Search Results
126 results found with an empty search
- HIROSHIMA เที่ยวฮิโรชิม่า ญี่ปุ่น
ฮิโรชิม่าเมืองแห่งน้ำ ในปี 1945 ฮิโรชิมะเป็นหนึ่งในฉากจบของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกสหรัฐอเมริกาโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู วันนี้ของฮิโรชิมะแทบไม่เหลือร่องรอยแห่งอดีตที่โหดร้ายแต่กลับเป็นเมืองน่าอยู่ที่มีไลฟ์สไตล์และงานดีไซน์ทันสมัยแทรกตัวอยู่แทบทุกที่ ฮิโรชิมะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮอนชู ทิศใต้ติดกับทะเลเซโตะและทิศเหนือโอบล้อมด้วยภูเขาสูง และที่นี่ผู้คนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมาก แม้แต่ป้ายบอกทางต่างๆ ยังมีภาษาอังกฤษให้อ่านได้อย่างชัดเจน อาหารอร่อยขึ้นชื่อของที่นี่คือ “หอยนางรมสด” และ “โอโคโนมิยากิ” วันแรกเราเริ่มทริปกันที่ย่าน Fukuromachi ย่านช้อปปิ้ง Fukuromachi เป็นย่านเงียบๆ แต่ร้านค้าดีๆเยอะมาก ทั้ง Maison Margiela, Soph, A.P.C., F.I.L., Marimekko, และร้านคาเฟ่+แซนวิชเก๋ๆที่กลายเป็นอีกร้านโปรดของเราที่ชื่อ Park South Sandwich โชคดีที่เราไปเจองาน The Trunk Market พอดี ซึ่งเป็นงานตลาดนัดไฮเอนด์ที่บรรดาแบรนด์สินค้าดีไซน์จากทั่วญี่ปุ่นพามากันออกร้าน เรารักความไม่เคอะเขินของงานดีไซน์ที่เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างแนบเนียน ย่านช้อปปิ้ง Hondōri ย่านช้อปปิ้ง Hondōri ย่านนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ เป็นถนนเรียงรายไปด้วยร้านค้าชื่อดังมากมายที่ขายสินค้าของใช้ทั่วไป เสื้อผ้าแบรนด์ญี่ปุ่นรวมไปถึงแบรนด์นอก ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นต่างๆ ไปจนถึงร้านยาและเครื่องสำอาง แต่ร้านที่เราชอบที่สุดคือร้าน Pencil เป็นแท่งดินสอขนาดยักษ์ ตั้งอยู่บนสี่แยกขายข้าวของเครื่องใช้ดีไซน์ดีๆเพียบ ร้าน Pencil เป็นร้านขายพวกของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ Location: https://goo.gl/maps/A13v1NU88TbmuNiq6 BAGTOWN COFFEE โรงคั่วเมล็ดกาแฟขนาดกะทัดรัดแต่อัดแน่นด้วยคุณภาพ Location: https://g.page/bagtowncoffee?share ร้านราเมนที่แนะนำโดยคนท้องถิ่น King Ken เป็นร้านราเมนแห้งซอสถั่วใส่พริกหมาล่า ที่ทางร้านกำชับว่าต้องคลุก 30 ครั้งถึงจะเริ่มทานได้ เมื่อได้ลิ้มรสแล้วต้องบอกว่ารสชาติอร่อยมีเอกลักษณ์มากๆ ใครผ่านมาทางนี้ช่วงเที่ยง จะเห็นคิวที่ยาวเหยียด แนะนำให้มากันเนิ่นๆก่อนเวลามื้ออาหาร Location: https://goo.gl/maps/GBXZLFU5Xbc4dPw86 Park South Sandwich จุดบรรจบของกาแฟรสเยี่ยมกับแซนด์วิชรสเลิศ Location: https://goo.gl/maps/t6BB2yy9KcYCjnSP6 Obscura Coffee Roasters ร้านคุณภาพเยี่ยมที่มีสาขาที่โตเกียวด้วย ร้านนี้พิเศษตรงที่จะคัดเมล็ดกาแฟคุณภาพดีจริงๆ มาขายเท่านั้น ที่สำคัญทางร้านยังสามารถให้เราเบลนด์เองในสูตรเราได้อีกด้วย Location: https://goo.gl/maps/t6BB2yy9KcYCjnSP6 Hiroshima Orizuru Tower เปิดทำการเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ปี 2016 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของโดมปรมาณูที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก องศาแสงที่นี่สวยมากหากได้มาตอนพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ชั้น 13 ของตึกนี้เป็นจุดชมวิวที่เปิดโล่งโปร่งสบาย เพื่อนๆจะสามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาของเมืองฮิโรชิมะแบบพาโรนามา มีสายผมพัดผ่านให้เพื่อนๆได้สัมผัสถึงความงามและลมหายใจของเมืองฮิโรชิมะที่รวยรินอยู่เบื้องล่าง Location: https://g.page/orizurutower?share ที่มาภาพ: http://bit.ly/381jtaV เดินเลียบแม่น้ำ Motoyasu River ชมโดมปรมาณู Atomic Bomb Dome และสวนสาธารณะอนุสรณ์สถานสันติภาพฮิโรชิมะ โดมแห่งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างไม่กี่แห่งที่ยังยืนหยัดและไม่ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากองเหมือนส่วนอื่นๆของเมือง แม้จะเป็นสถานที่ที่ย้ำเตือนถึงอดีตอันโหดร้ายสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่บรรยากาศในปัจจุบันของที่นี่กลับผ่อนคลายสบายอารมณ์มาก สวนสาธารณะแห่งนี้ร่มรื่นด้วยแมกไม้ให้ผู้คนมานั่งพักผ่อนหรือจะนั่งปิกนิกก็ได้ แม่น้ำโมโตยาสุที่ไหลผ่านอย่างนุ่มนวลนั้นช่วยให้อารมณ์เย็นขึ้นได้อย่างดี นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงความเป็นมาต่างๆของฮิโรชิมะ รวมถึงยังมีประติมากรรมอนุเสาวรีย์ที่ทั้งสวยงามและมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกด้วยอย่าง Children’s Peace Monument ที่ทุกวันที่ 6 สิงหาคมจะมีนกกระเรียนกระดาษนับพันตัวถูกส่งมาจากที่ต่างๆทั่วโลกเพื่อร่วมระลึกถึงเหตุการณ์ปรมาณู ด้านบนสุดของอนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นรูปปั้นเด็กหญิงชื่อ Sadako Sasaki ถือนกกระเรียน โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเล่าว่าหนูน้อยซาซากินั้นได้พับนกกระเรียนกระดาษพันตัวเพื่ออธิษฐานให้ตัวเองหายป่วย Location: https://goo.gl/maps/B3iNkDorAfMhK8AfA สถานีรถไฟ Shin-Hakushima Station ศิลปะได้แทรกตัวอยู่ทุกที่ในฮิโรชิมะจริงๆ ที่นี่เป็นสถานีรถไฟที่สวยที่สุดของเมือง ออกแบบโดยบริษัท Coelacanth and Associates ที่อยู่ในโตเกียวและนาโกย่า และยังเคยได้รับรางวัล International Architecture Awards 2019 เป็นสถานีรถไฟที่เชื่อมระหว่างรถไฟ JR กับ รถไฟใต้ดินของเมืองฮิโรชิมะ โดยประมาณการว่ามีคนมาใช้ 20,000 คนต่อวัน ความกว้าง 20 เมตร ความสูง 10 เมตร เป็นทรงเปลือกทรงโค้งที่ห่อคุ้มสถานีเอาไว้ ทำให้เกิดเป็นอุโมงค์ที่ผู้คนสามารถมองเห็นสถานีรถไฟทั้งสองได้อย่างชัดเจนและในขณะเดียวกันแสงธรรมชาติที่ผ่านเข้ามาทำให้เราไม่รู้สึกอึดอัดแต่กลับรู้สึกโปร่ง โล่งสบายราวกับว่ายืนอยู่ภายนอกสถานีเลยหล่ะ หากเพื่อนๆมีเวลาก็ควรมาแวะถ่ายรูปที่นี่นะ Location: https://goo.gl/maps/eAjX1sDkNj7A6rpFA The Share Hotels Kiro Hiroshima The Share Hotels Kiro Hiroshima โรงแรมเปิดใหม่ ใจกลางเมืองฮิโรชิมะ มาในคอนเซปต์ที่ให้แขกมาใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน ตกแต่งแบบโมเดิร์นลอฟท์ ล็อบบี้ทางของโรงแรมจะมีโซนขายของใช้ที่คัดสรรมาจากทั่วญี่ปุ่น ถัดมาอีกฝั่งก็จะเป็น Coffee Stand ที่นำคาเฟ่ดีๆ มาเปิด Pop-up ผลัดเปลี่ยนไปทุกวัน ส่วนชั้นสองมีบาร์ชื่อ The POOLSide ซึ่งตอนเช้าใช้เป็นห้องบริการเบรคฟัสต์ ส่วนตอนค่ำจะกลายร่างเป็นบาร์สุดฮิป เสิร์ฟเครื่องดื่มรสชาติดีที่ ครีเอทจากผลไม้นานาชนิดให้จิบแกล้มกับเสียงเพลงเพราะๆ ราคาห้องพักแบบลอฟท์ (4 A) ขนาด 25 ตารางเมตร ตกคืนละประมาณ 5,256.04 บาท มี 2 เตียงเดี่ยว และ 2 ฟูกแบบญี่ปุ่นขนาดทวินไซส์ สามารถเข้าพักได้ 4 คน สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ Wi-Fi ฟรี ทีวีจอแบน ตู้เย็น ห้องน้ำส่วนตัว, อ่างอาบน้ำ มีบริการทำความสะอาดห้องทุกวัน มีเครื่องปรับอากาศ, เครื่องทำความร้อน แถมยังมีอาหารเช้าให้ด้วย คุ้มสุดๆ ที่ชอบอีกอย่างคือห้องที่นี่แยกเป็นสัดส่วนชัดเจนดีมาก รีวิวโรงแรมฉบับเต็มคลิ๊กที่นี่ การเดินทางเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญของการเติบโต เรารู้สึกโชคดีที่เราตัดสินใจมาสัมผัสกับเมืองที่เป็นที่นิยมน้อยกว่าเมืองหลักอื่นๆของญี่ปุ่นในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นการเดินทางที่ต่างไปของฮิโรชิมะ เราประทับใจกับการมูฟออนจากเมืองเหยื่อสงครามมาสู่เมืองที่สวยงามและน่าอยู่ ที่นี่มีพลังสร้างสรรค์บางอย่างที่ค่อยๆซึมผ่านผิวหัวใจของเรา ขอบคุณฮิโรชิมะที่ทำให้หัวใจของเราพองโต. . FB/IG @hoparound.co Website www.hoparound.co . #LetsHoparoundJapan #LetsHoparound #Travel #WestJapan #Japan #Kansai #Hiroshima # ฮิโรชิมะ # เที่ยวฮิโรชิมะ # ญี่ปุ่น # เที่ยวญี่ปุ่น # เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #JRWestpass #ฮิโรชิม่า #เมืองฮิโรชิม่า #รีวิวโรงแรมฮิโรชิม่า
- Joshua Tree National Park อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี ใน แคลิฟอร์เนีย
วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ออกไปสำรวจ Joshua Tree National Park อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี ที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ไม่ไกลกับปาล์มสปริงส์ เสน่ห์ของธรรมชาติที่นี่นั้นไม่ใช่ความชะอุ่มเขียว ทว่าเป็นภูมิทัศน์แห้งแล้ง แปลกตาไปด้วยผืนทะเลทรายที่แซมด้วยโขดหินรูปทรงประหลาด และดาวเด่นของที่นี่ก็คือต้นไม้หงิกๆงอๆที่ยืนกันเรียงรายจนให้ความรู้สึกเหมือนผลงาน Landscape ที่ออกแบบและจัดวางโดยศิลปินชั้นครูยังไงยังงั้นแหละ ต้นโจชัว (Joshua tree) อยู่ในพืชตระกูลยักค่า (Yucca) เป็นต้นไม้พื้นเมืองของทะเลทรายโมฮาวี (Mojave Desert) สามารถพบได้แค่ไม่กี่แห่งในแถบนี้ โดยงานวิจัยพบว่า ต้นโจชัวจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียงปีละ 2-3 นิ้วเท่านั้น และบางต้นอาจมีอายุได้นานถึง 300 ปีเลยหล่ะ Joshua Tree National Park อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี ใน แคลิฟอร์เนีย แห่งนี้เหมาะกับการแค้มปิ้ง การดูดาว ปีนเขา และการดูสัตว์ป่านานาชนิดอีกด้วย เช่น สุนัขจิ้งจอก นก เต่า กระต่ายป่า เป็นต้น จุดชมธรรมชาติที่ควรแวะเลยคือ Arch Rock, The Black Rock Canyon, Cottonwood Spring, Covington Flats, Keys View, Skull Rock เราแนะนำให้มาช่วงใกล้เย็นเพื่อที่จะได้ชมภาพแสงสุดท้ายของวันที่ชิคคูลมากๆเลยแหละ ค่าเข้า $30.00 หรือประมาณ 9XX บาท หรือใครจะซื้อเป็นรายปีก็ตกปีละ $80 หรือประมาณ 25XX บาท ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nps.gov/jotr/planyourvisit/fees.htm อย่างที่เคยย้ำกันเสมอๆนั่นแหละว่า ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกใบนี้ มีอะไรแปลกๆน่าสนใจให้ค้นหาเสมอ อย่าลืม #hop สำรวจกันให้ทั่ว เพราะว่าที่นี่คือ”โลกของเรา” นะครับ FB/IG: @hoparound.co Website: www.hoparound.co #LetsHoparoundUSA #LetsHoparound #Travel #USA #WestCoast #RoadTrip #America #JoshuaTreeNationalPark #JoshuaTree #NationalPark
- Yosemite National Park อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี
Yosemite National Park อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี อุทยานแห่งชาติอันโด่งดังของรัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกาแห่งนี้ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของผาหิน El Capitan ที่คนใช้ MacBook หรือ iMac จะคุ้นตากันดีบน Desktop แล้ว ที่นี่ยังมีเขาหินโค้งที่ชื่อว่า Half Dome ซึ่งเป็นที่มาของ Logo แบรนด์ Northface อีกด้วย แต่ทั้งหมดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับของจริงที่อลังการและโคตรตราตรึงใจ จากจุดชมวิว Tunnel View ตรงนี้เรายังสามารถเห็นน้ำตก Bridalveil Falls ที่ตกฟุ้งเป็นสายจากที่สูง สวยราวกับผ้าคลุมผมเจ้าสาว ที่นี่เป็นมรดกโลกที่อุดมสมบูรณ์อย่างมากเรายังเจอน้องหมีเดินเล่นเลย ต้นซีคัวยาเก่าแก่ขนาดมหึมารวมไปถึงทุ่งหญ้าเขียวขจี (ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ที่แซมด้วยดอกหญ้าหลากสีและมีสัตว์ป่ามาวิ่งเล่นก็เป็นอีกไฮไลท์ของที่นี่ Yosemite National Park อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียท่ามกลางหุบเขาสูงต่ำมากมายเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเซียร์รา (Sierra Nevada) ที่นี่เป็นมรดกโลกที่อุดมสมบูรณ์อย่างมากเรายังเจอน้องหมีเดินเล่นเลย ต้นซีคัวยาเก่าแก่ขนาดมหึมารวมไปถึงทุ่งหญ้าเขียวขจี (ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ที่แซมด้วยดอกหญ้าหลากสีและมีสัตว์ป่ามาวิ่งเล่นก็เป็นอีกไฮไลท์ของที่นี่ จนได้ขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1984 อีกด้วย โยเซมิตีเป็นที่รู้จักในชื่อของหน้าผา หินแกรนิต ยอดเขาโดมครึ่งซีก (Half dome) น้ำตกขนาดใหญ่หลายแห่งกระจายตัวอยู่รอบๆ ที่ตั้งของ Yosemite National Park ในรัฐแคลิฟอร์เนีย Tunnel View มุมยอดฮิต จุดที่ต้องแวะเลยก็คือ Tunnel View มุมยอดฮิตที่สามารถชมวิวของอุทยานได้แบบพาโนรามา เราจะได้เห็นภาพของป่าสีเขียวและน้ำตกที่ถูกขนาบสองข้างด้วยหุบเขาขนาดใหญ่
- Park Hyatt Bangkok ละเมียด-สงบ-สบายเหนือความวุ่นวายใจกลางเมือง โรงแรม พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ
รีวิว Park Hyatt Bangkok ละเมียด-สงบ-สบายเหนือความวุ่นวายใจ โรงแรมใจกลางเมือง พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ Park Hyatt คือแบรนด์โรงแรมระดับสูงสุดของเครือ Hyatt เปิดตัวครั้งแรกที่เมือง Chicago โดยมีวิวเป็นสวน Jane Byrn Park ที่อยู่ติดกัน จึงเป็นที่มาของชื่อและคอนเส็ปต์ที่ทุก Property ภายใต้แบรนด์ Park Hyatt นั้นจะต้องมีวิวเป็นความเขียวขจี ที่กรุงเทพฯก็เช่นกัน แม้จะอยู่ย่านเพลินจิตแต่ก็สามารถมองเห็นสวนลุมพินีที่อยู่ไม่ไกลได้อย่างชัดเจน วันนี้เราจะพาเพื่อนๆมา Staycation ที่ Park Hyatt Bangkok กันครับ Park Hyatt Bangkok นั้นโดดเด่นตั้งแต่รูปลักษณ์อาคารด้านนอกที่มีความ Iconic สูงมาก ฝั่งโรงแรมเป็น Tower สูง 27 ชั้นที่ไหลและบิดเกลียวลงมาเป็นเนื้อเดียวกันกับห้าง Central Embassy ซึ่งมีจำนวนชั้นน้อยกว่าจึงเป็นเหมือนฐานรองรับยอดแหลมของโรงแรม และเมื่อมองมุมบนแบบ Bird’s Eye View ลงมาก็จะเห็นตัวอาคารทั้งหมดเป็นสัญลักษณ์ Infinity หรือเลข 8 อันเป็นมงคลในคติจีน ผิวอาคารด้านนอกประดับด้วยแผ่นอลูมิเนียมที่ทอแสงสะท้อนแดดระยิบระยับสวยงามมากครับ เมื่อเดินเข้ามาด้านในโรงแรม เราก็รู้สึกได้ทันทีถึงความนิ่งเรียบและเนี้ยบหรูของงานดีไซน์สมัยใหม่ มีดีเทลเส้นโค้งที่ไหลไปตามลักษณะพื้นที่อย่างมีเจตจำนงค์ ผนังทั้งหมดถูกกรุด้วยงานไม้ซึ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นและเป็นหนึ่งเดียวกัน Park Hyatt Bangkok นั้นเลือกเผยความหรูหราด้วยวิธีที่มีชั้นเชิงไม่เอะอะ งานอาร์ทระดับโลกที่หายากหลายชิ้น (ส่วนใหญ่เป็นของสะสมของทางเจ้าของ) ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ภาพถ่าย ไปจนถึงงานประติมากรรม และ Installation ต่างๆนั้นถูกจัดแสดงไว้อย่างถูกที่ถูกทาง ซึ่งก็ยิ่งช่วยเพิ่มคุณค่าให้พื้นที่ “ดูแพง” และมีรสนิยมมากขึ้นไปอีกโดยเฉพาะในสายตาของแขกที่มีความสนใจในงานศิลปะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว องค์ประกอบความเป็นไทยที่มีการลดทอนรายละเอียดลงมาเพื่อความทันสมัยนั้นถูกสอดแทรกอยู่ในจุดต่างๆอย่างประณีตสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกันกับงานออกแบบภาพรวมของโรงแรม ที่นี่มีห้องพักถึง 222 ห้องและมีเลย์เอ้าท์แตกต่างกันถึง 57 แบบ เนื่องจากตัวอาคารมีลักษณะเฉพาะตัวจึงทำให้การออกแบบห้องต้องปรับไปตามสภาพพื้นที่ สิ่งที่ดีงามมากๆก็คือขนาดห้องพักที่เริ่มต้นก็กว้างถึง 48 ตร.ม.แล้วซึ่งถือว่าใหญ่มากสำหรับโรงแรมใจกลางเมืองเช่นนี้ครับ และห้องที่ใหญ่ที่สุด (Presidential Suite) นั้นก็มีขนาดถึง 381 ตร.ม.เลยทีเดียว Our Room ห้องของเราในคืนนี้เป็นห้องระดับเริ่มต้นซึ่งก็ดีเกินพอสำหรับการค้าง 1 คืนของเราแล้วครับ เปิดเข้ามาปุ๊บก็จะเจอ Foyer ซึ่งเป็นโซนมินิบาร์ไปในตัวด้วยจากจุดนี้หากไปทางซ้ายก็จะเป็นห้องนอน โต๊ะทำงาน ห้องแต่งตัวและเก็บสัมภาระ หากไปทางขวาก็จะเป็นห้องน้ำที่มีทั้งอ่างอาบน้ำและชาวเว่อร์ ที่เราประทับใจก็คือ Amenities กลิ่นหอมฟุ้งโดย Le Labo ส่วนวิวจากห้องนอนก็จะเป็นวิวเมืองแบบเต็มๆจากแยกเพลินจิตเลยครับ มองเห็นทั้งรถไฟฟ้า การจราจรบนท้องถนน ไปจนถึงแนวตึกระฟ้าที่อยู่ไกลออกไป นอกจากความกว้างขวางแล้ว คุณภาพห้องพักและการตกแต่งก็ได้ใจเราเช่นกันครับ ทุกอย่างจัดวางเป็นสัดส่วนดีมาก การที่ห้องแต่งตัวไม่อยู่ติดกับห้องน้ำอาจจะทำให้โฟลว์สะดุดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เตียงและหมอนนุ่มนอนสบายไม่ปวดหลัง โต๊ะทำงานกว้างมาก เราชอบที่สวิทช์ไฟทุกจุดนั้นมีการระบุไว้ครบว่าเป็นสวิทช์ของอะไร ห้องน้ำก็ถูกใจมากครับ Shower สบายจนไม่อยากอาบเสร็จ และรูปสลักหินลายดอกไม้ที่ผนังห้องน้ำนั้นก็เป็นรายละเอียดที่ช่วยเพิ่มความโดดเด่นหรูหราให้กับห้องพักได้มากเลยครับ Breakfast เช้าแล้วเปิดม่านมาพบกับวิวเมืองด้านนอกที่กำลังจะวุ่นวายในอีกไม่ช้า เราไปดูกันซักหน่อยว่า Breakfast ที่นี่เป็นยังไงบ้าง มื้อเช้าของที่นี่จะเสิร์ฟกันที่ Living Room ที่โปร่งสบายด้วยเพดานสูงและแสงธรรมชาติจากทั้ง 2 ฝั่ง เมนูจะมีทั้งแบบ A La Carte ที่สามารถสั่งเพิ่มได้เรื่อยๆ และแบบ Buffet ให้ตักได้เองโดยมีอาหารให้เลือกหลายสัญชาติเลยครับ ตัวเลือก Vegan หรือ Gluten-Free ก็มีให้ครบเช่นกัน เราชอบน้ำผลไม้สกัดเย็นและสมูธตี้มากครับ สั่งเบิ้ลมาหลายแก้วเลย Pool สิ่งหนึ่งที่ Park Hyatt Bangkok แตกต่างจาก Park Hyatt แห่งอื่นๆในโลกก็คือสระน้ำครับ เราเองก็แปลกใจที่ได้รู้ว่าที่นี่เป็น Property เดียวในโลกของแบรนด์ Park Hyatt ที่มีสระกลางแจ้ง ขนาดอาจจะไม่ใหญ่มากแต่ก็เพียงพอที่จะให้บริการกับแขก ช่วงที่เราเข้าพักนั้นก็มี Occupancy เกือบ 100% แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใดๆเลย เราชอบเตียงอาบแดดที่เรียงเป็นขั้นบันไดเป็นพิเศษครับ เพราะรู้สึกเป็นส่วนตัวกว่าแบบที่วางอยู่ในระดับเดียวกัน PAÑPURI ORGANIC SPA สปาของ Park Hyatt Bangkok นั้นให้บริการร่วมกับปัญญ์ปุริ แบรนด์สปาอันดับต้นๆของไทยและสิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือแขกของโรงแรมสามารถเข้ามาใช้บริการห้องสตีม และแช่บ่อน้ำร้อนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ วันนี้เราก็เลยถือโอกาสแช่น้ำร้อนกันจนสบายตัวเลย ส่วนห้องชาวเวอร์ของที่นี่สามารถเลือกอุณหภูมิได้ตั้งแต่อุ่นไปจนถึงเย็นจัดซึ่งมาพร้อมกับกลิ่นตะไคร้หอมๆด้วย เป็นยังไงกันบ้างครับกับ Staycation ของเราที่ Park Hyatt Bangkok ในครั้งนี้ เพื่อนๆรู้สึกละเมียด-สงบ-สบายเหมือนเราไหมครับ หลังจากเช็คเอ้าท์แล้วเราขอเพิ่มคำว่า “สะดวก” เข้าไปอีก 1 คำ เพราะเดินลงมาปุ๊บก็ช็อปปิ้งต่อที่ Central Embassy ได้เลย :-)
- The Surin Phuket สวรรค์สีครามกับตำนานแห่งดีไซน์
The Surin Phuket สวรรค์สีครามกับตำนานแห่งดีไซน์ ย้อนเวลากลับไป 39 ปีก่อน ในปี 1982 สมัยที่ภูเก็ตเป็นเกาะงามสะพรั่งไปด้วยธรรมชาติที่ยังดิบ มีไฟฟ้าให้ใช้วันละไม่กี่ชั่วโมง และรายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยก็เพียงวันละประมาณ 50 บาทเท่านั้น คงจะต้องใช้วิสัยทัศน์และความบ้าบิ่นพอตัวหากจะคิดสร้างที่พักระดับ Hi End ขึ้นท่ามกลางสภาพสังคมที่ไม่เอื้อเอาเสียเลย แต่แล้วก็มีรีสอร์ทหรูแห่งหนึ่งเกิดขึ้นบนหาดพันทรี (อ่านว่า “พัน-ซี”) ที่ทั้งสวยพิสุทธิ์และเป็นส่วนตัวมากๆ นับเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่ช่วยจุดประกายวงการ Luxury Resort ของไทยให้ได้แจ้งเกิดอย่างเป็นรูปธรรม จวบจนวันนี้แม้จะผ่านความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง รีสอร์ทหรูผู้มาก่อนกาลแห่งนั้นก็ยังคงให้การต้อนรับแขกเหรื่อทั่วโลกอย่างสง่างามภายใต้หลังคา 6 เหลี่ยมที่ดีไซน์โดยคุณ Ed Tuttle ปรมาจารย์สถาปนิกระดับโลกผู้เพิ่งล่วงลับไปเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ที่นี่เป็น 1 ใน 7 โรงแรมในไทยที่ได้ขึ้นทำเนียบ " Design Hotels " และเป็นพี่ใหญ่ที่อายุมากที่สุดในลิสต์ เรียกได้ว่าเป็น OG แห่งวงการโรงแรมดีไซน์ไทยโดยแท้ เราขอชวนเพื่อนๆชาว #Hopsters ไปยลโฉมเพชรเม็ดงามในตำนานที่คนไทยส่วนใหญ่แทบไม่รู้จักด้วยซ้ำเพราะที่ผ่านมาแขกเกือบ 100% ล้วนเป็นชาวต่างชาติ ที่นี่คือ The Surin Phuket ครับ ดีลพิเศษสำหรับเพื่อนๆชาว #Hopster คลิ๊กที่นี่! #HoparoundDeal Exclusive for Hoparound.co Fans Click here ! The Arrival เพียงครึ่งชั่วโมงนิดๆจากสนามบิน รถ Shuttle ของโรงแรมก็พาเรามาส่งยังทางเข้า Lobby คุณ Franck Chantoiseau ผู้จัดการรีสอร์ทได้ให้เกียรติพาทีมงานมารอต้อนรับเราตั้งแต่ลงจากรถ ยังไม่ทันตั้งตัวใดๆ ทันทีที่เดินเข้าไปยัง Lobby สายตาของเราก็ถูกจู่โจมแบบเฉียบพลันด้วยวิวทะเลสีครามที่ "งดงามเต็มตา" จนเผลอนึกถึงทะเล Caribbean หรือ Maldives ไปเลย เอาเข้าจริงๆเราก็ไม่อยากจะไปเปรียบเทียบกับที่อื่น เพราะหาดที่นี่นั้นทรงเสน่ห์ในแบบตัวเองไม่แพ้ที่ไหนเลย หาดพันทรีแห่งนี้เป็นหนึ่งใน Hidden Gem ของภูเก็ต ที่นอกจากจะมีหาดขาวสะอาด น้ำใส ไล่เฉดสีเขียว-ฟ้า-น้ำเงินแล้ว หาดแห่งนี้ยังเป็นส่วนตัวอย่างมาก เพราะมีเพียงแขกของ The Surin และ Amanpuri เท่านั้น วิวสุดแกรนด์ทำให้ความงัวเงียจากการเดินทางไกลในช่วงเช้านั้นมลายหายไป ยิ่งได้ผ้าเย็นกลิ่นมะลิที่พนักงานนำมาให้พร้อมกับพวงมาลัยและ Welcome Drink เย็นๆก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นในบัดดล เราตื่นเต้นและดีใจที่จะได้เรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “บ้าน” เป็นเวลา 3 วัน 2 คืนนับจากนี้ไป ได้เวลาไปห้องพักกันแล้วครับ พนักงานต้อนรับพาเราเดินผ่านความเขียวชอุ่มของทิวมะพร้าวและแมกไม้นานาพันธ์ุบนทางเดินที่บางจังหวะก็แปลงร่างเป็นสะพานขึ้นๆลงๆลัดเลาะไปตามความชันของเนินเขา Cottage ห้องพักสีเทาหลายหลังที่อยู่ลดหลั่นกันนั้นแซมขึ้นมาเป็นระยะรักษาจังหวะระหว่างกันได้อย่างพอดิบพอดี สวยงามดุจภาพถ่ายจากนิตยสารท่องเที่ยวหัวอินเตอร์เลยทีเดียว พนักงานเล่าให้ฟังว่าปกติแล้วแขกของ The Surin Phuket นั้นจะเป็นต่างชาติเกือบทั้งหมด และมีอัตราการกลับมาใช้บริการสูงถึง 40-60% ในแต่ละเดือนตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีที่รีสอร์ทเปิดให้บริการมา และพนักงานหลายท่านก็อยู่มาตั้งแต่รีสอร์ทเปิดใหม่ๆ ตอกย้ำถึงความเป็น "ตัวจริง" ของการรักษาความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมแบบ 360 ํ ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน Our Room : Two-Bedroom Family Cottage ห้องพักของเราเป็น Cottage 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 68 ตร.ม. พร้อมระเบียงและเตียงอาบแดดส่วนตัว สามารถรองรับคนได้ถึง 4 คน แต่เรามากันแค่ 2 คนจึงมีพื้นที่เหลือเฟือสบายมากครับ ที่ The Surin Phuket มี Cottage ทั้งสิ้น 103 หลัง มีหลายวิว หลายขนาดตั้งแต่ 46-90 ตร.ม. และกำลังสร้าง Pool Villa เพิ่มอีก เข้ามาในห้องปุ๊บก็รู้สึกถึง Signature ของคุณ Ed Tuttle ได้ทันที ภายในห้องคุมโทนสีขาว-เทา-น้ำตาลสะอาดตา เรียบง่ายแต่ก็เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังที่สั่งสมผ่านกาลเวลา ซึ่งหาได้ยากในโรงแรมสมัยใหม่ กลิ่นตะไคร้และการบูรที่หอมสดชื่นจากเตาน้ำมันหอมระเหยนั้น นอกจากจะช่วยให้เราผ่อนคลายสบายอารมณ์แล้ว ยังช่วยไล่ยุงได้ดีอีกด้วย เราประทับใจมุมโต๊ะทำงานที่ล้อมด้วยหน้าต่าง สามารถเปิดรับลมและเทควิวธรรมชาติได้ดั่งใจ เรียกได้ว่าเป็นโต๊ะทำงานในฝันเลยแหละ ในอีกห้องนอนก็มีมุมนั่งเล่นริมหน้าต่างเช่นกัน เป็น Window Nook ที่ควรค่าแก่การนั่งๆนอนๆอ่านหนังสือ เล่นมือถือ ฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อยมากๆ แสงธรรมชาติที่แทรกตัวผ่านกิ่งก้านของต้นไม้รอบๆเข้ามาในห้องนั้นทำให้ Space ดูโปร่งและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน ห้องน้ำของที่นี่ก็สวยงามและสะดวกสบาย แม้ไม่มีอ่างอาบน้ำ และไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่า แต่เรากลับหลงเสน่ห์ใน "ความพอดี" และงานดีไซน์ที่เป็น Human Scale ซึ่งแฝงไปด้วยอารมณ์ Nostalgia ทำให้รู้สึกทั้งคุ้นเคยและผ่อนคลาย เราซิงค์กับพลังงาน "ความน่าอยู่" ของสถานที่นี้ได้เป็นอย่างดี ความลักชัวรี่บางทีก็ไม่ได้หมายถึงความเว่อร์วังมลังเมลือง แต่หมายถึงความเรียบง่ายสบายใจในปัจจุบันขณะ แบบเดียวกับที่เรากำลังรู้สึกเมื่อได้อยู่ในที่แห่งนี้ Late Lunch By The Pool อยู่ในห้องจนเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ท้องร้องซะแล้ว เราแวะมากินมื้อกลางวันกันที่ Poolside Dining ที่เสิร์ฟทั้งอาหารไทยและนานาชาติริมสระน้ำใกล้หาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศหรืออะไรที่ทำให้เราอยากกินผัดไทราวกับเป็น Tourist ฮ่าๆๆๆ แต่รสชาติที่คุ้นเคยก็ Satisfying มากๆครับ อีกเมนูที่สั่งเป็น The Surin Phuket Cheese Burger ที่ไส้ในเป็นชีสเยิ้มๆและ Australian Wagyu Beef Patty ฉ่ำๆเลย เสิร์ฟพร้อม Potato Wedges จิ้ม Mayo และ Ketchup อิ่มอร่อยกันไปอีกหนึ่งมื้อ Swimming Pool สระ 6 เหลี่ยมสีเข้มขนาดใหญ่ที่ล้อกันไปกับรูปทรง 6 เหลี่ยมของหลังคานั้นเป็นผลงานที่มีรสนิยมอันโดดเด่นโดยไม่จำเป็นต้องเอะอะของคุณ Ed Tuttle และเป็นอีกหนึ่งภาพจำของ The Surin Phuket เราคิดว่าการเลือกกระเบื้องสีเข้มจนเกือบดำมาใช้กับสระน้ำนั้นน่าสนใจมากครับ แน่นอนว่าสีเข้มนั้นให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา ไม่เหมือนใคร ซึ่งช่วยเสริมความ Exclusive ของรีสอร์ทได้เป็นอย่างดี ประโยชน์อีกหนึ่งอย่างของกระเบื้องสระสีเข้มนั้นก็คือช่วยสะท้อนเงาต้นมะพร้าวและท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน ทำให้ถ่ายรูปสวยอีกด้วย งานภาพต้องเข้าแล้วครับ ส่วนสระเด็กนั้นมีแยกออกไปต่างหาก เราแอบรู้สึกถึงความขี้เล่นนิดๆของผู้ออกแบบเพราะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่รับกับพื้นที่ที่เป็นมุมตรงนั้นพอดี สระว่ายน้ำเปิดให้แขกลงไปเล่นได้ทั้งวันตั้งแต่ 07:00 - 19:00 น. นะครับ สำรวจโรงแรม พื้นที่บนเนินเขาที่กว้างใหญ่ของ The Surin Phuket นั้น ทำให้เรามีที่ให้เดินเล่นสำรวจเต็มไปหมด แค่เพียงเดินตามทางเดินที่นำไปสู่ Cottage ทั้ง 103 หลังให้ครบก็ถือว่าได้ออกกำลังกายเซ็ตใหญ่แล้ว แถมยังจะได้เจอมุมถ่ายรูปนับไม่ถ้วนเลยครับ งานสถาปัตยกรรมซึ่งดูแลโดยคุณ Ed Tuttle ที่โดดเด่นก็ยิ่งเสริมเสน่ห์ให้กับธรรมชาติที่สวยอยู่แล้วให้ยิ่งน่าสนใจขึ้นทวีคูณ นอกจากที่พักแล้ว The Surin Phuket ยังมี Facilities อื่นๆที่ครบครันมากครับ ทั้งร้านอาหาร ห้องสมุด ฟิตเนส ไปจนถึงสปา เดี๋ยวเราค่อยๆพาไปดูทีละจุดนะครับ Library ห้องสมุดหนึ่งเดียวในรีสอร์ท เป็นอีกหนึ่งมุมสงบๆ ที่เราชอบแวะมานั่งทำงานระหว่าง 3 วัน 2 คืนที่เราอยู่ที่นี่ เราชอบงานอินทีเรียร์ของที่นี่มาก งานไม้โทนแดงอมส้ม (เราเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นตระกูลไม้ประดู่ เพราะเนื้อไม้ออกโทนส้มและเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดภูเก็ตพอดี) ให้ความรู้สึกทั้งอบอุ่นและรุ่มรวยไปพร้อมๆกับราวกับได้มานั่งทำงานในบ้านเพื่อนที่เป็นผู้ดีเก่า ฮ่าๆๆ หนังสือที่คัดมาก็จะเป็นหนังสือประเภทประวัติศาสตร์ ศาสนา งานดีไซน์ต่างๆเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีโต๊ะพูลให้เล่นกันอีกด้วย อ้อ! ลืมบอกไปว่าทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของห้อง เราก็เห็นวิวทะเลแสนงามแบบ Panorama กันเต็มตาเลย GYM เพื่อนๆคนไหนสาย Active ที่ The Surin Phuket นั้นก็มีห้องฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ครบครันมากครับ โบนัสที่ได้คือวิวทะเลสีคราม วิ่งบน Treadmill ไปก็รับพลังธรรมชาติไปด้วย แหม... ชีวิตไม่ได้แย่เลยเนอะ Beach Suite หากการเข้าพักใน Cottage กลางป่ามะพร้าว ยังส่งพลังทะเลให้เราไม่หนำใจ เราขอแนะนำ Beach Suite ที่อยู่บนหาดเลย เดินออกจากห้องปุ๊บก็ลงทะเลได้ทันที ตอนกลางวันถ้ารับพลังแสงอาทิตย์พอแล้ว จะเปิดแอร์ฉ่ำๆแล้วนั่งชมวิวจากในห้องผ่านหน้าต่างบานกระจกที่เรียงกันเป็นแถบก็รื่นรมย์สมใจนึกมากๆครับ ยามค่ำคืนจะนอนแช่อ่างอาบน้ำฟังเสียงคลื่นกล่อมใกล้ๆหูก็ดีงามไม่แพ้กัน Beach Suites ของ The Surin Phuket มี 2 ขนาดคือ 65 ตร.ม. (แบบในรูป) และแบบ Deluxe ขนาด 90 ตร.ม. กว้างขวางสะใจมากๆ ใครสนใจห้อง Type นี้ แนะนำให้จองล่วงหน้านิดนึงครับ เพราะมีรวมกันแค่เพียง 16 หลังเท่านั้น Dinner at SUAY มื้อค่ำวันนี้เราขอออกนอกโรงแรมไปลองอาหารไทย Fusion กันที่ร้าน Suay ตามคำแนะนำของพนักงานนะครับ ร้านนี้อยู่ห่างจากโรงแรมไปเพียง 15 นาที ปกติแล้วเราไม่ค่อยอินกับอาหาร Fusion เท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าอาหารที่นี่นั้นรสชาติดีเกินคาด เมนูที่เรารู้สึกชอบเป็นพิเศษก็คือเมนู Papardelle ในซอสมัสมั่นแก้มวัวที่นุ่มละลายในปาก เมนูอื่นๆก็อร่อยเช่นกัน แต่ของคาวจะโดดเด่นกว่าของหวานนะครับ Turn Down อิ่มแปล้แล้ว เราก็กลับมาที่ห้องพักและก็ได้พบกับผลไม้สดที่จัดเตรียมมาให้เฉพาะเรา Hoparound.co และเตียงที่ถูก Turn Down เรียบร้อยแล้ว คืนนี้เสียงคลื่นจะขับกล่อมเราให้หลับฝันดีครับ Breakfast มื้อเช้าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการมาพักรีสอร์ท 5 ดาว และ The Surin Phuket ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังทั้งในเรื่องคุณภาพและความหลากหลาย โดยมีให้บริการทั้งไลน์ Buffet และ A La Carte ที่สั่งเพิ่มได้เรื่อยๆ รายการอาหารมีทั้งเมนูท้องที่ อาหารเอเชี่ยน ไปจนถึงอาหารเช้าอินเตอร์ทั้งแบบจัดหนักและแบบเบาๆสำหรับคนรักสุขภาพ มีทั้งคาวและหวาน ใน 2 วันที่เราพักที่นี่ เราพยายามสั่งให้ครบทุกอย่างเพื่อที่จะถ่ายรูปมาให้เพื่อนๆดู (จริงๆไม่ใช่คนกินเยอะขนาดนี้นะฮะ 555) แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะอาหารเช้าที่นี่หลากหลายจริงๆครับ Boutique แว่บมาชมร้านขายของที่ระลึกกันซักหน่อย ในร้านที่ตกแต่งด้วยไม้สีส้มเข้มนี้มีทั้งสินค้าติดแบรนด์ The Surin Phuket ตั้งแต่หมวก กระเป๋า แก้วน้ำ และกลุ่ม Body Care ต่างๆ ไปจนถึงสินค้าอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า งานฝีมือ เครื่องประดับที่ทาง The Surin Phuket คัดสรรมาให้แขกได้เลือกช้อป ยังไงก็ลองมาแวะมาดูของติดไม้ติดมือกลับบ้านกันได้นะครับ The Surin Phuket Spa อีกสิ่งที่สร้างชื่อให้กับ The Surin Phuket ก็คือสปาครับ เรานั่งรถ Buggy ของรีสอร์ทขึ้นไปยังจุดสูงสุดของเนินเขา ที่สามารถมองเห็นเมืองอีกฝั่งหนึ่งได้ชัดเจนเลย เพื่อมาแวะนวดผ่อนคลายที่สปาของรีสอร์ท ที่นี่ตกแต่งเรียบง่าย ทว่างดงามด้วยผนังและประตูลายตารางที่มีกระจกรอบอาคารทำให้ดูโปร่งสบาย ยังคงคุมโทนด้วยสีเทา ขาว และน้ำตาล Scheme สีที่เป็นเอกลักษณ์ของ The Surin Phuket เราสองคนเลือกนวดกันคนละแบบ คนนึงนวดไทย และอีกคนนวดรีดกล้ามเนื้อมัดลึกแบบ Deep Tissue ยอมรับว่า Therapists ที่นี่น้ำหนักมือและมีจังหวะการนวดดีมากๆครับ การลงน้ำหนักแล้วค่อยๆปล่อยทำให้เรารับรู้ถึงความใส่ใจของ Therapist ที่อยากให้เราสบายขั้นสุดจริงๆ เป็นเวลา 90 นาที ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว Beach Activities หาดพันทรีนั้นเป็นดั่งอัญมณีเม็ดงามที่ถูกเก็บเป็นความลับของเกาะภูเก็ต ทุกองค์ประกอบนั้นเรียกได้ว่าเป็นหาดที่ Perfect หมดจด นอกจากจะมีความเป็นส่วนตัวสุดๆแล้ว ชายหาดก็ขาวสะอาด ทรายละเอียดเดินนุ่มเท้า มีโขดหินฟอร์มสวยตรงริมซ้าย-ขวาหาดที่ถ่ายรูปสวยแต่ไม่เป็นอุปสรรค์ต่อการลงเล่นน้ำ น้ำทะเลก็ใสและสีสวยดุจมรกตจากโคลัมเบีย (พนักงานแนะนำว่าช่วงที่ทะเลสวยที่สุดจะอยู่ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ คือสวยกว่าในรูปไปอีกกกก...) อุณหภูมิของน้ำนั้นเย็นสบายพอดีๆทำให้ไม่รู้สึกถึงความร้อนของแดดมากเกินไป น้ำทะเลมีทั้งจังหวะนิ่งซึ่งเหมาะกับการพายเรือและบอร์ด และช่วงที่มีคลื่นซึ่งเหมาะกับการเล่น Body Surf แน่นอนว่าทาง The Surin Phuket นั้นมีอุปกรณ์ทั้งหมดพร้อมผู้ดูแลเตรียมไว้คอยให้บริการอย่างครบครันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม หากใครไม่สันทัดการออกกำลัง อยากจะนอนอาบแดด จิบเครื่องดื่มเย็นๆสวยๆก็ทำได้เช่นกัน Beach Bar ของทางรีสอร์ทนั้นมีเมนูเครื่องดื่มไว้ตอบสนองทุกความต้องการครับ สรุปความประทับใจ The Surin เป็นรีสอร์ทที่เราหมายมั่นจะมาพักมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูเก็ตและเราก็ไม่ผิดหวังเลยครับ ที่นี่มีพลังงานบวกบางอย่างที่หรูหราทว่าผ่อนคลาย ทำให้เราสบายใจและรู้สึกว่ากำลังได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะอยากแค่มาพักผ่อน มาหามุมสงบนั่งคิดงาน มาสนุกกับกิจกรรมทางน้ำ หรือมาฉลองโอกาสพิเศษกับคนรู้ใจ ที่นี่ตอบทุกโจทย์เลยครับ สำหรับเราแล้ว The Surin นั้นโชคดีมากๆในเรื่องโลเคชั่นที่มีหาดส่วนตัวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย และที่ได้ Ed Tuttle สถาปนิกอัจริยะระดับโลก มาช่วยควบคุมงานออกแบบสถาปัตยกรรมอันเปี่ยมด้วยรสนิยม แต่สิ่งที่เป็นฝีมือของทีมบริหารล้วนๆก็คือการบริการที่กลมกล่อมพอดีระหว่างความเป็นกันเองและความเป็นมืออาชีพ ไปจนถึงการรักษาความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทั้งลูกค้าและทีมงาน ยืนยันด้วยอัตราการกลับมาพักของแขกถึง 40-60% ในทุกๆเดือน สั้นๆก็คือ หากคุณได้มาลองสัมผัส ก็อาจจะทำให้เข้าใจวลี "Heaven On Earth" ได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ #LetsHoparound Exclusive deal with The Surin Phuket ดีลพิเศษที่เดอะสุรินทร์ภูเก็ต เฉพาะ Hoparound.co 🏝 ดีลพิเศษกับตำนานดีไซน์รีสอร์ทหรูแห่งภูเก็ต เดอะ สุรินทร์ ภูเก็ต เริ่มต้นคืนละ THB 7,800++ เพียงแจ้งโค้ด 'Hop Around' เมื่อสำรองห้องพัก* สามารถจองภายในวันที่ 30 กันยายน 2567 และเข้าพักได้ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2567 เท่านั้น สิทธิพิเศษ: 1. ห้องพักเรทพิเศษ เริ่มต้นคืนละ 7,800++ บาท 2. อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน 2. เซ็ตดินเนอร์ 1 มื้อ สำหรับ 2 ท่าน (Degustation Set ที่ Beach Restaurant ไม่รวมเครื่องดื่ม) 3. ส่วนลด 10% สำหรับเครื่องดื่มผสมแoลกอฮอล์ 4. ส่วนลดสปา 10% 5. บริการอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทางน้ำ (สำหรับเครื่องเล่นชนิดที่ไม่มีเครื่องยนต์) สำรองห้องพัก: 💬 m.me/thesurinphuket (แจ้งโค้ด Hop Around) ☎️ +66 (0) 76 316 400 (แจ้งโค้ด Hop Around) 📧 hotel@thesurinphuket.com (แจ้งโค้ด Hop Around) 📱 LINE Official Account คลิก https://lin.ee/QIlUPWM (แจ้งโค้ด Hop Around) The Surin Phuket Pansea Beach, 118 Moo 3, Choengtalay, Thalang, Phuket 83110 Thailand Tel: +66 (0) 76 316 400 Fax: +66 (0) 76 621 590 E-mail: hotel@thesurinphuket.com Website: www.thesurinphuket.com #TheSurinPhuket #Phuket #LuxuryBeachResort #LetsHoparound #รีวิวโรงแรม #รีวิวรีสอร์ท #เดอะสุรินทร์ภูเก็ต #ภูเก็ต #BestHotelsInPhuket #IAmaTraveler #PlacestoStay #LuxuryResort
- Los Angeles (L.A) 6 ย่านเด็ดในลอสแอนเจลิส
Los Angeles ลอสแอนเจลิส กรุงเทพฯ แห่งอเมริกา Los Angeles เมืองแห่งเทวดาตามคำแปลของชื่อก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วันนี้เราไม่ได้มารีวิวการฉีดวัคซีนนะ แต่อยากมาแนะนำจุดเช็คอิน ย่านที่น่าเดินเที่ยวใน LA กันสั้นๆ เผื่อใครมีแพลนไปเที่ยวอเมริกา ก็อย่าลืมแวะแอลเอหล่ะ ต้องบอกว่าที่จริงแล้ว LA เป็นเมืองใหญ่มากๆ (ตอน Landing มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของแสงไฟด้านล่างเลย) และมีที่ให้สำรวจกันแบบไม่รู้จบ ควรต้องมีรถยนต์จึงจะสะดวกเพราะระบบขนส่งสาธารณะนั้นไม่ครอบคลุมทั่วถึง วันนี้เราจึงเลือกเพียง 6 ย่านที่เราชอบ เผื่อใครกำลังวางแผนทริปอยู่จะได้โน้ตเพิ่มเติมเอาไว้ ส่วนคนที่ยังไม่มีทริป เราก็ไปทิพย์ด้วยกันก่อนก็แล้วกันน้าาา 1. Downtown LA บอกก่อนเลยว่าบรรยากาศย่านกลางเมืองของ LA นั้น อาจไม่ได้เอื้อให้เรารู้สึกปลอดภัยมากนัก เราแอบเสียดายอาคารเก่าดีไซน์สวยเป็นเอกลักษณ์ที่เรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด แต่กลับไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าที่ควร และในบางโซนอาจจะมีคนไร้บ้านเยอะหน่อย อย่างไรก็ตาม Downtown ก็มีสถานที่น่าสนใจซ่อนอยู่มากมายแทบทุกหัวถนน ไปดูกันเลย! เริ่มต้นกันที่ The Broad พิพิธภัณฑ์ Modern Art ที่แค่ Facade ก็ปังแล้ว ตั้งอยู่บนถนน South Grand Avenue ที่นี่มีทั้งงานวาดเขียน งานประติมากรรม และงาน Installation จากศิลปินสุดล้ำระดับโลกจากหลายยุคสมัย แนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าจากเวปของ The Broad ได้โดยตรงเลยครับ ที่อยู่ติดกันก็คือ Walt Disney Concert Hall อาคารฟอร์มแปลกตาล้ำสมัย ดูก็พอจะรู้ว่าเป็นผลงานการออกแบบของคุณ Frank Gehry แค่เห็นด้านนอกก็ปลุกเร้าจินตนาการได้ไม่รู้จบแล้ว เราเดินกันต่อฝั่งตรงข้ามเป็น MOCA Museum of Contemporary Art, Los Angeles ที่นี่เป็นอีกหนึ่งอาร์ตมิวเซียมสามารถจองตั๋วเข้าชมและเช็คตารางงานที่จะโชว์ได้ที่ https://www.moca.org/ และอย่าลืมแวะช้อปปิ้งกันที่ MOCA Store ด้านหน้าด้วยนะ บอกเลยว่าใครรักข้าวของเครื่องใช้ที่มีดีไซน์มีฟังก์ชั่นดีๆ แนะนำให้แวะเลยครับ!! ระหว่างทางเดินก็มีตึกระฟ้ากระจุกตัวกันพอประมาณ และฝนตก หมอกก็ลงอีก ดูเท่ไปอีกแบบ จากนั้นเราก็เดินไปขึ้นรถรางโบราณ Angels Flight Railway ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1901 จึงมีรูปลักษณ์ที่ขลังไม่เหมือนใคร และค่าบริการก็ถูกมาก (เที่ยวละ USD 1 เท่านั้นเอง) ลงจากรถรางแล้ว ก็แวะหาของอร่อยๆรองท้องที่ตลาด Grand Central Market ซักหน่อย เราชอบบรรยากาศของตลาดแห่งนี้มาก โดยเฉพาะป้ายนีออนหลากสีที่แข่งกันเด่น แต่กลับไม่รกตา ที่นี่มีอาหารให้เลือกเยอะมากหลายสัญชาติเลย รวมถึงอาหารไทยด้วย กินเสร็จแล้วก็ไปจิบกาแฟกันต่อที่ร้าน Blue Bottle เจ้าดังจาก San Francisco ไม่ว่าจะสาขาไหนก็คนเข้าคิวตลอด เพราะกาแฟเค้าดีจริง! ความพิเศษของสาขานี้อยู่ที่ทำเลที่ตั้งอยู่ในอาคาร Bradbury Building อายุเกือบ 130 ปี ซึ่งเคยเป็นฉากในหนังฮอลลีวู้ดชื่อดังมากมาย อาคารสไตล์ Victorian ที่สวยงามแห่งนี้เป็น Landmark ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของ LA และเป็นหนึ่งในอาคารพาณิชย์ที่เก่าแก่ที่สุดในย่าน Downtown ด้วย เดินต่อมาไม่น่าจะเกิน 5 นาทีเราก็จะพบกับร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในรัฐ California ที่ชื่อว่า The Last Bookstore คุณ Josh Spencer เจ้าของร้านได้เลือกชื่อนี้เพื่อประชดประชันกระแสสังคมที่ว่าร้านหนังสือกำลังจะตาย ที่นี่มีหนังสือทั้งเก่าใหม่รวมกันอยู่กว่า 500,000 เล่ม รวมถึงแผ่นเสียง ของสะสม ของที่ระลึกมากมาย และมีกิจกรรมสำหรับนักเขียนนักอ่านตลอดปี นอกจากร้านจะใหญ่และหนังสือเยอะแล้ว การตกแต่งภายในร้านยังน่าตื่นตาตื่นใจมากๆด้วย เราชอบชั้นลอยเป็นพิเศษเพราะเป็นจุดที่มีผู้คนมายืนล้อมตลอดแนวระเบียงเพื่อสเก็ตช์บรรยากาศร้านที่อยู่เบื้องล่าง กลายเป็นภาพที่แปลกตาแต่ก็ Inspiring มากๆ ได้เวลา Shopping แล้วล่ะ บนถนน South Broadway นั้นเรียงรายไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco มีร้านค้าเก๋ๆอยู่มากมาย ร้าน COS สาขานี้ตั้งอยู่ในอาคาร Oympic Theatre ที่สวยกริบ โดยทาง COS STORE ได้ทำการรีโนเวทจากโรงละครโอลิมปิคเก่า ที่ตั้งอยู่บนถนนในดาวน์ทาวน์แอลเอพื้นที่ใหญ่กว่า 600 ตรม. เราเดินผ่าน Urban Outfitters และแวะดูร้าน MYKITA แบรนด์แว่นตาสุดเท่ของเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน จากนั้นก็เดินต่อจนถึงแยกที่ตัดกับถนน W 9th Street ก็พบกับ Shop ของ Acne Studios ที่ใหญ่และเก๋มาก (พื้นที่เกือบ 500 ตร.ม.แน่ะ) สาขานี้มีคาเฟ่ ILCAFFE ร้านโปรดของ Jonny Johansson จาก Stockholm ด้วย หัวมุมถนนฝั่งตรงข้ามก็เป็นร้าน Aesop ที่ตกแต่งด้วยวัสดุรีไซเคิลแสนดิบเท่ ถัดไปอีกก็คือร้าน A.P.C . แบรนด์แฟชั่นมินิมอลชื่อดังจากปารีส ร้านค่อนข้างใหญ่ และดูเหมือนว่าจะมีแค่เราเท่านั้น ได้ช็อปปิ้งแบบไพรเวทมาก ฮ่าๆ ละแวกนี้มีอะไรดีๆซ่อนอยู่เยอะเลย ลองไปสำรวจกันดูน้าา 2. Melrose Avenue ใครยังไม่จุใจกับการช้อปก็มาต่อกันแบบยาวววววววๆ (เกินกิโล) ที่ Melrose Avenue ได้เลย ถนนเส้นนี้ถูกขนาบ 2 ฝั่งด้วยอาคารเตี้ยๆตลอดสาย เป็นที่ตั้งของร้านค้าหลายแบรนด์ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จักจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ก็น่าเข้าแทบทุกร้านเลยแหละ คาแรคเตอร์ของร้านส่วนใหญ่จะเป็นแนว High Street ที่คัดสรรของดีไซน์น่าสนใจมาอย่างดี สายช้อปควรเผื่อเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงนะครับ เริ่มกันที่ Ron Herman กับ Fred Segal ร้าน Select Shop สไตล์แคลิฟอร์เนียที่เราปลื้มมาตั้งแต่ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น คราวนี้ได้มาบุกถึงถิ่นกำเนิด (แต่แอบรู้สึกว่าที่ญี่ปุ่นเลือกของมาได้ถูกจริตเรามากกว่า) ด้านล่างก็มีคาเฟ่ให้นั่งชิลกันด้วยนะ ต่อด้วยตึกทรงลูกบาศก์สีชมพูที่หลายคนอาจเคยเห็นใน IG กันอยู่บ่อยๆ ตึกนี้เป็นที่ตั้งของร้าน Paul Smith สาขาใหญ่ แทบจะเป็นแลนด์มาร์คของย่านนี้เลยก็ได้ ร้านอื่นๆที่คุณจะได้เจอในย่านนี้ก็มีทั้งเสื้อผ้า ของแต่งบ้าน โดยมีทั้งแบรนด์โลคอลและแบรนด์ระดับโลก เช่น Balmain, Marc Jacob, Chloe, Marni, Bottega Venetta, Frame, Isabel Marant, A.P.C., Outdoor Voices, Editions de Parfums Frédéric Malle โชคดีที่ตอนที่เราไป (ก่อนโควิด) นั้นมีตลาด Melrose Place Farmers Market พอดี บรรยากาศจึงยิ่งมีชีวิตชีวาอย่างมาก ตลอดแนวทางเดินก็เรียงรายไปด้วยอาหารคราฟท์ และสินค้าประดิษฐ์มือมากมาย 3. จุดชมวิว Hollywood Sign Lake Hollywood Park เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ไม่ควรพลาด เพราะจะมีสนามหญ้าสีเขียวให้นั่งเล่น ยืนถ่ายรูปเก๋ๆกับป้ายฮอลลีวูดได้ด้วย Location: https://goo.gl/maps/v9LzGXDPYoyXbcvr6 4. Mid-Wilshire ย่านบ้านสวย ชีวิตดี มิวเซี่ยมปัง Tourists น้อย อาจจะไม่มีความตื่นตาตื่นใจเท่ากับย่านอื่นๆ แต่ละแวกนี้น่าอยู่ชะมัด ขอย้ำอีกครั้งว่าบ้านแถบนี้สวยมากๆ ร้าน Met her at a bar เป็นร้าน Brunch สัญชาติไทยผสมฝรั่งที่รสชาติเข้มข้นลงตัว หนึ่งในร้านที่ถูกปากเรามากที่สุดในทริปนี้ เราชอบเมนูไก่ทอดกินคู่กับวาฟเฟิ่ล อร่อยสุดๆ ความเป็นมาของร้านก็น่าสนใจเพราะเจ้าของร้านเป็นคู่หญิงชายที่ไปพบรักกันในบาร์แห่งหนึ่งจนมาลงเอยกันด้วยการทำธุรกิจร้านอาหารด้วยกัน หากคุณคุ้นตากับรูปเสาไฟนับร้อยต้นแบบในภาพ สิ่งนี้คืองาน Art Installation ถาวร ที่ชื่อว่า Urban Light ตั้งอยู่ด้านนอกของ Los Angeles County Museum of Art (LACMA) ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในแถบตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีผลงานจัดแสดงอยู่ภายในทั้งแบบถาวรและหมุนเวียนรวมกันกว่า 140,000 ชิ้น 5. Beverly Hills ย่านช็อปปิ้งแบรนด์เนม ชื่อนี้คือตำนานที่อยู่คู่ LA มาทุกยุคสมัย เพราะเป็นถิ่นที่อยู่ของดารา นักร้อง เซเลบริตี้ และมหาเศรษฐีแห่งโลกฮอลลีวู้ด ที่นี่จึงเป็นแหล่งรวมความเริ่ดหรูที่ทั้งเข้มข้นและหลากหลาย ตั้งแต่บรรยากาศภายนอกไปจนถึงการตกแต่งภายใน ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนคลับสินค้า Luxury แบรนด์ใด Beverly Hills น่าจะตอบได้เกือบทุกโจทย์ความต้องการ และต่อให้คุณจะไม่ใช่สายช้อป บรรยากาศที่หรูสุดๆของที่นี่ก็ควรค่าแก่การได้มาเสพสักครั้งหากคุณได้แวะมาเที่ยว LA 6. Santa Monica เราพูดถึงแต่ในเมืองจนเกือบลืมไปว่า LA นั้นอยู่ติดทะเลและมีหาดสวยๆหลายหาดเลย หนึ่งในหาดที่มีชีวิตชีวาที่สุดก็คือ Santa Monica เรามาทันเห็นวิวพระอาทิตย์ตกพอดี ต้องบอกว่าประทับใจมากเลยครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเป็นภาพที่เราคุ้นตามาจากหนังและ TV Series ด้วย แต่พอมาสัมผัสของจริงก็ยิ่งซาบซึ้งคนละ Level กันเลย ที่นี่มีสตรีทฟู้ดให้เลือกกินมากมาย (แต่อาจจะเป็นแนวเน้นขายนักท่องเที่ยวซักหน่อย) ชายหาดเต็มไปด้วยผู้คนที่มานั่งชิลล์ เล่นสเก็ต และเตร็ดเตร่ปล่อยอารมณ์ อีกไฮไลท์ของ Santa Monica ก็คือที่นี่เป็นจุดสิ้นสุดของถนน Route 66 ถนนสายหลักของอเมริกาที่เริ่มต้นจาก Chicago ตัดผ่านรัฐต่างๆเป็นระยะทางเกือบ 4,000 กม. แล้วจบลงที่ Pacific Park สวนสนุกริมทะเล ณ หาด Santa Monica แห่งนี้ บรรยากาศครึกครื้นเป็นกันเอง เหมือนงานวัดแบบฝรั่งๆ และเราก็ไม่พลาดที่จะลองขึ้นเครื่องเล่นด้วย Los Angeles นั้นเป็นเมืองที่มีไดนามิคส์สูงมาก เป็นแหล่งรวมของความหลากหลายทั้งในแง่เชื้อชาติและชนชั้น ในด้านความหรูหรานั้นยอมรับว่าสุดมาก ส่วนในด้านของความยากจนก็มีให้เห็นบ่อยจนชินตาเช่นกัน โดยเฉพาะย่าน Downtown ที่บางช่วงตึกเราแอบรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเอาเสียดื้อๆ แม้ที่นี่อาจจะไม่ใช่เมืองที่เราจะวางแผนกลับมาเที่ยวบ่อยๆ แต่เราก็ตื่นเต้นและดีใจมากที่ได้มาเยี่ยมเยือนและเห็นความยิ่งใหญ่ของเมืองอันดับ 2 ของอเมริกาแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง #LetsHoparound
- GUILTY Bangkok อาหาร-งานอาร์ท-ผู้คน-ดนตรี
GUILTY Bangkok อาหาร-งานอาร์ท-ผู้คน-ดนตรี มนุษย์ยุคใหม่มารวมกันตรงนี้ครับ GUILTY Bangkok คือห้องอาหารลาตินอเมริกันที่ทั้งอร่อยและสนุก แม้จะเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ที่นี่ก็ได้กลายเป็นจุดแฮงเอ๊าท์ใหม่ล่าสุดในหมู่คนฮิปย่านราชประสงค์ไปเรียบร้อยแล้ว (ร้านอยู่ในโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ) นอกจากอาหารจะอร่อยถูกปากคนไทยได้ไม่ยากแล้ว ที่นี่ยังมี DJ เรียงคิวสลับกันมาเปิดแผ่นสร้างความครื้นเครงในทุกค่ำคืน ทำให้บรรยากาศของร้านที่ได้แรงบันดาลใจมาจากงานของศิลปิน Pop Art ระดับตำนานอย่าง Richard Artschwager นั้นยิ่งสนุกขึ้นไปอีกหลายดีกรี จะนัดเดท นัดเพื่อน หรือนัดสังสรรค์อะไรก็เหมาะโดยไม่ต้องรู้สึก Guilty เลยล่ะครับ ไหนๆก็พูดถึงงานตกแต่งภายในกันไปแล้ว เราพาไปดูรอบๆร้านกันดีกว่า สิ่งที่สะดุดตาสุดก็คือโคมไฟเรซิ่นวงรี 3 วงมหึมาตรงกลางเพดานที่โดดเด่นยิ่งกว่าแชนเดอร์เลียร์ใดๆ ผนังรอบๆนั้นประดับไปด้วยงานอาร์ทชิ้นเอกจากหลายศิลปินท้องที่เช่น Melanie Greis, นักรบ มูลมานัส, กิติก้อง ติลกวัฒโนทัย ส่วนงานภาพเคลื่อนไหวบนจอนั้นมีชื่อว่า “Ecstasy” เป็นการตีความคำว่า “Guilty” ผ่านการเต้นรำของเหล่า Muses แห่งวิหาร Delphi ของเทพ Apollo โดยคุณยูน ปัณพัท เตชเมธากุล ศิลปินไทยที่สร้างชื่อเสียงในระดับโลกจากโซเชียลมีเดียเพื่อ GUILTY Bangkok โดยเฉพาะ เชฟ Carlos Rodriguez ชาวเวเนซูเอล่าผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารทั้งในไทยและต่างประเทศมานานนั้นคือผู้ดูแลเมนูทั้งหมดของที่นี่ซึ่งจะมีทั้งอาหารลาตินอเมริกันสมัยใหม่ และอาหาร Nikkei (นิเคอิ) ซึ่งเป็นอาหารฟิวชั่นเฉพาะทางระหว่างอาหารเปรูและอาหารญี่ปุ่น อ่านเมนูดูแล้วน่ากินหลายอย่างมากเลยครับ ไปดูกันดีกว่าว่าหน้าตาอาหารมื้อนี้ของเราจะเป็นยังไงกันบ้าง พนักงานต้อนรับเราด้วย Corn Bread ที่เสิร์ฟมาพร้อมพริก เกลือ และใบทาร์รากอน ซึ่งกินรวมกันแล้วเข้ากันอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็ตามด้วย Holy Guacamole! ที่พนักงานเข็นเอาครกมาคลุกเคล้ากันข้างโต๊ะเลย แถมปริมาณก็เยอะสะใจมาก เราหยิบ Tortilla Chips มาตักกินเรียกน้ำย่อยเพลินเลยครับ ต่อมาเป็น Aguachile Ceviche อธิบายเป็นไทยง่ายๆว่าเป็นพล่ากุ้งย่างสไตล์เม็กซิกันก็แล้วกันครับ มาพร้อมกับอาโวคาโด้และพริกฮาลาพินโญ่ อร่อยสดชื่นกินง่ายครับ ตามมาด้วย Barbacoa Wagyu Beef Taco ทาโก้เนื้อวากิวพร้อมซอสถั่วลิสงใส่มาในเปลือกแบบนิ่ม บีบมะนาวแล้วหม่ำยัมมี่ๆ ก่อนจะไปจานหลักซึ่งเป็นเนื้อ Wagyu เช่นเดียวกัน เราขอตัดด้วยสลัดซักหน่อยครับ จานนี้คือ Jicama Salad เป็นสลัดมันแกว มะม่วงสุก และอาโวคาโด้ บีบส้มจี๊ดเป็นน้ำสลัดเข้ากันมากเลยครับ ลืมบอกไปเลยว่าเครื่องดื่มของ GUILTY นั้นก็ดีงามไม่แพ้กันมี Master Mixologist คอยผสมเครื่องดื่มเก๋ๆตามคอนเส็ปต์ลาตินอเมริกัน รวมไปถึงเซ็ต Shot ต่างๆสำหรับปาร์ตี้ด้วย แต่วันนี้เราอยากดื่มไวน์ก็เลยสั่ง Natural Wine หอมๆเบาๆมาแกล้มอาหารครับ มาถึงจานหลักแล้วครับ สเต้กจานนี้เป็นสุดยอดเนื้อวากิวละลายในปากจากไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น Busyu Wagyu Striploin เกรด A5 สูงสุดกันไปเลย เชฟวางเนื้อมาบนแผ่นเกลือสีชมพู Himalayan Salt Slab ซึ่งจะทำให้ได้รสเค็มธรรมชาติ และช่วยเตือนให้เราต้องรีบกินกันนิดนึง เพราะไม่งั้นเนื้อจะยิ่งเค็มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นข้อดีนะครับเพราะเนื้อเกรดระดับนี้ถ้ามัวแต่ช้าปล่อยให้เย็นชืดก็เสียของแย่เลย อิ่มแปล้เลยครับ แต่เดี๋ยวก่อน! ยังมีขนมหวานอีก 2 จาน จานแรกเป็น Orange & Lime Churros มากับ 2 ซอสคือ Chocolate และ Dulce De Leche จิ้มกินตอนยังอุ่นๆอร่อยฟินมากครับ อีกจานเป็นเค้กแอลมอนด์แช่นม 3 ชนิดกับซอสเสาวรส Tres Leches De Maracuyà อืมมม ดีงามจริงจัง เอ… เราลืมไปตั้งแต่ตอนไหนนะครับว่าเราอิ่มจากอาหารคาวไปตั้งนานแล้ว โอ๊ย อยู่ๆก็รู้สึก Guilty ขึ้นมาทันที ฮ่าๆๆๆ จบแล้วครับกับมื้อนี้ที่ทั้งอร่อยและสนุก เราเข้าใจแล้วครับว่าทำไมที่นี่จึงกลายเป็นจุดนัดพบใหม่ของคนเก๋ๆได้ในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าเพื่อนๆสนใจมาเสพ Vibe ของ GUILTY Bangkok ก็ติดต่อตามรายละเอียดด้านล่างได้เลย ร้านเปิดให้บริการทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำ แต่มามื้อค่ำน่าจะสนุกกว่าเพราะเค้าเปิดถึงเที่ยงคืนเลยครับ สอบถามและจองโต๊ะ: 🗨️ LINE @anantarasiam 📧guilty.asia@anantara.com 📞 021268866
- Aesop Thonglor Signature Store
Aesop, Welcome Back To Thailand! เป็นเวลาพักใหญ่ๆเลยที่แฟนๆ Aesop (จริงๆอ่านว่า “อีสป” แต่ในไทยใช้ “เอสอป”) ในไทยได้แต่คิดถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพและกลิ่นหอมธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ไม่มีหน้าร้านให้ซื้อ ข่าวดีก็คือวันนี้ Aesop กลับมาแล้วครับ และครั้งนี้แบรนด์ก็มาเองโดยตรงแบบไม่ผ่านตัวแทนจัดจำหน่ายใดๆ เปิดตัวจริงจังด้วยหน้าร้าน Signature Store แบบ Stand Alone นอกห้างหนึ่งเดียวใน South East Asia ณ ทองหล่อ ซอย 13 งานออกแบบ Interior ของร้านจะดีงามขนาดไหน เราขออาสาพาเพื่อนๆไปชมบรรยากาศกันก่อนใครเลยครับ เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์ไทยให้สมกับความเป็นร้านซิกเนเจอร์ร้านแรกในประเทศ Aesop จึงมอบหมายให้ Sher Maker สตูดิโอสถาปนิกชาวไทยซึ่ง Based อยู่ที่เชียงใหม่เข้ามาดูแลงานออกแบบทั้งหมด ไม้สักเก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว และหินแกรไนต์ที่ใช้ในการผลิตครกแบบดั้งเดิม จึงถูกเลือกมาให้เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดวิถีชีวิตแบบพื้นถิ่น ภายใต้ความทันสมัยทว่าอบอุ่นตามแบบฉบับของ Aesop พื้นที่ของร้านนั้นแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โซนหน้าร้านหลัก และ “ห้องฝาไหล” ซึ่งเป็นโซนเครื่องหอม เราแอบได้ยินมาว่าอาจจะมีเพิ่มโซนที่ 3 เป็นห้องทรีตเม้นต์ในอนาคตด้วย ตลอดแนวผนังฝั่งขวา (เมื่อหันหน้าเข้าร้าน) ในโซนหน้าร้านหลักนั้นเรียงรายไปด้วยขวดสีอำพัน บรรจุภัณฑ์ที่เป็นภาพจำของ Aesop ซึ่งครั้งนี้มีสินค้ามาครบหมดตั้งแต่ผมจรดเท้า รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านด้วย เซ็นเตอร์พีซของโซนนี้ก็คืออ่างล้างมือทรงสี่เหลี่ยมทำจากหินแกรไนต์ที่ใช้ทำครก ไม่ได้มาแค่ 1 แต่มาถึง 4 อ่างใหญ่สำหรับทดลองผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งทาง Aesop ก็จัดของมาให้ลองกันได้แบบแน่นโต๊ะเลยครับ ส่วนตัวโต๊ะนั้นก็ทำจากไม้สักเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและใช้เทคนิคตอกลิ่มให้ขัดยึดกันตามวิธีพื้นบ้านภาคเหนือ สำหรับรูปแบบของอ่างล้างมือตรงกลางร้านนี้ก็เป็นการหยิบยืมไอเดียมาจาก “กระบะดิน” ซึ่งใช้ในการก่อกองไฟในค่ำคืนที่หนาวเย็นแถบภาคเหนือเช่นกัน กระบะดินจึงถือเป็นจุดหลอมรวมให้ผู้คนได้มานั่งล้อมและโอภาปราศรัยกัน ถัดไปที่ผนังฝั่งซ้ายก็เป็นมุมซิงค์ที่จำลองมาให้ได้ฟีลแบบห้องน้ำเท่ๆในบ้านเพื่อให้ลูกค้าได้ประสบการณ์แบบ Immersive ในการทดลองสินค้า มาถึงโซนที่ 2 คือ “ห้องฝาไหล“ ที่มียศเป็น “Sensorium” ห้องเครื่องหอม Aesop แห่งที่ 2 ในโลกถัดจากสาขา Pitt Street ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ที่เรียกว่าห้องฝาไหลก็เพราะตัวผนังนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากผนังบ้านในภาคเหนือที่มีการตีแผ่นไม้แนวตั้งสลับกับการเว้นช่องให้แสงเข้าโดยซ้อนผนังแบบเดียวกันนี้เป็น 2 ชั้น และสามารถเลื่อนชั้นในไปมาเพื่อปรับทิศทางแสงได้ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในโซนนี้ก็คือ Fragrance Armoire ตู้น้ำหอม Eaux de Parfum ที่เปิดพาเราไปสู่มิติและสถานที่ต่างๆตามที่น้ำหอมแต่ละกลิ่นถูกดีไซน์มา นอกจากนี้ยังมีเทียนหอม แชมพูอาบน้ำสัตว์เลี้ยง น้ำยาดับกลิ่นอึ Post-Poo Drops ตัวดังของแบรนด์ รวมถึงธูปหอมที่ผลิตโดยโรงงานธูปเก่าแก่ในเกียวโตซึ่งเป็นการวางขายอย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทยอีกด้วย ตัวกลิ่นธูปจะออกแนว Woody และ Spicy ซึ่งจะช่วย Grounding ให้รู้สึกสงบได้ดีมากครับ แม้ว่าการกลับมาคราวนี้ของ Aesop สินค้าจะค่อนข้างครบมากๆแล้ว แต่ก็ยังไม่ 100% นะครับ เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางตัวก็เดินทางมาไม่ถึงประเทศไทย และบางรายการก็ยังอยู่ในขั้นตอนขอหมายเลขอย. ถ้าอยากดูของแบบครบ 100% อาจจะต้องให้เวลาอีกนิด ก็จะมีครบแน่นอนครับ เพราะหลังจากนี้ทางแบรนด์ก็มีแพลนที่จะขยายสาขาออกไปอีกทั้ง Online และ Offline แต่จะเป็นที่ไหนบ้างก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ Aesop Thonglor Signature Store Location: https://maps.app.goo.gl/YEn1iKDnviipc2iC8 www.hoparound.co #LetsHoparound #Aesop #AesopThonglor #AesopThailand #AesopSkincare
- The Standard Huruvalhi Maldives เดอะ สแตนดาร์ด ฮูรุวาลี มัลดีฟส์ สิบตาเห็นก็ไม่เท่าพาตัวเป็นๆ มาสัมผัสเอง
The Standard Huruvalhi Maldives สิบตาเห็นก็ไม่เท่าพาตัวเป็นๆมาสัมผัสเอง รีวิว เดอะ สแตนดาร์ด ฮูรุวาลี มัลดีฟส์ ทริปนี้ #hoparound.co ชวนเพื่อนๆแพ็คกระเป๋า บินลัดฟ้า ข้ามวงแหวนปะการังสู่ The Standard Huruvalhi Maldives สวรรค์สีฟ้าครามที่รูปภาพสามารถถ่ายทอดได้เพียงแค่เศษเสี้ยวความงามเหมือนฝันของสถานที่จริงเท่านั้นครับ The Standard Huruvalhi Maldives เป็นโรงแรม 5 ดาวที่มีจริตขี้เล่นเป็นตัวของตัวเองต่างจากโรงแรมหรูอื่นๆ คุณเค้าตั้งอยู่บนเกาะ Huruvalhi ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนปะการัง Raa (Raa Atoll) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุง Malé เมืองหลวงของมัลดีฟส์ Airport lounge หลังจากที่เราเดินทางมาถึงสนามบินในเมืองหลวงแล้ว อีกหนึ่งประสบการณ์พิเศษสำหรับแขกของ The Standard ก็คือการได้นั่ง Sea Plane ลำเล็กบินต่อไปลงยังเกาะ Huruvalhi ที่อยู่ห่างออกไปอีกราวๆ 45-50 นาที โดยที่ระหว่างทางเราก็จะได้ตื่นตาไปกับวิวหมู่เกาะและแนววงแหวนปะการังต่างๆที่สวยจนลืมหายใจเลยล่ะครับ The Arrival เรายังจดจำโมเม้นต์ที่เรามาถึงรีสอร์ทได้ดี ทุกอย่างช่างดู Magical งดงามราวกับภาพฝัน ทะเลคราม น้ำใส ทรายขาว สีของท้องฟ้าตัดกับสีเหลืองของผ้าลายทางที่สะบัดพลิ้วไปกับสายลมอย่างร่าเริง พัดพาเอาความเครียดในหัวของเราให้มลายหายไปด้วยเลย เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังสักเรื่องที่ได้เดินทางมาถึง Blue Paradise จริงๆ Our Overwater Pool Villa ที่นี่มีวิลล่ารวมกัน 115 หลัง มีทั้งแบบ Overwater คืออยู่เหนือน้ำทะเลตื้นๆในลากูนธรรมชาติ (ซึ่งเป็นแบบที่เราเลือกพัก) และแบบ Beach ที่อยู่บนหาดทรายขาวละเอียด ซึ่งทั้ง 2 แบบนั้นมาพร้อมกับสระว่ายน้ำส่วนตัวของแต่ละหลัง แต่ถ้าอยากลงว่ายน้ำในสระที่ใหญ่ขึ้นก็มีสระส่วนกลางของรีสอร์ทไว้ให้บริการเช่นกัน แต่เราเลือกที่จะลงทะเลดำน้ำ Snorkle ดูปลาหลายสีหลากไซส์ไปเลย เพราะธรรมชาติที่นี่มหัศจรรย์มากบางครั้งน้องกระเบนก็มาทักทายเราถึงหน้าห้องเลย เกาะ Huruvalhi มีขนาดกระทัดรัดกำลังดี ทั้งเกาะนั้นเป็นของ The Standard ทั้งหมด ไม่ต้องแบ่งกับใคร เราสามารถเดินเพลินๆได้ทั่วทั้งเกาะโดยที่ไม่เหนื่อยเกินไป หรือจะเรียกรถ Buggy ให้มารับไปส่งที่จุดใดก็ได้ แต่วิธีที่เราชอบมากที่สุดก็คือการปั่นจักรยาน เพราะมันชิลสุดๆเลยครับ ปั่นไม่น่าเกิน 20 นาทีก็ทั่วเกาะแล้ว Food & Drink บางคนอาจจะกลัวว่ามาอยู่เกาะแล้วจะเบื่อ แต่ในความเป็นจริงที่ The Standard มีกิจกรรมให้เลือกทำเยอะมาก ลำพังห้องอาหารก็มีตั้ง 6 เอ้าท์เล็ทส์ที่มีคอนเส็ปต์ไม่เหมือนกันเลย ตั้งแต่ห้องอาหารแบบ All Day Dining คาเฟ่ชิลๆ ห้องอาหารมัลดีเวี่ยน บีชบาร์บีคิว ไปจนถึงบาร์ที่มี Dance Floor พร้อม Disco Ball ลูกใหญ่ที่สุดในมัลดีฟส์อีกด้วย แต่ถ้าไม่อยากออกไปไหนจริงๆก็สั่ง In Villa Dining ให้พนักงานมาเสิร์ฟถึงห้องก็ได้เช่นกัน Kula Joos Café Beru Bar Guduguda BBQ Shak In Villa Dining Activities ใครสายออกกำลังก็มีทั้งสนามเทนนิส ฟิตเนส หรือจะลงทะเลจากห้องตัวเองเพื่อ Snorkle ดูปลาแบบเราก็ได้ เพลินมากจริงๆครับ เค้าเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้พร้อมในห้องพักเลย แต่ถ้าอยากจะออกทริปไปดูเต่าดูปลาโลมาทางรีสอร์ทก็มีตารางกิจกรรมที่สลับสับเปลี่ยนไปทุกวัน หรือจะดำน้ำจริงจังก็ติดต่อ Dive Center ได้เลย ถ้ามีเด็กๆมาด้วย ทางรีสอร์ทก็มีปราสาทเป่าลมลอยน้ำให้ปีนเล่นกันสนุกสนานอีกต่างหาก ยังไงก็อย่าลืมโบก Sun Screen ให้ทั่วๆด้วยนะครับ Spa ส่วนใครชอบผ่อนคลายแบบสงบ ต้องเชิญที่สปาเลยครับ สปาที่นี่นอกจากจะมีทรีทเม้นต์ฮีลกายใจหลายแบบแล้ว เค้ายังมี Hydro Facilities อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องอาบน้ำแบบตุรกีอย่าง Hamam หรือห้องอบไอน้ำ รวมถึงคลาสโยคะรายวันด้วยครับ Cast Away Experience ไหนๆก็ได้มาถึงที่นี่แล้ว ทริปนี้เราก็เลยอยากลองอะไรที่แปลกใหม่ซักหน่อย ซึ่งก็คือประสบการณ์ติดเกาะร้าง (Cast Away Experience) ครับ ทางรีสอร์ทเค้าจะพาเรานั่งเรือไปส่งที่เกาะร้างที่อยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทมากนัก โดยพนักงานจะเตรียมอาหารว่างและเครื่องดื่ม พร้อมกับตั้งซุ้มกันแดดให้เรานอนเล่นได้โดยที่ทั้งเกาะนั้นจะเป็นของเราแต่ผู้เดียว และเราสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่เราต้องการ เราสามารถนัดให้พี่เค้ามารับกลับเมื่อไหร่ก็ได้ จากประสบการณ์ของเราคิดว่าประมาณชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงน่าจะกำลังดีครับ ธรรมชาติบนเกาะร้างสมบูรณ์มาก นกบินกันว่อน และปูลมก็วิ่งไล่กันสนุกสนานเลยครับ ที่เกาะร้างนี้เรานั่งมองกลับไปที่เกาะที่ตั้งของรีสอร์ท และก็พลางจินตนาการถึงชีวิตของแขกและพนักงานที่รีสอร์ท ซึ่งเป็นการมองจากมุมที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี จริงๆแล้วนี่เป็นเหมือนโบนัสเลยครับ เพราะช่วยสะท้อนความคิดของเราว่าชีวิตของเรามีมุมให้มองได้จากหลากหลายมุม เวลาที่เรามีความทุกข์ บางทีแค่ลองเปลี่ยนท่าหามุมมองใหม่ๆก็ช่วยได้มากแล้ว สารภาพตามตรงว่าก่อนมาที่นี่เราไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก อาจจะเพราะเราเคยเห็นความสวยงามของมัลดีฟส์และรีสอร์ทต่างๆผ่านรูปถ่ายมานับครั้งไม่ถ้วนจนเริ่มชินตากับวิวทะเลสีฟ้าครามและหาดทรายขาว แต่เชื่อเถอะครับว่าการดูรูป กับการได้มาอยู่ตรงนี้จริงๆมันช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง หลายครั้งเราก็ได้แต่พูดกับตัวเองว่านี่มันความฝันชัดๆ และแม้ว่าเราจะอยู่ในรีสอร์ทที่มีความสะดวกสบายระดับ 5 ดาว แต่คาแร็คเตอร์ที่ขี้เล่นเป็นกันเองไม่ติดหรูของ The Standard ก็ทำให้เราไม่รู้สึกต้องเกร็ง และสามารถปล่อยใจไปกับความงามบริสุทธิ์ของเกาะ Huruvalhi ได้โดยปราศจากความกังวลใดๆ ถ้าเพื่อนๆกำลังมองหาที่พักใน Maldives ที่ไม่เหมือนใครอยู่ละก็ อยากให้ลองพิจารณา The Standard Huruvalhi ดูนะครับ น่าจะกลายเป็นอีกประสบการณ์ประทับใจที่ยากจะลืมลงเลยครับ Take a trip to paradise and make your island dreams a reality at The Standard, Maldives. www.hoparound.co #LetsHoparound #Maldives #HopStay #thestandardhotel #TheStandardMaldives #visitMaldives
- KYOTO
“เกียวโต” เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในโลกที่ใจเราร่ำร้องอยากจะไปแล้วไปอีกไม่รู้เบื่อ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่ามันคงมีเวทมนตร์บางอย่างปกคลุมเมืองทั้งเมืองเอาไว้ ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องที่ดูเรียบๆเก่าๆนั้น เกียวโตซ่อนเสน่ห์ที่น่าค้นหาไว้ในทุกซอกหลืบ จิตวิญญาณวิถีเซน แนวคิดมินิมัลลิสต์ และปรัชญาวาบิซาบิ ดูเหมือนจะประสานพลังกันเป็นฐานที่แข็งแรง เอื้อให้รากเหง้าทางวัฒนธรรมของเกียวโตได้หยั่งลึกลงดิน และเติบโตแตกกิ่งแตกใบสะพรั่งไปในอากาศให้ทั้งความร่มรื่น และรื่นรมย์กับทุกคนที่ได้มาสัมผัส สวนเซ็นภายในวัด Tofuku-ji ไม่ว่าจะเป็นวัดโบราณที่สวยสะกดกว่า 1,600 แห่ง ร้านรวงเฉพาะทางที่ขายของจากภูมิปัญญาโบราณอันละเอียดประณีต ร้านสมัยใหม่ดีไซน์เนี้ยบทั้งจากเกียวโตเองและจากที่อื่นๆ คาเฟ่เบเกอรี่ชิคๆ โรงน้ำชาทั้งแบบดั้งเดิมและแบบทันสมัย ร้านอาหารชวนน้ำลายสอ ตลาดสดที่มีแต่ของน่าซื้อน่าลอง รวมถึงความสะดวกสบายที่เราคุ้นเคยในเมืองอื่นๆทั่วไป ต่างก็มีที่มีทางของตัวเองในเกียวโต และโผล่มาให้เราได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้อย่างถูกจังหวะ นอกจากเอกลักษณ์แห่งความเป็นญี่ปุ่นที่เข้มข้นสุดๆแล้ว (เพราะเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นมากนานกว่า 1,000 ปี) วิถีสโลว์ไลฟ์ของผู้คนในเกียวโตก็ดูทันสมัยเป็นปัจจุบัน และเป็นธรรมชาติไม่ประดิษฐ์ จังหวะชีวิตของเมืองจึงถูกเผยออกมาในท่วงทำนองที่สบายๆ ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป และเราก็แฮปปี้ที่ได้หย่อนใจไปกับจังหวะของเกียวโต ร้านกาแฟ % ARABICA KYOTO สาขา HIGASHIYAMA
- Millennium Hilton Bangkok ยลเมืองกรุงบนคุ้งน้ำกับประสบการณ์ฉบับฮิลตัน
Millennium Hilton Bangkok ยลเมืองกรุงบนคุ้งน้ำกับประสบการณ์ฉบับฮิลตัน Millennium Hilton Bangkok เป็นโรงแรม Full-Service แบรนด์อเมริกันที่มีทำเลยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพราะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้วิวคุ้งน้ำและตึกระฟ้าของเมืองกรุงแบบกวาดตาไปได้ยาวๆไม่รู้จบ อยากช้อปปิ้งก็เดินไปห้าง ICONSIAM ที่แทบจะอยู่ติดกันได้ทันที พร้อมเดินทางสะดวกทั้งทางรถยนต์ เรือ หรือ BTS สายสีทองที่มีสถานีอยู่หน้าโรงแรมเลย ที่นี่ออกแบบสถานที่และบริการมาเพื่อตอบโจทย์แขกทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ทั้งนักเที่ยว นักช้อป หรือจะแค่มา Staycation เปลี่ยนบรรยากาศแบบในเคสของเราก็เหมาะเจาะเช่นกัน ในวันนี้ Millenium Hilton Bangkok เพิ่งจะทำการ Renovate ใหญ่เสร็จเรียบร้อยไป ตั้งแต่ Lobby ห้องอาหาร (5 ห้อง) ห้องประชุม สระว่ายน้ำ และห้องพักทั้ง 533 ห้องที่หันเทควิวแม่น้ำทั้งหมด ทำให้อาคารสูง 32 ชั้นริมน้ำแห่งนี้ดูสวยงามทันสมัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่ดีงามที่สุดก็คือ ตอนนี้ทางโรงแรมมีข้อเสนอสุดคุ้ม ห้องพักราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 2,150 บาท พร้อมส่วนลดและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย (ดูรายละเอียดโปรโมชั่นได้ที่นี่) ข้อเสนอสุดพิเศษ The Arrival โคมลอยหลายชิ้นถูกแขวนให้ลดหลั่นกันลงมาจากเพดานสูงของโถงทางเข้า Lobby เป็นสัญลักษณ์แทนศิริมงคลเพื่อต้อนรับผู้เข้าพักสู่โรงแรม แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Chandelier ที่เป็น Center Piece ห้อยยาวลงมาพร้อมกับการร้อยเรียงลูกปัดหลากสี (ไม่แน่ใจว่าเป็นคริสตัลหรือเปล่า) ให้เป็นรูปร่างปลากัดแบบกึ่ง Abstract ทางโรงแรมแจ้งว่าแนวคิดหลักของงานดีไซน์ในการ Renovate ครั้งนี้ก็คือวัฒนธรรมของชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา และปลากัดก็แสดงออกถึงวิถีชีวิตของผู้คนริมชายฝั่งแม่น้ำสายหลักแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี Our Room: Panoramic Executive Suite หลังจากทำเรื่องเช็คอินที่ล็อบบี้เสร็จแล้ว เราก็ขึ้นลิฟท์มาที่ห้องพักของเราและพบกับเซอร์ไพร้ส์เล็กๆเป็นสติ๊กเกอร์ Hilton Clean Stay ปิดผนึกอยู่ที่มุมประตูกับผนังที่ตั้งฉากกันอยู่เพื่อบ่งบอกว่าห้องของเราได้ผ่านการทำความสะอาดตามมาตรฐาน SHA และเราจะเป็นคนแรกจริงๆที่ได้เข้าไปใช้ห้องหลังจากที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เมื่อเปิดเข้ามาในห้องแล้วก็ไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถแย่งความสนใจของเราได้มากไปกว่าวิวพาโนราม่าของคุ้งน้ำเจ้าพระยาและบรรดาตึกสูงที่สลับกันเสียดฟ้าเรียงรายไปจนสุดลูกหูลูกตา เป็นวิวที่ปังซะจนเราลืมสำรวจความดีงามของการตกแต่งห้องพักไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้จึงเริ่มเห็นว่าภายในห้อง Panoramic Executive Suite ของเรานั้นก็ตกแต่งได้สวยเรียบ ครบครันและทันสมัยดูดีไม่แพ้วิวที่นอกหน้าต่างทีเดียว ขนาดเกือบ 70 ตร.ม.นั้นใหญ่เหลือเฟือ แบ่งเป็นโซนรับแขก (ห้องนั่งเล่น/ทำงาน) และโซนส่วนตัว (ห้องนอน/ห้องอาบน้ำแต่งตัว) ในโซนรับแขกนั้นมีทั้งโซฟาชุดใหญ่พร้อมทีวีจอเบ้อเร่อ โต๊ะทำงานแบบสมฐานะผู้บริหาร (ก็ห้อง Executive นี่เนอะ) พร้อมมุมมินิบาร์ที่มีของเตรียมให้ครบเลย และห้องน้ำที่แยกออกมาเป็นพิเศษสำหรับโซนนี้โดยเฉพาะ เราสะดุดตากับสีของพรมทรงกลมที่ปูรองชุดรับแขกซึ่งช่วยเพิ่ม Accent ให้ Space ดูน่าสนใจขึ้นได้อย่างกลมกลืน ถัดเข้าไปเป็นโซนห้องนอนที่ดูอบอุ่นน่านอน เทควิวต่อเนื่องเข้ามาจากโซนรับแขกผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เรียกได้ว่าตื่นนอนปุ๊บก็ตื่นตาตื่นใจกับวิวได้ทันทีเลย เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยเป็น Dressing Area ที่ให้พื้นที่เยอะพอสมควร อารมณ์ Walk-in Closet ที่เดินทะลุเข้าห้องน้ำได้สะดวกพอดี ภายในห้องน้ำก็สวยงามทันสมัย โซนอาบน้ำมีทั้งแบบแช่อ่างและฝักบัว ส่วน Amenities เป็นแบรนด์ Crabtree & Evelyn กลิ่น Verbena & Lavender ที่หอมสดชื่น Afternoon Tea at The Lantern พักผ่อนในห้องพักพอหายเหนื่อยกันแล้ว ก็ได้เวลา Afternoon Tea ที่ The Lantern ซึ่งเป็น Lobby Lounge ที่ได้ชื่อมาจากโคมลอยที่แขวนต่างระดับกันอยู่ใน Lobby เมื่อมองผ่านหน้าต่างกระจกแบบ Floor-To-Ceiling ออกไปก็จะเจอกับแผงต้นไม้ที่เขียวขจี ก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีเลยครับ ทาง Millenium Hilton Bangkok นั้นได้ Pastry Chef ชาวสวิสมาช่วยดูแลเรื่องขนมทั้งคาวหวาน จึงวางใจได้ในเรื่องฝีมือและสดใหม่ ส่วนชานั้นเสิร์ฟแบรนด์ Or Tea? ซึ่งเป็นแบรนด์ใบชาคุณภาพและโมเดิร์นจากฮ่องกง สำหรับชุด Signature Afternoon Tea ที่ยกขนมมาให้ทั้ง Shelf พร้อมเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำผลไม้หลากหลายจนเลือกไม่ถูกนี้มาในราคา 1,200 บาทสุทธิไม่บวกเพิ่ม / 2 ท่าน สามารถซื้อได้ผ่าน LINE SHOPPING ได้เลย eforea spa บ่ายนี้เรามีนัดนวด Aroma Therapy กันที่ eforea spa ของทางโรงแรม พนักงานนำน้ำมันมาให้เราเลือก 3 กลิ่นซึ่งทรีตเม้นต์ทั้งหมดของสปาแห่งนี้นั้นจะใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะของ Hilton เท่านั้นเพื่อป้องกันการระคายเคืองและช่วยบำรุงผิวด้วย พี่ๆ Therapist น้ำหนักมือดีมากครับ เพราะขึ้นเตียงไม่ทันไรเราก็รู้สึกผ่อนคลายจนหลับไปแบบไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่พี่เขาบอกให้พลิกตัวใกล้จบซะแล้ว เฮ้อออ...อยากนวดต่อยาวๆอีกซัก 3 ชั่วโมง 555 แต่เราก็มีโปรแกรมพาเพื่อนๆไปชมวิวบนดาดฟ้าของโรงแรมกันต่อ ThreeSixty Rooftop Bar ณ ชั้นบนสุดของโรงแรมริมแม่น้ำแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ ห้องอาหารถึง 3 เอ้าท์เล็ตส์ด้วยกัน อันแรกเป็น Executive Lounge ที่เปิดให้บริการแบบ Exclusive เฉพาะแขกที่พักห้อง Executive River View Room และ Panoramic Executive Suite เท่านั้น เอ้าท์เล็ตที่ 2 คือ ThreeSixty Jazz Lounge ซึ่งยังไม่เปิดให้บริการ ส่วนร้านที่ 3 คือร้านที่เราจะพาเพื่อนๆไปชมกันครับ ร้าน ThreeSixty Rooftop Bar นั้นตั้งอยู่บนดาดฟ้ากลางแจ้งบนชั้น 31 เสิร์ฟเครื่องดื่มทั้งแบบมีแอลกอฮอลและไม่มีแอลกอฮอล รวมถึงอาหารสไตล์ทาปาสที่อร่อยกันได้ง่ายๆเพลินๆด้วย ชื่อ ThreeSixty ก็น่าจะบอกใบ้อยู่ในตัวแล้วว่าสามารถเห็นวิวริมแม่น้ำของกรุงเทพฯได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว โดยเฉพาะถ้าเพื่อนๆได้ขึ้นไปบนลานจอด Helicopter เหมือนกับเรา (ลองสอบถามพนักงานดูก่อนนะครับ เพราะเป็นพื้นที่ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ) ก็จะได้เห็นวิวสุดหวิวแบบไม่มีอะไรกั้นจนเราแอบเสียวแว๊บเป็นระยะๆ ตรงนี้จะยิ่งงดงามเป็นพิเศษตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน สวยแค่ไหนขอให้ภาพอธิบายก็แล้วกันนะครับ Buffet Dinner at Flow อีกสิ่งหนึ่งที่โรงแรม Millenium Hilton Bangkok มีชื่อเสียงก็คือ Buffet Dinner ที่ห้องอาหาร Flow ซึ่งอยู่ชั้นล่างติดแม่น้ำเลยครับ อย่างแรกที่สังเกตเห็นก็คือความใหญ่โตโอ่อ่าของห้องอาหารที่น่าจะจุคนได้หลายร้อยคนรวมกันทั้งโซนภายในและภายนอก เพราะที่นี่นั้นใช้เสิร์ฟอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ด้วย (พรุ่งนี้เช้าเราจะพามาดูอีกครั้งนะครับ) ซึ่งหากวันไหนแขกเต็มก็อาจต้องรองรับมากกว่า 1,000 คน เนื่องจากโรงแรมมีห้องพักทั้งหมดถึง 533 ห้อง ครัวของ Flow เป็นครัวเปิดซึ่งมีหลายสเตชั่นทำให้เราสามารถดูการทำงานของเชฟไปด้วยได้แบบเพลินๆ กระเบื้องหลากสีที่ถูกนำมาใช้ตกแต่งห้องอาหารนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานกระเบื้องของวัดโพธิ์ แต่นำมาจัดเรียงเล่าเรื่องใหม่ให้ทันยุคสมัยมากยิ่งขึ้น ครัวใหญ่หลายสเตชั่นขนาดนี้แน่นอนว่าต้องมีอาหารหลากหลายมากๆ ตั้งแต่อาหารทะเล ซาชิมิ ซูชิ อาหารฝรั่ง เช่นเนื้ออบ มันอบ พาสต้า ไปจนถึงอาหารไทยอีกหลายอย่าง และติ่มซำเข่งเบ้อเริ่มเทิ่ม นี่ยังไม่รวมอีกฝั่งของห้องอาหารที่เสิร์ฟสลัด โคลด์คัท ชีสนานาชนิด ตลอดจนเบเกอรี่และขนมหวานทั้งไทยและเทศ น่าจะมีรางวัลให้สำหรับคนที่ทานครบหมดทุกอย่างนะครับ 5555 Turn Down เมื่อกี๊เราแวะไปเดิน ICONSIAM กันมาครับ โซน Luxury มีคิวต่อกันยาวหลายร้านเลย กลับมาถึงห้องพักก็พบกับน้องช้างวางอยู่บนเตียงเป็น Turn-down Gift ไว้ให้ด้วย กว่าเราจะอาบน้ำอาบท่าและนั่งเคลียร์งานจนเสร็จก็เริ่มดึกมากแล้ว และทุกครั้งที่ได้มองออกนอกหน้าต่าง เราก็ยังคงตกหลุมรักวิวจากห้องของเรา ยิ่งตอนกลางคืนแบบนี้ แสงไฟของเมืองก็มีมนต์สเน่ห์ไปอีกแบบ พรุ่งนี้เรากะจะตื่นเช้าให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย ห้องเราอยู่มุมที่เห็นพอดีซะด้วยสิ เดี๋ยวเก็บภาพมาฝากกันนะคับ Sunrise อรุณสวัสดิ์คร้าบบบบบบ ไม่ผิดหวังเลยจริงๆที่ตื่นมาชมตะวันแรกขึ้น จากห้องของเราดวงอาทิตย์ขึ้นตรงมุมตึกมหานครพอดิบพอดีราวกับรู้คิว ถ่ายรูปกันรัวๆจนเกือบลืมอาบน้ำแปรงฟันไปกินมื้อเช้าเลยครับ นอกจากพระอาทิตย์จะสวยแล้ว แสงที่ทอดเข้ามาในห้องก็ชวนฝันมากครับ Breakfast Buffet at Flow กลับมาที่ห้องอาหาร Flow กันอีกรอบ แต่วันนี้คนละอารมณ์กันเลย ทั้งบรรยากาศ ความคึกคัก (คนเยอะกว่าเมื่อวานมาก) และตัวอาหารที่เสิร์ฟ เมื่อวานเราเลือกนั่งด้านในเพราะกลัวยุง เช้านี้เลยถือโอกาสนั่งด้านนอกซึมซับ Vibe ริมเจ้าพระยากันซักหน่อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ต่างจากเมื่อวานก็คือความอิ่มครับ อิ่มจนพุงอืดแขม่วไม่อยู่เลย ล่ะ นี่ขนาดเราเลือกมาแค่บางอย่างและกินกันไม่หมดด้วยซ้ำ เค้ามีอาหารให้เลือกเยอะจริงๆครับ ทั้งแบบเอเชียและตะวันตก The Beach: Infinity Pool อิ่มขนาดนี้ต้องเดินย่อยกันซักหน่อย เราเลยตัดสินใจเดินชมโรงแรมรอบๆ และขึ้นไปชั้น 4 ซึ่งมีทั้ง Fitness และสระว่ายน้ำที่มีคอนเส็ปต์จำลองชายทะเลมาตั้งริมแม่น้ำ จึงมาในชื่อ The Beach คราวนี้เรามีเวลาน้อยก็เลยไม่ได้ลงเล่นน้ำ แต่แค่ได้เห็นเด็กๆเล่นน้ำกันสนุกสนาน และหนุ่มๆสาวๆโพสท่าถ่ายรูปกันก็ทำให้เรารู้สึกสนุกตามไปด้วยแล้วครับ Wrapping Up Our Stay สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Millenium Hilton Bangkok ก็คือทำเลครับ เพราะพิกัดที่ตั้งตรงนี้มอบคุณค่าให้กับลูกค้าเต็มๆทั้งในแง่ความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยว (ทั้งทางเรือ ทางรถยนต์ หรือ BTS) และการช้อปปิ้ง ที่เลอค่าที่สุดก็คือวิวกรุงเทพฯบนคุ้งน้ำเจ้าพระยาที่เห็นได้จากห้องพักทุกห้อง รวมถึงวิว 360 องศาจากดาดฟ้าชั้นบนสุดของอาคารด้วย เสียดายไม่ได้เอาโดรนมา ไม่งั้นจะบินเก็บภาพรอบใหญ่มาฝากกัน การที่ทางโรงแรมวางตำแหน่งตัวเองให้รองรับแขกทุกกลุ่มในทุกช่วงวัยก็ทำให้การบริการต่างๆนั้นเข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อน แต่ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานสากลตามแบบฉบับ Hilton ทั้งหมดนี้นั้นมาในราคาที่จับต้องได้ และด้วยข้อเสนอพิเศษแบบที่มีอยู่ในตอนนี้ (เริ่มต้นเพียง 2,150 บาทเมื่อใช้สิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน) พร้อมกับส่วนลดและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกหลายรายการก็ยิ่งคุ้มค่าทวีคุณมากขึ้นไปอีก Millenium Hilton Bangkok จึงเหมาะกับคนแทบทุกกลุ่ม เราเองก็ดีใจที่มีโอกาสมาใช้บริการที่นี่ เราได้สัมผัสมุมมองของอีกมุมกรุงเทพฯที่ต่างไป และหากมีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักในต่างจังหวัดที่อยากเข้ามาเที่ยวหรือช้อปปิ้งในกรุงเทพฯ Millenium Hilton Bangkok ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมากๆเลยครับ ข้อเสนอพิเศษสุดทั้งจากโรงแรมและโครงการ #เราเที่ยวด้วยกัน เสือกิน เอาใจสายกิน 🐯🍔 𝐅𝐨𝐨𝐝𝐢𝐞 𝐒𝐭𝐚𝐲𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧 แพ็กเกจประกอบด้วย: ⭐️ อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ⭐️ เครดิตอาหารมูลค่า 2,000 บาท ต่อห้อง ต่อคืน สำหรับรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม บริการรูมเซอร์วิส ราคาเริ่มต้น 2,848 บาท หลังหักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน จองโดยตรงที่ https://bit.ly/MHBFoodieStaycationTH เสือนอน เอาใจสายชิล 🐯🛏️ 𝐒𝐰𝐞𝐞𝐭𝐞𝐧 𝐘𝐨𝐮𝐫 𝐒𝐭𝐚𝐲 แพ็กเกจประกอบด้วย: ⭐️ อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ⭐️ ส่วนลด 25% สำหรับบริการต่างๆ ของโรงแรม ราคาเริ่มต้น 2,150 บาท หลังหักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน จองโดยตรงที่ https://bit.ly/MHBSweetenTH 🔥 จองล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วันก่อนวันเข้าพักเท่านั้น ⛔️ ไม่สามารถใช้สิทธิ์ในจังหวัดเดียวกันกับทะเบียนบ้านได้ 📅 จองเพื่อใช้สิทธิ์ได้ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 และเข้าพักได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ขั้นตอนการจอง และการแจ้งใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน https://bit.ly/MHB_HowToBookWTT สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 📞 02 442 2000 📧 bkkhi.reservations@hilton.com 💬 LINE@: https://bit.ly/MHBLINE #LetsHoparound #Bangkok #HopStay #MillenniumHiltonBangkok #WeTravelTogether #EatSleepTiger #TopPicks #Staycation #Special #โปรเด็ด #ดีลสุดคุ้ม #เราเที่ยวด้วยกัน #Travel
- SOHO HOUSE BANGKOK โซโหเฮ้าส์ กรุงเทพฯ บ้านใหม่สายครีเอทีฟแห่งที่ 3 ในเอเชีย
SOHO HOUSE BANGKOK บ้านใหม่สายครีเอทีฟแห่งที่ 3 ในเอเชีย Soho House คือคลับเฮ้าส์แสนเก๋สำหรับชาวครีเอทีฟสายตรงสุด Exclusive ที่เปิดต้อนรับเฉพาะสมาชิกและเพื่อนของสมาชิกเท่านั้น ก่อตั้งในปี 1995 โดยคุณ Nick Jones ที่ Soho ลอนดอน ปัจจุบันได้ขยายออกไปเป็นกว่า 40 เฮ้าส์ทั่วโลก และมี Properties ที่กำลังต่อคิวเปิดตัวอีกหลายแห่ง โดยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ก็เป็นคิวกรุงเทพมหานครฯของเราซึ่งนับเป็น Soho House แห่งที่ 3 ในเอเชีย ถัดจากมุมไบและฮ่องกง และด้วยนโยบาย No Photo หลังจากเปิดให้บริการ ทำให้วันนี้เป็นโอกาสพิเศษจริงๆที่เพื่อนๆชาว #Hopsters ที่จะได้เห็นแทบทุกซอกมุมของ Soho House Bangkok ก่อนใคร ไปดูกันเลยครับ Soho House Bangkok นั้นตั้งอยู่ในอาคารสไตล์ไทยประยุกต์ 3 ชั้นในซอยสุขุมวิท 31 เดิมเคยเป็นโรงแรม The Eugenia ก่อนที่ทีมออกแบบ In-House ของ Soho House จะบินตรงมาดูแลรายละเอียดทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่การดีไซน์ เสาะหาวัสดุ ไปจนถึงงานก่อสร้างเพื่อความครบในตัวตนของแบรนด์ที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม เควิร์กกี้แต่ก็อบอุ่น สวยเนี้ยบแต่กลับไม่ทำให้เกร็ง เรามาเริ่มต้นกันที่ล่างกันนะครับ งานดีไซน์ต่างๆนั้นมีแรงสั่นนุ่มๆแต่หนักแน่นให้เราสัมผัสตั้งแต่นาทีที่ก้าวเท้าเข้ามาที่ Reception ชั้นล่างนี้จะประกอบไปด้วยบาร์ เลานจ์ และสระน้ำที่สวยทุกห้องทุกมุมจริงๆ สมาชิกสามารถสั่งดริ้งค์มานั่งจิบระหว่างพักผ่อน ทำงาน หรือสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆกับชาวครีเอทีฟที่มีรสนิยมคล้ายๆกันได้ งานผ้าไหมส่วนมากทั้งที่เป็นม่านและเป็นแผ่นบุผนังนั้นเป็นของ Jim Thompson ที่สั่งทำพิเศษให้เฉพาะที่นี่เท่านั้น ส่วนงานอาร์ทที่ทีมเลือกมาประดับนั้นล้วนเป็นงานของศิลปินชาวไทย เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นงานของ Soho House โดยเฉพาะซึ่งมีขายอยู่ในร้าน Soho Home ร้านเฟอร์นิเจอร์ของแบรนด์ด้วย ชั้นสองเป็นโซนห้องอาหารที่มีการนำเข้าอุปกรณ์ Cutlery และแก้วคริสตัลที่ใช้ในการเสิร์ฟเครื่องดื่มมาจาก Soho House ที่อังกฤษโดยตรงเลย นอกจากนี้ยังมีเมนูของ Soho House ที่เหมือนกันทั่วโลก ควบคู่ไปกับเมนูเฉพาะของคลับเฮ้าส์ฝั่งกรุงเทพฯด้วย รายละเอียดของงานดีไซน์บนชั้น 2 นี้สวยงามและเนี้ยบไม่แพ้ชั้นล่าง เพิ่มเติมคือมีการนำงานหินอ่อนแผ่นใหญ่ (ลายสวยมากกกก) และงานสลักไม้บุผนังที่ต้องใช้ฝีมือช่างเฉพาะทางมาใช้ประดับด้วย นอกจากนี้บนชั้น 2 ยังมีโซนระเบียงเอ้าท์ดอร์ และห้องประชุมขนาดกระทัดรัดแต่หรูหราเอาเรื่องสำหรับให้สมาชิกจองเพื่อใช้งานด้วย ชั้นบนสุดเป็นห้องจัดงาน Event ที่สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้เหมาะทั้งงานกลางวันและกลางคืนได้ ในช่วงที่เราเข้าไปห้องนี้ถูกจัดไว้ให้มีลักษณะเหมือน Music Lounge มีเวทีเล็กๆเหมาะกับการทำการแสดงดนตรีหรือ Stand-Up Comedy แบบ Exclusive ได้ด้วยครับ ปกติแล้ว Soho House ในแต่ละที่ก็จะมี Facilities ที่ต่างกันไปตามลักษณะของ Space บางแห่งเป็นฟาร์ม บางแห่งเป็นโรงแรม บางแห่งก็มีสปา และโคเวิร์คกิ้งสเปซ สำหรับที่กรุงเทพนั้นมีลักษณะเหมือนเป็นจุดนัดพบของชาวครีเอทีฟที่สมาชิกสามารถเข้ามาใช้พื้นที่และชวนเพื่อนๆมาได้อีก 3 คน หรือหากสมาชิกต่อการเชื่อมต่อกับคนในวงการสร้างสรรค์ที่สาขาอื่นๆในโลกก็ให้ทาง Soho House ช่วยประสานงานให้ได้ด้วยนะครับ สำหรับชาว #Hopsters ที่สนใจสมัครสมาชิกสามารถดูรายละเอียดได้ทางหน้าเวป https://www.sohohouse.com/thailand/ นะครับ #LetsHoparound #Bangkok #SohoHouse #SohoHouseBangkok www.hoparound.co