเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ โดยแต่ละแหล่งก็ให้ข้อมูลต่างกันไป บางตำราก็ว่ามีอายุถึง 1,700 ปี โดดเด่นด้วยเจดีย์ 7 ชั้นที่สูงถึง 40.4 เมตร ภายในวัดมีศิลปะจีนโบราณที่ดูขลังยิ่งนัก Location: https://goo.gl/maps/ZnDTXJQ39EGgA29v8 สถานีรถไฟ Longhua สายสีเขียว ออกทางออก 4 ภายในวัดสวยมากๆ YUZM ด้วยขนาดพื้นที่ทั้งหมดกว่า9,000 ตร.ม. และมีอาคารเพดานสูงโอ่โถงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงเก็บเครื่องบินเก่าของ Longhua Airport ทำให้มิวเซี่ยมแห่งนี้มีพื้นที่เหลือเฟือที่จะจัดแสดงงานศิลปะในทุกสเกล เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์* Location: https://goo.gl/maps/cL2rp3bYpHt3FXCr9 สถานีรถไฟ Yunjin Road สายสีแดงเข้ม ออกทางออก 2 ชคดีมากที่ช่วงที่เราไป ทางมิวเซี่ยมกำลังจัดนิทรรศการที่เจ๋งมากถึง 2 งาน คือ The Artist Is Present โดย Maurizio Cattelan แห่ง Gucci และอีกอันก็คือ Rain Room ห้องแห่งสายฝนอันตระการตา โดย Hannes Koch และ Florian Ortkrass อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่อยากให้พลาดคือ Rain Room 2019 : 雨屋  ด้านในนี้จะเป็นห้องสีดำเปล่าๆ แล้วให้เราเดินผ่านเข้าไปช้าๆ แบบไม่เปียก เพราะเซ็นเซอร์ที่ติดอยู่จะจับการเคลื่อนไหวของเราและไปสั่งเครื่องปล่อยน้ำให้หยุด แต่อย่าวิ่งนะ เปียกชุ่มแน่นอน ค่อยๆเดิน Himalayas Center ในเขตเมืองใหม่ของเซี่ยงไฮ้อย่างผู่ตง (Pudong) นั้นมีตึกดีไซน์น่าสนใจอยู่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือ Himalayas Center ผลงานการออกแบบโดยสถาปนิคชาวญี่ปุ่นชื่อ Arata Isozaki ตึกแห่งนี้มีทั้งโรงแรม 5 ดาว โรงแรมบูทีค ร้านอาหาร อาร์ท มิวเซี่ยม โรงละครล้ำสมัย (ใช้จัดงาน Shanghai Film Festival) ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ไปจนถึงพื้นที่จัดแสดง exhibition ต่างๆ Location: https://goo.gl/maps/LEq1yBKvL19KTwaXA สถานีรถไฟ Huamu Road สายสีส้ม ออกทางออก 3 French Concession แมกไม้ที่ร่มรื่นตลอด 2 ฝั่งถนน ทำให้ย่าน French Concession เป็นหนึ่งในย่านที่น่าเดินมากที่สุด และเป็นบรรยากาศของเซี่ยงไฮ้ที่เซอร์ไพร้ซ์เรามากที่สุดเช่นกัน เพราะมันดีงามเกินความคาดหมายของเราไปมาก ที่นี่เป็นเขตอยู่อาศัยของชาวฝรั่งเศสที่ครั้งหนึ่งจีนต้องจำใจมอบให้เนื่องจากแพ้สงครามฝิ่นเมื่อปี 1849 นอกจากต้นไม้สีเขียวแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยบาร์ดนตรีสด บาร์ไวน์บูทีค คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านแฟชั่นอินดี้ ร้านขายงานศิลป์ ฯลฯ Metal hands ร้านกาแฟ Metal hands ร้านนี้แนะนำเลย ใครที่ชอบนั่งกินกาแฟชิลๆ ร้านเล็กๆคนไม่พลุกพล่าน กาแฟก็อร่อย Cha's Restaurant ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีนกวางตุ้ง (มาจากฮ่องกง) อร่อยมากๆ เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่เราชอบมากที่สุด เพราะรสชาติถูกปากมากๆ อาหารกลมกล่อมมาก อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย Location: https://goo.gl/maps/jsLGqJG1ndcEFVaX7   ที่พัก ปิดท้ายกันที่ ที่พัก ครั้งนี้เราเลือกพักบ้าน AIRBNB ที่นี่สะอาดและใหญ่มากๆ มีครัวให้ มีตู้ซักผ้า ห้องน้ำ ห้องนอน แยกเป็นสัดส่วนมากๆ แนะนำเลย ทางไปจอง>>> https://th.airbnb.com/rooms/28502943?s=51 เป็นยังไงกันบ้างสำหรับทริป Shanghai มันดีเกินคาดใช่มั้ยล่าาา ทริปนี้ทำให้เรามองจีนต่างไปจากเดิมมากทีเดียว และชื่นชมในศักยภาพ รวมถึงความตั้งใจพัฒนาเมืองของเขามากๆ ถ้าไม่มาก็คงไม่ได้เห็น เราจึงจากให้ชาว #hopsters   ไป #hoparound   เปิดโลกกันมากๆนะครับ โรงแรมแนะนำในเซี่ยงไฮ้ พร้อมดีลพิเศษ เดอะ เซี่ยงไฮ้ เอดิชั่น (The Shanghai EDITION) อะลิล่า เซี่ยงไฮ้ (Alila Shanghai) เดอะ แลงแฮม เซียงไฮ้ ซินเทียนตี้ (The Langham Shanghai Xintiandi) ฮอลิเดย์ อินน์ เซี่ยงไฮ้ ถนนนานกิง (Holiday Inn Shanghai Nanjing Road) OPARTMENT(远东饭店) อันดาส ซิงเทียนตี้ เซี่ยงไฮ้ (Andaz Xintiandi Shanghai By Hyatt) แมนดาริน โอเรียนเต็ล ผูตง เซี่ยงไฮ้ (Mandarin Oriental Pudong Shanghai) Caption By Hyatt Zhongshan Park Shanghai วอลดอร์ฟ แอสทอเรีย เซี่ยงไฮ้ ออน เดอะ บันด์ (Waldorf Astoria Shanghai On the Bund) เดอะ สุโขทัย เซี่ยงไฮ้ (The Sukhothai Shanghai) . บัตรเข้าสวนสนุก Shanghai Disney Resort สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะผู่ตง สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ Facebook: @hoparound.co Instagram: @hoparound.co Website: www.hoparound.co . # Shanghai   # LetsHoparoundShanghai   # LetsHOParound   # Travel  #เที่ยวเซี่ยงไฮ้ #รีวิวเซี่ยงไฮ้ #เมืองเซี่ยงไฮ้ #เซี่ยงไฮ้ไปไหนดี #เที่ยวไหนดีในเซี่ยงไฮ้ #คาเฟ่ในเซี่ยงไฮ้ #ร้านอาหารเซี่ยงไฮ้ #ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้

  • COMO Metropolitan Bangkok เรียบเท่กับสเตย์เคชั่นและมื้ออาหารระดับมิชลิน โคโม เมโทรโพลิแทน กรุงเทพฯ

    COMO Metropolitan Bangkok เรียบเท่กับสเตย์เคชั่นและมื้ออาหารระดับมิชลิน วันนี้ hoparound.co พาเพื่อนๆมานอนเล่นเปลี่ยนบรรยากาศกันที่โรงแรมหรูผู้นำเทรนด์ Minimalist ซึ่งอยู่คู่สาทรมาตั้งแต่ปี 2003 เราจำได้ว่าตอนที่โรงแรมเปิดตัวใหม่ๆนั้นเป็นที่ฮือฮาในหมู่คนเก๋แห่งเมืองกรุงกันมากทีเดียว แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 20 ปีแล้ว ความ Stylish และบริการที่เป็นเลิศก็ทำให้ COMO Metropolitan Bangkok นั้นยังคงไว้ซึ่งมนต์เสน่ห์ที่ Timeless จนถึงวันนี้ ยิ่งมี ‘NAHM’ (น้ำ) ร้านอาหารไทยมิชลินสตาร์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชียติดต่อกันมากว่า 5 ปี มาเป็นดาวเด่นประดับ Property ก็ยิ่งเป็นแรงดึงดูดให้แขกต่างชาติรสนิยมดีเข้ามาพัก ช่วยเติมชีวิตชีวาให้กับโรงแรมแห่งนี้ให้มีคาแรคเตอร์พิเศษมากขึ้นไปอีก สำหรับ COMO นั้นเป็นแบรนด์โรงแรม Exclusive เน้นดีไซน์งามสง่าเรียบหรูที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของแต่ละโลเคชั่นที่คัดสรรมาอย่างดีใน 9 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ภูฏาน หมู่เกาะฟิจิ หมู่เกาะเติร์กส์แอนด์เคคอส อังกฤษ อิตาลี ออสเตรเลีย มัลดีฟส์ อินโดนีเซีย และไทย โรงแรมของ COMO จึงเป็นมากกว่าที่พัก แต่เป็นดั่งจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางที่ต้องการประสบการณ์พิเศษจริงๆ จองห้องพักได้ที่นี่ BOOK NOW The Arrival ทันทีที่เลี้ยวรถเข้ามาจากถนนสาทร เราก็รู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนตัวที่ร่มรื่น ทางเข้าโรงแรมนั้นมีจริตมินิมอลทั้งตัวอาคารและแลนด์สเคปด้านหน้านั้นถูกจัดวางได้อย่างลงตัวสะอาดตา ภายในล็อบบี้คุมโทนขาว-เทา-ดำ ดูนิ่งเท่ โดยมีการแต่งแต้มสีสันและความอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวย พรมสีแสดนั้นก็ช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ความโฮมมี่ให้กับพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อมีบันไดเป็นแบคกราวนด์ก็รู้สึกถึงความเป็นบ้านมากขึ้นไปอีก มองออกไปด้านนอกกระจกเห็นปฏิมากรรมใบบัวเดี่ยวใบใหญ่ที่ทั้งสะท้อนความเป็นไทยและความมินิมอลของ COMO ได้พร้อมๆกัน ที่เก๋ก็คือใกล้ๆกับล็อบบี้มีร้านขายของที่คัดสรรมาโดย Club21 ด้วยแหละ Our Room ห้องของเราเป็นห้อง Metropolitan Suite ขนาด 51 ตร.ม. ซึ่งกว้างขวางเป็นสัดส่วนฟังก์ชั่นครบเลยครับ แต่ก็ยังนับเป็นห้องขนาดกลางๆ จากทั้งหมด 7 Room Types ซึ่งมีตั้งแต่ห้อง City Rooms ขนาด 26 ตร.ม.ไปจนถึง COMO Suites เป็น Duplex ขนาดกว้างถึง 240 ตร.ม. ภายในห้องของเรายังคงคุมโทนสีเรียบขรึมเน้นบิวท์อินไม้สีดำตัดกับผนังและเบาะขาว เฟอร์นิเจอร์นั้นมีเส้นสายตรงๆ ยกเว้นบางตัวที่มีความเป็นไทยเพิ่ม Accent เสน่ห์ของกรุงเทพฯให้กับสเปซ ตรงมุมมินิบาร์มีชุดชงกาแฟ Nespresso ให้ และที่น่าสังเกตุก็คือไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำเปล่าไปจนถึง Amenities ต่างๆ ล้วนเป็นแบรนด์ของ COMO เองทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเล็กๆน้อยๆแบบนี้นั้นช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้กับโรงแรมได้เป็นอย่างดี ก้าวเข้ามาในโซนห้องน้ำ พื้นที่กว้างมากครับให้อารมณ์เหมือนสปา ทั้งหมดแต่งด้วยสีโทนขาวงาช้างดูสว่างแต่ก็อบอุ่น เหมือนตั้งใจให้เป็นคู่หยิน-หยางกับฝั่งห้องนอนซึ่งเน้นสีดำ การจัดสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยก็ได้ดีมากครับ ไล่ตั้งแต่ชักโครก อ่างล้างหน้าบน Counter ขนาดใหญ่ซึ่งทำให้วางของได้สะดวก ไปจนถึงโซน Shower และอ่างอาบน้ำซึ่งก็กว้างขวางเช่นกัน อ่อ…ตรงอ่างอาบน้ำมีมู่ลี่เปิดชมวิวผ่านหน้าต่างขณะแช่น้ำได้ด้วยนะครับ COMO Shambhala Urban Escape ศูนย์สุขภาพของ COMO Metropolitan Bangkok นั้นขึ้นชื่อมาช้านานเรื่องโปรแกรมดูแลเฉพาะบุคคลในบรรยากาศมินิมอลลิสต์ที่สะอาดตา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสปาเพื่อความผ่อนคลายและความงาม (เสียดายที่คราวนี้เราไม่ได้เข้าไปใช้บริการ เลยไม่ได้เก็บรูปมาฝาก) ไปจนถึงฟิตเนส สำหรับสระว่ายน้ำของที่นี่นั้นยาวถึง 25 เมตร จะลงเล่นน้ำเฉยๆ หรือจะว่ายจริงจังเพื่อออกกำลังก็ได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือค่อนข้างจะมีรั้วรอบขอบชิดเป็นส่วนตัวดีมากครับ แม้แต่ช่วงเสิร์ฟอาหารเช้าที่อาจจะมีแขกมานั่งรับประทานใกล้ๆสระก็ไม่ได้พลุกพล่านขนาดนั้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด สำหรับอาหารเช้าในขณะที่เราเข้าพักยังคงเสิร์ฟแบบ A La Carte ซึ่งเราชอบนะครับ เพราะเป็นการปรุงสดแบบจานต่อจาน ใช้วัตถุดิบดีและปริมาณก็อิ่มเกินพอครับ NAHM (น้ำ) วันนี้เรามาสัมผัสประสบการณ์มื้อกลางวันระดับ Michelin Star ที่ร้าน NAHM กันครับ ที่นี่โด่งดังมาตั้งแต่ปี 2011 ภายใต้การดูแลของเชฟ David Thompson โดยใช้เวลาเพียง 3 ปีก็ได้ขึ้นแท่นอันดับ 1 ใน Asia’s 50 Best Restaurants 2014 และยังถูกยกย่องให้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชียโดยสื่อสำนักต่างๆต่อเนื่องกันหลายปีจนถึงปัจจุบัน ในวันนี้เชฟพิม เตชะมวลไววิทย์ เชฟมากฝีมือผู้ผันตัวมาจากอาชีพนักวิจัยแห่ง Silicone Valley ได้สานต่อมรดกร้าน NAHM และความสร้างสรรค์ของเชฟพิมก็ทำให้ NAHM ยังคงครองตำแหน่งหนึ่งในร้านอาหารไทยที่ดีที่สุดซึ่งเป็นแรงดึงดูดให้ Foodies จากทั่วโลกมุ่งหมายมาลิ้มลอง เรามาดูกันดีกว่าว่าวันนี้มีอะไรในเมนูที่รอคอยเราอยู่บ้าง เริ่มต้นด้วย Canape เรียกน้ำย่อยคำเล็กๆอย่าง “ปูซ่อนกลิ่น” ซึ่งเป็นข้าวตังหน้าเนื้อปูเคล้ากับเครื่องปรุงและสมุนไพรต่างๆ อร่อยมากครับ กับอีกอย่างคือ “เมี่ยงนพเก้า” ที่เชฟจับเอาเนื้อกุ้งแม่น้ำ เนื้อไก่ มะม่วงดิบ สละ และอื่นๆอีกมากมายมาเสิร์ฟบนใบชะพลู ต่อกันด้วย Entree กับ “ยำผักผลไม้อย่างทวาย” ซึ่งเป็นเมนูหากินได้ยากจากในรั้ววัง เป็นการคัดเอาผักและผลไม้พื้นถิ่นหลากชนิดมาเคล้าน้ำยำที่ทำจากพริกแกงและกะทิ ทำให้มีรสเข้มข้นและละมุนละไมไปพร้อมๆกัน อีกจานที่เป็น Entree เช่นกันก็คือ “งบทะเล” ห่อใบตองย่างเสิร์ฟพร้อมกับข้าวตัง กินคู่กันอร่อยลงตัวมากเลยครับ สำหรับ Main Course นั้นมีด้วยกันถึง 5 เมนูได้แก่ “ต้มยำกุ้งกับเห็ดป่า” รสกลมกล่อมซึ่งสูตรของที่นี่ใช้เห็ดภูฏานนะครับ “เนื้อผัดพิโรธ” เนื้อวากิวนุ่มละลายผัดพริกแกงกับยอดมะพร้าวและพริกไทยอ่อน “ผัดผักกูดไฟแดง” เลือกเฉพาะยอดผักกูดอ่อนๆผัดหอมไฟเค็มมันกำลังดี “แกงปูใบชะพลู” เนื้อปูม้าสดๆในเครื่องแกงเหลืองแบบครัวใต้กับใบชะพลูและส้มจี๊ด และสุดท้ายเมนูโปรดของเราเลย นั่นก็คือ “กะปิพล่าพริกไทยอ่อน” น้ำพริกเนื้อกุ้งธรรมชาติจากสงขลาโขลกกับกะปิจากชุมพร เพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยพริกไทยอ่อนและความหอมสดชื่นของส้มซ่า และอื่นๆอีกมากมาย มาพร้อมไข่ต้มและผักแนมนานาชนิด อาหารทั้งหมดเสิร์ฟคู่กับข้าวเขียวอ่อนจากสุพรรณบุรี และข้าวหอมมะลิจากสุรินทร์ ช่างคัดสรรกันจริงๆเลยนะครับ ปิดท้ายด้วยของหวาน 2 ชนิดที่เชฟวางคอนเส็ปต์ให้วัตถุดิบหลักของไทย 2 อย่างเป็นดาวเด่นนั่นก็คือมะพร้าว (Life Cycle Of Coconut) และข้าว (Temptations Of Rice) นั่นเอง สำหรับเมนูมะพร้าวจะประกอบไปด้วยจานย่อยๆอีกหลายจานทั้งไอศกรีมมะพร้าวกะทิ วุ้นน้ำมะพร้าว ขนมเหนียว และขนมใส่ไส้ เมนูข้าวก็เช่นกันครับ เชฟได้รังสรรค์ทั้งข้าวตู ข้าวหมาก ข้าวเหนียวดำ ข้าวเม่า ไอศกรีมข้าว 5 กษัตริย์ ไปจนถึงข้าวเกรียบว่าวกันเลยทีเดียว ดีงามตั้งแต่คอนเส็ปต์ การปรุง ไปจนถึง Presentation เลยครับ ยังไม่หมดนะครับ เชฟยังแถมซอร์เบต์แตงโม และขนมเบื้องฝอยทองมาส่งท้ายมื้อกันด้วยทำให้มื้อนี้ของเราอร่อยเต็มอิ่มมากครับ Wrapping Up Our Stay โรงแรม COMO Metropolitan Bangkok เป็นโรงแรมที่เราใฝ่ฝันอยากมาพักตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น เราจึงดีใจมากที่ได้มาทำให้ฝันเป็นจริงเสียที (แม้จะใช้เวลานานสักนิด) เราปลื้มในความเรียบเท่เหนือกาลเวลาในงานดีไซน์ Minimalistic ของโรงแรมทั้งในห้องพักและในพื้นที่สาธารณะ ยิ่งไปกว่านั้นเราประทับใจในการบริการที่ให้ความสำคัญกับแขกแบบเฉพาะบุคคล และมาตรฐานที่เสมอต้นเสมอปลายของพนักงานในทุกๆจุดของโรงแรม ยิ่งเมื่อได้มีโอกาสลิ้มลองอาหารกลางวันประดับดาวมิชลินที่ร้านในตำนานอย่าง NAHM ก็ยิ่งทำให้ประสบการณ์ Staycation ในคราวนี้เป็นประสบการณ์ที่อิ่มเอมใจมากครับ จองห้องพักได้ที่นี่ BOOK NOW #LetsHoparound #Bangkok

  • HONG KONG Highlights อัพเดท 40 จุดสุดฮิปจากทริปฮ่องกงล่าสุดปี 2025

    HONG KONG Highlights อัพเดท 40 จุดสุดฮิปจากทริปฮ่องกงล่าสุดปี 2025 หลังจากที่เราไม่ได้ไปฮ่องกงกันนานมาก อย่างน้อยก็ต้องมี 5 ปี ทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆลองกลับไปดูกันซิว่า ฮ่องกงมีอะไรใหม่ให้สำรวจกันบ้าง และมีที่ไหนให้น่าไป #Hop  บ้าง ตามไปดูกันเลยยยย โรงแรมแนะนำในฮ่องกง พร้อมดีลพิเศษ เดอะ เมอเรย์ ฮ่องกง อะ นิกโกโล โฮเทล (The Murray, Hong Kong, a Niccolo Hotel) ตูฟ (Tuve) มอนเดรียน ฮ่องกง (Mondrian Hong Kong) เดอะ เฟลมิง (The Fleming) เพจ 148 เพจ โฮเทล (Page148, Page Hotel) ลิตเทิล ไท่ หัง (Little Tai Hang) อีตัน ฮ่องกง (Eaton HK) บัตรเข้าฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ บัตรขึ้นหอชมวิว Sky100 | แลนด์มาร์กชมวิวในฮ่องกง สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ ย่าน Tai Hang ‘ต่าย ฮ้าง’ ย่านนี้เป็นอีกหนึ่งย่านที่เราชอบมากๆของฮ่องกงเลย “ต่าย ฮ้าง” เป็นเหมือนสวนหลังบ้านที่เงียบแต่เก๋ของย่าน Causeway Bay ซึ่งผู้คนพลุกพล่านกว่ามาก เพราะอยู่ติดกันพอดี “ ต่าย ฮ้าง” เป็นชุมชนตึกแถวที่เรียงรายกันไปเป็นบล็อกๆ เต็มไปด้วยร้านรวงแนวอินดี้ต่างๆซ่อนตัวอยู่มากมาย ทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านตัดผม ร้านขนม ร้านชา ร้านซ่อมรถ ร้านบรันช์ และยังมีแกลอรี่ด้วยนะ แถมใครสายไหว้พระ ที่นี่ก็มีวัดด้วยไม่ว่าจะเป็น Tin Hau Temple  และ Tai Hang Lin Fa Kung  ครบสุดๆ ใครมาฮ่องกงแล้วเราแนะนำย่านนี้เลย เพราะทั้งฮ่องกงคือวุ่นวายการ การที่ได้มาแวะชิลในย่านนี้ถือเป็น A Breath Of Fresh Air ที่ดีมาก MUSE คาเฟ่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากป่าและธรรมชาติ ที่นี่ไม่ได้มีแค่คาเฟ่แต่ที่ MUSE เพื่อนๆจะได้พบกับของสะสมที่มาจากทั่วโลกให้เลือกช้อป เมนูชาของที่นี่ก็โดดเด่นดีงามเพราะมีชาหลากสายพันธุ์จากทั่วโลก ทางเจ้าของร้านบอกกับเราว่า อยากให้ร้านของเค้าสามารถช่วยฟื้นฟูจิตใจจากความวุ่นวายภายนอก และถ้าเพื่อนๆมาได้จังหวะพอดี ก็อาจจะได้เข้าร่วมเวิร์คช็อปเกี่ยวกับชา กลิ่นหอม ดอกไม้ และการประดิษฐ์ตัวอักษรกับนักออกแบบ ที่จะจัดขึ้นในพื้นที่ของทางร้านอีกด้วย เวลาเปิดปิด: 9:00–18:45 การเดินทาง: ลงสถานี Tin Hau Station ทางออก A1 Location: https://goo.gl/maps/HWSAwwyZ6T2sTcXb8   The Shophouse ห้องแสดงงานศิลปะหนึ่งเดียวในย่านต่ายฮ้างนี้ ใครสนใจไปเยี่ยมชมแนะนำให้จองกันก่อนไปได้ที่ https://www.theshophouse.hk/contact เวลาเปิดปิด: 11:00–19:00 ปิดวันจันทร์ การเดินทาง: ลงสถานี Tin Hau Station ทางออก A1 Location: https://goo.gl/maps/Mc3JyRBo1HQsSXer6   Oneday คาเฟ่คิ้วๆ มินิมอลสุดในย่าน กาแฟดี ขนมอร่อย ชอบขนมน้องหมีมาก ทีมบาริสต้าหล่อเซอร์เหมือนจะไม่เข้ากับลุคของร้าน แต่ก็เข้ากันได้ดีครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Tin Hau Station ทางออก A1 Location: https://goo.gl/maps/5UC57NmYs7dSsreE6   Fineprint ร้านนี้ฟีลฝรั่งเลย (หรือเพราะตอนเราไปลูกค้าฝรั่งนั่งกันเยอะหว่า) เสิร์ฟอาหารเช้าตั้งแต่ 6 โมงเช้าทุกวันไม่มีวันหยุด และมีเบเกอรี่อบสด กาแฟคั่วหอมๆ ที่อร่อยมาก รวมถึงมีเมล็ดกาแฟหลายแบบขายด้วย ร้านนี้กำเนิดขึ้นโดยคู่เพื่อนซี้ชาวออซซี่ Scottie Callaghan และ James Wilson เวลาเปิดปิด: 6:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Tin Hau Station ทางออก A1 Location: https://goo.gl/maps/9WXjp12ts5MQbRWBA   Cookie Vission กรอบ. นุ่ม. เหนอะหนะ คือคำนิยามที่เรามีให้กับร้านนี้ เพราะสินค้าหลักก็คือคุกกี้ชิ้นโตๆที่ใส่เครื่องอึ๋มๆหลากหลายรสชาติ (น้ำหนักชิ้นละ 150 กรัม) และตอนนี้ก็มี DONUTS ไส้ทะลักจุกๆเพิ่มมาด้วย แนะนำให้ลองชิมรสชาติคลาสสิกและรสชาติใหม่ที่น่าตื่นเต้นซึ่งจะมีอัปเดตเป็นประจำ อบสดใหม่ทุกวันตลอดทั้งวัน น้ำตาลพุ่งชนเพดานแล้ววว เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00 การเดินทาง: ลงสถานี Tin Hau Station ทางออก A1 Location: https://goo.gl/maps/5mceNm98tvHSjGzz9   ย่าน West Kowloon ข้ามกลับมาฝั่งเกาลูนกัน ย่านนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของคาบสมุทรเกาลูนในฮ่องกง ตรงนี้เราเพิ่งเคยมากันครั้งแรกเลย เราชอบวิวฝั่งนี้มาก พื้นที่สำหรับ สาธารณะใหญ่สุดๆ มีทั้งสวน มิวเซียม โรงแรม ห้างสรรพสินค้า คาเฟ่ ครบมากๆ เดินทางมาได้โดยรถไฟลงสถานี Kowloon Station และเดินตามป้ายบอกทางที่เขียนว่า West Kowloon Cultural District นะครับ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ M+ ใครๆที่ได้กลับมาฮ่องกงแล้วก็คงไม่ยอมพลาดที่นี่ เพราะเป็นมิวเซี่ยมที่สุดฮิปริมน้ำที่เปิดได้ไม่นาน (ตั้งแต่ปลายปี 2021) มีงานอาร์ตหลายแขนงให้เลือกชม สถานที่กว้างใหญ่มากๆ สำหรับเราเดินประมาณครึ่งวันน่าจะครบ ราคาค่าเข้าอยู่ที่ HKD 120 ต่อคน เวลาเปิดปิด: 10:00–18:00 วันศุกร์ 10:00–22:00 ปิดทุกวันจันทร์ การเดินทาง: ลงสถานี Kowloon Station Location: https://goo.gl/maps/UcBMvuRPQNWFfxsr5   สวน West Kowloon Cultural District เดินเล่นมิวเซียมกันเสร็จแล้วอย่าลืมมาแวะนั่งชิล ดูผู้คนฮ่องกงออกมาพักผ่อน เล่นกีฬา ซ้อมเต้น หรือ ปิกนิกกันได้ที่นี่เลย เพลินมากครับ ที่สำคัญคือวิว Skyline ฮ่องกงแบบปังสุดๆ เวลาเปิดปิด: เปิด 24 ชั่วโมง การเดินทาง: ลงสถานี Kowloon Station Location: https://goo.gl/maps/UcBMvuRPQNWFfxsr5   ย่าน Causeway Bay อีกหนึ่งแหล่งช็อปปิ้งยอดฮิตสำหรับวัยรุ่นฝั่งอีสต์บนเกาะฮ่องกง มีห้างสรรพสินค้าเยอะมากทั้ง ห้างสไตล์ญี่ปุ่น SOGO ไทม์สแควร์และไฮซานเพลส ลีกาเด้น และยังมีร้านค้าเรียงรายกระจายไปทั่วย่าน ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ แฟชั่น ของแต่งบ้าน Basao Tea ร้านชาขึ้นชื่อของเกาะฮ่องกง สายชาต้องอินเลิฟชัวร์ๆ ร้าน BASAO เน้นชาออร์แกนิกซึ่งมีหลายชนิดให้เลือกชิม ดีงามทั้งวัตถุดิบใบชาและการรังสรรค์เมนู ตอนที่เราไปเค้าทำเมนูพิเศษกับนม OATLY ด้วยนะ เวลาเปิดปิด: จันทร์-พฤหัส 9:00–18:00 ศุกร์-อาทิตย์ 10:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Causeway Bay Location: https://goo.gl/maps/ie922gDXC2Y29Bew5   Fashion Walk Shop แหล่งช้อปปิ้งที่มีทั้งโซนอินดอร์และเอ้าท์ดอร์เรียงรายกันหลายแบรนด์จากทั่วโลกเลย เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้กันเพลินๆได้ทั้งวัน เวลาเปิดปิด: 10:00–23:00 ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน การเดินทาง: ลงสถานี Causeway Bay Location: https://goo.gl/maps/HhJtUfz4GH9KhnqT7   O.N.S Kapok ร้านซีเล็คช็อปชื่อดังของฮ่องกงตั้งอยู่ละแวก Fashion Walk แยกเป็นสองร้าน ร้านผู้ชายและผู้หญิง ส่วนร้านนี้เป็นสินค้าของผู้ชายเป็นหลัก มีทั้งเสื้อผ้าแบรนด์ดีๆ รองเท้า กระเป๋า จิวเวลรี่ เครื่องประดับ น้ำหอม เทียน ของแต่งบ้านและอื่นๆ อีกมากมาย ลองมาดูกันได้ครับ พนักงานที่นี่บริการดีมากเลย ส่วนร้านของผู้หญิงก็มีของกระจุกกระจิกน่าสนใจให้เลือกดูเยอะมากเช่นกัน เวลาเปิดปิด: 12:00–21:00 การเดินทาง: ลงสถานี Causeway Bay Location: https://goo.gl/maps/1uDBA2QGSDXD1SE9A   Kitchen one roast goose สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการทานห่านย่าง หมูแดงหมูกรอบที่อร่อย และไม่ต้องรอคิวนาน (แถมบางร้านพอได้คิวก็ยังต้องรีบกินอีก) ร้านนี้อาหารเน้นพวกเนื้อย่างๆที่รสชาติดีใช้ได้เลย เมนูหมูแดงหมูกรอบอร่อยใช้ได้อาจจะไม่เท่าร้านดังๆหลายร้าน แต่เมนูห่านย่างซึ่งเป็นเมนูเด่นของร้านนั้นอร่อยไม่แพ้ที่อื่นนะและก็ไม่มีกลิ่นสาบอย่างที่คิดด้วย บางจังหวะก็แอบคิดว่าเราไปลำบากต่อคิวร้านอื่นทำไมนะ 5555 เวลาเปิดปิด: 11:00–22:00 การเดินทาง: ลงสถานี Causeway Bay Location: https://goo.gl/maps/8rChVY7odZVE2aD68   Hashtag B ร้านเบเกอรี่เล็กๆสไตล์ฮ่องกง เน้นขนมปังเนื้อนุ่มใส่ไส้ต่างๆถูกปากชาวเอเชีย ไม่มีที่ให้นั่งกินในร้านนะครับ เป็นแบบซื้อกลับ เราซื้อขนมปังเผือกที่เหลือชิ้นสุดท้ายกลับมากินแล้วอร่อยเลย แนะนำ! เวลาเปิดปิด: 11:00–22:00 การเดินทาง: ลงสถานี Causeway Bay Location: https://goo.gl/maps/8rChVY7odZVE2aD68   ย่าน Wan Chai หวานไจ๋ เป็นย่านการค้าใจกลางฮ่องกง ที่มีความวุ่นวายลำดับต้นๆ เลย แต่มีความแตกต่างจากย่านอื่นๆก็ตรงที่หวานไจ๋เป็นย่านที่เ ต็มไปด้วยตลาดและร้านค้านิชๆแบบท้องถิ่นฮ่องกงมากกว่า ตั้ง อยู่ใกล้กับย่านเซ็นทรัล ถ้าเพื่อนๆอยากนำเทรนด์แนะนำให้ลองไปที่ร้านเสื้อผ้าเก๋ ๆ แถวถนน Starstreet และ ถนน Ship Street เลยครับ มีให้เลือกช้อปเยอะมาก มีคาเฟ่ ร้านอาหารเก๋ๆหลากหลายสัญชาติ มีค่าเฟ่ฮิปๆ เพียบ เป็นอีกหนึ่งย่านที่ไม่ควรพลาดเลยครับ SALVO STORE ร้านเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายที่เราชอบมากที่สุดในฮ่องกง ขอใช้คำนี้เลย เพราะเค้าเลือกแบรนด์เสื้อผ้ามาจากฝั่งยุโรป สแกนดิเนเวีย ดีไซน์สวย ใส่ได้เรื่อยๆ ราคาดีงาม มีน้ำหอมแบรนด์ฮ่องกงที่เราชอบมากอีกด้วย นั่นคือแบรนด์ oddity fragrance พนักงานน่ารักอัธยาศัยดีมาก และร้านเล็กๆแต่ตกแต่งสวยมาก จริงๆ ร้านเค้าเปิดมานานแล้วแต่เพิ่งทำการรีโนเวทใหม่ สวยสดเด่นสุดในย่านแล้ว อวยแล้วอวยอีก ต้องแวะแล้วนะครับ เวลาเปิดปิด: 11:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Wan Chai Location: https://goo.gl/maps/nAaMP3CWW8HpF2fm7   CREW ร้านกาแฟที่เราบังเอิญเดินผ่านและคิวยาวมาก ขากลับมาอีกรอบคิวหมดพอดี ก็เลยขอลองแวะชิมสักหน่อย ตัวร้านเตะตามาก เน้นซื้อกลับ ส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นพนักงานออฟฟิศมาซื้อกัน เวลาเปิดปิด: 8:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Wan Chai Location: https://goo.gl/maps/2ceubdxJWar8kEkw9   Kam Fai Dim Sum Restaurant ถ้าเพื่อนๆต้องการหาร้านติ่มซำ Local อร่อยจุใจไม่ไม่ต้องแคร์ดาวมิชลิน ไม่ต้องรอคิว (ยกเว้นช่วงพีคๆของวัน) แนะนำที่นี่เลยครับ ร้านนี้เราลองสุ่มเข้ามา ปรากฏว่ารสชาติดีเครื่องแน่นสดอร่อยไม่ผิดหวัง แต่อาจจะสื่อสารกับอาเจ็กแกยากนิดนึงนะครับ 555 เวลาเปิดปิด: 5:00–15:30 การเดินทาง: ลงสถานี Wan Chai Location: https://goo.gl/maps/DyVVqDSBXFn2npsc6   Matchali ร้านมัจฉะเปิดใหม่ล่าสุดในย่าน Wan Chai เราแวะเข้ามาเพราะหน้าร้านดูมินิมอลน่ารัก ชาเขียวรสชาติอร่อยมาตรฐานครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Wan Chai Location: https://goo.gl/maps/pe3KHTX7LWh1UBuEA   Blue Bottle Coffee ใครคิดถึงกาแฟ Blue Bottle ต้องมาที่นี่เพราะเป็น ร้านกาแฟแห่งที่สามและใหญ่ที่สุดในฮ่องกง มีสองชั้นวิวดีนะ เวลาเปิดปิด: 8:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Wan Chai Location: https://goo.gl/maps/47b2dmwmjoc9ihEh6   The Monocle Shop แฟนๆแม็กกาซีนชื่อดัง Monocle จากเกาะอังกฤษ ต้องมาแวะร้านนี้ เพราะนอกจากจะมีของดีไซน์ดีๆจากทั่วทุกมุมโลกแล้ว ที่นี่ยังเป็นออฟฟิศของโมโนเคิ่ลประจำเกาะฮ่องกงด้วย มีหนังสือ ข้าวของเครื่องใช้ น้ำหอม สเตชั่นเนอรี่ให้เลือกช้อปเพียบ และที่สำคัญสินค้าบางตัวราคาถูกกว่าช้อปในสนามบินนะ เวลาเปิดปิด: 11:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Wan Chai Location: https://goo.gl/maps/gKkYxHf8AzKUDPhL9   Tsui Yuen Dessert ร้านขนมหวานสไตล์ฮ่องกงหลังมื้ออาหารที่เราชอบมากๆ ในฮ่องกง มีความเต้าทึงพุดดิ้งถั่วต้มต่างๆเสิร์ฟทั้งแบบร้อนและแบบเย็น อร่อยมากครับ เวลาเปิดปิด: 12:00–23:30 การเดินทาง: ลงสถานี Wan Chai Location: https://goo.gl/maps/hNTChF3VEFTUYjmc8   Apt. Coffee Wanchai ร้านคาเฟ่มินิมอลสุดในย่าน เวลาเปิดปิด: 8:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Wan Chai Location: https://goo.gl/maps/HQKTWch6Yj5GwCG46   ร้านอื่นๆในย่านBASAO - Wan ChaiArtemis & Apollokapok Sun Street ย่าน Central เซ็นทรัล เป็นย่านธุรกิจศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่สุดในฮ่องกง เต็มไปด้วยตึกระฟ้า ห้างหรูหรา โรงแรมห้าดาว ร้านอาหาร สินค้าแบรนด์เนม สำหรับเราขอจัดให้ย่านนี้เป็นย่านที่ครบที่สุดแล้วในฮ่องกงสามารถเดินเล่นได้ตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงเที่ยงคืนได้สบายๆ (ถ้าร่างกายยังไหวกันนะ ฮ่าๆ) For Kee Restaurant ร้านอาหารจานเดียวชื่อดังของหมู่คนไทยที่ไปเที่ยวฮ่องกง โด่งดังเรื่องข้าวหน้า Pork Chop โปะไข่ดาวโรยซีอิ๊ว จริงๆร้านนี้เปิดมานานมากแล้ว ใครมีเวลาเหลือเฟือแนะนำ แต่ถ้าใครเวลาน้อยแนะนำให้ข้ามไปเลย เพราะเป็นไปได้สูงว่าต้องรอคิวนานมากกกกกกก ส่วนรสชาติก็อร่อยดีครับ แนะนำแบบเพิ่มผักคะน้าฮ่องกงด้วย เวลาเปิดปิด: จันทร์-เสาร์ 7:00–16:30 ปิดวันอาทิตย์ การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/u8BgxdxXmKGBsy9L9   Tai Kwun Centre for Heritage and Arts จากอดีตสถานีตำรวจและเรือนจำเก่าแก่กว่า 170 ปี ถูกปรับปรุงเปลี่ยนใหม่กลายมาเป็นศูนย์วัฒนธรรมขนาดใหญ่ที่คอยต้อนรับชาวฮ่องกงและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาใช้พิ้นที่พักผ่อนและ เสพศิลป์ ทุกรูปแบบอย่างไม่จำกัด ประกอบไปด้วยอาคารใหม่และอาคารเก่าปรับปรุงใหม่ มีมิวเซียมจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยอย่าง JC Contemporary Museum  ที่นั่งพักผ่อน ร้านขายของเก่า บาร์ร้านอาหาร แต่โซนคุกเก่าแอบวังเวงนิดๆครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–23:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/1k5aV1wNRPJgzQA47   SLOWOOD เป็นร้านขายของชำสำหรับวิถีชีวิตยั่งยืนโดยนำเสนอสินค้าที่ปราศจากขยะและคัดสรรมาอย่างดี ตั้งแต่อาหาร เครื่องสำอางค์ เครื่องหอม และของใช้ในบ้าน ร้านมุ่งหวังที่จะมอบทางเลือกเพิ่มเติมให้กับชุมชนสำหรับเส้นทางการใช้ชีวิตสีเขียวของทุกคน ตั้งอยู่ในโครงการ Central Market ย่านเซ็นทรัล เวลาเปิดปิด: 11:00–21:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/eLvsuqCxJKiRwW6p7   Officine Universelle Buly Hong Kong เป็นแบรนด์ความงามเก่าแก่จากประเทศฝรั่งเศส และเป็น Flagship หนึ่งเดียวในฮ่องกง Shop นี้ขนาดไม่ใหญ่ แต่ทำให้รู้สึกแกรนด์ด้วยเพดานสูงและงาน Decor ที่ดูขลังมากครับ เวลาเปิดปิด: 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/MmoyYm2SgoqK9Eqz7   Bakehouse ร้านเบเกอรี่สุดฮิตติดกระแส เราเห็นคนถือถุงร้านนี้เดินกันให้ว่อน ยอมรับว่าแบรนด์ดิ้งเค้าน่ารักมากครับ ขนมก็น่าลองหลายอย่าง เราซื้อทาร์ตไข่มาลอง รสชาติเข้มข้นอร่อยครับ แต่เราว่าหวานไปนิดนึง เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/reUktgqs3kDcoLaX6    Aesop Gough Street สาขานี้เป็นร้าน Signature Store ของ Aesop ที่ออกแบบโดย March Studio หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้ร้าน Aesop ในไทยระงับการให้บริการไปชั่วคราว และเตรียมที่จะกลับมาใหม่ในอีกไม่นาน ฉะนั้นถ้าใครของหมดพอดีแล้วได้มาที่ฮ่องกงก็ซื้อกลับไปสต็อคกันได้ครับ เวลาเปิดปิด: 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/NKGFPkmxYa4QX8hN6   MAN-MO Temple วัดหม่านโหมว (Man Mo Temple) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะฮ่องกงเพราะสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1847 เป็นวัดที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้กันโดยเฉพาะเหล่านักเรียน นักศึกษา แม้ขนาดไม่ใหญ่แต่ความขลังนั้นไม่เล็กครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/8Z553k2VkSnktS8v9   Le Labo Central แบรนด์น้ำหอมชื่อดังจากนิวยอร์ค ถ้าได้แวะมาอย่าลืมลองดมกลิ่น Bigarade18 ที่เป็นกลิ่นพิเศษเฉพาะฮ่องกงเท่านั้นด้วยนะครับ เวลาเปิดปิด: 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/b2CeK6WbardE1WFY7   Mother Pearl (Central) ร้านชานมไข่มุกแบรนด์ดิ้งน่ารัก ร้านสวย ที่นี่จะเสิร์ฟเป็นขนมหวานและชานมไข่มุกแบบ Organic และ Low Calorie ใครสายดูแลสุขภาพแวะมาชิมกันได้ครับ อร่อยไปอีกแบบ… แบบที่รู้สึกผิดน้อยลง เวลาเปิดปิด: 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/b2CeK6WbardE1WFY7   PMQ เดิมทีที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นโรงเรียนรัฐบาลในปี คศ 1889 ต่อมาก็ปรับเปลี่ยนไปเป็นที่พักข้าราชการตำรวจและสุดท้ายในปี 2014 ก็ได้รับการฟื้นฟูให้กลายมาเป็น PMQ แบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน PMQ เป็นศูนย์กลางแห่งความสร้างสรรค์ระดับโลก เป็นที่รวมเอางานอาร์ตทุกแขนงเข้าด้วยกัน มีร้านค้า คาเฟ่ สตูดิโอออกแบบ แกลอรี่ และอีกมากมาย ตอนที่เราไปเค้ากำลังจัดแสดงงาน Graphic Design in Japan 2022 (Hong Kong Edition) เวลาเปิดปิด: 12:00–23:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/KU9n3sNx8EHnLRna6   HJEM Hjem แปลว่า 'บ้าน' ในภาษานอร์เวย์ เป็นคาเฟ่สไตล์นอร์ดิกก่อตั้งโดย Elin Fu ที่เคยไปใช้ชีวิตที่เมือง Hamar ทางตะวันออกเฉียงใต้เล็กๆ ในนอร์เวย์ และตอนนี้ก็ได้ย้ายกลับมาเปิดคาเฟ่ในฮ่งกง กาแฟดี ขนมอร่อย แนะนำ Cinnamon And Cardamom Roll ครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–18:00 ปิดวันจันทร์ การเดินทาง: ลงสถานี Sheung Wan Location: https://goo.gl/maps/FhBRmVMAxgbFRB5eA   Rapha คลับของผู้รักการปั่นจักรยาน เป็นแบรนด์จากอังกฤษ ภายในร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับจักรยาน เสื้อผ้าต่างๆ รวมไปถึงโซนคาเฟ่ที่เป็นที่พบปะของเหล่านั่งปั่นของฮ่องกง เวลาเปิดปิด: 11:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Sheung Wan Location: https://goo.gl/maps/ADnQH5AKSruSLbz18   Adjective / Objective อีกหนึ่งร้านโปรดของเราในฮ่องกง ที่นี่เป็นสตูดิโอออกแบบ (เค้าออกแบบร้าน Omotesando Koffee สาขาฮ่องกงด้วยล่ะ) ส่วนร้านนี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของเขา ที่คัดของของดีไซน์เก๋ๆมาขายจากทั่วทุกมุมโลก ที่สำคัญคือคุณเจ้าของร้านน่ารักมากๆ เวลาเปิดปิด: 9:30–18:30 การเดินทาง: ลงสถานี Sheung Wan Location: https://goo.gl/maps/izo4MoSed7NdFiBQ9   Tsim Chai Kee Noodle ร้านบะหมี่เกี๊ยวชื่อดังเจ้าของรางวัลมิชลินหลายสมัย ในชามจะมีลูกชิ้นหมูผสมปลาปั้นมือเป็นก้อนเบ้อเริ่มเทิ่มสะใจเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน โรยน้ำพริกเผานิดหน่อยอร่อยสุดๆ ราคาประมาณชามละ HKD 38-44 ตอนที่เราไปโชคดี ไม่มีคิวพอดีเลยครับ เวลาเปิดปิด: 11:00–21:30 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/GD37kkN62r5CtRUC9   % Arabica (Mid-Levels) ร้านกาแฟแบรนด์ญี่ปุ่นแต่มีสาขาแรกอยู่ที่ฮ่องกง ตอนนี้มีหลายสาขาแล้ว ส่วนสาขานี้เป็นสาขาในย่าน Central ลองแวะไปนั่งชิลกันได้ เวลาเปิดปิด: 8:30–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Central Location: https://goo.gl/maps/XX7gL9sR3Vu99sP28   ย่าน Tsim Sha Tsui ปิดท้ายโพสต์นี้กันที่ย่านช็อปปิ้งและแหล่งท่องราตรีชื่อดังบนเกาะเกาลูน นักช้อปทั่วโลกต้องรู้จักย่านนี้ นอกจาก Habour Mall แล้ว ที่นี่ยังมีห้างอื่นๆ อีกมากมาย และห้างใหม่ล่าสุดที่กำลังมาแรงของย่านนี้ก็คือ K11 ครับ เป็นห้างริมน้ำที่รวมแบรนด์ไว้เยอะมาก ร้านอาหารก็เพียบเลย Mak's Noodle บะหมี่ร้านดังมีหลายสาขาทั่วฮ่องกงและได้ยินว่ากำลังจะมาเปิดที่ไทยเร็วๆนี้ อาม่า (เจ้าของร้านหรือเปล่าไม่รู้) แนะนำให้สั่งบะหมี่เกี๊ยวแบบแยกเส้นมาคลุกซอสต่างหากบอกว่าอร่อยกว่า เราว่าร้านนี้อร่อยง่ายๆได้มาตรฐานดีครับ ตกชามละประมาณ HKD 60-70 เวลาเปิดปิด: 10:30–23:00 การเดินทาง: ลงสถานี Tsim Sha Tsui Location: https://goo.gl/maps/GD37kkN62r5CtRUC9   Clean Coffee ร้านกาแฟคลีนเสิร์ฟกาแฟและคุ้กกี้แบบออแกนิก คอนเซ็ปต์ Tap & Go เป็นร้านกาแฟนี้ไม่มีพนักงานแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างต้องบริการตัวเองใช้แค่บัตร Octopus บัตรเดียวเท่านั้น ร้านนี้ให้ฟีลเหมือนตู้กดกาแฟเต่าบินบ้านเรา แต่จะมีความคราฟท์กว่า มีให้เลือกกดส่วนผสมต่างๆจากหลายสเตชั่น คุณภาพและรสชาติเหมือนกาแฟในคาเฟ่สมัยใหม่ที่ชงสดเลย และที่นี่จะมีที่ให้นั่งจิบกาแฟด้วย ราคาประมาณแก้วละ HKD 25 ตั้งอยู่ในโครงการ Heath Hong Kong ชั้นใต้ดิน เวลาเปิดปิด: 9:00–17:00 การเดินทาง: ลงสถานี Tsim Sha Tsui Location: https://goo.gl/maps/K7kVtsDXHRynx1tx8   Latam Coffee ร้านกาแฟที่เสิร์ฟกาแฟจากสาธารณรัฐโดมินิกันโดยเฉพาะ มีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลายตัว แต่ทั้งหมดก็จะนำเข้าจากประเทศเดียว คือเป็น Single Origin ตั้งแต่ตัวร้านเลย มีคุณลุงคนฮ่องกงที่มารอเข้าร้านตั้งแต่ยังไม่เปิด เขาบอกเราว่ากาแฟที่นี่อร่อยจริงๆ เวลาเปิดปิด: 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Tsim Sha Tsui Location: https://goo.gl/maps/jZmjLUPKXZ4uN1aC6   MIDO CAFÉ ขอเพิ่มโบนัสในโพสต์นี้ด้วยร้าน MIDO CAFÉ เป็นร้านอาหารคาเฟ่สไตล์ฮ่องกงสุดคลาสสิคที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1950 ปัจจุบันก็ยังคงเอกลักษณ์บรรยากาศแบบเดิมให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในร้านกาแฟเมื่อ 70 กว่าปีก่อนจริงๆ เราเองก็เพิ่งเคยมากันครั้งแรก และจานที่เราถูกใจที่สุดคือ French Toast ไส้ Ham & Cheese อร่อยนัว สะใจสุดๆ เวลาเปิดปิด: 11:30–20:30 ปิดวันพุธ การเดินทาง: ลงสถานี Yau Ma Tei Station Location: https://goo.gl/maps/2jXm7sbE7cafgBzN8   The Monocle Shop ใครมีเวลาเหลือที่สนามบินแนะนำให้แวะไปที่ MONOCLE SHOP เพราะที่นี่เป็นร้าน MONOCLE SHOP ในสนามบินร้านแรกในโลกอยู่บริเวณ Gate 61, Terminal 1, Hong Kong International Airport มีของขายเหมือนในเมือง แต่ราคาบางไอเท่มอาจจะสูงกว่าสาขาในเมืองนิดนึงนะ สงสัยค่าเช่าแพงแหละ เวลาเปิดปิด: 10:00 - 19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Hong Kong International Airport, Gate 61, Terminal 1 Location: https://goo.gl/maps/N2J2J5gwvDe1qnBc7   เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับทริปฮ่องกงของเราทริปนี้ เราพาไป #Hop กันจุใจไหม อย่าลืมติดตามพวกเรากันได้ที่ https://www.hoparound.co/   Youtube, Facebook, Instagram, TikTok: @Hoparound.co Instagram: @ThisthatCake, @KajornFurst โรงแรมแนะนำในฮ่องกง พร้อมดีลพิเศษ เดอะ เมอเรย์ ฮ่องกง อะ นิกโกโล โฮเทล (The Murray, Hong Kong, a Niccolo Hotel) ตูฟ (Tuve) มอนเดรียน ฮ่องกง (Mondrian Hong Kong) เดอะ เฟลมิง (The Fleming) เพจ 148 เพจ โฮเทล (Page148, Page Hotel) ลิตเทิล ไท่ หัง (Little Tai Hang) อีตัน ฮ่องกง (Eaton HK)

  • Awaji Yumebutai เดย์ทริปจากโอซาก้าสู่อาณาจักรของอันโดะ เกาะอาวาจิ

    Awaji Yumebutai เดย์ทริปจากโอซาก้าสู่อาณาจักรของอันโดะ เกาะอาวาจิ ขับรถเพลินๆเพียง 1 ชั่วโมงจากโอซาก้าหรือ 35 นาทีจากโกเบ เพื่อนๆก็จะมาถึงเกาะ Awaji ได้ไม่ยาก ที่นี่เป็นเกาะเก๋ วิวงาม มีอะไรให้เที่ยวเยอะแยะ แถมมีชื่อเรื่องหัวหอมที่หวานฉ่ำไม่ฉุนเผ็ด จริงๆแล้วเราอยากมีเวลามา Road Trip บนเกาะซัก 3-4 วัน เพราะเกาะ Awaji นี้มีขนาดใหญ่เกือบเท่าสิงคโปร์เลยล่ะ แต่ทริปนี้เรามีเวลาน้อยจึงเจาะจงมาเฉพาะที่ Awaji Yumebutai ผลงาน Landscape Design ขนาดใหญ่ของสถาปนิกระดับตำนานอย่าง Tadao Ando ซึ่งแค่ที่นี่ที่เดียว เราใช้เวลาทั้งวันก็ยังเดินไม่ครบเลยครับ Space แห่งนี้จะเท่แค่ไหน #hop ไปดูกันเลยครับ BOOK NOW จองโรงแรม GRANG NIKKO AWAJI ราคาพิเศษ คลิ๊กที่นี่ วิธีการเดินทางไปเกาะอาวาจิ สำหรับเพื่อนๆที่อยากมาเที่ยว Awaji Yumebutai แนะนำให้ขับรถมาจะสะดวกที่สุด เพราะรถไฟมาไม่ถึงนะครับ แต่หากจะนั่งรถบัส แนะนำให้นั่งตรงมาจากสถานี Sannomiya ในโกเบเลยจะสะดวกสุดครับ ถ้านั่งรถประจำทางเหมือนเราก็ต้องเผื่อเวลาเยอะหน่อย เพราะมีสายรถบัสจำกัดและตารางวิ่งรถค่อนข้างห่าง และหากรถเต็มก็ต้องรอคันหน้าในอีกชั่วโมงถัดไป (เหมือนเรา ฮ่าๆ) Awaji Service Area ระหว่างทาง อยากให้เพื่อนๆได้แวะ Awaji Service Area หลังจากข้ามสะพาน Akashi Kaikyo Bridge มาจากฝั่งโกเบด้วยครับ เพราะตรงนี้ทั้งวิวสวย มีลานให้นั่งปิกนิก และมีร้านของฝากที่มีแต่ของน่าซื้อเยอะมากเลย และหากมีเวลาเราแนะนำให้จัด Road Trip ซัก 3-4 วันเพราะมีจุดน่าเที่ยวอีกหลายจุด หรือหากมีเวลามากกว่านั้นจะตะลุยลงเกาะ Shikoku ต่อไปเลยก็ได้ครับ Awaji Island เล่าประวัติปูพื้นกันซักเล็กน้อย พื้นที่บริเวณนี้ของเกาะ Awaji นั้นถูกเลือกให้เป็นแหล่งขุดดินออกไปเพื่อถมทะเลสร้างเกาะเทียมต่างๆในอ่าวโอซาก้า (เช่น สนามบิน KIX เป็นต้น) ทำให้ธรรมชาติที่สวยงามถูกทำลายลงไปเป็นบริเวณกว้าง Tadao Ando จึงถูกเชิญมาออกแบบปรับภูมิทัศน์ใหม่ทั้งหมดเพื่อพลิกฟื้นความเสื่อมโทรมให้กลายแหล่งชุบชีวิตพืชและสัตว์ต่างๆของเกาะในรูปแบบของสวน Awaji Island Akashi Kaikyo National Government Park ขนาดมหึมาซึ่งมีพันธุ์ดอกไม้สีสวยสดเป็นหมื่นเป็นแสนดอกบานสะพรั่งเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมีโรงเรือน Green House ที่รวมพันธุ์ไม้หายากจากต่างประเทศเอาไว้อีกด้วย โซนสวนและเรือนกระจกนี้จะมีค่าเข้านะครับ ถ้าซื้อตั๋วรวบ 2 จุดราคาสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 1,000 เยน สามารถซื้อหน้างานได้เลย พื้นที่ที่เหลือนั้นถูกเนรมิตให้เป็นศูนย์ประชุมระดับนานาชาติที่สามารถรองรับขนาดการประชุมได้หลากหลายรูปแบบ มีโรงแรมหรูไว้รับรอง (Grand Nikko Awaji) รวมถึง โรงละครกลางแจ้ง อนุสรณ์สถานสุดล้ำและงานสถาปัตยกรรมแปลกตาที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ando แค่เพื่อนๆมาเดินเล่น เสพงานดีไซน์ และถ่ายรูปก็คุ้มมากๆแล้ว เพราะโซนอาคารงานสถาปัตยกรรมนั้นเราเข้ามาเดินดูได้ฟรีเลยครับ ไปดูกันครับว่าจุดเช็คอินภายใน Awaji Yumebutai มีที่ไหนบ้าง 1. Grand Nikko Awaji จุดเช็คอินแรกที่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้เลย ก็คือ โรงแรมแกรนด์นิกโกะ ที่มีเก้าอี้แดงตั้งอยู่บริเวณรอบๆ รอให้เราเข้าไปนั่งถ่ายรูปคู่กัน BOOK NOW จองโรงแรม GRANG NIKKO AWAJI ราคาพิเศษ คลิ๊กที่นี่ 2. Marine chapel “ CAPPELLA DI MARE ” 3. Awaji Greenhouse 4. Oval Forum 5. Water Garden 6. Seaside and Hillside Gallery 7. Sky Garden 8. The Hundred-Step Garden 9. Circular Forum เกร็ดเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติมครับ หลังจากที่เริ่มก่อสร้าง Yumebutai มาได้ไม่นานในปี 1995 ก็เกิด The Great Hanshin-Awaji Earthquake เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 5,000 ชีวิต และบาดเจ็บกว่า 40,000 คน แน่นอนว่าสิ่งก่อสร้างในโปรเจ็คท์นี้ก็ได้รับผลกระทบไปไม่น้อยเช่นกัน จึงต้องมีการปรับแก้งานดีไซน์หลายจุด และการก่อสร้างก็เสร็จช้ากว่ากำหนดไปถึง 2 ปี จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2000 Awaji Yumebutai จึงได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับงาน Awaji Flower Expo Japan Flora 2000 BOOK NOW จองโรงแรม GRANG NIKKO AWAJI ราคาพิเศษ คลิ๊กที่นี่ #LetsHoparoundJapan #Awaji FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co

  • Four Seasons Bangkok at Chao Phraya River การหวนคืนมาอีกครั้งของความเป็นเลิศแห่งฤดูกาลทั้งสี่ที่ โฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ

    ในปี 1961 Four Seasons Motor Hotel ได้เปิดให้บริการขึ้นกลางเมือง Toronto ประเทศ Canada ผู้ออกแบบ Motel แห่งนี้มีนามว่า Isadore Sharp ใครเลยจะไปคาดคิดว่า Motel แห่งนี้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ให้คุณ Sharp ได้เริ่มตำนาน Four Seasons แบรนด์โรงแรมที่หรูหราที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก และในวันนี้ Four Seasons ก็ได้ฤกษ์หวนคืนสู่กรุงเทพมหานครของเราอีกครั้ง คราวนี้ Four Seasons เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าที่เคย ณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในคอนเส็ปต์ Riverside Urban Resort ที่งามสง่าสมฐานะแบรนด์โรงแรม Top-Tier ของโลก จองห้องพักได้ที่นี่ The Arrival ทันทีที่เลี้ยวรถเข้ามาในเขตโรงแรม เราก็จะพบกับลานวนรถที่มีต้นไม้ฟอร์มสวยยืนเป็นประธานรอต้อนรับอยู่ ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าความวุ่นวายทั้งปวงนั้นถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเรียบร้อยแล้ว และเราก็ได้เข้าสู่อ้อมกอดอันละเมียดละไมของ Four Seasons อย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน งานออกแบบทั้ง Hardscape และ Interior ของที่นี่นั้นได้รับการดูแลเป็นพิเศษโดยคุณ Jean-Michel Gathy นักออกแบบระดับโลกชาวเบลเยี่ยม ผู้ตั้งใจจะเล่าเรื่องราวของ Property ริมแม่น้ำแห่งนี้ผ่านการเคลื่อนไหวของน้ำ โดยก่อนจะลงมือออกแบบ Monsieur Gathy ก็ได้เดินทางไปยังอยุธยาและล่องเรือตามลำน้ำเจ้าพระยาลงมาจนถึงที่ตั้งโรงแรมเพื่อที่จะได้เห็นและเข้าใจถึงชีวิตริมแม่น้ำสายหลักแห่งนี้ในหลายๆแง่มุม Inspiration จากน้ำนั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่การปูพื้นรอบๆต้นไม้ประธานให้เป็นดั่งวงกระเพื่อมของน้ำที่แผ่ออกไปจนถึง Porte Cochère หรือประตูเทียบรถเพื่อให้แขกเดินเข้าโรงแรม จากนั้นแรงบันดาลใจจากน้ำก็ไหลต่อเนื่องเข้าไปปรากฏอยู่แทบจะทุกโซนของโรงแรม พอเดินผ่านประตูเข้าอาคารปุ๊บเราก็จะเห็นสระน้ำพร้อมหินประดับตรงหน้าทันที จากจุดนี้ไม่ว่าเราจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา น้ำก็จะติดตามเราไปทั้ง 2 ทาง ทั้งในรูปแบบของสระน้ำจริงๆและความพลิ้วไหวในงานศิลปะต่างๆที่ประดับอยู่ทั่ว Public Area Four Seasons Bangkok นั้นให้ความสำคัญกับศิลปะอย่างมาก เพราะมีงานศิลป์ให้แขก Appreciate อยู่ทุกที่ และที่สำคัญแทบจะทั้งหมดนั้นเป็นผลงานของศิลปินไทย ตั้งแต่ภาพวาดอันโดดเด่นหลายชิ้นไปจนถึงงานประติมากรรมอันน่าทึ่ง โดยเฉพาะงานปูนปั้นที่ดูอ่อนนุ่มและพลิ้วไหวดุจผ้าม่านผืนมหึมาในโถงต้อนรับฝีมือคุณโด่ง พงษธัช อ่วยกลาง เรียกได้ว่าทุกรายละเอียดนั้นได้ผ่านการคิดออกแบบมาอย่างดี ถ้าจะลงดีเทลทั้งหมด บทความนี้ก็คงจะยาวเฟื้อยไม่รู้จบเลยล่ะครับ โถง Reception ของที่นี่นั้นดู Grand และ Dramatic ด้วยภาพพื้นหลังที่เน้นสีน้ำตาลแดงแกมทอง ซึ่งเราทราบมาว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าช่วงมรสุมของกรุงเทพฯ ณ สุดทางเดินฝั่งตรงข้าม Reception ก็เป็นงานศิลป์อีกชิ้นที่ยังคงเล่าเรื่องความคดเคี้ยวของสายน้ำ และก็อย่างที่เห็นในรูปนะครับ ทั่วทั้งบริเวณนี้เต็มไปด้วยงานศิลปะแทบทุกมุมเลย Our Room : Premier River-View Room ห้องพักของเราในวันนี้ทางโรงแรมแจ้งว่าเป็นหนึ่งในห้องที่ปังที่สุด (แต่ยังมีห้องใหญ่มหึมาพื้นที่กว่า 450 ตร.ม.ที่ยังตกแต่งไม่เสร็จอีกนะครับ) ห้อง Premier River View ของเราขนาดกว้างขวางถึง 50 ตร.ม. มาพร้อมกับวิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มตาจากพื้นจรดเพดาน เรื่องการตกแต่งภายในไม่ต้องพูดถึงครับ งดงามตามขนบ Four Seasons มี Partition แบ่งโซนห้องน้ำและห้องนอนที่สามารถเลื่อนเปิดปิดได้ตามสะดวก ถ้าเปิดก็จะทำให้ Space ดูกว้างและต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน ขอพาไปดูโซนห้องนอนกันก่อนดีกว่าแล้วค่อยไปเจาะลึกห้องน้ำกันเนอะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราจึงพามาดูมุมมินิบาร์ก่อนเลย ในตู้เย็นและลิ้นชักนั้นสต็อคทั้งเครื่องดื่มและสแน็กซ์มาให้เต็มที่มาก มีแต่ของดีๆน่าลองทั้งนั้นครับ ที่โซนนั่งเล่นก็มี Welcome Patisserie หน้าตาดีเชียว แถมด้วยผลไม้และโน้ตต้อนรับที่เขียนด้วยลายมือ Personalized เป็นชื่อเราเลยครับ มีเซ็ตอุปกรณ์ป้องกันโควิดเตรียมไว้ให้ด้วย แน่นอนว่าในตู้เสื้อผ้านั้นก็มีอุปกรณ์ต่างๆครบครัน ตั้งแต่ตู้เซฟ ไปจนถึง ชุดคลุมอาบน้ำ Slippers และอุปกรณ์ทำความสะอาดรองเท้า โซนห้องนอน นอกจากความสวยงามและของจุกจิกที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้แล้ว สำหรับเรา หัวใจของห้องพักนั้นอยู่ที่ความสะดวกสบาย โดยเฉพาะระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆภายในห้องที่มีคุณภาพ เริ่มกันที่เครื่องนอน Four Seasons ขึ้นชื่ออย่างมากในเรื่องเครื่องนอนดูดวิญญาณ เตียงและหมอนที่หนานุ่ม ปลอกหมอนและผ้าปูที่เนียนเนี้ยบ ได้ยินมาว่าพนักงานหลายท่านก็ใช้สิทธิ์พนักงานซื้อชุดเครื่องนอนของ Four Seasons ไปประจำที่บ้านเลย น่าอิจฉาจริงๆครับ สำหรับเราปัญหาใหญ่ในการเข้าพักครั้งนี้ก็คือการลุกจากเตียงไปกิน Breakfast ตอนเช้าให้ทัน ฮ่าๆ เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างช่องเสียบสาย USB เพื่อชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้ายุคใหม่ ที่นี่มีให้ครอบคลุมหลายจุดในห้องเลยครับ ระบบการเชื่อมต่อ Wifi ก็ไม่ต้องใช้พาสเวิร์ดและไม่จำกัดเวลาใดๆ และการ Cast จอมือถือหรือไอแพดของเราไปยังหน้าจอทีวีก็ทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วมาก ระบบควบคุมผ้าม่านทั้งแบบกรองแสงและแบบทึบแสงก็สามารถเลือกเปิดปิดได้โดยกดปุ่มง่ายๆ อ้อ! พูดถึงแสงแล้ว เราชอบระบบการควบคุมแสงไฟของที่นี่ด้วยครับ ปรับได้หลาย Mode ตั้งแต่สว่างปกติ ไปจนถึง Sleep Mode ที่จะมีเพียงแสงสลัวๆตรงพื้นให้เราเดินไปห้องน้ำกลางดึกได้สะดวก ที่เรารู้สึกชอบเป็นพิเศษอีกอย่างก็คือ นอกจากเราโทรศัพท์ที่เราโทรขอความช่วยเหลือจากพนักงานได้ตามปกติแล้ว ที่ Four Seasons ยังมี iPad พร้อมข้อมูลต่างๆเตรียมไว้ให้แขกเปิดดู พร้อมกับฟังก์ชั่นพิมพ์ Chat กับพนักงานได้โดยตรง ซึ่งอันนี้เราชอบมากเลยครับ ถูกจริตชาวโลกยุคดิจิตอลจริงๆ โซนห้องน้ำ Partition ที่เลื่อนเปิดปิดได้ ทำให้ห้องน้ำที่กว้างอยู่แล้ว ดูโล่งยิ่งขึ้นอีก สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในโซนนี้ก็คงหนีไม่พ้นอ่างอาบน้ำทรงรีขนาดใหญ่พิเศษ ที่สำคัญคือน้ำอุ่นเต็มเร็วมากครับ ตรงหน้ากระจกก็มีอ่างล้างหน้าคู่ที่ดูหรูหรา และยิ่งหรูหรามากขึ้นไปอีกเมื่อเราเห็นแบรนด์ Maison Francis Kurkdjian Paris ปรากฏอยู่บน Amenities ต่างๆ ต้องยอมรับเลยว่ากลิ่น Aqua Universalis นั้นหอมฟุ้งจรุงใจไกล Beyond มากครับ ขยับถัดมาก็คือโซน Shower ที่มีทั้งฝักบัวแบบสายและแบบ Rain Shower เปิดทีน้ำก็เทลงมาซู่ใหญ่ๆสะใจมาก เราชอบที่ Four Seasons มีที่นั่งสำหรับคนที่ถนัดนั่งอาบน้ำด้วย จะนั่งขัดถูเท้าก็ทำได้สะดวกเลย และในห้องชักโครกก็มีชั้นเล็กๆสำหรับวางหนังสือหรือโทรศัพท์ด้วยเช่นกัน เค้าคิดมาให้หมดแล้วจริงๆครับ ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริงแบบนี้แหละจึงจะเรียกว่า Luxury ได้อย่างเต็มปาก พาทัวร์ห้องพักกันเสร็จแล้ว เราลงไปสำรวจรอบๆโรงแรมกันบ้างดีกว่า สำรวจโรงแรม Four Seasons Bangkok นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Complex สุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ชื่อว่า Chao Phraya Estate ซึ่งที่ดินทั้งหมดกว่า 35 ไร่ของ Complex แห่งนี้ถูกแบ่งให้กับตัวโรงแรม Four Seasons Bangkok มากที่สุด ถ้าจำไม่ผิดน่าจะกว่า 20 ไร่เลยทีเดียว พร้อมหน้ากว้างติดแม่น้ำเฉพาะของโรงแรมถึง 200 เมตร ภายใน Complex ยังมีเพื่อนบ้านอีก 2 โครงการ นั่นก็คือ Four Seasons Private Residences (ใครงบถึงซื้อห้องได้เลยครับ) และโรงแรม Super Luxury อีกแบรนด์อย่าง Capella ซึ่งมาเปิดที่นี่เป็นแห่งที่ 6 ของโลก กลับมาโฟกัสที่โรงแรม Four Seasons ของเราดีกว่า ขอเล่าภาพกว้างๆก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปแวะดูแต่ละจุดที่น่าสนใจ ที่นี่มีห้องพักทั้งสิ้น 299 ห้อง ห้องอาหารและบาร์รวม 5 แห่งและกำลังจะได้ต้อนรับคาเฟ่เพิ่มอีก 1 แห่ง (ชื่อว่า Café Madeleine) ซึ่งเราไม่สามารถพาไปดูได้ครบทุกที่ เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้บาง Outlet ของโรงแรมต้องระงับการให้บริการชั่วคราว เราขอสปอยล์ก่อนเลยว่าปังทุกร้านจริงๆครับ นอกจากนี้ Four Seasons Bangkok ยังมีสระว่ายน้ำหลายสระ ศูนย์สุขภาพเหนือระดับ ห้องจัดเลี้ยงทั้งเล็กและใหญ่ ห้องแกรนด์บอลรูม รวมไปถึงห้องจัดแสดงงานศิลปะที่ Partner กับ MOCA อีกด้วย และอีกหนึ่งจุดที่ควรได้รับการพูดถึงมากๆก็คือ Courtyard กลางโรงแรมที่คุณ Jean-Michel Gathy ออกแบบให้เป็นบึงน้ำโมเดิร์นขนาดใหญ่พร้อมสวนอันสงบสวยงาม ตรงตามคอนเส็ปต์ Urban Resort เป๊ะเลยครับ บริการเรือรับส่ง และถ้าหากเราอยากจะออกจากโรงแรมไปช้อปปิ้งที่ ICONSIAM หรือไปทำธุระแถวๆท่าเรือสาทร ทางโรงแรมก็มีบริการเรือรับส่งตลอดช่วงกลางวันเลยครับ สามารถเช็ครอบได้ที่โรงแรมเลย Swimming Pools Main Pools ของที่ Four Seasons Bangkok ต้องเติม s ครับ เพราะมีติดกันหลายสระ หลายระดับความลึก เลือกจุ่มตัวกันได้ตามอัธยาศัย เตียงรอบสระก็มีให้เลือกทั้งเตียงเดี่ยวเตียงคู่ ตัวสระนั้นอยู่แทบติดกับแม่น้ำ จึงได้ทั้งวิวตึก วิวสวน และวิวเจ้าพระยาขึ้นอยู่กับว่าเราจะหันไปทางไหน นอกจาก Main Pools แล้ว ยังมีสระว่ายน้ำอีกแห่งไว้ให้บริการในศูนย์สุขภาพ Urban Wellness Centre อีกด้วย เราปลื้มตู้ Supply ของใช้ริมสระที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้บริการแบบพร้อมมากๆ ทั้งผ้าเช็ดตัว ครีมกันแดด ไปจนถึงนิตยสารให้อ่านเพลินๆกันด้วยครับ พอมีตู้นี้ตั้งแล้ว สระดูน่ารักขึ้นอีกเยอะเลย ช่วงที่เราเดินเล่นอยู่รอบสระ ฝนกำลังเริ่มจะโปรยปรายลงมาพอดี และพนักงานก็รีบนำร่มมาให้ทันทีเลย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างเล็กๆที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมดูแลแขกด้วยความใส่ใจในแบบของ Four Seasons ครับ Urban Wellness Centre โซนนี้ประกอบไปด้วย Gym ที่มีอุปกรณ์ครบมากๆ พร้อมผู้ดูแลมืออาชีพ Spa สุดเอ็กซ์คลูซีฟ (เสียดายที่ตอนเราไป Spa ยังไม่เปิด เนื่องจากมาตรการโควิดจึงไม่ได้เก็บรูปมาฝาก) สระว่ายน้ำเฉพาะสำหรับสมาชิก และสวนสวยใน Courtyard ที่ช่วยเติมความงดงามสีเขียวให้เรารู้สึกผ่อนคลายและเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากแขกที่พักในโรงแรมแล้ว Urban Wellness Centre ยังเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถสมัครสมาชิกเข้ามาใช้บริการได้ด้วย สอบถามรายละเอียดกับทางโรงแรมได้เลยครับ Yu Ting Yuan ห้องอาหาร Signature ของโรงแรม ห้องอาหารจีนกวางตุ้งต้นตำรับตามแบบฉบับของชนชั้นสูง ทางเชฟซิว เซียวกุยและทีมงานต่างก็หมายมั่นปั้นมือให้ Yu Ting Yuan เป็นห้องอาหารจีนแห่งแรกในไทยที่จะได้รับดาวมิชลิน และแล้วก็ได้รับรางวัล 1 MICHELIN Star เป็นที่เรียบร้อย ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ แม้ว่าเราจะยังไม่ได้ลิ้มลองอาหารอันเลิศรสของหยู้ ทิง หย้วน เนื่องจากคิวจองเต็มจนล้นไปอีกหลายเดือน แต่จาก Decor และวิวสระน้ำที่สะท้อนแดดระยิบ เราก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่สูงศักดิ์ และเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไม Yu Ting Yuan จึงเป็นร้านดาวเด่นของ Four Seasons Bangkok ห้องอาหารทั้งหมดที่ Four Seasons Bangkok รวมถึง Yu Ting Yuan นั้นได้รับการออกแบบโดย AvroKo บริษัทออกแบบชื่อก้องโลกจาก New York (แต่ตอนนี้มีออฟฟิศอยู่ใน 4 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยแล้วนะครับ) เขาเชี่ยวชาญงานออกแบบใน Hospitality Industry เป็นพิเศษ เป็นที่เลื่องลือกันว่าหากร้านใดให้ AvroKo ออกแบบแล้วล่ะก็ ให้เตรียมตื่นตะลึงกับความงามได้เลย ห้องอาหารอิตาเลียน Riva del Fiume Ristorante เราประทับใจกับการแต่งร้านของห้องอาหาร Riva ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้มากเลยครับ (ก็แหงแหละ AvroKo เค้าเป็นคนออกแบบนี่) เพราะรู้สึกว่าเป็นจุดลงตัวพอดีระหว่างความหรูหรากับความโฮมมี่ และระหว่างความวินเทจกับความโมเดิร์นด้วย ทำให้นึกถึงบรรยากาศร้านอาหารสวยๆริมทะเลสาบ Como ที่อิตาลีเลยครับ Riva มีทั้งโซนให้นั่งภายในอาคาร (ที่สวยงามน่านั่งจริงๆน้าาา) และโซนระเบียงด้านนอกแบบ Al Fresco ทั้งฝั่งแม่น้ำ และสระว่ายน้ำ ภายในห้องอาหารมีโซนครัวเปิดขนาดใหญ่โชว์การอบพิซซ่าและรีดพาสต้ากันสดๆด้วย ขนาดโดยรวมจึงค่อนข้างใหญ่มากเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆในโรงแรม เชฟ Andrea Accordi รับหน้าที่ดูแลห้องอาหารนี้โดยเฉพาะ แต่ดาวเด่นตัวจริงของที่นี่คือ "ที่สุดของวัตถุดิบ" จากแต่ละภูมิภาคของอิตาลีที่ถูกคัดสรรมาอย่างรู้จริง เชฟลงลึกไปจนถึงวัตถุดิบพื้นฐานอย่างน้ำมันมะกอกสุดพิเศษจาก Tasca d'Almerita พริกแห้งจากเมือง Senise ไปจนถึงผลเคเปอร์คุณภาพเยี่ยมจากเกาะ Pantellaria เมื่อวัตถุดิบชั้นยอดมาเจอกับฝีมือชั้นครู ความดีงามของเมนูที่ Riva จึงไม่ต้องสาธยายกันให้มากเรื่อง ทุกเสาร์-อาทิตย์ที่นี่เปิดให้บริการ Breakfast ด้วยนะครับ แค่นึกภาพก็อยากจองแล้วล่ะ ดินเนอร์สไตล์ฝรั่งเศสที่ Brasserie Palmier เย็นนี้เรามีนัดดินเนอร์กันที่ห้องอาหารต้นปาล์มแห่งนี้แหละครับ และงานดีไซน์ของ AvroKo ก็แผลงฤทธิ์อีกแล้ว เพราะเค้าเนรมิต Brasserie ที่ (ควรจะ) หมายถึง ร้านอาหารกันเองสบายๆแนว Informal Restaurant ให้กลายเป็นสถานที่สุดวิลิศมาหราและมีรสนิยมเกินเบอร์ ยิ่งมีคอนเส็ปต์ French Tropics กำกับ ก็ยิ่งเสริมส่งพลังงานความมีอารยะให้ทยานขึ้นไปอีกระดับ ราวกับได้วาร์ปมาอยู่ห้องรับแขกในตำหนักฤดูร้อนของตระกูลผู้สูงศักดิ์สักตระกูลหนึ่ง แต่เรามาที่นี่เพื่ออาหารครับ และเมนูอาหารที่นี่นั้นก็เป็นเมนูใหม่ที่เพิ่งอัพเดทล่าสุดกันเสียด้วย คอนเส็ปต์ของอาหารยังคงเป็น Casual Classic French ง่ายๆสไตล์ Brasserie เพียงแต่เชฟ Nicolas Raynal ผู้ดูแลห้องอาหารฝรั่งเศสนี้ ได้ใส่ความพิถีพิถันลงไปในการปรุงและมีการประยุกต์ให้เมนูส่วนใหญ่เบาและละมุนขึ้นกว่าสูตรดั้งเดิม เพราะคอนเส็ปต์ของความเป็นฝรั่งเศสในเขตร้อนนั้นก็ย่อมเหมาะกับอะไรที่สดชื่นเบาสบาย และด้วยความที่บริเวณนี้ เคยเป็นที่ตั้งขององค์การสะพานปลามาก่อน เมนูของ Palmier จึงให้ความสำคัญกับปลาและอาหารทะเลเป็นหลัก ว่าแล้วเรามาเริ่มมื้อไปพร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ เปิดมื้อด้วยแก๊ง E ntrée ขอแทรกนิดนึงนะครับว่า E ntrée ในวัฒนธรรมฝรั่งเศสนั้นแปลว่าอาหารเรียกน้ำย่อยนะครับ แต่ถ้าใครเคยไปอเมริกาจะรู้ว่า ที่อเมริกา Entrée จะหมายถึงอาหารจานหลัก อาจทำให้สับสนกันสักนิด แต่วันนี้เรามาร้านอาหารฝรั่งเศส ก็ขอเรียกตามแบบฝรั่งเศสก็แล้วกันนะครับ ที่โดดเด่นอยู่บนพานน้ำแข็งก็คือ Spéciales Gillardeau Oysters N4 หอยนางรมไซส์กำลังทานจากฟาร์มของตระกูล Gillardeau ที่ทำธุรกิจหอยนางรมมากว่า 123 ปี ได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์ Rolls-Royce แห่งหอยนางรมเลยนะครับ เขาต้องใช้เลเซอร์สลักตัว G ไว้ที่เปลือกหอยเพื่อป้องกันของปลอมกันด้วย ทางเชฟเตรียมซอสมาให้ 2 อย่าง แต่หอยพรีเมี่ยมขนาดนี้ เราอยากโฟกัสไปที่รสธรรมชาติของน้อง จึงบีบเพียงเลม่อนลงไปเล็กน้อยแล้วดื่มด่ำกับความหวานปน Nutty ก็ฟินมากๆแล้วครับ เรียกน้ำย่อยจานต่อมาเสิร์ฟคู่กัน 2 อย่างในจานเดียวเลยครับ คือ Comté Cheese Croquettes จิ้มกับซอสทาร์ทาร์ เจ้าชีส Comté คือของโปรดเราอยู่แล้ว เราชอบในความเค็มๆ มันๆ ถั่วๆของน้อง พอเชฟหยิบมาทำเป็น Croquettes ก็ยิ่งเพิ่ม Texture ความอร่อยมากขึ้นไปอีก ส่วนอีกจานก็คือ Marinated Sardine Tartines พร้อม Tomato Marmalade เชฟ Nicolas บอกว่าจานนี้คือ Personal Favorite ของเชฟเลย พนักงานก็ช่วยยืนยันอีกเสียงว่านี่เป็นหนึ่งในจานที่ถูกออร์เดอร์บ่อยที่สุด ต่อกันด้วยคอร์สที่ 2 ซึ่งประกอบไปด้วย 2 เมนู จานแรกรสชาติออกแนวสดชื่น เบาๆ เป็นกัวกาโมเล่กุ้ง Obsiblue ว่ากันว่าน้องกุ้งหางฟ้านี้พิเศษมากเลยนะครับ เพราะพบได้ในลากูนบนเกาะ New Caledonia (เขตปกครองของฝรั่งเศส แต่อยู่ใกล้ออสเตรเลีย) เท่านั้น และเป็นกุ้งของฝรั่งเศสเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการยอมรับในประเทศญี่ปุ่นให้เป็น Sashimi Grade คือกินดิบได้เลย เนื้อของเค้านุ่มและหวานกว่ากุ้งทั่วไป เชฟนำมาคลุกเคล้ากับ Tomato Marmalade, Avocado และ Kiwi แนมด้วย Pickled Raspberry เป็นการเพิ่มรสชาติเนื้อกุ้งด้วยผลไม้ที่อร่อยและครีเอทีฟมากครับ ส่วนจานที่ 2 เป็นของดังประจำ French Cuisine อยู่แล้วนั่นก็คือ Escargot หรือหอยทางฝรั่งเศสเนื้อกรึบๆกรุบๆนั่นเอง เชฟ Nicolas เอามาทำเป็น Cromesqui ซึ่งคล้ายๆ Croquette ครับ แต่ด้านในเชฟใส่ Persillade (ซอสพาร์สลีย์ปั่นกับกระเทียม น้ำมัน และน้ำส้มสายชู) พร้อมหยดหน้าเพิ่มความเผ็ดนิดหน่อยด้วย Coulis ที่ทำจากพริก Piquillos แล้ววางลงบนเส้นขดก้นหอยที่ทำมาจาก Mashed Potato เนื้อเนียน และก็มาถึง Main Course ของเรา มาเป็นแพ็ค 3 เลยครับ เริ่มด้วย Duck Confit ตัดเลี่ยนด้วยความสดชื่นของซอสส้ม เสิร์ฟกับเบบี้แครอทกับหัวเทอร์นิปเคลือบด้วยซอสบางอย่างที่รสชาติเปรี้ยวๆหวานๆ เนื้อเป็ดนั้นลุ่ยละลายหลุดออกมาจากกระดูก ถูกต้องตามตำรับฝรั่งเศส ส่วนรสเปรี้ยวอมหวานของซอสส้มก็ทำให้จานนี้หอมอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก ต่อกันด้วยซุป Lobster Bisque ที่ปรุงแบบซอส Américaine ซึ่งไม่ใช่ซอสของอเมริกันนะครับ แต่เป็นซอสที่คิดค้นโดยเชฟฝรั่งเศสแล้วตั้งชื่อว่าซอสอเมริกัน เจ้าชื่อเฉพาะต่างๆพวกนี้ทำให้งงกันไปหมดเลยเนอะ เอาเป็นว่าถ้วยนี้เป็น Bisque ที่เชฟออกแบบให้เบาใสขึ้นกว่า Bisque แบบข้นที่เราเคยทาน จึงอร่อยเข้ากับคอนเส็ปต์เขตร้อนได้โดยไม่เลี่ยน เสิร์ฟคู่ข้าวเกรียบกุ้งที่ทีมเชฟทำขึ้นสดใหม่เอง จานที่สามนี้มีชื่อว่า Palmier French Fries ขอแทรกเกร็ดเล็กๆอีกนิดครับ คำว่า French Fries แม้ชื่อจะบอกว่า French แต่จริงๆแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศ Belgium นะครับ พวกศัพท์อาหารนี่ทำให้งงกันอีกแล้ว ฮ่าๆ กลับมาที่มันฝรั่งทอดสูตรของ Palmier กันดีกว่า เหมือนจะธรรมดาใช่ไหมครับ แต่นี่คือ French Fries ที่เป็น Signature ของห้องอาหาร Palmier เชียวนะครับ เชฟ Nicholas ใช้มันหวานนำมาสไลซ์เป็นแผ่นบางเฉียบ จากนั้นก็ค่อยๆเรียงซ้อนกันให้เป็นชั้นๆ แล้วจึงตัดให้เป็นแท่ง น่าจะต้องใช้เทคนิคเฉพาะอื่นๆในการปรุงอีก เชฟบอกว่าใช้เวลาทำนานมากๆครับ เกือบทั้งวัน ผลที่ออกมาก็คือ French Fries ที่ไม่กรอบนะครับ แต่นุ่มอร่อยและมีรสหวานธรรมชาติในตัว เสิร์ฟพร้อมกับ Homemade Ketchup ที่ทีมเชฟทำเองอีกเช่นกัน เมื่อทานแล้วก็จะรับรู้ถึงความแตกต่างจาก Ketchup แบบ Store-bought ทั่วไปได้ชัดเจนเลย อิ่มอร่อยกับของคาวกันไปจนต้องแอบปลดตะขอกางเกงแล้ว แต่เรายังคงมีพื้นที่ให้ของหวานเสมอครับ ฮ่าๆๆ เมื่อ Waiter เข็นรถของหวานออกมา พร้อมกับขนมหน้าตาแปลกวางอยู่ในกระทะ เราก็รู้สึกตื่นเต้นทันที ครั้งล่าสุดที่เราได้ทาน Baked Alaska ก็น่าจะเกือบ 10 ปีมาแล้ว ขนมชนิดนี้มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Omelette Norvégienne ซึ่งปกติก็จะประกอบไปด้วยไอศกรีม เนื้อเค้ก คลุมด้านนอกด้วยเมอร์แรงก์ สำหรับมื้อนี้ที่ Palmier นั้น เชฟทำออกมาในรสชาติเสาวรสและกล้วยหอม พร้อมราดด้วยเหล้ารัมจุดไฟ ก่อนจะเพิ่มความสดชื่นอีกนิดด้วยผิวมะนาวที่ถูกนำไป Confit จานนี้เป็นทั้งอาหารตาและอาหารปากที่อร่อยสดชื่นมากๆครับ ตอนแรกนึกว่าชิ้นใหญ่แล้วจะกินไม่หมด แต่ที่ไหนได้.... เกลี้ยง! หลังจากที่ความอร่อยทั้งหมดของมื้อลงไปรวมอัดแน่นกันอยู่ในพุง เราจึงขอปิดท้ายมื้อนี้ด้วยชาใบมินต์สด เพื่อช่วยให้สบายท้องขึ้น ทางห้องอาหารเสิร์ฟชามาพร้อมขนม Petit Fours ชิ้นเล็กๆมาให้ด้วย เราชอบ Gimmick ที่หนึ่งในนั้นเป็นขนม Palmier หรือพายกรอบรูปผีเสื้อที่เราคุ้นเคยกันดี แต่จริงๆเค้าตั้งชื่อจากรูปทรงที่คล้ายต้นปาล์มต่างหาก เป็นอีกมื้อที่ประทับใจมากๆครับ อาหารว่าอร่อยแล้ว แต่สิ่งที่ประทับยิ่งกว่าก็คือการบริการและการเข้ามาพูดคุยให้ข้อมูลของทีม Brasserie Palmier ทุกท่านเลย ขอบคุณที่ดูแลเราอย่างดีเยี่ยมนะครับ เดินย่อยเสพงานอาร์ตที่ Art Space ได้เวลาขยับตัวแล้วครับ ครั้นจะเดินกลับห้องไปเฉยๆก็กลัวจะไปนอนอืดต่อบนเตียง โชคดีที่ถัดจาก Brasserie Palmier นั้นเป็น Art Space จัดแสดงงานศิลปะ ซึ่ง Four Seasons Bangkok นั้นก็ได้ Partner กับ MOCA Bangkok เราจึงถือโอกาสเดินย่อย และเสพศิลปะต่อกันเลย อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นบทความครับว่าโรงแรม Four Seasons Bangkok นั้นให้ความสำคัญกับศิลปะมากจริงๆ ที่นี่จะมีผลงานดีๆจากทั่วทุกมุมโลกมาจัดแสดงสับเปลี่ยนกันไปตลอดทั้ง 4 Seasons (แหะๆ เล่นคำนิดนึงนะครับ) Good Morning! เมื่อคืนหลังจากแช่สบู่หอมๆของ Maison Francis Kurkdjian Paris ในอ่างและล้างตัวด้วยฝักบัว Rain Shower ซู่ใหญ่ๆแล้ว พอหัวถึงหมอนแล้วเราก็หลับป๊อกไปเลย พลังดูดวิญญาณของเตียง Four Seasons นั้นสำแดงฤทธิ์กับเราแบบไม่ทันตั้งตัวเลยครับ รู้ตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็คือเกือบจะหมดเวลาเสิร์ฟ Breakfast ของโรงแรมแล้ว ซึ่งพลาดไม่ได้เด็ดขาดเพราะ Breakfast at Four Seasons นั้นก็เป็นที่เลื่องลือทั้งในเรื่องคุณภาพและความหลากหลาย ฉะนั้นรีบล้างหน้าแปรงฟันแล้วลงไปกินมื้อเช้ากันดีกว่า Breakfast at the Lounge จากรูปก็คงจะเห็นแล้วว่ามื้อเช้าของเราน้อยและเบาขนาดไหน ฮ่าๆๆ สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาตั้งแต่แรกก็คือการดีดชั้นครัวซองต์ และ Pastry ที่สวยงามมาก รู้เลยว่านอกจากจะทำสดใหม่แล้วยังต้องมีฝีมือมากๆด้วย สำหรับเราแล้วเบเกอรี่นั้นเป็นตัวบอกได้อย่างดีถึงคุณภาพและความใส่ใจในรายละเอียดมื้อเช้าทั้งมื้อ อย่างที่เห็นในภาพก็คือทางโรงแรมมี Items ให้เลือกเยอะมากครับ และในภาพรวมเราก็ประทับใจกับคุณภาพของ Breakfast มื้อนี้มากเช่นกัน ตั้งแต่ของคาว ของหวาน ไปจนถึงเครื่องดื่ม ทั้งน้ำผลไม้คั้นสด ชา (ยี่ห้อ Jing) และกาแฟ (ยี่ห้อ illy) อ้อ...ที่นี่มีสมูธตี้ประจำวันที่จะหมุนเวียนกันไม่ซ้ำกันด้วยนะครับ หากเราต้องเลือกแนะนำแค่บางอย่าง นอกจากเมนูไข่พื้นฐานที่ทำได้ดีมากแล้ว เกี๊ยวน้ำที่นี่อร่อยมากครับ ส่วน Cruffin ไส้ Hazelnut Praline ก็ดีแสนดีสุดๆไปเลย (ตอนพิมพ์ยังนึกถึงรสชาติอยู่เลยครับ ฮ่าๆๆ) กระทั่งเค้กกล้วยหอมหรือคุกกี้ก็ยังอร่อยเกินคาดไปเยอะ เชฟ Bruce Trouyet (Executive Pastry Chef) และทีมงานน่าจะใส่ใจกับงานกันมาก ตั้งตารอให้ Café Madeleine เปิดให้บริการเร็วๆนะครับ จะว่าไปเราก็พามาดูเกือบครบทุก F&B Outlet ของโรงแรมแล้วนะครับ จะขาดก็แต่ Café Madeleine ซึ่งยังไม่เปิด และ BKK Social Club ที่เตรียมพร้อมจะเปิดวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ตามนโยบายควบคุมโควิด เราก็เลยไม่ได้เก็บภาพมาฝากกัน สรุปความประทับใจ Four Seasons Bangkok at Chao Phraya River เป็นโรงแรมที่เป็นตัวแทนความ Modern Luxury ของแบรนด์ Four Seasons ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยครับ "น้ำ" ที่ถูกนำมาเป็นแนวคิดหลักในการออกแบบโรงแรมนั้น ดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างที่ช่วยเชื่อมประสานความดีงามในด้านต่างๆให้รวมเป็น 1 ประสบการณ์ Four Seasons ที่เยี่ยมยอด ตั้งแต่ทำเลริมเจ้าพระยาที่ทั้ง Prestigious และ Spacious มากๆ คอนเส็ปต์การออกแบบสถานที่และการตกแต่งภายในที่งดงามและสร้างสรรค์จนต้องเผลอร้องว้าวอยู่บ่อยๆ คุณภาพห้องพักที่เป๊ะปังไปซะทุกจุด อาหารและเครื่องดื่มที่ดีงามในทุกๆรายละเอียด และสิ่งที่เรารู้สึกได้ถึง "ความเป็น Four Seasons" มากที่สุดนั้นก็คือความใส่ใจของพนักงานทุกท่าน ขอบคุณ Four Seasons Bangkok at Chao Phraya River อีกครั้งที่มอบมนตร์เสน่ห์แห่งฤดูกาลทั้ัง 4 ให้เราได้สัมผัสนะครับ จองห้องพักได้ที่นี่ #LetsHoparound #FSBangkok #Fourseasonsbangkok

STAY IN TOUCH

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon

INSTAGRAM

  • TikTok
  • Black YouTube Icon

YOUTUBE

Hoparound.co ฮ็อปอะราวด์ – เว็บไซต์ท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์สำหรับคนรักงานดีไซน์และประสบการณ์ใหม่ๆ เรา คัดสรรที่พักดีไซน์ คาเฟ่ แกลเลอรี่ พร้อม ระบบจองที่พัก และ ดีลพิเศษ เฉพาะคุณ รวมถึงคอนเทนต์คุณภาพจาก บล็อกท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ ศิลปะ และดีไซน์ ที่คัดมาแล้วว่า "ทั้งสวย ทั้งมีแรงบันดาลใจ" สำรวจสถานที่น่าสนใจทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ คาเฟ่ ร้านอาหาร โรงแรมดีไซน์จัดเต็ม ไปจนถึงงานสถาปัตยกรรมสุดว้าว รวมถึงสินค้าและแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น ผ่านการเล่าเรื่องอย่างสร้างสรรค์ ภาพสวย อ่านสนุก ได้ทั้ง ข้อมูลท่องเที่ยว ความรู้ และแรงบันดาลใจ ไปพร้อมกัน

Hoparound.co – A travel and lifestyle platform curated for design lovers and creative explorers. We handpick design hotels, cafés, galleries, and offer a booking system with exclusive travel deals you won’t find elsewhere. Beyond travel, we dive into lifestyle, art, and design content to inspire your journey. Discover unique places across Thailand and around the world — from museums, galleries, cafés, restaurants, and design hotels, to remarkable architecture, creative brands, and stylish products. All presented through engaging storytelling, beautiful visuals, and high-quality content that’s informative, enjoyable, and full of inspiration.

ที่เที่ยวใหม่ 2025 |  พิพิธภัณฑ์ & แกลเลอรี่ | โรงแรมดีไซน์ |  คาเฟ่สายอาร์ต |  เที่ยวไทย-ต่างประเทศ จองที่พัก |  รีวิวโดยบล็อกเกอร์ |  ไอเดียทริปไม่ซ้ำใคร |  ค้นหาสถานที่สร้างแรงบันดาลใจ | Travel wesite | Thai Travel Blogers | Travel Influencers | a travel website travel influencers thailand รีวิวท่องเที่ยว รีวิวโรงแรม รีวิวร้านอาหาร

 

Contact and Collaboration with Hoparound.co
E-mail: info.hoparound@gmail.com | Facebook: @hoparound.co | Instagram: @hoparound.co | Youtube: hoparound.co | Tiktok: @hoparound.co

Follow us on Instagram

black-01.png
bottom of page