top of page
black-01.png

Search Results

126 results found with an empty search

  • KYOTO

    “เกียวโต” เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในโลกที่ใจเราร่ำร้องอยากจะไปแล้วไปอีกไม่รู้เบื่อ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่ามันคงมีเวทมนตร์บางอย่างปกคลุมเมืองทั้งเมืองเอาไว้ ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องที่ดูเรียบๆเก่าๆนั้น เกียวโตซ่อนเสน่ห์ที่น่าค้นหาไว้ในทุกซอกหลืบ จิตวิญญาณวิถีเซน แนวคิดมินิมัลลิสต์ และปรัชญาวาบิซาบิ ดูเหมือนจะประสานพลังกันเป็นฐานที่แข็งแรง เอื้อให้รากเหง้าทางวัฒนธรรมของเกียวโตได้หยั่งลึกลงดิน และเติบโตแตกกิ่งแตกใบสะพรั่งไปในอากาศให้ทั้งความร่มรื่น และรื่นรมย์กับทุกคนที่ได้มาสัมผัส สวนเซ็นภายในวัด Tofuku-ji ไม่ว่าจะเป็นวัดโบราณที่สวยสะกดกว่า 1,600 แห่ง ร้านรวงเฉพาะทางที่ขายของจากภูมิปัญญาโบราณอันละเอียดประณีต ร้านสมัยใหม่ดีไซน์เนี้ยบทั้งจากเกียวโตเองและจากที่อื่นๆ คาเฟ่เบเกอรี่ชิคๆ โรงน้ำชาทั้งแบบดั้งเดิมและแบบทันสมัย ร้านอาหารชวนน้ำลายสอ ตลาดสดที่มีแต่ของน่าซื้อน่าลอง รวมถึงความสะดวกสบายที่เราคุ้นเคยในเมืองอื่นๆทั่วไป ต่างก็มีที่มีทางของตัวเองในเกียวโต และโผล่มาให้เราได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้อย่างถูกจังหวะ นอกจากเอกลักษณ์แห่งความเป็นญี่ปุ่นที่เข้มข้นสุดๆแล้ว (เพราะเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นมากนานกว่า 1,000 ปี) วิถีสโลว์ไลฟ์ของผู้คนในเกียวโตก็ดูทันสมัยเป็นปัจจุบัน และเป็นธรรมชาติไม่ประดิษฐ์ จังหวะชีวิตของเมืองจึงถูกเผยออกมาในท่วงทำนองที่สบายๆ ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป และเราก็แฮปปี้ที่ได้หย่อนใจไปกับจังหวะของเกียวโต ร้านกาแฟ % ARABICA KYOTO สาขา HIGASHIYAMA

  • Millennium Hilton Bangkok ยลเมืองกรุงบนคุ้งน้ำกับประสบการณ์ฉบับฮิลตัน

    Millennium Hilton Bangkok ยลเมืองกรุงบนคุ้งน้ำกับประสบการณ์ฉบับฮิลตัน Millennium Hilton Bangkok เป็นโรงแรม Full-Service แบรนด์อเมริกันที่มีทำเลยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพราะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้วิวคุ้งน้ำและตึกระฟ้าของเมืองกรุงแบบกวาดตาไปได้ยาวๆไม่รู้จบ อยากช้อปปิ้งก็เดินไปห้าง ICONSIAM ที่แทบจะอยู่ติดกันได้ทันที พร้อมเดินทางสะดวกทั้งทางรถยนต์ เรือ หรือ BTS สายสีทองที่มีสถานีอยู่หน้าโรงแรมเลย ที่นี่ออกแบบสถานที่และบริการมาเพื่อตอบโจทย์แขกทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ทั้งนักเที่ยว นักช้อป หรือจะแค่มา Staycation เปลี่ยนบรรยากาศแบบในเคสของเราก็เหมาะเจาะเช่นกัน ในวันนี้ Millenium Hilton Bangkok เพิ่งจะทำการ Renovate ใหญ่เสร็จเรียบร้อยไป ตั้งแต่ Lobby ห้องอาหาร (5 ห้อง) ห้องประชุม สระว่ายน้ำ และห้องพักทั้ง 533 ห้องที่หันเทควิวแม่น้ำทั้งหมด ทำให้อาคารสูง 32 ชั้นริมน้ำแห่งนี้ดูสวยงามทันสมัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่ดีงามที่สุดก็คือ ตอนนี้ทางโรงแรมมีข้อเสนอสุดคุ้ม ห้องพักราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 2,150 บาท พร้อมส่วนลดและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย (ดูรายละเอียดโปรโมชั่นได้ที่นี่) ข้อเสนอสุดพิเศษ The Arrival โคมลอยหลายชิ้นถูกแขวนให้ลดหลั่นกันลงมาจากเพดานสูงของโถงทางเข้า Lobby เป็นสัญลักษณ์แทนศิริมงคลเพื่อต้อนรับผู้เข้าพักสู่โรงแรม แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Chandelier ที่เป็น Center Piece ห้อยยาวลงมาพร้อมกับการร้อยเรียงลูกปัดหลากสี (ไม่แน่ใจว่าเป็นคริสตัลหรือเปล่า) ให้เป็นรูปร่างปลากัดแบบกึ่ง Abstract ทางโรงแรมแจ้งว่าแนวคิดหลักของงานดีไซน์ในการ Renovate ครั้งนี้ก็คือวัฒนธรรมของชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา และปลากัดก็แสดงออกถึงวิถีชีวิตของผู้คนริมชายฝั่งแม่น้ำสายหลักแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี Our Room: Panoramic Executive Suite หลังจากทำเรื่องเช็คอินที่ล็อบบี้เสร็จแล้ว เราก็ขึ้นลิฟท์มาที่ห้องพักของเราและพบกับเซอร์ไพร้ส์เล็กๆเป็นสติ๊กเกอร์ Hilton Clean Stay ปิดผนึกอยู่ที่มุมประตูกับผนังที่ตั้งฉากกันอยู่เพื่อบ่งบอกว่าห้องของเราได้ผ่านการทำความสะอาดตามมาตรฐาน SHA และเราจะเป็นคนแรกจริงๆที่ได้เข้าไปใช้ห้องหลังจากที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เมื่อเปิดเข้ามาในห้องแล้วก็ไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถแย่งความสนใจของเราได้มากไปกว่าวิวพาโนราม่าของคุ้งน้ำเจ้าพระยาและบรรดาตึกสูงที่สลับกันเสียดฟ้าเรียงรายไปจนสุดลูกหูลูกตา เป็นวิวที่ปังซะจนเราลืมสำรวจความดีงามของการตกแต่งห้องพักไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้จึงเริ่มเห็นว่าภายในห้อง Panoramic Executive Suite ของเรานั้นก็ตกแต่งได้สวยเรียบ ครบครันและทันสมัยดูดีไม่แพ้วิวที่นอกหน้าต่างทีเดียว ขนาดเกือบ 70 ตร.ม.นั้นใหญ่เหลือเฟือ แบ่งเป็นโซนรับแขก (ห้องนั่งเล่น/ทำงาน) และโซนส่วนตัว (ห้องนอน/ห้องอาบน้ำแต่งตัว) ในโซนรับแขกนั้นมีทั้งโซฟาชุดใหญ่พร้อมทีวีจอเบ้อเร่อ โต๊ะทำงานแบบสมฐานะผู้บริหาร (ก็ห้อง Executive นี่เนอะ) พร้อมมุมมินิบาร์ที่มีของเตรียมให้ครบเลย และห้องน้ำที่แยกออกมาเป็นพิเศษสำหรับโซนนี้โดยเฉพาะ เราสะดุดตากับสีของพรมทรงกลมที่ปูรองชุดรับแขกซึ่งช่วยเพิ่ม Accent ให้ Space ดูน่าสนใจขึ้นได้อย่างกลมกลืน ถัดเข้าไปเป็นโซนห้องนอนที่ดูอบอุ่นน่านอน เทควิวต่อเนื่องเข้ามาจากโซนรับแขกผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เรียกได้ว่าตื่นนอนปุ๊บก็ตื่นตาตื่นใจกับวิวได้ทันทีเลย เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยเป็น Dressing Area ที่ให้พื้นที่เยอะพอสมควร อารมณ์ Walk-in Closet ที่เดินทะลุเข้าห้องน้ำได้สะดวกพอดี ภายในห้องน้ำก็สวยงามทันสมัย โซนอาบน้ำมีทั้งแบบแช่อ่างและฝักบัว ส่วน Amenities เป็นแบรนด์ Crabtree & Evelyn กลิ่น Verbena & Lavender ที่หอมสดชื่น Afternoon Tea at The Lantern พักผ่อนในห้องพักพอหายเหนื่อยกันแล้ว ก็ได้เวลา Afternoon Tea ที่ The Lantern ซึ่งเป็น Lobby Lounge ที่ได้ชื่อมาจากโคมลอยที่แขวนต่างระดับกันอยู่ใน Lobby เมื่อมองผ่านหน้าต่างกระจกแบบ Floor-To-Ceiling ออกไปก็จะเจอกับแผงต้นไม้ที่เขียวขจี ก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีเลยครับ ทาง Millenium Hilton Bangkok นั้นได้ Pastry Chef ชาวสวิสมาช่วยดูแลเรื่องขนมทั้งคาวหวาน จึงวางใจได้ในเรื่องฝีมือและสดใหม่ ส่วนชานั้นเสิร์ฟแบรนด์ Or Tea? ซึ่งเป็นแบรนด์ใบชาคุณภาพและโมเดิร์นจากฮ่องกง สำหรับชุด Signature Afternoon Tea ที่ยกขนมมาให้ทั้ง Shelf พร้อมเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำผลไม้หลากหลายจนเลือกไม่ถูกนี้มาในราคา 1,200 บาทสุทธิไม่บวกเพิ่ม / 2 ท่าน สามารถซื้อได้ผ่าน LINE SHOPPING ได้เลย eforea spa บ่ายนี้เรามีนัดนวด Aroma Therapy กันที่ eforea spa ของทางโรงแรม พนักงานนำน้ำมันมาให้เราเลือก 3 กลิ่นซึ่งทรีตเม้นต์ทั้งหมดของสปาแห่งนี้นั้นจะใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะของ Hilton เท่านั้นเพื่อป้องกันการระคายเคืองและช่วยบำรุงผิวด้วย พี่ๆ Therapist น้ำหนักมือดีมากครับ เพราะขึ้นเตียงไม่ทันไรเราก็รู้สึกผ่อนคลายจนหลับไปแบบไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่พี่เขาบอกให้พลิกตัวใกล้จบซะแล้ว เฮ้อออ...อยากนวดต่อยาวๆอีกซัก 3 ชั่วโมง 555 แต่เราก็มีโปรแกรมพาเพื่อนๆไปชมวิวบนดาดฟ้าของโรงแรมกันต่อ ThreeSixty Rooftop Bar ณ ชั้นบนสุดของโรงแรมริมแม่น้ำแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ ห้องอาหารถึง 3 เอ้าท์เล็ตส์ด้วยกัน อันแรกเป็น Executive Lounge ที่เปิดให้บริการแบบ Exclusive เฉพาะแขกที่พักห้อง Executive River View Room และ Panoramic Executive Suite เท่านั้น เอ้าท์เล็ตที่ 2 คือ ThreeSixty Jazz Lounge ซึ่งยังไม่เปิดให้บริการ ส่วนร้านที่ 3 คือร้านที่เราจะพาเพื่อนๆไปชมกันครับ ร้าน ThreeSixty Rooftop Bar นั้นตั้งอยู่บนดาดฟ้ากลางแจ้งบนชั้น 31 เสิร์ฟเครื่องดื่มทั้งแบบมีแอลกอฮอลและไม่มีแอลกอฮอล รวมถึงอาหารสไตล์ทาปาสที่อร่อยกันได้ง่ายๆเพลินๆด้วย ชื่อ ThreeSixty ก็น่าจะบอกใบ้อยู่ในตัวแล้วว่าสามารถเห็นวิวริมแม่น้ำของกรุงเทพฯได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว โดยเฉพาะถ้าเพื่อนๆได้ขึ้นไปบนลานจอด Helicopter เหมือนกับเรา (ลองสอบถามพนักงานดูก่อนนะครับ เพราะเป็นพื้นที่ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ) ก็จะได้เห็นวิวสุดหวิวแบบไม่มีอะไรกั้นจนเราแอบเสียวแว๊บเป็นระยะๆ ตรงนี้จะยิ่งงดงามเป็นพิเศษตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน สวยแค่ไหนขอให้ภาพอธิบายก็แล้วกันนะครับ Buffet Dinner at Flow อีกสิ่งหนึ่งที่โรงแรม Millenium Hilton Bangkok มีชื่อเสียงก็คือ Buffet Dinner ที่ห้องอาหาร Flow ซึ่งอยู่ชั้นล่างติดแม่น้ำเลยครับ อย่างแรกที่สังเกตเห็นก็คือความใหญ่โตโอ่อ่าของห้องอาหารที่น่าจะจุคนได้หลายร้อยคนรวมกันทั้งโซนภายในและภายนอก เพราะที่นี่นั้นใช้เสิร์ฟอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ด้วย (พรุ่งนี้เช้าเราจะพามาดูอีกครั้งนะครับ) ซึ่งหากวันไหนแขกเต็มก็อาจต้องรองรับมากกว่า 1,000 คน เนื่องจากโรงแรมมีห้องพักทั้งหมดถึง 533 ห้อง ครัวของ Flow เป็นครัวเปิดซึ่งมีหลายสเตชั่นทำให้เราสามารถดูการทำงานของเชฟไปด้วยได้แบบเพลินๆ กระเบื้องหลากสีที่ถูกนำมาใช้ตกแต่งห้องอาหารนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานกระเบื้องของวัดโพธิ์ แต่นำมาจัดเรียงเล่าเรื่องใหม่ให้ทันยุคสมัยมากยิ่งขึ้น ครัวใหญ่หลายสเตชั่นขนาดนี้แน่นอนว่าต้องมีอาหารหลากหลายมากๆ ตั้งแต่อาหารทะเล ซาชิมิ ซูชิ อาหารฝรั่ง เช่นเนื้ออบ มันอบ พาสต้า ไปจนถึงอาหารไทยอีกหลายอย่าง และติ่มซำเข่งเบ้อเริ่มเทิ่ม นี่ยังไม่รวมอีกฝั่งของห้องอาหารที่เสิร์ฟสลัด โคลด์คัท ชีสนานาชนิด ตลอดจนเบเกอรี่และขนมหวานทั้งไทยและเทศ น่าจะมีรางวัลให้สำหรับคนที่ทานครบหมดทุกอย่างนะครับ 5555 Turn Down เมื่อกี๊เราแวะไปเดิน ICONSIAM กันมาครับ โซน Luxury มีคิวต่อกันยาวหลายร้านเลย กลับมาถึงห้องพักก็พบกับน้องช้างวางอยู่บนเตียงเป็น Turn-down Gift ไว้ให้ด้วย กว่าเราจะอาบน้ำอาบท่าและนั่งเคลียร์งานจนเสร็จก็เริ่มดึกมากแล้ว และทุกครั้งที่ได้มองออกนอกหน้าต่าง เราก็ยังคงตกหลุมรักวิวจากห้องของเรา ยิ่งตอนกลางคืนแบบนี้ แสงไฟของเมืองก็มีมนต์สเน่ห์ไปอีกแบบ พรุ่งนี้เรากะจะตื่นเช้าให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย ห้องเราอยู่มุมที่เห็นพอดีซะด้วยสิ เดี๋ยวเก็บภาพมาฝากกันนะคับ Sunrise อรุณสวัสดิ์คร้าบบบบบบ ไม่ผิดหวังเลยจริงๆที่ตื่นมาชมตะวันแรกขึ้น จากห้องของเราดวงอาทิตย์ขึ้นตรงมุมตึกมหานครพอดิบพอดีราวกับรู้คิว ถ่ายรูปกันรัวๆจนเกือบลืมอาบน้ำแปรงฟันไปกินมื้อเช้าเลยครับ นอกจากพระอาทิตย์จะสวยแล้ว แสงที่ทอดเข้ามาในห้องก็ชวนฝันมากครับ Breakfast Buffet at Flow กลับมาที่ห้องอาหาร Flow กันอีกรอบ แต่วันนี้คนละอารมณ์กันเลย ทั้งบรรยากาศ ความคึกคัก (คนเยอะกว่าเมื่อวานมาก) และตัวอาหารที่เสิร์ฟ เมื่อวานเราเลือกนั่งด้านในเพราะกลัวยุง เช้านี้เลยถือโอกาสนั่งด้านนอกซึมซับ Vibe ริมเจ้าพระยากันซักหน่อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ต่างจากเมื่อวานก็คือความอิ่มครับ อิ่มจนพุงอืดแขม่วไม่อยู่เลย ล่ะ นี่ขนาดเราเลือกมาแค่บางอย่างและกินกันไม่หมดด้วยซ้ำ เค้ามีอาหารให้เลือกเยอะจริงๆครับ ทั้งแบบเอเชียและตะวันตก The Beach: Infinity Pool อิ่มขนาดนี้ต้องเดินย่อยกันซักหน่อย เราเลยตัดสินใจเดินชมโรงแรมรอบๆ และขึ้นไปชั้น 4 ซึ่งมีทั้ง Fitness และสระว่ายน้ำที่มีคอนเส็ปต์จำลองชายทะเลมาตั้งริมแม่น้ำ จึงมาในชื่อ The Beach คราวนี้เรามีเวลาน้อยก็เลยไม่ได้ลงเล่นน้ำ แต่แค่ได้เห็นเด็กๆเล่นน้ำกันสนุกสนาน และหนุ่มๆสาวๆโพสท่าถ่ายรูปกันก็ทำให้เรารู้สึกสนุกตามไปด้วยแล้วครับ Wrapping Up Our Stay สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Millenium Hilton Bangkok ก็คือทำเลครับ เพราะพิกัดที่ตั้งตรงนี้มอบคุณค่าให้กับลูกค้าเต็มๆทั้งในแง่ความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยว (ทั้งทางเรือ ทางรถยนต์ หรือ BTS) และการช้อปปิ้ง ที่เลอค่าที่สุดก็คือวิวกรุงเทพฯบนคุ้งน้ำเจ้าพระยาที่เห็นได้จากห้องพักทุกห้อง รวมถึงวิว 360 องศาจากดาดฟ้าชั้นบนสุดของอาคารด้วย เสียดายไม่ได้เอาโดรนมา ไม่งั้นจะบินเก็บภาพรอบใหญ่มาฝากกัน การที่ทางโรงแรมวางตำแหน่งตัวเองให้รองรับแขกทุกกลุ่มในทุกช่วงวัยก็ทำให้การบริการต่างๆนั้นเข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อน แต่ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานสากลตามแบบฉบับ Hilton ทั้งหมดนี้นั้นมาในราคาที่จับต้องได้ และด้วยข้อเสนอพิเศษแบบที่มีอยู่ในตอนนี้ (เริ่มต้นเพียง 2,150 บาทเมื่อใช้สิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน) พร้อมกับส่วนลดและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกหลายรายการก็ยิ่งคุ้มค่าทวีคุณมากขึ้นไปอีก Millenium Hilton Bangkok จึงเหมาะกับคนแทบทุกกลุ่ม เราเองก็ดีใจที่มีโอกาสมาใช้บริการที่นี่ เราได้สัมผัสมุมมองของอีกมุมกรุงเทพฯที่ต่างไป และหากมีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักในต่างจังหวัดที่อยากเข้ามาเที่ยวหรือช้อปปิ้งในกรุงเทพฯ Millenium Hilton Bangkok ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมากๆเลยครับ ข้อเสนอพิเศษสุดทั้งจากโรงแรมและโครงการ #เราเที่ยวด้วยกัน เสือกิน เอาใจสายกิน 🐯🍔 𝐅𝐨𝐨𝐝𝐢𝐞 𝐒𝐭𝐚𝐲𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧 แพ็กเกจประกอบด้วย: ⭐️ อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ⭐️ เครดิตอาหารมูลค่า 2,000 บาท ต่อห้อง ต่อคืน สำหรับรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม บริการรูมเซอร์วิส ราคาเริ่มต้น 2,848 บาท หลังหักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน จองโดยตรงที่ https://bit.ly/MHBFoodieStaycationTH เสือนอน เอาใจสายชิล 🐯🛏️ 𝐒𝐰𝐞𝐞𝐭𝐞𝐧 𝐘𝐨𝐮𝐫 𝐒𝐭𝐚𝐲 แพ็กเกจประกอบด้วย: ⭐️ อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ⭐️ ส่วนลด 25% สำหรับบริการต่างๆ ของโรงแรม ราคาเริ่มต้น 2,150 บาท หลังหักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน จองโดยตรงที่ https://bit.ly/MHBSweetenTH 🔥 จองล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วันก่อนวันเข้าพักเท่านั้น ⛔️ ไม่สามารถใช้สิทธิ์ในจังหวัดเดียวกันกับทะเบียนบ้านได้ 📅 จองเพื่อใช้สิทธิ์ได้ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 และเข้าพักได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ขั้นตอนการจอง และการแจ้งใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน https://bit.ly/MHB_HowToBookWTT สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 📞 02 442 2000 📧 bkkhi.reservations@hilton.com 💬 LINE@: https://bit.ly/MHBLINE #LetsHoparound #Bangkok #HopStay #MillenniumHiltonBangkok #WeTravelTogether #EatSleepTiger #TopPicks #Staycation #Special #โปรเด็ด #ดีลสุดคุ้ม #เราเที่ยวด้วยกัน #Travel

  • PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 2

    PARIS PART 2 8 neighbourhoods to visit เที่ยว 8 ย่านชิคๆ คูลๆ ในปารีส ใครๆก็รู้ว่า Paris นั้นขึ้นแท่นเป็นเมืองยอดนิยมที่สุดตลอดกาลเมืองหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานจนบางคนอาจรู้สึกว่า Paris กลายเป็นเมืองแมสที่ใครๆก็ไปกัน ไม่เท่เท่าเมืองใหม่ๆ ไม่ชิคเท่าเมืองที่ไปยากๆ แต่เชื่อเราเถอะว่า Paris ได้ตำแหน่งนี้มาอย่างสมศักดิ์ศรีเพราะนางมีดีมากเหลือเกินจริงๆ (อ่อ... คำว่า “ชิค” นี่ก็ภาษาฝรั่งเศสนะ) ทริปนี้เราจะพาคุณไป #hop ดู Paris ผ่าน 2 มุมมองที่ต่างกัน เพราะ 2 คนที่เดินทางไปด้วยกันนี้ คนหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อนและอีกคนเพิ่งจะได้เปิดซิง Paris เป็นครั้งแรกแม้ว่าเราจะใช้เวลาซ่อกแซ่กอยู่ในปารีส 11 วันเต็มๆ เราก็ยังเที่ยวไม่ครบเล้ยยยย ครั้งนี้เราใช้บริการการบินไทยและเราจ่ายเพียงค่าภาษี 6,xxx บาทเท่านั้น แต่ก็สามารถติดแฮชแทค #IflyThai #ThaiAirways ได้แบบไม่น้อยหน้าใคร ต้องขอบคุณพลังทวีในการสะสมไมล์ผ่านบัตรเครดิต THAI Amex Platinum Card ที่ทำให้เราสะสมไมล์ได้เร็วขึ้นผ่านการจับจ่ายซื้อของต่างๆในชีวิตประจำวัน และยิ่งถ้าซื้อตั๋วการบินไทยผ่านบัตรนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เราจะได้ไมล์สะสมหลายเด้ง แถมแบ่งชำระ 0% ได้ 3 เดือนอีกต่างหาก นอกจากหอไอเฟล มาการอง และกระเป๋าแบรนด์เนมที่ใครๆก็นึกถึงเมื่อพูดถึง Paris แล้ว ต้องบอกว่าเมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้คือแหล่งบ่มเพาะการสร้างสรรค์งานศิลปะ แฟชั่น อาหาร ดนตรี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เริ่ดหรูอย่างหน้าตายจนน่าหมั่นไส้ ถ้าเป็นคนชอบเดินดูเมือง ดูคน ดูร้าน ดูงานดีไซน์ไปเรื่อยคุณจะเอ็นจอย Paris มากๆ (โดยเฉพาะย่าน Le Marais ย่านโปรดของเรา) หลายสิ่งด้านลบที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับปารีส ไม่ว่าคนไม่เฟรนด์ลี่ หรือขโมยเยอะ มาคราวนี้เราไม่เจอเลย คนปารีสส่วนใหญ่ nice กับเรามาก (ยกเว้นเจ้าหน้าที่ Tax Refund ที่สนามบินขากลับ) และถ้าเทียบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าคนปารีสยุคนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมาก และไม่พยายามทำหงุดหงิดแก้เขินเหมือนเมื่อก่อน ผังเมือง Paris แบ่งง่ายๆเป็น 20 เขต (arrondissements) โดยวนเป็นก้นหอย เริ่มจากฝั่งขวาของแม่น้ำเซน (บริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ Louvre) แล้ววนตามเข็มนาฬิกาออกไปเรื่อยๆจาก 1 จนถึง 20 แต่สำหรับเราแล้ว วิธีที่ทำให้เห็นภาพรวมของ Paris ได้ง่ายกว่านั้นก็คือซีกตะวันตกของ Paris จะเป็นย่านพักอาศัยของคนมีเงินมาก และซีกตะวันออกเป็นย่านของคนมีเงินน้อย ส่วนซีกบนของ Paris (หรือฝั่งขวาของแม่น้ำเซน — La Rive Droite) จะเป็นย่านการค้า และซีกล่าง (หรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน — La Rive Gauche) จะเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียนและนักวิชาการ การเดินทางใน Paris นั้นง่ายมาก เพราะรถไฟใต้ดิน(Métro) เชื่อมต่อกันทั่วถึงทั้งเมือง และเชื่อมกับรถไฟออกไปถึงที่เที่ยวนอกเมืองอย่างพระราชวัง Verseille หรือ Euro Disney ด้วย ถ้าจะอยู่ใน Paris นานเป็นสัปดาห์อย่างเรา ขอแนะนำตั๋ว Navigo ที่มีทั้งตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือนซึ่งคุ้มค่ามากๆ สามารถทำได้ตามจุดบริการของสถานี Métro ใหญ่ๆ แอบกระซิบหน่อยว่าต้องเตรียมรูปถ่ายไปติดบัตรด้วยนะ แต่ถ้าไม่ได้เตรียมไป ตามสถานีก็มักมีตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติเอาไว้อำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว ส่วนที่พัก เราเลือกพัก AirBnB แถวสถานี Grands Boulevards ตั้งอยู่ในเขต 2 ซึ่งสะดวกมากกกก มีสถานี Métro อยู่ปากซอยเลย แม้พื้นที่จะแคบไปหน่อยตามมาตรฐานยุโรป แต่ราคาก็ถือว่าเป็นมิตร แถมโฮสก็ดีด้วย ไปถึงวันแรกเค้าจัดดินเนอร์ให้เลย 1 มื้อ พูดถึงอาหารการกิน ส่วนตัวแล้วปารีสเป็นเมืองที่หาอาหารอร่อยถูกปากค่อนข้างยาก และราคาค่อนข้างสูง แม้อาหารฝรั่งเศสจะมีชื่อก้องโลก แต่อาหารฝรั่งเศสที่อร่อยก็ไม่ได้หาได้จากร้านข้างทางทั่วไป บางร้านต้องจองล่วงหน้านานๆ ฉะนั้นถ้าอยากกินของดีทำการบ้านกันไปก่อนนะ ส่วนถ้าใครติดกาแฟอย่างเรา คนที่นี่กินกาแฟค่อนข้างจืดนะ อาจจะหาถูกปากเหมือนบ้านเรายากนิดนึง แต่เราก็แอบบอกพิกัดไว้ในนี้แล้วล่ะว่ามีร้านไหนบ้างที่ขายกาแฟที่รสพอถูกปากเรา อีกเรื่องคือ ภาษาฝรั่งเศส เป็นอะไรที่ออกเสียงยากสำหรับคนที่ไม่คุ้น หนึ่งในการออกเสียงที่เด่นชัดที่สุดคือการออกเสียงตัว r ซึ่งปกติก็จะเทียบเท่ากับตัว ร.เรือ ในภาษาไทย แต่ภาษาฝรั่งเศสจะออกเสียงตัวอักษรนี้ด้วยการเอาลมผ่านไปที่เพดานอ่อนของช่องปาก ประหนึ่งว่าจะขากถุย 5555 แต่ทำแบบซอฟท์ๆ เสียงที่ออกมาจะเป็นส่วนผสมของ ค.ควาย + ฮ.นกฮูก และเราเขียนออกมาเป็นภาษาไทยค่อนข้างยาก ถึงเขียนได้ก็อ่านยากอยู่ดี เช่น Paris = ปาคฮี หรือ Marais = มาคเฮ่ ดังนั้นเพื่อความสะดวกเราจึงขอเขียนแทนด้วย ร.เรือ ง่ายๆเลยละกันนะ สุดท้ายก่อนจะไป #hop กัน ร้านใน Paris ส่วนใหญ่ปิดวันอาทิตย์นะ ถ้าวางแผนจะมาก็ลองเช็ควันเวลากันให้ดีคร้าบบบ พวกแลนด์มาร์คและจุดช้อปปิ้งหลักๆอย่าง หอไอเฟล ถนน Champs-Élysées และห้างดังๆ เราขอข้ามไปเลยนะ น่าจะหาข้อมูลกันง่ายอยู่แล้ว เราพาไปดูอะไรที่ถูกจริตเรากันดีฝ่าาา . อ่ะถ้าพร้อมแล้วไปกัน Let’s Hop Around Paris... PARIS PART 2 Montmartre (มงมาร์ตร์ - เขต 18) ช่วงท้ายศตวรรษที่ 19 เมื่อค่าครองชีพในตัวเมืองชั้นใน Paris ขยับสูงขึ้น บรรดาจิตรกร และศิลปินชั้นครู ไม่ว่าจะเป็น โมเน่ต์ เรอนัวร์ มอนเดรียน ปิกัสโซ่ หรือแม้กระทั่งแวนโก๊ะห์ ต่างก็พากันย้ายสตูดิโอมารังสรร์งานศิลป์กันในย่านเนินเขาทางตอนเหนือของ Paris แห่งนี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นย่านศิลปะและย่านสถานบันเทิง (เช่น Moulin Rouge และ piano bars ต่างๆ) ที่มีคาแร็คเตอร์เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนย่านอื่น Getting there: Metro สถานี Anvers (สาย 2) หรือ สถานี Abbesses หรือสถานี Château Rouge (สาย 12) มีร้านอาหารให้พักขาก่อนเดินขึ้นบันไดไปยังมหาวิหารซาเคร-เกอร์ ทำเลร้านนี้คือสุดจริง ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนเป๊ะ Location: https://goo.gl/maps/BCMde9PySm5yuit59 หัวใจหลักของย่านนี้คือมหาวิหาร Sacré Coeur (ซาเคร-เกอร์) แหม แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น “หัวใจศักสิทธิ์” หลังสีขาวสง่า ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเนินเขามงมาร์ตร์ ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวยอดฮิตอีกจุดที่สามารถมองเห็นเมืองปารีสได้ทั้งเมือง แม้ต้องเดินขึ้นมาเหนื่อยหน่อย แต่วิวคือคุ้มมาก (ถ้าฟ้าเปิด) และคนก็จะเยอะมากเช่นกัน 5555 Location: https://goo.gl/maps/MRWoKBvh58susbj36 หลังจากชมมหาวิหารซาเคร-เกอร์แล้ว เราเลือกที่จะเดินลงอีกทาง เพื่อจะไปสนามบาสเก็ตบอลที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Playground Duperré สนามบาสเก็ตบอลสีสุดจัดจ้าน ทำให้ย่านนี้ดูสดใสขึ้นมาทันตา Location: https://goo.gl/maps/UvJfiGk8ibyNY6vaA Rose Bakery ร้านโปรดตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว อย่าบอกใครไปล่ะว่า ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังเนินเขามงมาร์ตร์ จะมีร้าน A.P.C. Surplus ซึ่งเป็นเสมือนเอ๊าท์เล็ตเล็กๆไว้คอยระบายของจากคอลเล็คชั่นก่อนๆในราคาพิเศษ ลด 40-60% ให้เราแวะเสียตังค์อีกด้วย ซึ่งร้าน A.P.C. Surplus มีเพียงไม่กี่สาขาบนโลกนะ เช่น นิวยอร์ก ปารีส โตเกียว โอซาก้า บอกเลยว่าคุ้มมว้าก ใครผ่านมาอย่าลืมแวะนะ รับรองได้ของดีๆไปครอบครองอย่างแน่นวลลลล Location: https://goo.gl/maps/EUyMDG8rHNwkutBT7 ย่านอินดี้ริมคลองซางต์-มาร์ตัง ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากย่านหลักที่เต็มไปด้วยทัวริสต์ มาที่นี่ได้เลย (แต่ถ้าเป็นช่วง high season ยังไงก็หลบทัวริสต์ไม่พ้นนะ) ที่นี่เป็นย่านสุดฮิปที่หนุ่มสาวชาวปารีเซียง นิยมออกมาปิคนิคและพบปะสังสรรค์ริมสองฝั่งคลอง โดดเด่นไปด้วยกราฟิตี้เท่ๆตามถนน มีบาร์และร้านอาหารเก๋ๆอยู่ในย่านนี้เยอะมาก ถ้ามากลางคืนก็จะได้บรรยากาศที่แตกต่างไป คนก็จะมาดินเนอร์กันทำให้คึกคักไปอีกแบบ Getting there: Metro สถานี Jacques Bonsergent ร้านแรกที่เรามากินอาหารเช้าเลยก็คือ Holybelly 5 “Where Good Coffee Meets Good Food” ร้านนี้เป็นที่นิยมมากๆใน Paris ว่ากันว่าร้านเค้าได้รับแรงบันดาลใจจากคาเฟ่ของประเทศออสเตรเลีย บรรยากาศในร้านนี่ดู lively มาก โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานอย่างสนอกสนใจลูกค้าไป ฮัมเพลงไป และเพลงที่นี่ก็เลือกมาดีจริงๆ มีพี่พนักงานคนไทยด้วย ใจดีมากเลย แนะนำทุกอย่าง แอบเม้าท์ว่าเจ้าของร้านใจดีมาก ชอบทำเซอร์ไพร้ซ์พนักงาน ช่วงคริสต์มาสก็แอบเอาเสื้อยืดที่สั่งผลิตพิเศษไปซ่อนไว้ใต้ต้นคริสต์มาสให้พนักงานทุกคน ที่สำคัญรสชาติอร่อยใช้ได้เลย ใครมาสายต้องต่อคิวยาวเลยแหละ ร้านนี้เปิดทุกวันตั้งแต่ 9:00–17:00 Location: https://goo.gl/maps/XNhcuu7m2KhvkFaz5 Green Factory ร้านขายต้นไม้น่ารักมาก Liberté ร้านขนมปังสไตล์ฝรั่งเศส Drapeau Noir ร้านเสื้อผ้าผู้ชาย ดีไซน์ดี ราคาค่อนไปทางสูง เราเกือบเสียเงินไปแล้วววว Location: https://goo.gl/maps/zbE52jffau1b4Vos7 เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอคลอง St. Martin ที่เป็นโลเคชั่นถ่ายหนังหลายเรื่องเลย บรรยากาศแถวนี้ชิลมากกก แถมสองข้างทางก็มีร้านดีๆ เต็มไปหมดเลย ชอบ Paris ตรงที่ ตรงไหนก็สามารถสร้างงานอาร์ตได้ ดูจากการเพ้นกำแพงลายต่างๆ ลายกราฟิตี้ยุ่งๆ ยังดูสวยเลยอะ คนส่วนใหญ่แวะลงสถานี Palais Royal - Musée du Louvre เพื่อเดินลงต่อไปทางทิศใต้ไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ แต่คราวนี้เราขอละแลนด์มาร์คปีรามิดชื่อดังไว้ก่อน จึงพา #hop ไปทางทิศเหนือ ไปทางสถานี Bourse Palais Royal เดิมที่เป็นที่พำนักของ Cardinal Richelieu ผู้ทรงอำนาจทั้งทางศาสนาและการเมืองในช่วง 1585-1642 ปัจจุบันแปลงสภาพกลายเป็นย่านร้านค้า และร้านอาหารมีระดับ หลายร้าน โดยเฉพาะร้าน Le Grand Véfour ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็น “grand restaurant” ร้านแรกในปารีส พร้อม 3 ดาวมิชลินการันตีความพรีเมี่ยม แม้แต่นโปเลียนก็ยังเคยเป็นแขกของที่นี่ Getting there: Metro สถานี Palais Royal Musée du Louvre สาย 1, 7 Palais Royal เป็นที่หลบความวุ่นวายที่แสนเพอร์เฟ็คท์ จากนักท่องเที่ยวที่มักพลุกพล่านอยู่ทั่วไปในเขต 1 ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Café Kitsuné สำหรับแฟนๆของแบรนด์จิ้งจอก และเป็นอีกพิกัดสำหรับผู้โหยหารสชาติกาแฟที่ถูกปากเหมือนอย่างในแถบเอเชีย Location: https://goo.gl/maps/EFXsUvWdUAUjxNU86 สวนของ Palais Royal นั้นก็มีความ “iconic” อย่างมาก เพราะ เรียงรายไปด้วยต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นทรงสี่เหลี่ยม ยิ่งถ้ามาในช่วงหน้าร้อน เราก็จะเห็นพุ่มสี่เหลี่ยมสีเขียวเรียงกันเป็นแถวๆ เหมาะแก่การโพสท่าถ่ายรูปอย่างยิ่ง สิ่งที่เป็น “iconic” อีกอย่างก็คืองานประติมากรรมที่มีชื่อว่า “Les Deux Plateaux” โดย Daniel Buren สร้างขึ้นเมื่อปี 1986 เป็นอีกหนึ่งงานคอนทราสต์ที่เอาอาร์ทสมัยใหม่มาตัดกับอาร์ทแบบคลาสสิค ซึ่งเป็นเสน่ห์ของ Paris งานชิ้นนี้มีลักษณะเป็นเสาทาสีขาวสลับดำสูงต่ำไม่เท่ากันกว่า 280 ต้น ใครมาเห็นแล้วก็คงอดถ่ายรูปไม่ได้ แล้วเราจะเหลือเรอะ นอกจากนี้ยังมีช็อปของแบรนด์เริ่ดๆ เช่น Stella McCartney, Rick Owen, Acne Studios ด้วย เราแอบถูกใจกับร้าน Maison de l’Ambre ร้านขายอำพันทั้งในเรื่องดีไซน์และราคาที่ถูกกว่าในเมืองไทย รอบๆนอกของ Palais Royal ยังมีช็อปเก๋ๆ ของทั้ง Maison Margiela และ Maison Kitsuné ด้วยนะ เดินขึ้นทางทิศเหนือมาหน่อยก็จะเจอกับ Passage ที่ดูหรูหราที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ใน Paris และมีอายุเกือบ 200 ปีที่ชื่อว่า Galerie Vivienne อยากถ่ายรูปข้างในมาให้ดูมากๆ แต่ดันเหลือบไปเห็นป้ายห้ามถ่ายรูปเฉพาะด้านในด้วย สิ่งที่เตะตาตั้งแต่แรกเข้ามาก็คงจะเป็นร้านหนังสือโบราณชื่อ Gribaudo Paul ที่คูลหนักมาก เห็นลูกหมูสามตัวนั่นไหมภายในยังมีร้านอาหารชื่อ Le Grand Colbert ซึ่งถูกใช้เป็นฉากในหนังเรื่อง Something’s gotta give อีกด้วย เดินเลาะมาอีกนิด ก็จะพบกับออฟฟิศของ Celine, Kenzo และ Marc Jacobs ซึ่งก็คงจะบอกถึงความเก๋ของย่านนี้ได้อยู่พอควร แต่ถึงไม่มีแบรนด์เหล่านี้ ลำพังตึกรามบ้านช่องก็ดูน่ายกกล้องขึ้นมาชักภาพรัวๆได้ไม่รู้เบื่อเลยล่ะ ป้อมโฆษณาริมถนนสไตล์ปารีเซียง ป้ายสถานี Métro ที่เขียนด้วย Font สไตล์ Art Nouveau อันเป็นเอกลักษณ์ Sentier-Grands Boulevards (ซองทีเย่-กร็องด์ส์ บูลเลอวาร์ดส์ - เขต 2) ย่านนี้ไม่ใช่ย่านนักท่องเที่ยว แต่เป็นย่านใกล้ที่พักที่เราเดินผ่านประจำ และรู้สึกว่ามีเสน่ห์ที่ไม่เสแสร้งซุกซ่อนอยู่มากมาย แต่เดิมย่านนี้เป็นแหล่งผลิตภัณฑ์สิ่งทอ แต่ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นแหล่งออฟฟิศธุรกิจ Start-up จนได้รับฉายาใหม่ว่า Silicon Sentier Getting there: Métro สถานี Richelieu - Drouot เสน่ห์ของย่านนี้ก็คือ passage โบราณที่ตกแต่งอย่างงดงาม (passage หมายถึง ช่องทางเดินที่มีร้านค้าอยู่ 2 ข้างทางและมีหลังคาคลุม) เช่น Passage Jouffroy และ Passage des Panoramas ตามซอกซอยของย่านนี้ ชาว #hopsters จะได้พบกับร้าน concept store เก๋ๆอย่าง L'Appartement Sézane ที่เราปักหมุดตั้งใจจะไปให้ได้ตั้งแต่ยังหาข้อมูลอยู่เมืองไทย เหมาะกับสาวๆ ร้านนี้ก็มีสาขาที่นิวยอร์กด้วยนะ ร้านที่เราไปแวะกินวันแรกนั้นคือร้านชื่อ Bouillon Chartier แนะนำโดยโฮสต์ของเรา (คงคิดเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว) แต่เราก็ไปนะ เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราก็ไม่เคยได้ลองเหมือนกัน Location: https://goo.gl/maps/EDXn41whoyoUzeKZ6 อีกร้านชื่อ Nous เป็นร้านอาหารสมัยใหม่ที่รูปลักษณ์ของร้านกระตุ้นความอยากให้เราเข้าไปใช้บริการตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเดินผ่าน และได้เข้าไปชิมในที่สุด อาหารที่นี่นั้นแนว Mexican ผสม American (แต่ตั้งอยู่ในฝรั่งเศส งงมะ) ให้อารมณ์เหมือนจะเฮลธ์ตี้แต่ก็เสิร์ฟฟรายส์นะ รวมๆคือให้ 3.8 เต็ม 5 ละกัน เรื่องที่พัก (พักแถวนี้สะดวกจริงๆ) เราเจอโรงแรมที่สไตลิชน่าพักมากๆอยู่ 2 โรงแรมที่เราเองก็อยากลอง ถ้าไม่ได้จอง AirBnB มาซะก่อน นั่นก็คือโรงแรม The Hoxton ที่เท่ คูล และเอ็ดจี้มากๆ ลองเข้าไปดูรูปเพิ่มเติมในเวปดูเองแล้วกันนะว่าดีงามขนาดไหน (https://thehoxton.com/france/paris/hotels) และอีกที่ก็คือ Hôtel des Grands Boulevards ที่ดีงามไม่แพ้กัน (https://www.grandsboulevardshotel.com/) ร้าน Crème de Paris นางเคลมตัวเองว่ามีเครปและวาฟเฟิ่ลที่ดีที่สุดในปารีสนะ ICI librairie ร้านหนังสือแถวที่พักเราสองชั้นใหญ่ใช้ได้ด้านในหนังสือครบทุกแนว มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศษ พวกเครื่องเขียนอะไรก้มีครบนะ และยังมีร้านคาเฟ่เล็กตั้งอยู่กลางร้านด้วย ใครอยากจะนั่งชิลทำงานอ่านหนังสือจิบกาแฟที่นี่แนะนำเลยคร้าบ Location: https://goo.gl/maps/2xhZ8P73gotM8mG69 เดินมาทาง Sentier เรื่อยๆ เราก็จะพบกับร้านค้าน่าสนใจกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณ ใครอยากจะหลบเลี่ยง“ความทัวริสตี้” ขอให้มาย่านนี้ เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ดูมีดีไซน์และมีคุณภาพ ตั้งแต่ร้านแฟชั่น ร้านเครื่องสำอางค์ ร้านขนม ร้านอาหาร ไปจนถึง supermarket แนวเฮลธ์ตี้ คือไม่ใช่ร้านแนวตีหัวนักท่องเที่ยวเข้าบ้านเหมือนในย่านท่องเที่ยว อ่อ.. บริเวณนี้มีร้าน COS และ Yohji Yamamoto ด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีตรอกอาหารในตำนาน อย่าง Rue Montorgueil (รู มงตอร์เกย) ที่ดูมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยนักกินและนักท่องเที่ยว จะเข้าร้านไหนก็ต้องศึกษาดูดีๆนะ เพราะทุกทำเลทองก็จะมีทั้งตัวจริงและตัวปลอมมาฉวยโอกาสกับนักท่องเที่ยวเหมือนกันทุกที่ หนึ่งในร้านที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็น Stohrer ร้านขายขนมที่เก่าแก่ที่สุดใน Paris ก่อตั้งขึ้นในปี 1730 หรือเกือบ 300 ปีมาแล้ว 8 ย่านที่เรายกมาแนะนำนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของความดีงามที่ Paris มีให้ไปเยี่ยมชม เมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้ยังมีของดีอีกเยอะมากๆ เราถ่ายรูปจนหมด memory card ไปหลายแผ่น และยังสามารถเอามาลงได้อีกหลายโพสต์ ดังนั้นติดตามกันต่อนะค้าบบบ . #LetsHoparoundPARIS #LetsHoparound #Travel #Amex #EarnMilesFaster #Paris #ParisCityGuide #เที่ยวปารีส #ปารีส #เมืองปารีส #ช็อปปิ้งในปารีส #คาเฟ่ในปารีส #รีวิวปารีส #เที่ยวปารีสด้วยตัวเอง #ฝรั่งเศส #เที่ยวฝรั่งเศส #ปารีสไปไหนดี #ไปไหนดีในปารีส #ช็อปอะไรที่ปารีส #ร้านดีๆในปารีส PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 1

  • SOHO HOUSE BANGKOK โซโหเฮ้าส์ กรุงเทพฯ บ้านใหม่สายครีเอทีฟแห่งที่ 3 ในเอเชีย

    SOHO HOUSE BANGKOK บ้านใหม่สายครีเอทีฟแห่งที่ 3 ในเอเชีย Soho House คือคลับเฮ้าส์แสนเก๋สำหรับชาวครีเอทีฟสายตรงสุด Exclusive ที่เปิดต้อนรับเฉพาะสมาชิกและเพื่อนของสมาชิกเท่านั้น ก่อตั้งในปี 1995 โดยคุณ Nick Jones ที่ Soho ลอนดอน ปัจจุบันได้ขยายออกไปเป็นกว่า 40 เฮ้าส์ทั่วโลก และมี Properties ที่กำลังต่อคิวเปิดตัวอีกหลายแห่ง โดยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ก็เป็นคิวกรุงเทพมหานครฯของเราซึ่งนับเป็น Soho House แห่งที่ 3 ในเอเชีย ถัดจากมุมไบและฮ่องกง และด้วยนโยบาย No Photo หลังจากเปิดให้บริการ ทำให้วันนี้เป็นโอกาสพิเศษจริงๆที่เพื่อนๆชาว #Hopsters ที่จะได้เห็นแทบทุกซอกมุมของ Soho House Bangkok ก่อนใคร ไปดูกันเลยครับ Soho House Bangkok นั้นตั้งอยู่ในอาคารสไตล์ไทยประยุกต์ 3 ชั้นในซอยสุขุมวิท 31 เดิมเคยเป็นโรงแรม The Eugenia ก่อนที่ทีมออกแบบ In-House ของ Soho House จะบินตรงมาดูแลรายละเอียดทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่การดีไซน์ เสาะหาวัสดุ ไปจนถึงงานก่อสร้างเพื่อความครบในตัวตนของแบรนด์ที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม เควิร์กกี้แต่ก็อบอุ่น สวยเนี้ยบแต่กลับไม่ทำให้เกร็ง เรามาเริ่มต้นกันที่ล่างกันนะครับ งานดีไซน์ต่างๆนั้นมีแรงสั่นนุ่มๆแต่หนักแน่นให้เราสัมผัสตั้งแต่นาทีที่ก้าวเท้าเข้ามาที่ Reception ชั้นล่างนี้จะประกอบไปด้วยบาร์ เลานจ์ และสระน้ำที่สวยทุกห้องทุกมุมจริงๆ สมาชิกสามารถสั่งดริ้งค์มานั่งจิบระหว่างพักผ่อน ทำงาน หรือสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆกับชาวครีเอทีฟที่มีรสนิยมคล้ายๆกันได้ งานผ้าไหมส่วนมากทั้งที่เป็นม่านและเป็นแผ่นบุผนังนั้นเป็นของ Jim Thompson ที่สั่งทำพิเศษให้เฉพาะที่นี่เท่านั้น ส่วนงานอาร์ทที่ทีมเลือกมาประดับนั้นล้วนเป็นงานของศิลปินชาวไทย เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นงานของ Soho House โดยเฉพาะซึ่งมีขายอยู่ในร้าน Soho Home ร้านเฟอร์นิเจอร์ของแบรนด์ด้วย ชั้นสองเป็นโซนห้องอาหารที่มีการนำเข้าอุปกรณ์ Cutlery และแก้วคริสตัลที่ใช้ในการเสิร์ฟเครื่องดื่มมาจาก Soho House ที่อังกฤษโดยตรงเลย นอกจากนี้ยังมีเมนูของ Soho House ที่เหมือนกันทั่วโลก ควบคู่ไปกับเมนูเฉพาะของคลับเฮ้าส์ฝั่งกรุงเทพฯด้วย รายละเอียดของงานดีไซน์บนชั้น 2 นี้สวยงามและเนี้ยบไม่แพ้ชั้นล่าง เพิ่มเติมคือมีการนำงานหินอ่อนแผ่นใหญ่ (ลายสวยมากกกก) และงานสลักไม้บุผนังที่ต้องใช้ฝีมือช่างเฉพาะทางมาใช้ประดับด้วย นอกจากนี้บนชั้น 2 ยังมีโซนระเบียงเอ้าท์ดอร์ และห้องประชุมขนาดกระทัดรัดแต่หรูหราเอาเรื่องสำหรับให้สมาชิกจองเพื่อใช้งานด้วย ชั้นบนสุดเป็นห้องจัดงาน Event ที่สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้เหมาะทั้งงานกลางวันและกลางคืนได้ ในช่วงที่เราเข้าไปห้องนี้ถูกจัดไว้ให้มีลักษณะเหมือน Music Lounge มีเวทีเล็กๆเหมาะกับการทำการแสดงดนตรีหรือ Stand-Up Comedy แบบ Exclusive ได้ด้วยครับ ปกติแล้ว Soho House ในแต่ละที่ก็จะมี Facilities ที่ต่างกันไปตามลักษณะของ Space บางแห่งเป็นฟาร์ม บางแห่งเป็นโรงแรม บางแห่งก็มีสปา และโคเวิร์คกิ้งสเปซ สำหรับที่กรุงเทพนั้นมีลักษณะเหมือนเป็นจุดนัดพบของชาวครีเอทีฟที่สมาชิกสามารถเข้ามาใช้พื้นที่และชวนเพื่อนๆมาได้อีก 3 คน หรือหากสมาชิกต่อการเชื่อมต่อกับคนในวงการสร้างสรรค์ที่สาขาอื่นๆในโลกก็ให้ทาง Soho House ช่วยประสานงานให้ได้ด้วยนะครับ สำหรับชาว #Hopsters ที่สนใจสมัครสมาชิกสามารถดูรายละเอียดได้ทางหน้าเวป https://www.sohohouse.com/thailand/ นะครับ #LetsHoparound #Bangkok #SohoHouse #SohoHouseBangkok www.hoparound.co

  • The Tubkaak Krabi Boutique Resort ตื่นตาทะเลใต้ สุขสบายสไตล์บูทีค

    The Tubkaak Krabi Boutique Resort ตื่นตาทะเลใต้ สุขสบายสไตล์บูทีค คงไม่มีใครที่ได้เห็นหาดทับแขกครั้งแรกแล้วไม่รู้สึกว้าว วิวหมู่เกาะห้องน้อยใหญ่ทั้ง 13 เกาะนั้นเรียงรายแบบสวยสับมหัศจรรย์ราวกับถูกพระเจ้าจงใจจัดวาง และ ณ กลางหาดนี้เองก็เป็นที่ตั้งของ “เดอะ ทับแขก กระบี่ บูทีค รีสอร์ท” ที่เพิ่งกลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทยได้ไม่นานแม้จะเปิดให้บริการมาเกือบ 20 ปีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มักจะมีแต่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่รู้จักและอยากจะมาใช้บริการ อาจจะเพราะรีสอร์ทแห่งนี้ติดลิสต์ในหนังสือขายดีอันดับ 1 แห่ง New York Times “1,000 Places To See Before You Die” ที่เขียนโดย Patricia Schultz วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปสำรวจความดีงามของรีสอร์ทบูทีคแห่งนี้กันครับ The Arrival สายฝนโปรยปรายลงมาพอให้ชุ่มฉ่ำต้อนรับเราสู่สนามบินกระบี่ พี่คนขับรถของโรงแรมมาชูป้ายรอรับเราอยู่ด้านนอกแล้ว พอเอาสัมภาระขึ้นรถเสร็จพี่คนขับก็เสิร์ฟขนมครอฟเฟิ่ลกับน้ำส้มคั้นสดให้เราเพลิดเพลินในช่วง 45 นาทีระหว่างเดินทางไปยังรีสอร์ท เมื่อมาถึงสิ่งที่เราสังเกตเห็นเป็นอย่างแรกก็คือสถาปัตยกรรมที่แปลกตาเพราะมีการผสานแรงบันดาลใจจากเรือกอและกับเรือนาคาเข้าไปในงานออกแบบด้วย โดยอาคารต่างๆนั้นปลูกสร้างแซมอยู่ในความเขียวขจีของต้นไม้ที่แทบจะไม่ได้ถูกตัดออกไปเลย เพราะเป็นความตั้งใจของทางรีสอร์ทที่จะเก็บรักษาต้นไม้ดั้งเดิมไว้ทั้งหมด ล็อบบี้ของรีสอร์ทดูอบอุ่นเรียบง่ายด้วยงานไม้ซึ่งเปิดโล่งรับอากาศธรรมชาติที่ไหวเวียนจากรอบด้าน ขั้นตอนการเช็คอินเป็นไปอย่างราบรื่น มีน้ำมะตูมสดชื่นเสิร์ฟให้เป็น Welcome Drink และเนื่องจากเรามาถึงก่อนเวลา วิลล่าริมหาดของเราจึงยังไม่พร้อม พนักงานต้อนรับจึงเสนอพาทัวร์รีสอร์ท และให้ห้อง Deluxe เป็นห้องสำรองให้เราพักผ่อนไปพลางๆก่อน The Concept เดอะ ทับแขกฯเปิดให้บริการมาตั้งแต่พ.ศ. 2546 ก่อตั้งโดยคุณวิภาวรรณ เหล่าธนาสิน นักธุรกิจหญิงคนเก่งที่สร้างตัวขึ้นด้วยตัวเอง ด้วยทำเลที่ Boutique Resort แห่งนี้นั้นถูกโอบกอดไปด้วยภูเขาและทะเล ที่นี่จึงโดดเด่นในเรื่องความงดงามของธรรมชาติอันสมบูรณ์ ที่เราเซอร์ไพร้ซ์ก็คือน้ำที่ใช้ในรีสอร์ททั้งหมดนั้นมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติบนเขาหางนาค (หรือบางคนเรียกเขาหงอนนาค) ที่บนยอดเขาหางนาคนั้นมีตาน้ำที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์โดยเชื่อว่าเป็นน้ำตานาค คงเดากันได้ไม่ยากว่าบริเวณนี้นั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคน้ำเค็มมานมนาน และบริเวณที่รีสอร์ทตั้งอยู่ก็ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในเขตส่วนท้องของพญานาค เพราะใกล้ๆกับตัวรีสอร์ทก็มีตาน้ำที่น่าพิศวงอยู่อีกแห่งซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “สะดือนาค” อยู่ด้วย เดอะ ทับแขก จึงเป็นรีสอร์ทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก เพราะเป็นจุดสมดุลของงานบริการที่ยอดเยี่ยม ธรรมชาติที่สมบูรณ์ไม่เหมือนใคร งานสถาปัตยกรรมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมท้องถิ่น ไปจนถึงความเชื่อในตำนานชาวบ้าน และทั้งหมดก็ถูกห่อหุ้มอยู่ในบรรยากาศที่แสนผ่อนคลาย Our Room บนที่ดินอันกว้างขวางของเดอะ ทับแขกฯนั้นมีห้องพักเพียง 59 ห้องเท่านั้น ทุกอาคารสร้างขึ้นโดยการเลี่ยงการตัดต้นไม้ทั้งหมด แม้ตัวรีสอร์ทจะมีอายุเกือบ 20 ปีแล้ว (เปิดให้บริการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546) แต่ก็มีการปรับปรุงบำรุงรักษากันอยู่ตลอด ก่อนจะไปดูห้อง Ocean View Pool Villa ของเรา เราขอพาเพื่อนๆแวะไปชมห้อง Deluxe ที่ทางโรงแรมจัดเป็นห้องสำรองให้เรากันก่อนดีกว่าครับ เผื่อเพื่อนๆจะสนใจจองห้อง Type นี้กัน ไปดูรูปกันเลย ห้อง Deluxe ที่ทางรีสอร์ทจัดมารับรองเราอยู่ชั้น 2 และได้วิวสระว่ายน้ำ ขนาดห้องกำลังดีครับ มี Outdoor Shower และ Outdoor Bathtub ให้ด้วยนะครับ Ocean View Pool Villa ถึงตาห้องจริงๆของเราแล้วครับ นี่คือห้อง Ocean View Pool Villa ที่อยู่ติดหาดเลย ทางเข้าอยู่ด้านข้างนะครับ แต่จะพาเพื่อนๆชมจากทางด้านหน้าซึ่งมีสระส่วนตัวที่เห็นวิวทะเลไปด้วย สามารถเดินทะลุด้านข้างวิลล่าเพื่อไปโซนล้างตัวด้านหลังได้ง่ายๆเลยครับ ถัดเข้ามาเป็นห้องนอน โต๊ะทำงาน มินิบาร์ มีเครื่อง Nespresso ให้ด้วยแล้วก็มีทีวีพร้อม Netflix (ที่เราไม่ได้เปิดดูเลย ฮ่าๆ) ส่วนลำโพงบลูทูธของ Bose ก็เสียงกระหึ่มดีมากครับ ถัดเข้ามาอีกเป็น Dressing Area ที่กว้างกำลังดี จากนั้นก็เป็นห้องน้ำที่จัดโซนได้ลงตัว มีอ่างล้างหน้าแยก 2 ฝั่ง มีห้อง Toilet ที่ปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัวได้ มี Shower ให้ทั้งในห้องและด้านนอก (สำหรับล้างตัวหลังเล่นสระหรือทะเลก่อนเข้ามาในห้อง) และสุดท้ายก็คืออ่างอาบน้ำสีดำสำหรับแช่ตัวกลางแจ้งที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของห้องเลย เราชอบตรงที่ถ้าเปิดประตูกั้น พื้นที่ทั้งหมดก็จะถูกเชื่อมให้เป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่สระว่ายน้ำหน้าวิลล่าไปจนถึงอ่างอาบน้ำด้านหลังเลยครับ The Arundina ห้องอาหารไทยแบบ All-Day Dining ของเดอะ ทับแขกฯนั้นมีชื่อว่า The Arundina ซึ่งอยู่หน้าหาด อาหารทุกมื้อจะเสิร์ฟที่นี่ตั้งแต่มื้อเช้า กลางวัน และค่ำ รวมถึงเครื่องดื่มระหว่างวันด้วย (น้ำมะม่วงเบาปั่นนั้นเด็ดนักแล) ที่นี่จึงเป็นจุดศูนย์รวมความมีชีวิตชีวาของรีสอร์ทไปโดยปริยายซึ่งเราชอบในความสะดวก เรียบง่ายแบบนี้ และการที่ได้แวะมาบ่อยๆก็ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับ The Arundina มากกว่าห้องอาหารของรีสอร์ททั่วไป เมนูอาหารของ The Arundina นั้นทั้งเมนูที่เชฟของรีสอร์ทรังสรรค์ขึ้น และมีเมนูพิเศษที่ออกแบบโดยเชฟ David Thompson เชฟอาหารไทยคนแรกที่ได้รับดาวมิชลินซึ่งทำให้ร้านดูมีความน่าสนใจขึ้นมากและรสชาติก็ดีสมรางวัล แต่ในความเห็นของเรา เรากลับรู้สึกชอบอาหารเมนูพื้นบ้านฝีมือเชฟของรีสอร์ทมากกว่าเสียอีกแฮะ ข้อดีมากๆอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือวัตถุดิบหลายๆอย่างโดยเฉพาะพืชผัก ทางรีสอร์ทปลูกเองแทบทั้งหมดเลย จึงมั่นใจได้ในเรื่องของความสดและความปลอดสารพิษ The Beach อยากลงหาดแล้วล่ะครับ แต่เราลืมพกครีมกันแดดทาตัวมาด้วย เลยจะแวะเข้าไปดูที่ L’Artisan Gift Shop กันซักนิด และก็ได้ Kakadu Plum Sunscreen จาก We Are Feel Good Inc. ของออสเตรเลียมาขวดนึง กลิ่นหอมธรรมชาติอ่อนๆถูกใจมากเลยครับ จริงๆแค่เดินเล่นดูวิวที่สวยมหัศจรรย์ของหาดทับแขกก็เพลินมากๆแล้ว และด้วยน้ำที่ค่อนข้างนิ่ง (เพราะมีหมู่เกาะห้องคอยบังลมให้) ทำให้เราสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ ใครอยากทำกิจกรรมก็มี Paddle Board และเรือ Kayak แบบใสเอาไว้ให้บริการฟรีพร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลด้วย ถ้าอยากอาบแดดก็จับจองเตียงริมหาดกันได้ตามสบายเลย Sunset Picnic On The Beach หาดทับแขกนั้นหันไปทางทิศตะวันตก หมายความว่าตอนเย็นๆแสงตะวันตอนตกน้ำนั้นจะสวยเป็นพิเศษ และทางรีสอร์ทก็มีบริการพิเศษจัดเป็นซุ้มปิ๊กนิกบนหาดที่เราสามารถอิ่มเอมไปกับของว่างอร่อยๆและวิวสวยๆได้พร้อมๆกัน และที่นี่ไม่ได้มาเล่นๆนะครับ แต่เค้าจัดเต็มมีเทียนและคบเพลิงปักรอบซุ้มผ้าซีทรูสีขาวที่โบกพลิ้วไปตามลม ใครสนใจเซ็ตนี้สอบถามเพิ่มเติมกับทางรีสอร์ทได้โดยตรงเลยครับ Romantic Dinner เราจองดินเนอร์อาหารไทยบนหาดต่อกันเลยครับ และทางรีสอร์ทก็จัดโต๊ะและประดับไฟไว้ให้อย่างสวยงามที่ใต้ต้นไม้ แต่บังเอิญวันนี้ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ ทำให้เราต้องย้ายขึ้นไปรับประทานดินเนอร์กันบนดาดฟ้าชั้นสองของ The Arundina และการประดับไฟต่างๆไม่ได้น้อยไปกว่าที่หาดเลยครับ เราได้ทั้งดาดฟ้าเป็นของเรา และบังเอิญวันนี้มีวงดนตรีมาเล่นสดอยู่ด้านล่างพอดี เสียงเพลงที่ลอยขึ้นมาวอลลุ่มกำลังดีเลยครับ ส่วนอาหารเป็นผลงานที่รังสรรค์โดยเชฟอาหารไทยดาวมิชลินอย่าง David Thompson หน้ากินขนาดไหนให้รูปเล่าเรื่องก็แล้วกันครับ เริ่มตั้งแต่ไข่พะโล้ แกงส้มกะพงออดิบ กุ้งลายเสือย่างกับน้ำบูดู ผัดสามเหม็น อร่อยมากครับ โดยเฉพาะสาคูราดกะทิของหวานที่อร่อยนุ่มลิ้นดีเหลือเกิน แต่สิ่งที่เราขอชื่นชมยิ่งกว่าอาหารก็คือบริการที่ใส่ใจสุดๆจากคุณหนานที่คอยเทคแคร์เราตลอดมื้อ ขอปรบมือรัวๆครับ Back To Our Villa อิ่มหนำสำราญแล้ว ฝนก็หยุดแล้วเช่นกัน เราก็เดินกลับวิลล่ามาพบกับห้องที่ Turn Down เรียบร้อย เราไม่รีรอที่จะเปิดน้ำเติมลงอ่างกลางแจ้งเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศให้เต็มที่ เผื่อพรุ่งนี้ฝนตกจะได้ไม่ขาดทุน แต่ก็แช่นานมากไม่ได้ครับ เพราะพรุ่งนี้เช้าเรามีจองเรือไปเที่ยวหมู่เกาะห้องกันด้วย ต้องรีบนอนเอาแรงไว้ก่อน งั้นคืนนี้กู้ดไน้ท์เลยละกันครับ Breakfast อรุณสวัสดิ์จาก The Arundina ครับ เช้านี้เรามาตุนพลังก่อนไปเที่ยวเกาะด้วยบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่หลากหลาย และอร่อยง่ายๆไม่ซับซ้อน ซึ่งบางรายการก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆในแต่ละวัน เมนูเด็ดที่เห็นสั่งกันแทบทุกโต๊ะก็คือโรตีกรอบนอกนุ่มใน จะใส่ไข่ด้วยก็สั่งได้เลยครับ จุดเด่นอีกอย่างของ The Arundina ทีมเชฟของทางรีสอร์ทพยายามที่จะทำเองแทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่การปลูกผักผลไม้ กวนแยม แป้งโรตี ไปจนถึงเบเกอรี่หลายรายการในบุฟเฟ่ต์ คุณหนานคนเดิมจองโต๊ะริมหาดไว้ให้เราเลย ขอบคุณอีกครั้งนะครับ Island Excursion ได้เวลาไปเที่ยวเกาะกันแล้วครับ หมู่เกาะห้องประกอบไปด้วย 13 เกาะย่อยๆ แต่วันนี้เราจะแวะไป 4 จุดครับ น่าจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมง เราเห็นคุณหนานเตรียมเนื้อเค็มกับข้าวผัดปูที่เราสั่งเอาไว้เป็นเซ็ตปิ๊กนิกบนเรือ พร้อมกับเครื่องดื่มและผ้าเช็ดตัวไปรอเราไว้เรียบร้อย เมื่อพร้อมแล้วพี่กัปตันคนเก่งของเราก็ออกเรือ นั่งตากลม-นอนอาบแดดเพลินๆพร้อมหามุมถ่ายรูปกันยังไม่ทันไร รู้ตัวอีกทีก็มาถึงสต็อปแรกกันแล้ว นั่นก็คือจุดชมวิว 360 องศาหนึ่งเดียวแห่งทะเลอันดามันที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานครับ Hong Island View Point การที่จะไปถึงจุดชมวิวนั้นต้องออกแรงกันเยอะหน่อย แนะนำให้เตรียมรองเท้าที่ใส่กระชับเดินสะดวก พกหมวกและน้ำดื่มติดมาด้วย จากท่าเทียบเรือเราต้องเดินเลาะหาดเพื่อไปขึ้นบันได 419 ขั้นที่ไต่ลัดเลาะขึ้นไปตามผาหิน เราเองก็หอบแฮ่กๆอยู่เป็นระยะ และเสื้อก็เปียกปอนไปด้วยเหงื่อ โชคดีที่กินเบรคฟัสต์ตุนพลังมาดี วิวข้างบนก็จะสวยงามประมาณนี้ครับ ใครที่เป็นสาย Snorkel ที่เกาะห้องก็มีปลาและปะการังสวยๆให้ดำดูเยอะอยู่นะครับ แต่เราไม่ได้เตรียมตัวมาก็เลยขอไปลงเล่นน้ำที่เกาะห้องลากูนแทนก็แล้วกัน ตัวลากูนนั้นเป็นอ่าวปิดที่มีทางเข้าเปิดอยู่แคบๆทำให้มีลักษณะเหมือนห้องขนาดใหญ่ที่น้ำนิ่งและตื้น พี่กัปตันเล่าว่าบางช่วงน้ำลงตรงนี้ก็จะแห้งเหือดไปเลย แต่วันนี้มีน้ำ เราจึงได้ลงเล่นกันพอสนุกสนานกันพักใหญ่ พอขึ้นมาบนเรือก็พบกับเซอร์ไพร้ซ์จากพี่กัปตันเป็นแตงโมหั่นเรียงเป็นรูปเต่าน่ารักมากครับ 5555 จากนั้นพี่กัปตันก็จอดเรือที่ทางออกลากูนเพื่อให้เราได้กินอาหารว่างที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ Koh Lao Lading จุดหมายต่อไปก็คือเกาะลาดิง ซึ่งเป็นเกาะที่พักของกลุ่มสัมปทานรังนก ที่นี่ทรายขาวน้ำสวยใสน่าลงเล่น เราก็เลยต้องจัดซักหน่อยครับ แต่พอเรือลำอื่นเริ่มพานักท่องเที่ยวมาเยอะ เราก็เลยหลบไปจุดสต็อปสุดท้ายของวันนี้กันดีกว่า ก็คือเกาะผักเบี้ยนั่นเอง เกาะผักเบี้ย เกาะผักเบี้ยเป็นเกาะเล็กๆที่มีทะเลแหวกขนาดมินิให้เราได้ถ่ายรูปกัน และยังมีหินทรงแปลกที่โดนน้ำกัดเซาะจนเป็นเหมือนอุโมงค์ เราถ่ายรูป และเล่นกับฝุงปลาตัวน้อยๆที่ริมหาดกันพักใหญ่ ก็รู้สึกเต็มอิ่มกับเกาะห้องแล้ว จึงขอให้พี่กัปตันช่วยพากลับไปกินมื้อเที่ยงที่รีสอร์ท Lunch มื้อเที่ยงของเราวันนี้เป็นขนมจีน น้ำยาปูและแกงไตปลา เสิร์ฟพร้อมกับส้มตำ ไก่ทอด ไข่ต้มและผักแนมชุดใหญ่ ขนมจีนว่าอร่อย เนื้อปูหวานๆแน่นๆแล้ว ส้มตำไก่ทอดก็รสชาติดีได้ใจเราไปไม่แพ้กันเลย ตบท้ายด้วยไอศกรีมทุเรียนที่เข้มข้นเหมือนเอาเนื้อทุเรียนทั้งชิ้นไปแช่แข็งมาให้เรากิน L’Escape Spa บ่ายนี้เรามีนัดที่ L’Escape Spa ที่เราเห็นโดดเด่นมาตั้งแต่ตอนเช็คอิน เพราะอาคารปล่องทรงหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ดูน่าพิศวง และวันนี้เราจะไปนวดไทยในนั้นกันครับ ต้องบอกว่าบรรยากาศด้านในนั้นสว่างกว่าที่คิดและให้ความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก และพี่ๆ Therapist ก็นวดดีกันมากเลยครับ และราคาก็โอเคด้วย ใครมีโอกาสเข้าพักที่นี่ เราแนะนำให้มาลองนวดที่ L’Escape Spa กันนะครับ Let’s Go Biking จริงๆแล้วที่เดอะ ทับแขกฯนั้นมีกิจกรรมให้ทำเยอะมากเลยครับ ทั้งไปเกาะ เดินป่า ต่อยมวย โยคะ ทำอาหาร ฯลฯ แต่ตอนนี้เราขอไปปั่นจักรยานเพลินๆก็แล้วกันครับ ไม่ไกลจากรีสอร์ทเป็นอุทยานแห่งชาติเขาหงอนนาคซึ่งเราสามารถขี่จักรยานเข้าไปได้จนถึงที่จอดรถ ปกติแล้วถ้าใครจะไปต่อก็ต้องซื้อตั๋วและเดินป่าเข้าไป แต่เราขี่เข้ามาชมความร่มรื่นถึงแค่ทางเข้าเฉยๆแล้วก็ปั่นกลับออกไปทางชุมชน เส้นทางขี่ง่ายไม่อันตรายแต่ก็ต้องระมัดระวังนะครับ เพราะบางช่วงอาจมีเนินและทางโค้ง รวมถึงบางจังหวะรถอาจจะเยอะสักหน่อย Afternoon Tea ช่วงบ่ายๆใครเกิดหิวขึ้นมา ก็บอกให้ทางรีสอร์ทจัดเซ็ตน้ำชายามบ่ายมาจุบจิบกันได้ครับ ที่เดอะ ทับแขกฯจะเสิร์ฟของว่างสไตล์ไทยกับผลไม้ ยกเว้นขนมครอฟเฟิ่ลซิกเนเจอร์ที่จะออกแนวฝรั่งเล็กน้อย สิ่งที่เราประทับใจยิ่งกว่าตัว Afternoon Tea ก็คือการบริการของพี่นะ พนักงานอาวุโสของทางรีสอร์ทที่ดูแลเอาใจใส่ราวกับญาติเลยครับ พอดีเรามีอุบัติเหตุเล็กน้อยทำให้ได้แผลมาก่อนหน้านั้น เมื่อพี่นะทราบก็จัดทั้งยา ผ้าพันแผล และน้ำแข็งมาประคบให้ ต้องบอกว่าเราซาบซึ้งและประทับใจมากจริงๆครับ Other Facilities นอกจากห้องพักที่สุขสบายแล้ว ที่นี่ยังมีพื้นที่อื่นๆไว้ให้บริการอีกหลายจุดเลยครับ ตั้งแต่สระว่ายน้ำหลัก ศาลาพักร้อน ร้านขายของฝาก ห้องประชุม ห้องสมุด และมียิมให้เราได้ออกกำลังกายกันด้วย ไปชมมุมอื่นๆของรีสอร์ทกันครับ Italian Dinner On The Beach ในที่สุดเย็นนี้ท้องฟ้าก็เริ่มเปิด เราจึงขอให้ทางรีสอร์ทจัด Dinner On The Beach อีกสักครั้ง คราวนี้เป็นอาหาร Italian จาก Di Mare ห้องอาหารอีกแห่งของทางรีสอร์ท ซึ่งเราแอบโดนกระซิบจากกูรูอาหารท่านหนึ่งมาว่าอาหารอิตาเลียนของที่นี่นั้นดีงามมาก ก่อนกลับก็เลยต้องจัดให้ได้ครับ ต้องบอกว่าทั้งอาหารและบรรยากาศยอดเยี่ยมมากๆ เมนูของ Di Mare นั้นเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนที่เรียบง่ายสไตล์ Trattoria แต่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบคุณภาพทั้งจากทะเลอันดามันที่อยู่ตรงหน้า และจากสวนผักของรีสอร์ทเอง ทำให้รสชาติดีงามทุกจานเลยครับ ตั้งแต่ Appetizer สลัด ปลา พาสต้า พิซซ่า และรีซ็อตโต้ทรัฟเฟิ่ลกุ้งลายเสือที่เราชอบมากเป็นพิเศษ ยิ่งได้ทะเลและท้องฟ้าหลากสีเป็นฉากหลัง ยิ่งทำให้มื้อนี้น่าจดจำยิ่งขึ้นไปอีก Wrapping Up Our Stay ก่อนเข้าพัก สิ่งที่เราได้ยินมาเกี่ยวกับเดอะ ทับแขก กระบี่ บูทีค รีสอร์ท ก็คือวิวทะเลแสนสวยและอาหารเลิศรส แต่พอได้มาเยือน เรากลับรู้สึกถึงเสน่ห์ที่ล้ำลึกยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความขลังของตำนานพญานาคน้ำเค็ม ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ไปจนถึงความใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆของทีมงาน ตั้งแต่เรื่องการปลูกพืชผักผลไม้ และทำ Condiments หลายๆอย่างขึ้นมาเอง จนกระทั่งการบริการที่จริงใจเกินความคาดหมาย ทำให้เรารู้สึกประทับใจในการเข้าพักในครั้งนี้และอยากจะกลับมาอีกครั้งเมื่อมีโอกาส หากเพื่อนๆกำลังมองหาที่พักคุณภาพดีในบรรยากาศสบายๆที่ใกล้ชิดธรรมชาติทั้งภูเขาและทะเลที่งดงามระดับโลก เดอะ ทับแขกฯก็น่าจะตอบโจทย์นั้นได้ไม่ยากเลยครับ #LetsHoparound #TheTubkaakKrabi #Krabi

  • The Standard Bangkok Mahanakorn ดีไซน์สนุกสุดฮิป ณ แฟล็กชิปแห่งเอเชีย โรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด กรุงเทพ

    The Standard Bangkok Mahanakorn ดีไซน์สนุกสุดฮิป ณ แฟล็กชิปแห่งเอเชีย โรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด กรุงเทพ ที่อเมริกาไม่มีข้าวผัดอเมริกันฉันใด ที่ The Standard ก็ไม่มีอะไรที่เป็น Standard ฉันนั้น ในปี 1999 กลุ่มนักลงทุนที่มีดารา Hollywood อย่าง Leonardo DiCaprio และ Cameron Diaz รวมอยู่ด้วย ได้ให้กำเนิดแบรนด์โรงแรมแนวคิดใหม่ขึ้นที่ทั้งเท่ วัยรุ่น และสนุกบน Sunset Strip แห่งมหานคร Los Angeles แทคไลน์ “Anything But Standard” นั้นนำรสชาติแปลกใหม่ที่เปรี้ยวซ่าสดชื่นมาให้กับแวดวงการโรงแรมที่มักจะเน้นความนิ่งสงบ แม้โรงแรมแห่งแรกนี้ต้องปิดตัวลงไปในช่วงโควิดที่ผ่านมา แต่ DNA กลับหัวของ The Standard ก็ได้ถูกส่งต่อไปยังภูมิภาคต่างๆทั่วโลก ล่าสุดก็มาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย และไม่ได้มาเล่นๆนะครับ เพราะ The Standard Bangkok Mahanakorn นี้ถูกวางให้เป็น Flagship Property ของแบรนด์ในเอเชียเลยทีเดียว อย่าเสียเวลาดีกว่า เรามา #Hop ไปดูพร้อมๆกันเลย! The Overview จากชื่อก็เดาได้ไม่ยากว่าโรงแรมแสนเก๋แห่งนี้นั้นตั้งอยู่บนตึกมหานคร ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย (ณ เวลาที่เราเขียน) โดยเพิ่งเปิดตัวอุ่นๆจากเตาไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง และเพียงชั่วพริบตาทุกสายตาก็จับจ้องมาที่โรงแรมขนาด 155 ห้องพักแห่งนี้จนกลายเป็นหนึ่งในโรงแรมที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในทันที แน่นอนว่าวิวสวยจากมุมสูงนั้นกลายเป็นแต้มต่อของโรงแรมแห่งนี้แบบไม่ต้องกลัวเป็นรองใคร ยิ่งถ้าเพื่อนๆได้ขึ้นไป Sky Beach บนชั้น 78 ดาดฟ้าของตึกนั้นก็พูดได้เต็มปากว่าเราได้มาอยู่บนจุดสูงสุดของกรุงเทพฯเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ต้องยกความดีความชอบให้เป็นพิเศษก็คืองานออกแบบภายในโดยคุณ Jaime Hayon (ไฮเม่ ฮายอน) ศิลปินชาวสเปนผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุค เราดูออกแหละว่าคุณ Jaime นั้นสนุกอย่างมากกับการได้เล่นกับสีสันทรวดทรงและลวดลายแปลกตา ทุกซอกทุกมุมนั้นเต็มไปด้วยความอาร์ทจนแทบจะทำให้ตัวโรงแรมกลายเป็นงานอาร์ทชิ้นโตไปเสียเองด้วยเลย ประหนึ่งเป็นแดนเนรมิตส่วนตัวของคุณ Jaime ที่พาเราให้หลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และผลงานของเขาก็มีฤทธิ์เป็นแม่เหล็กทรงพลังในยุคแห่งการ Snap รูปโดยไม่ต้องพยายามเพราะไม่ว่าจะหันไปมุมไหนก็ถ่ายรูปขึ้นไปหมด โดยแต่ละชั้นก็มีการใช้ Scheme สีที่ต่างกันออกไป ทำให้มู้ดของโรงแรมในมีความ Dynamic สูงมาก เช่นเดียวกับกรุงเทพฯที่เป็นเมืองแห่ง Contrast ในหลายมิติ The Arrival หลังจากเลี้ยวแว๊บเข้ามาจากถนนนราธิวาส เราก็เทียบจอดรถให้พอร์ทเตอร์ช่วยเอาของลงและฝากกุญแจรถให้พนักงาน Valet เอารถไปจอด สีเขียวชอุ่มของ Foyer ที่ชั้นล่างของตึกนั้นให้การต้อนรับเราอย่างชุ่มชื่นหัวใจพร้อมแง้มให้เห็นความสนุกเล็กๆของงานดีไซน์ผ่านเท็กซ์เจอร์ผนัง และรูปทรงต่างๆ โดยเฉพาะโคมไฟหวายขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดานสูง The Shop ที่ด้านข้าง Counter พนักงานรับรถนั้นมี The Shop ร้านรวมของดีไซน์จริตแบรนด์ The Standard ทั้งจากศิลปินไทยและสินค้าของแบรนด์ The Standard เองซึ่งเราถูกใจอยู่หลายชิ้นจึงเสียเงินไปในที่สุด ฮ่าๆ แต่ชั้นล่างตรงนี้ยังไม่ใช่ Reception นะครับ ต้องกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 4 นู่นแน่ะ Reception ของโรงแรมใช้สีเหลืองเป็นหลักเพื่อสื่อถึงความเป็นกันเองที่สนุกสดใส ส่วนตัวงาน Interior Design นั้นก็ Chic ราวกับเด้งออกมาจาก Pinterest เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น Object อัน Element ทุกอย่างนั้นตะโกนคำว่า “Art” และ “Design” ออกมาไม่หยุด แม้แต่ชุดพนักงานในแผนกต่างๆก็ถูกดีไซน์มาให้กลับข้าง ไม่ว่าจะเอากระเป๋าหลังมาไว้ข้างหน้า หรือเอาสิ่งที่ควรอยู่ข้างล่างไปไว้ด้านบน ทำให้บรรยากาศดูซุกซนน่าหยิกมาก และช่วงที่เราเช็คอินนั้นใกล้วันแม่ จึงมีกิจกรรม Calligraphy เขียนการ์ดและมีคลาสจัดดอกไม้ จึงทำให้ บริเวณ Lobby ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เราสะดุดตากับจอที่ด้านหลังของ Counter พนักงานต้อนรับซึ่งจัดแสดงผลงานดิจิตอลอาร์ทในรูปแบบวิดิโอในนาม “Heaven’s Gate” ของ Marco Brambilla สุดยอดศิลปินชาวอิตาเลียน ซึ่งพนักงานแจ้งว่าจะมีการสับเปลี่ยนการจัดแสดงงานอาร์ทในโรงแรมทุกๆไตรมาสเลยล่ะครับ Our Room ห้องพัก 155 ห้องของโรงแรมนั้นถูกแบ่งเป็น 8 Room Types ที่มีขนาดตั้งแต่ 29-144 ตร.ม. ห้องของเราหมายเลข 1507 อยู่ชั้น 15 เป็นห้อง Corner Double ขนาด 57 ตร.ม. (เลข 5 กะ 7 เยอะมาก งวดนี้เอาไงดี?) สามารถรับรองผู้ใหญ่ 2 คนกับเด็กอีก 2 คนได้ แต่เรามาแค่ 2 คนก็รู้สึกว่ากำลังพอดี อ่อ! ลืมบอกไปว่าที่นี่ Pet Friendly นะครับ สามารถพาน้องหมาน้องแมวมานอนได้ แต่เรื่องเงื่อนไขต่างๆต้องไปถามทางโรงแรมกันเอาเองอีกทีนะครับ การตกแต่งทางเดินชั้นห้องพักนั้นจะเป็นธีมสีแดงไม่ว่าจะเป็นแผง Wainscoting ที่กรุครึ่งล่างของผนังสองข้าง ประตูห้องพัก และพรมที่ทอเป็นลายเส้นดูเดิ้ลที่น่าจะวาดโดยคุณ Jaime Hayon เองเลย ให้อารมณ์ย้อนยุคแต่ก็แอบโมเดิร์นเหมือนฟีลหนังของ Wes Anderson ภายในห้องพักของเรานั้นก็สวยงามไม่ผิดคาด เต็มไปด้วยความโค้งมนตามสไตล์ของคุณ Jaime ไม่ว่าจะเป็นกรอบกระจก หัวเตียง กรอบประตูในห้องน้ำ ขอบตู้ต่างๆ (ในตู้เสื้อผ้ามี Bathrobes ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์มากครับ) การตกแต่งเน้นโทนสีอบอุ่นที่ดูสนุกไม่ว่าจะเป็นสีชมพูแซลมอน โรสโกลด์ เหลือง ส้ม น้ำตาล ส่วนวิวไม่ต้องพูดถึงครับเห็นเมืองแบบพาโนราม่าเลย และระบบควบคุมม่านก็สะดวกทันสมัยมากครับใช้กดปุ่มเอาง่ายๆเลย ส่วน Amenities จะมีผลิตภัณฑ์อาบน้ำหอมละมุนจากแบรนด์ Davines จากเมือง Parma อิตาลี ที่มินิบาร์มีเครื่องชงกาแฟ Nespresso และเครื่องเสียงบลูทูธของ Bang & Olufsen ให้ด้วยครับ เราชอบโซนอาบน้ำเป็นพิเศษครับ มีทั้งแบบอ่างแช่และชาวเวอร์ ที่สำคัญคือเห็นวิวเมืองชัดมาก ยิ่งช่วงเย็นๆแสงเข้ามาพอดี อาบน้ำไปมีรุ้งประดับด้วยนะครับ 5555 Lunch At The Parlor The Parlor เป็นมากกว่าร้านอาหารหรือเล้านจ์นั่งเล่น แต่เป็นจุดแฮงเอ้าท์ของชาวครีเอทีฟยุคใหม่ที่จะมานัดพบ พูดคุย แลกเปลี่ยนและเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพราะที่นี่มีการจัดกิจกรรมสลับสับเปลี่ยนต่อเนื่อง เช่นการจัดทอล์คโชว์หัวข้อต่างๆ รวมไปถึงการเชิญดีเจเจ๋งๆมาเปิดแผ่น (เค้ามีบูธดีเจสวยเก๋ที่ออกแบบมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะเลยในนามว่า Sounds Studio) รวมไปถึง The Standard Bingo ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก The Standard High Line ที่ NYC ด้วย แต่ในวันนี้เรามารับประทานอาหารกลางวันกันเฉยๆครับ ซึ่งเป็นอาหารไทยแบบ Comfort Food รสชาติอร่อยได้ง่ายๆแต่เพิ่มความครีเอทีฟลงไปให้พิเศษมากขึ้น ชื่อเมนูทั้งหมดจะเป็นภาษาอังกฤษตามจริตอเมริกัน แต่เราขอเรียกชื่อไทยให้เพื่อนๆเข้าใจง่ายๆก็แล้วกันนะครับ เมนูวันนี้มีเมี่ยงปลาแซลม่อน ขนมครกฉู่ฉี่ล็อบสเตอร์ ข้าวตังหน้าปู ยำส้มโอกุ้งลายเสือย่าง ไส้กรอกอีสานโฮมเมด สะเต๊ะเนื้อออสเตรเลีย รวมไปถึงเมนูคลาสสิคอย่างผัดไทยเส้นจันท์ และข้าวผัดปู (อันนี้เราชอบเป็นพิเศษ) และทีเด็ดสำหรับสายเนื้อก็คือ สเกิร์ทเต้กเนื้อวากิว Full Blood จาก David Blackmore สุดท้ายก็คือของหวานอย่างขนมเค้กแช่นม 3 ชนิดพร้อมถั่ว Pistachio ของโปรดของเรา แถมกลิ่นหอมฟุ้งของกุหลาบด้วย Tease แม้วันนี้เราจะอิ่มจนเกินที่จะจิบชากันต่อ แต่ก็ขอแวะมาถ่ายรูปเอามาฝากเพื่อนๆกันก่อน เพราะที่อยู่ติดกันกับ The Parlor ก็คือ Tease ห้องน้ำชาลายขาว-ดำที่ราวกับว่าหลุดออกมาจากนิทานเรื่อง Alice In Wonderland ต้องยอมรับในจินตนาการการตกแต่งของคุณ Jaime Hayon จริงๆครับ นอกจากนี้แล้วที่ The Standard ยังมีห้องอาหารอีกหลาย Outlets ที่คิวแน่นที่สุดก็น่าจะเป็นร้าน Ojo (โอโฮ) ร้านอาหาร Mexican สุดแฟนซีบนชั้น 76 ของตึก โดยเชฟ Francisco Paco Ruano แต่ร้านนี้จองเต็มไปยาวๆ เราเลยไม่ได้เข้าไปเก็บภาพมาฝากกัน แต่เราจะพาเพื่อนๆไปชมอีกร้านที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ Mott 32 Bangkok ร้านอาหารจีนกวางตุ้งสุดเท่จากฮ่องกง นอกจากหมูกรอบหมูแดงเป็ดย่างและเป็ดปักกิ่งรมควันไม้แอปเปิ้ลที่โด่งดังและต้องสั่งกันล่วงหน้าเพราะเชฟจะทำให้ใหม่ตั้งแต่ต้นตามออร์เดอร์แล้ว Mott 32 ยังมีชื่อเสียงมากในเรื่อง Cocktail ที่ Mixologist รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย ส่วนอีก 2 ร้านนั่นก็คือ The Standard Grill และ The Sky Beach เราขออุบไว้ก่อนนะครับ เพราะเราจะพาเพื่อนๆไปชมกันทีหลังครับ The Pool เราไปนั่งเล่นริมสระกันต่อดีกว่าครับ สระว่ายน้ำของที่นี่โค้งมนสีฟ้าอ่อนดูน่ารักและน่าลงเล่นมากครับ แยกกันเป็น 2 สระสำหรับเด็กและผู้ใหญ่จะได้ไม่กวนกัน ร่มสีเหลืองนั้นตัดกันกับสีของน้ำในสระลงตัวพอดีเลย อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือวิวสวยๆของตึกสูงแห่งกรุงเทพฯที่สามารถมองเห็นได้จากสระเลย The Standard Gym ยิมที่ The Standard Bangkok Mahanakorn นั้นมี Vibe ที่น่าสนุกชวนให้ขยับตัว มาพร้อมกับห้องสตีมซาวน่า และอุปกรณ์ล้ำสมัยโดยเฉพาะเจ้า CLMBR ที่เค้าบอกว่ามีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น นอกจากนี้ที่ยิมยังมีกรุ๊ปคลาสอีกหลากหลาย แต่ที่เราสนใจที่สุดก็คือคลาสแอโรบิคสไตล์ Hollywood แหม! ภาพ Jane Fonda กับ Paula Abdul ในชุดรัดรูปหลากสีลอยมาเลยครับ The Meeting/Conference Room ห้องจัดประชุมสัมมนาที่นี่ไม่เหมือนใครเลยครับ ทั้งในเรื่องของ Interior Design และการใช้สอยที่ตอบโจทย์ทั้งการประชุมจริงจังแบบกรุ๊ปเล็กๆเป็นห้องส่วนตัวซึ่งมีอยู่ 4 ห้อง หรือพื้นที่จัดเลี้ยงตรงกลางที่สามารถแปลงร่างให้รองรับการจัด Event ได้หลายสไตล์ รวมไปถึงห้องสัมมนาใหญ่ที่รองรับได้ถึง 80 ที่นั่งสไตล์ Theatre อีกด้วย The Standard Grill รู้ตัวอีกทีก็ท้องร้องแล้วสินะ เราจะพาเพื่อนๆไปกันที่สเต้กเฮ้าส์สไตล์อเมริกันที่มีชื่อว่า The Standard Grill กันครับ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาครั้งแรกก็ต้องบอกว่า Decor สวยมาก รวมไปจนถึงวิวด้านนอกที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่เมืองไทยเลย สุดส่วนความโค้งมนตามมุมต่างๆนั้นลงตัวดีเหลือเกิน พนักงานกระซิบว่าห้องอาหารนี้เป็น Outlet ที่มีไวน์ลิสต์ให้เลือกเยอะที่สุดในโรงแรมเลย ส่วนเรื่องอาหารนั้นไปดูหน้าตากันเลยดีกว่าครับ จานแรก เราเรียกน้ำย่อยกันด้วย Hiramasa Yellow Tail สลัดปลาดิบกับมะม่วงสุกและอะโวคาโด อีกจานเป็น Baby Beetroot Soufflé ที่เพิ่มความเค็มมันด้วย Barrel Aged Feta Cheese และวอลนัท จากนั้นเราก็เริ่มวอร์มท้องให้อุ่นขึ้นด้วยซุป Lobster Bisque รสเข้มข้น ก่อนที่จะขยับมาเป็นจานพาสต้า Dutch Cream Potato Gnocci ซึ่งเราชอบมาก แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าจานนี้ใส่ Stilton บลูชีสจากอังกฤษด้วยซึ่งบางคนอาจจะไม่คุ้นกลิ่น ส่วน Main Course เราสั่งมา 2 จานครับ จานแรกเป็นสเต้กเทนเดอร์ลอยน์เนื้อ Black Angus ที่เลี้ยงด้วยธัญพืช จากแบรนด์ Jack’s Creek เสิร์ฟกับซอสแบร์เนสและครีมฮอร์สแรดิช นุ่มหอมอร่อยสมชื่อครับ ส่วนอีกจานเป็นปลา Glacier 51 Toothfish ที่มาจาก Antarctica เนื้อนิ่มละลายดีงามมากเลยครับ เสิร์ฟคู่กับสลัดและซัลซ่า จานหลักทั้งสองมี Side Dishes มาให้อีกนะครับ ไม่ว่าจะเป็น Mac n Cheese, Roasted Baby Carrots และ Potato Millefeuille อร่อยหมดเลย อิ่มแล้วแต่ของหวานยังคงมาครับ มื้อนี้ปิดท้ายด้วย Pavlova ที่หยอด Rhubarb Compote สีแดงสดมาข้างๆเปรี้ยวหวานหอมอร่อย และอีกจานเป็น Basque Quark Cheese Cake ราด Chocolate Ganache ดินเนอร์นี้เป็นมื้อที่อร่อยถูกใจเลยครับ (แต่แอบรออาหารนานนิดนึง ลูกค้าน่าจะเยอะเกินคาด) The Turndown กลับห้องกันดีกว่าครับ แน่นอนว่าทาง Housekeeping นั้น Turndown ให้เราเรียบร้อย ปิดม่าน เปิดผ้าห่ม และมีของที่ระลึกมาเซอร์ไพร้ซ์ให้เราที่ปลายด้วยครับ ในถุงผ้าพิมพ์โลโก้ The Standard กลับหัวนั้น มี Salt & Pepper Shakers มาในรูปน้องหมาเซรามิค พร้อมกับสมุดโน้ตและปากกาด้ามแดงตียี่ห้อ The Standard ด้วย เป็นของใช้ที่มีประโยชน์และช่วยเตือนความทรงจำถึงประสบการณ์การเข้าพักครั้งนี้ได้ดีเยี่ยมเลยครับ ยังไงวันนี้ขออาบน้ำเข้านอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้ก่อนเช็คเอ้าท์เราจะพาเพื่อนๆไปชมวิวกทม.ที่ดาดฟ้าโรงแรมกัน The Breakfast อรุณสวัสดิ์คร้าบบ It’s Breakfast Time! ที่นี่เสิร์ฟเป็น A La Carte แบบสั่งเพิ่มได้ไม่อั้นนะครับ แบ่งกลุ่มเป็นเบรคฟัสต์แบบเย็นและแบบร้อน มีทั้งคาวหวานและแบบฝรั่งกับแบบเอเชีย พนักงานแจ้งว่า Portion ไม่ใหญ่มาก เราก็เลยสั่งมาหลายอย่างเลย เพื่อนๆจะได้เห็นหน้าตากันหลายๆจาน อาหารเช้าที่นี่รสชาติดีเลยครับ เราชอบที่มีเมนูที่ไม่ค่อยเห็นที่ไหนอย่างข้าวเหนียวสังขยาและหมี่ซั่วด้วย เมนูฝรั่งที่เราชอบเป็นพิเศษก็คือ Omelet เนื้อปูใส่ชีสกรุยแยร์และทรัฟเฟิ่ลให้เนื้อปูเยอะสะใจดีครับ กับอีกจานเป็น Smoked Halibut ซึ่งก็คล้ายๆ Eggs Benedict ที่เสิร์ฟกับมันฝรั่งยีกับเนื้อปลารมควันกับซอส Hollandaise นั่นเอง The Sky Beach ก่อนเช็คเอ้าท์ เราไปชมวิวกันดีกว่าครับ คราวนี้เราจะพาเพื่อนๆไปยังชั้น 78 ดาดฟ้ายอดตึกมหานคร ซึ่งก็คือจุดสูงสุดของกรุงเทพฯไปโดยปริยาย ข้างบนนี้มีชื่อว่า Sky Beach ครับ เห็นวิวกรุงเทพฯแบบ 360 องศาเลย นอกจากบาร์สีเหลืองสดใสดีไซน์น่ารักที่อยู่ด้านบนนี้แล้ว จุดที่เป็นไฮไลท์ที่สุดก็น่าจะเป็นระเบียงพื้นกระจกใสที่มองทะลุเห็นความสูงเบื้องล่างได้แบบล่อนจ้อน ทำเอาต้องรวบรวมพลังความกล้าสยบขาสั่นอยู่ครู่นึงก่อนจะค่อยๆเคลื่อนเท้าเดินลงไป แต่ก่อนลงจะมีทีมงานแจกถุงครอบรองเท้าอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันไม่ให้มีของแข็งไปกระทบกับพื้นกระจกโดยตรงจนเสี่ยงอันตรายด้วย จากนั้นก็หามุมโพสต์ท่าถ่ายรูปได้รัวๆเลย จะยืน นั่งหรือนอนก็ได้หมด แค่อย่ากระโดดก็พอครับ ฮ่าๆ Wrapping Up Our Stay โรงแรมแห่งนี้นั้นเปี่ยมไปด้วยสีสัน-เส้นสาย-ลวดลายและรูปทรงหลายรูปแบบ ต้องบอกเลยว่าที่นี่เป็นโรงแรมที่ผ่านการคิดการดีไซน์มาเยอะมากๆ ทุกมุมล้วนมีกิมมิคที่น่าสนใจและทุกตารางนิ้วก็เต็มไปด้วยความสนุกแบบคนรุ่นใหม่ แถมยังมีกิจกรรมต่างๆและการจัดแสดงชิ้นงานศิลปะที่สลับสับเปลี่ยนทำให้เกิด Dynamic อยู่ตลอด ที่นี่จึงเหมาะกับคนที่ต้องการสีสันและแรงบันดาลใจใหม่ๆ รวมถึงประสบการณ์ที่ฉีกขนบโรงแรมทั่วไปเสียขาดกระจุย หาก “Anything But Standard” เป็นดั่งคำสัญญาที่แบรนด์ให้ไว้ The Standard Bangkok Mahanakorn ก็ส่งมอบสิ่งนั้นได้อย่างสมฐานะ Flagship Property แห่งทวีปเอเชียครับ #LetsHoparound #TheStandardBangkok

  • Out for a stroll in FUKUOKA เที่ยวเมืองฟุกุโอกะ

    Out for a stroll in FUKUOKA ไป #Hop 6 ย่านดีๆในฟุกุโอกะกันน!! ฟุกุโอกะ เมืองรองที่ไม่เป็นสองรองใคร ญี่ปุ่นไม่ได้มีเมืองฮิปๆแค่โตเกียวกับโอซาก้า ถ้าหากเพื่อนๆอยากลิ้มลองรสชาติความเป็นญี่ปุ่นที่ต่างออกไป ลองลากสายตาลงมาทางเกาะคิวชูทางตอนใต้ของแผนที่ญี่ปุ่น ก็จะพบกับ “ฟุกุโอกะ” เมืองขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ครบครันไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหารเท่ๆเก๋ๆมากมาย กระจายอยู่ทั่วเมืองให้ตามล่ากันจนเพลิน . สายราเมนต้องไม่พลาด เพราะมันคืออาหารขึ้นชื่อของที่นี่ แม้กระทั่งราเมนข้อสอบ (Ichiran Ramen) ที่โด่งดังไปทั่วโลก ก็มีร้านดั้งเดิมอยู่ที่เมืองนี้นี่เอง แต่สิ่งที่ทำให้เราหลงรักฟุกุโอกะที่สุดน่าจะเป็นอัธยาศัยไมตรีของผู้คนที่เฟรนด์ลี่น่ารักกว่าคนในเมืองใหญ่ๆทั่วๆไป . ทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆชาว #hopster ไป #hop แบบชิลๆกันในเมืองฟุกุโอกะ ป่ะ! ไปเดินเล่น ชมเมือง ช้อปปิ้ง กินขนม ดื่มน้ำอร่อยๆกัน ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยย!!! ย่าน Hirao และย่าน Yakuin เรามาเริ่มกันที่ย่านแรกคือย่าน Hirao และย่าน Yakuin ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน Yakuin-odori Station ย่านนี้เงียบแต่เต็มไปด้วยร้านกาแฟเท่ๆ ร้านค้าน่ารักๆ และร้านขายเครื่องใช้ในบ้านมากมาย เพื่อนๆสามารถใช้เวลาได้ทั้งวันในย่านนี้เลย “There is no life without water because without water there is NO COFFEE.” NO COFFEE เราติดตามร้านนี้มาตั้งแต่ก่อนไป Fukuoka และแอบทึ่งในโมเดลธุรกิจของเขา ตั้งแต่การตั้งชื่อร้านว่า No Coffee ทั้งที่เป็นร้านกาแฟ ซึ่งเราคิดว่าเป็นการตั้งชื่อที่ฉลาดมาก เพราะตีความได้หลายนัยยะ นัยยะแรกอาจจะมาจาก Quote หลักของแบรนด์นั่นก็คือ “There is no life without water because without water there is NO COFFEE.” นัยยะที่ 2 ก็คือร้านนี้เป็นร้านกาแฟ ที่ไม่ได้ขายกาแฟเป็นหลัก (แต่รสชาติกาแฟดีงามนะ) สิ่งที่น่าจะเป็นรายได้หลักที่ช่วยหล่อเลี้ยงธุรกิจให้เติบโตก็คือสินค้า merchandise ติดแบรนด์ No Coffee หลายรายการทั้ง แก้ว สติ๊กเกอร์ เคสมือถือ กระปุกใส่กาแฟ กระเป๋าโท้ต ไปจนถึงลูกฟุตบอล ร้านนี้จึงกลายเป็นร้านกาแฟที่ไม่ใช่ร้านกาแฟ สมกับชื่อ No Coffee จริงๆ Location: https://goo.gl/maps/AjcxSkiqpYhdqzFb9 Futaori ร้านของใช้ในบ้านและดอกไม้แห้ง Location: https://goo.gl/maps/gCi6ANPFMBuWWVek7 ROASTER'S COFFEE ร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับกาแฟ ใครเป็นสาวกกาแฟ ควรแวะเป็นอย่างยิ่ง Location: https://goo.gl/maps/ B・B・B POTTERS เดินเลยมาหน่อยก็จะเจอกับร้าน B・B・B POTTERS เป็นตึกใหญ่สี่ชั้นตั้งตระหง่านอยู่ริมถนน ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านที่ขายตั้งแต่ของใช้ในครัว ของแต่งสวน ของใช้ในห้องน้ำรวมไปถึงของแต่งบ้าน เราหมดเวลาไปนานมากกับร้านนี้ ของส่วนใหญ่ก็จะเลือกมาขายก็มาจากทั่วญี่ปุ่น แถมชั้นสองเค้าก็มีคาเฟ่ด้วยนะ บรรยากาศเงียบๆ ชิลๆ ดี (แอบบอกว่าในเครือนี้มีรีสอร์ทเป็นของตัวเองด้วยนะชื่อว่า bbb haus ตั้งอยู่ริมชายหาดใครอยากไปลองคลิกไปชมเลย http://www.bbbhaus.com/) Location: https://goo.gl/maps/usanoTnCSWVja1CW6 มองมาฝั่งตรงข้ามร้านก็มีอีกหนึ่งคาเฟ่ ย่านนี้คาเฟ่เยอะจริงๆ BBB& เดินถัดมาอีกหน่อยก็จะเจอกับอีกร้าน BBB& สาขานี้จะเน้นขายสินค้าที่เกียวข้องกับอาหารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หนังสือสอนทำอาหาร วัตถุดิบ เซรามิก ของใช้ในครัว Location: https://goo.gl/maps/918KQwQUEMeJFbHr7 USED CLOTHES/ANY ร้านเสื้อผ้าผู้ชายมือสองไซส์มินิ แต่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้ามือสองที่คัดมาแล้วอย่างดี Location: https://goo.gl/maps/hkacRmrcRsxHhYpx8 The Basket Burger & Sakaba ร้านเบอร์เกอร์และเบียร์สไตล์อเมริกัน ที่มีบรรยากาศง่ายๆสบายๆ Location: https://goo.gl/maps/XyZggYvneDtxx73Q8 クジャクカリー TAKE OUT CURRY STAND ตรงข้ามก็จะมีร้านข้าวแกงกะหรี่ด้วยแบบยืนกินด้วย Location: https://goo.gl/maps/c9FbC1DnTx9TzGPd7 Bakery Mutsukado ร้านเบเกอรี่สุดคิ้วท์ที่ตั้งอยู่หัวมุมห้าแยก Yakuin Mutsukado ร้านนี้มีขนมปังอบอุ่นๆ หลากหลายมากรูปแบบ รวมไปถึงแยมผลไม้รสต่างๆ ขอบอกเลยว่าขนมปังเปล่าๆก็อร่อยแล้วอะ Location: https://goo.gl/maps/9MdYbG1TMbCereWb6 LULU COFFEE & CAKE STAND ที่นี่เค้กกับกาแฟอร่อยยย Location: https://goo.gl/maps/PEKPQuY5R9F4JrHY9 cream(クリーム) ร้านรวมแว่นคุณภาพดีสไตล์ญี่ปุ่น Location: https://goo.gl/maps/a6yrA4486buj3xQR6 アビス(ABys) ร้านดอกไม้และคาเฟ่อยู่ติดกับร้านแว่นเมื่อกี้เลย Location: https://goo.gl/maps/iKh1wqThvAQaWGYXA BALDY DINER ร้านอาหาร+บาร์สไตล์อเมริกัน อย่าลืมแวะเข้าไปซอกนี้นะ มีกลิ่นอายความเป็นอเมริกาสุดๆ ดูได้จากบาร์ด้านหน้า Location: https://goo.gl/maps/4erE1dF62NHNHP9VA Ron Herman (รอนเฮอร์แมน) แบรนด์โปรดของเรา มาญี่ปุ่นทีไรต้องแวะทุกที แบรนด์นี้มีต้นกำเนิดจากรัฐแคลิฟอเนียร์เป็นร้านรวมเอาเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน เครื่องประดับ น้ำหอม จนทุกวันนี้มีสาขาในญี่ปุ่นกว่า 20 สาขาแล้ว บางสาขาก็จะมีคาเฟ่ให้เราได้นั่งชิลอีกด้วย เราว่าร้าน Ron Herman สาขาในญี่ปุ่นของเจ๋งกว่าที่ LA เยอะมาก ใครผ่านมาลองแวะดูค้าบ Location: https://goo.gl/maps/5TkQ2KKvR9TLuqyw8 HUES ヒューズ ร้านเสื้อผ้าไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่ริมถนน ในร้านจะมีหลายแบรนด์รวมกันแต่จะขาย Maison Margiela เป็นหลัก Location: https://goo.gl/maps/DZd2piPCpV8AWkWr7 ย่าน Tenjin ย่านต่อมาเป็นย่านหลักของเมืองเลยคือ Tenjin ให้อารมณ์คล้ายๆ Omotesando-Aoyama ที่โตเกียวเลย เป็นย่านที่รวมทุกอย่างตั้งแต่ห้างสรรพสินค้า ร้านเสื้อผ้า ร้านคาเฟ่ ร้านหนังสือ ร้านอาหารเพียบบบบบ ย่านนี้คนพลุกพล่านสุดละ คิดอะไรไม่ออกก็แวะย่านนี้ก่อน เพราะมันครบ! GRANVILLE STORE ร้านเสื้อผ้าสไตล์ญี่ปุ่น Location: https://goo.gl/maps/yiUaNFWQLSgyQM6R6 rt Fukuoka shop ร้านสินค้าแบรนด์เนมมือสองสภาพใหม่มาก เราชอบร้านนี้ที่มักจะมีไอเท่มดีๆมาวางขายอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นของลิมิเต็ดหายาก จากแบรนด์ดังๆทั้งจากทั่วญี่ปุ่นเอง และจากทั่วโลกด้วย เราเคยได้เสื้อเชิ้ต Comme des Garçons Shirt Boys สภาพดีมาในราคาที่ย่อมเยาด้วย ใครชอบของดีๆแนวนี้ลองแวะดูนะ Location: https://goo.gl/maps/guSBtJqxG3MEV2XZ6 และมีร้านค้าอื่นๆอีกเยอะแยะมากมายตลอดสองข้างทางเลย タイムカード TIME CARD ร้านนี้ขายน้ำเลม่อนสดๆ แต่ตกดึกจะเปลี่ยนเป็นบาร์แอลกอฮอล์แบบบุฟเฟต์ในราคา 1000 เยน กิมมิกของที่นี่คือต้องตอกบัตรเข้าร้านด้วยก็เหมือนชื่อร้านแหละ Time Card Location: https://goo.gl/maps/6RZEvuuFX1o6z464A 10 COFFEE BREWERS FUK ร้านกาแฟอีกหนึ่งที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นเราแนะนำมา ถามว่าดียังไงลองดูคิวสิ Location: https://goo.gl/maps/s1oq8NSHXvot1iUb9 Fukuoka Growth Next (FGN) ฮับที่สร้างมาเพื่อธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งหลาย ตึกนี้รีโนเวทมาจากโรงเรียนเก่า ด้านในมีทั้งร้านกาแฟ โซนห้องสมุด โซนนั่งทำงานแบบ co-working space ด้วย Location: https://goo.gl/maps/4scGTFJdU8HF61438 THE LIBRARY 天神店 ร้านนี้จะเป็นรวมแบรนด์ในสไตล์มินิมอล มีทั้งเสื้อผ้า ของใช้ในชีวิตประจำวัน และหนังสือ โดยมีแบรนด์ Margaret Howell, MHL, Sunspel และอื่นๆ Location: https://goo.gl/maps/xFs5dUjB7K6eLyw37 และก็มีแบรนด์อื่นๆอีกเยอะมากมาย ลองมาเดินเล่นกันนะ แถมที่นี่ก็มีแหล่งช็อปใต้ดินด้วยนะ ใครมาหน้าร้อนก็มาเดินหลบร้อนได้แบบเราาาาา เพราะห้างใต้ดินนี่ยาวเป็นกิโลเลยแหละ อยู่ใต้ดินในสถานี Tenjin รับรองใต้ดินนี่มีอะไรให้แวะดูอีกเยอะมากเช่นกัน ฮ่าๆ Fukuoka Red Brick Culture Museum ข้ามฝั่งกันออกไปอีกนิดขะเจอกับ Fukuoka Red Brick Culture Museum สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยปี 1909 เพื่อเป็นอาคารสำนักงานของบริษัท Nippon Life Insurance อาคารแห่งนี้เป็นอาคารเก่าแก่ที่สำคัญที่สุดของเมือง สร้างขึ้นจากอิฐสีแดงให้อารมณ์ย้อนยุคสไตล์ 19th century British มองจากด้านนอกแล้วเหมือนปราสาทในหนังเลยยยย ภายในตึกประกอบไปด้วยพื้นที่สำหรับการจัด exhibition ห้องประชุมและคาเฟ่ Location: https://goo.gl/maps/nskQTTJQddrnp6hr9 STANDARD MANUAL ร้านขายข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ทั้งของใหม่ ของวินเทจมือสอง และเสื้อผ้ามือสองที่คัดสรรมาแล้วอย่างดี ร้านนี้ถึงจะออกนอกเส้นทางมาหน่อย แต่เชื่อเถอะ คุ้มที่จะมาสุดๆ ดูได้จากรูปเลย จัดร้านได้ปังมากกกกกก เลิฟ Location: https://goo.gl/maps/tXEakM913yewbdhW8 Connect Coffee เราขอปิดท้ายย่านนี้ด้วยร้าน Connect Coffee ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของลาเต้อาร์ต Location: https://goo.gl/maps/p9h6s4rW3hFBHRjT6 ย่าน Takasago เป็นย่านที่อยู่อาศัย ที่เต็มไปด้วยร้านรวงเท่ๆมากมาย หนึ่งในไฮไลท์ของย่านนี้คือแบรนด์เครื่องเขียน HIGH TIDE ที่มีร้านสาขาใหญ่อยู่ที่นี่ ย่านนี้ก็เดินเพลินๆได้ รับรองเพื่อนๆจะต้องเสียเงินไปกับที่นี่แน่นอน Good up coffee ร้านกาแฟเล็กๆ บรรยากาศสบายๆ ที่เราขอแวะพักน่องสักหน่อยยย เพราะเดินมาเยอะมากกก Location: https://goo.gl/maps/jby2D3LRAKY9RCfm9 อากาศร้อนๆแบบนี้ต้องหาแวะเข้าร้านสะดวกซื้อหาไรชื่นใจๆ กินสักหน่อยยย HIGH TIDE STORE ร้านเครื่องเขียนจากผู้ผลิตเครื่องเขียนชื่อดังของฟุกุโอกะ แบรนด์ HIGH TIDE เป็นเครื่องเขียนออริจินัลของเมืองนี้เลย ใครมาก็ควรซื้อกลับบ้านซักหน่อย ที่นี่ไม่ได้มีแต่เครื่องเขียนนะ พวกอุปกรณ์จัดเก็บของก็มีเยอะไม่แพ้กัน หรือใครอยากจะสั่งทำสมุดแบบดีไซน์เองก็สามารถทำได้ที่นี่ Location: https://goo.gl/maps/wkiuyMme6VGSrsui8 KUJIMA Shop and Gallery ร้านนี้เหมาะสำหรับสาวกเซรามิกมากกกกก ใครแพ้พวกจานชามแก้ว ขอให้แวะ แค่แวะมาดูก็ชื่นใจแล้วเนี้ย ทางขึ้นจะอยู่ในซอกเล็กๆ เล็กแบบเดินได้คนเดียวแต่มีป้ายบอกชัดเจนดีนะ ร้านตั้งอยู่ชั้นสองของตึก มีโซนแกลอรี่ด้วย Location: https://goo.gl/maps/jmRLzEJYSDEYgSKC9 Coffee County ร้านกาแฟโลคอลของชาวฟุกุโอกะ Location: https://goo.gl/maps/5Q1SELtsmKBuxYAG7 ย่าน Watanabe dori ย่านนี้อยู่ถัดมาจากย่าน Takasago ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน Watanabe dori Actus ร้านขายของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ต่างๆ ราคาดีมากกกกก ใครสะดวกซื้อเตียงซื้อตู้ ก็จัดไปเลย เราได้ที่ฉีดน้ำมาจากที่นี่ด้วย ฮ่าๆ Location: https://goo.gl/maps/RLdD6xhoxLsKnxwh8 Umeyama Teppei Shokudo ร้านข้าวหน้าปลาดิบสดๆจากท้องทะเล Genkai เมนูที่นี่จะเปลี่ยนไปทุกวัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่หาได้ในแต่ละวัน รับรองความสดใหม่ เรียกว่าไม่มีค้างสต็อกเลยหล่ะ แนะนำให้มาเนิ่นๆ ไม่งั้นต้องรอคิวยาวเลยแหละ Location: https://goo.gl/maps/BaMgA7VUraupRBkh9 Stereo Coffee สเตริโอ คอฟฟี่ ร้านกาแฟและแกลอรี่ ที่นี่ร้านกาแฟแบบคอฟฟี่สแตน ที่นี่ปรับปรุงมาจากบ้านหลังเก่ามาเป็นร้านสุดคิวท์ ชั้นล่างเป็นพื้นที่สำหรับยืนจิบกาแฟซึ่งสามารถดูการดริปกาแฟได้ด้วย และทางร้านได้เปิดเพลงอะคูสติกให้ฟังเพลินๆ เคล้ากับเสียงเครื่องทำกาแฟ มันช่างชิลอะไรเช่นนี้เนี้ยยย ส่วนบนชั้น 2 เป็นแกลเลอรีหมุนเวียนชื่อว่า “AND” ด้วย Location: https://goo.gl/maps/PPoT2aqAcB7Uox9z6 ย่าน HAKATA ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟฮากาตะ เป็นสถานีรถไฟหลักของฟุกุโอกะ มีทุกอย่างครบตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงพวกเสื้อผ้าต่างๆ และไม่ค่อยแออัดเหมือนเมืองอื่นๆเลย เรามากันในช่วงหน้าร้อนซึ่งตรงกับเทศกาลฮะกะตะ กิออน ยะมะกะสะ (Hakata Gion Yamakasa Festival) พอดีเลย ซึ่งเทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อบวงสรวงเทพและอธิษฐานให้ไม่มีโรคระบาดในฤดูร้อน ใครไปช่วงเดือนกรกฎาคม เพื่อนๆก็จะพบเห็นแท่นนี้รอบๆฟุกุโอกะเลยหล่ะ ย่าน GION เป็นย่านออฟฟิศของฟุกุโอกะ แต่ก็มีร้านดีๆ ตั้งอยู่มากมาย Hakata Sennen-no-Mon Gate ซุ้มประตูพันปีฮากาตะ ซุ้มประตูนี้สร้างเสร็จได้ไม่นานเมื่อปี 2014 นี่เอง สร้างขึ้นเพราะเชื่อว่าจะได้รับความเจริญรุ่งเรื่องอีกหลายร้อยหลายพันปีในอนาคต ด้านหลังซุ้มนี้ไปจะมีวัดและศาลเจ้าตั้งอยู่มากมาย Location: https://goo.gl/maps/RmbAD3Y2m7Q5Risy8 COMME des GARCONS Fukuoka ร้านแรกที่เราแวะมาเลยคือ COMME des GARCONS สาขาฟุกุโอกะ สองชั้นไปเลย จุกๆ ทีแรกเป็นร้านขายของเครื่องใช้ในบ้าน ชื่อ D&Department หลายๆคนคงรู้จักดี แต่เค้าเพิ่งหมดสัญญาไปไม่นานนี่เอง Location: https://goo.gl/maps/3NBDvjhwTWNFj3RH7 Jotenji Temple and Monument to commemorate the Origin of Udon and Soba Noodles Yatai Food Stall ซุ้มอาหารแบบฉบับฟุกุโอกะ สิ่งแรกที่เตะตาเราสุดๆเลยคือ ซุ้มอาหารเล็กๆ น่ารักๆ ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ริมแม่น้ำและริมถนนรอบๆ ห้าง Canal City ซุ้มส่วนใหญ่เริ่มเปิดตั้งแต่ 6 โมงเย็นเป็นต้นไปจนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งตีสองเลย อาหารส่วนที่ใหญ่ขายกันก็มีหลายอย่างเลยนะ เช่น ราเมง พวกปิ้งๆย่างๆเสียบไม้ก็มี ดูเหมาะกับการมานั่งกินดื่มหลังเที่ยวเสร็จ Ramen Stadium ศูนย์รวมร้านราเมงจากทั่วทุกภาคของญี่ปุ่น ขอปิดท้ายโพสด้วย Ramen Stadium ศูนย์รวมร้านราเมงจากทั่วทุกภาคของญี่ปุ่นชื่อดังหลากสไตล์ไว้ในที่เดียว ตั้งอยู่บนชั้น 5 ในห้าง Canal City มากินมื้อดึกก็ไม่เลวนะ เพราะที่นี่ปิด 5 ทุ่มแหนะ Location: https://goo.gl/maps/nExcoLrTek6etFqp7 เป็นไงกันบ้างกับทริปฟุกุโอกะของพวกเรา ใครมีคำถามอะไรถามกันมาได้เลยครับ ขอบคุณที่ติดตามกันนนนน้า แล้วเจอกันทริปหน้านะคร้าบบบ FB/IG @hoparound.co Website www.hoparound.co #LetsHoparoundFukuoka #LetsHoparound #Fukuoka #Travel #Japan #เที่ยวฟุกุโอกะ #คาเฟ่ในฟุกุโอกะ #รีวิวฟุกุโอกะ #ไปไหนดีฟุกุโอกะ #กาแฟฟุกุโอกะ #กินเที่ยวฟุกุโอกะ #ช็อปปิ้งฟุกุโอกะ #เที่ยวญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #ไปญี่ปุ่น #เที่ยวคิวชู

  • 137 Pillars Suites & Residences Bangkok บ้านร้อยเสาแห่งล้านนา สู่โรงแรมระฟ้ากลางมหานคร

    137 Pillars Suites & Residences Bangkok บ้านร้อยเสาแห่งล้านนา สู่โรงแรมระฟ้ากลางมหานคร คุณเคยเห็นบ้านที่มีเสาถึง 137 ต้นไหมครับ แน่นอนว่าบ้านหลังนั้นต้องมีความยิ่งใหญ่เกินบ้านปกติธรรมดาไปมาก ยิ่งหากเป็นบ้านไม้สักโบราณสไตล์โคโลเนียลล้านนาสมัยร.5 ที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปกว่า 130 ปีก็ยิ่งทำให้บ้านหลังนั้นทรงคุณค่าจนประเมินราคาลำบากเลยล่ะครับ บ้านไม้โบราณหลังที่ว่านี้มีอยู่จริงๆที่เชียงใหม่ และเป็นที่มาของ 137 Pillars แบรนด์ Luxury Boutique Hotel ที่ได้ขยายมาให้บริการถึงใจกลางย่านพร้อมพงษ์อยู่พักใหญ่แล้ว และอีกไม่นานก็คงกลายเป็นแบรนด์สัญชาติไทยที่จะเติบโตออกไปอีกหลายประเทศ และวันนี้เราไม่ได้พาเพื่อนๆไปถึงเชียงใหม่กัน แต่เราอยู่กันที่ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ครับ The Overview โรงแรม 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ตั้งอยู่กลางซอยสุขุมวิท 39 ถือเป็น Address ที่เลอค่าที่สุดแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิทเลยล่ะครับ โดยอยู่ห่างจากห้าง The EmQuartier เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ด้วยตัวอาคารที่สูงถึง 33 ชั้นทำให้เราสามารถเสพวิวเมืองหลวงได้ทั้งในมุมกว้างและไกลสุดสายตา และความอลังการของวิวก็เป็นแม่เหล็กพลังสูงที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและเทศให้เข้ามาเป็นแขกของโรงแรมบูทีคอันหรูหราแห่งนี้ ไม่ว่าจะมาเข้าพักหรือมารับประทานอาหาร ไปจนถึงมาใช้บริการสปา (ซึ่งดีงามเกินคาดครับ) เพราะที่นี่เน้นการให้บริการอย่างไทยพร้อมคอนเส็ปต์อันรุ่มรวยและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ตามแรงบันดาลใจที่ได้รับมาจากบ้านไม้สักโบราณ 137 เสาที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์โรงแรม 137 Pillars ขออนุญาตเล่าความเป็นมาของบ้าน 137 เสาซักนิดนะครับ บ้านหลังนี้คาดว่าถูกสร้างเสร็จในปีพ.ศ. 2432 หรือ 133 ปีก่อนเพื่อใช้เป็นสำนักงานของบริษัท บอร์เนียว จำกัด บริษัททำไม้สัญชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นกิจการต่างชาติเจ้าแรกที่ได้รับสัมปทานป่าไม้ของไทย โดยมีผู้จัดการคนแรกคือนาย Louis T. Neolowens ลูกชายของหม่อมแอนนาผู้โด่งดังในฐานะพระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้กับในหลวงรัชกาลที่ 5 นั่นเอง ตามขนบล้านนานั้น จำนวนเสาที่มีมากถึง 137 เสาในบ้านนั้นบ่งบอกถึงความโอ่อ่าและความมั่งคั่งของเจ้าของได้เป็นอย่างดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านหลังนี้ก็ถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองและใช้เป็นที่ทำการของกองทัพ ก่อนจะกลับมาถูกใช้ดำเนินกิจการทำไม้อย่างเดิมจนกระทั่งเลิกกิจการไปในปีพ.ศ. 2498 หลังจากที่ถูกปล่อยให้ทรุดโทรมมานาน คุณนิพันธ์ วงศ์พันเลิศ เจ้าของกังวาลเท็กซ์ไทล์ ผู้นำอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมเส้นด้ายของไทย ก็ได้มาพบกับบ้านแสนงามหลังนี้ระหว่างตระเวนหาทำเลสร้างที่พักตากอากาศในจ.เชียงใหม่ และในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อต่อจากคุณตา แจ็ค จรินทร์ เบน ทายาทผู้จัดการคนสุดท้ายของบริษัท บอร์เนียว จำกัด ความงามทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของตัวบ้านนั้นทำให้คุณนิพันธ์เริ่มมีความคิดอยากจะแบ่งปันให้ผู้คนได้มาสัมผัส จึงเปลี่ยนแผนมาเนรมิตบ้าน 137 เสาให้กลายเป็น Luxury Boutique Hotel ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมจนต้องขยายแบรนด์โรงแรมเข้ามาในกรุงเทพฯ รวมไปถึงเรือยอชท์สุดหรูที่ภูเก็ตภายใต้แบรนด์เดียวกันด้วย The Arrival ล็อบบี้ของ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok นั้นมีชีวิตชีวาด้วยหลากภาษาต่างชาติที่แขกผู้เข้าพักใช้สื่อสารกัน โดยเฉพาะแขกญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ระยะยาวฃในส่วนของ Residences เพียงครู่เดียวหลังจากที่เรามาถึง พนักงานต้อนรับก็นำ Welcome Drink เป็นน้ำอันชัญมะนาวชื่นใจมาเสิร์ฟให้ จากนั้นก็นำเอกสารเช็คอินมาให้เรากรอกและเซ็น ที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ Reception นั้นแขวนแผ่นไม้ขนาดมหึมาเรียงกันอยู่หลายชิ้น บ่งบอกถึงอุตสาหกรรมป่าไม้ที่เป็นที่มาของบ้านต้นกำเนิดแบรนด์ นอกจากตรงนี้แล้ว งานไม้ที่สวยงามยังสามารถพบเห็นได้อีกหลายจุดทั่วโรงแรมเลยครับ อีกสิ่งที่ต่อให้ไม่สังเกตก็ต้องเห็นนั่นก็คือภาพจิตรกรรมขนาดยักษ์เต็มพื้นที่ผนัง โดยคุณปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติประจำปีพ.ศ. 2557 โดยทุกๆองค์ประกอบของภาพนั้นเน้นความเป็นศิริมงคล จนภาพนี้ได้ชื่อว่า “Auspicious Path” นั่นเอง หลังจากทำเรื่องเช็คอินเสร็จเรียบร้อย คุณ Vikky ผู้ช่วยส่วนตัวประจำห้องของเรา (อารมณ์คล้ายๆ Butler ที่เราสามารถเรียกให้ช่วยเหลือได้ตลอดเวลา เพียงแค่ไม่ได้อยู่ประจำเฉพาะที่ห้องของเรา) ก็เข้ามาแนะนำตัว และพาเราไปส่งที่ห้องพักหมายเลข 3101 Our Room ห้องของเราเป็นห้องสุโขทัยสวีท ขนาด 70 ตร.ม. บนชั้น 31 เห็นพื้นที่ห้องใหญ่ขนาดนี้นี่เป็นแค่ขนาดเริ่มต้นเท่านั้นนะครับ เพราะยังมีห้องประเภทอื่นๆที่ขนาดใหญ่ไปจนถึง 127 ตร.ม.เลยทีเดียว ตัวห้องแบ่งครึ่งชัดเจน ฝั่งขวาเป็นโซนห้องนอนกับห้องมินิบาร์ที่แยกออกมา (มีตู้แช่ไวน์ด้วย!) และฝั่งซ้ายก็เป็นโซนห้องน้ำและห้องแต่งตัว นั่นเท่ากับว่าพื้นที่ห้องน้ำที่นี่กว้างถึง 35 ตร.ม.เลยทีเดียว ซึ่งความกว้างขวางนี้ก็ช่วยเพิ่มความน่าอยู่ให้กับตัวห้องขึ้นอีกมากเลยครับ โดยเฉพาะตรงมุมอ่างอาบน้ำทรงกลมริมหน้าต่างกระจกที่เทควิวเมืองกรุงเทพฯแบบเต็มตาเลย เราชอบคุณภาพของสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องของเรามากครับ อุปกรณ์ต่างๆถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะ มีระบบที่ทันสมัย และใช้งานได้แบบสะดวกลื่นไหล ช่องชาร์จ USB นั้นมีให้หลายจุดเพียงพอกับอุปกรณ์ต่างๆของเรา เราเทสต์เครื่องเสียง Bose ด้วยเพลง Pink Venom ที่ตอนนั้นเพิ่งปล่อยมาได้ไม่นาน ก็เสียงคมชัด เบสแน่นไม่ผิดหวังครับ Welcome Pastries ของที่นี่นั้นเป็นขนมไทย 5 อย่างที่หน้าตาดีมากครับ โดยเฉพาะน้องช้างที่ดูสวยราวกับเครื่องเซรามิคจนแทบไม่กล้ากินเลยแหละ The Afternoon Tea น้ำชายามบ่ายของ 137 Pillars นั้นเสิร์ฟที่ Baan Borneo Club บนชั้น 26 ซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตัวชุดชามาในคอนเส็ปต์อัญมณี “Boutique Of Jewels” ที่ไม่เหมือนใคร โดยพรีเซ็นต์ Pastries ออกมาเป็นเครื่องประดับแก้วแหวนและกำไลวับวาวเพื่อเอาใจคุณผู้หญิง ส่วนชานั้นเป็นแบรนด์ Monsoon Tea ชาไทยพรีเมี่ยมจากเชียงใหม่ บ้านเกิดเดียวกันกับแบรนด์ 137 Pillars เลย Fitness & Golf Facilities ที่ชั้น 6 ของโรงแรมนั้นเป็นชั้นสำหรับสาย Active ครับ เพราะมี Gym ที่แม้ขนาดไม่ใหญ่มากแต่อุปกรณ์นั้นทันสมัยและคุณภาพดี และเนื่องจากแขกในฝั่ง Residences นั้นมักจะเป็นชาวญี่ปุ่นผู้หลงไหลในการตีกอล์ฟ บนชั้นนี้จึงมี Golf Studio และลานไดรฟ์กอล์ฟขนาดกระทัดรัดเอาไว้ให้บริการด้วย นับเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้มีความเป็น Boutique Hotel ที่ไม่เหมือนใครสมกับที่ได้เป็นสมาชิก Small Luxury Hotels Of The World เลยครับ The Dinner at Nimitr ใกล้เวลามื้อเย็นแล้วครับ เรากดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 27 กันดีกว่า ห้องอาหาร Nimitr ที่เราจองดินเนอร์ไว้อยู่ชั้นนี้ แต่ก่อนที่จะเข้าสู่มื้ออาหาร เราไปจิบเครื่องดื่มเย็นๆที่ริมสระน้ำกันก่อนดีมั้ยครับ เพราะสระก็อยู่ชั้นเดียวกันเลย น้ำในสระบนชั้น 27 นี้ดูสงบนิ่งงดงาม ต่างจากบรรยากาศรอบๆที่เริ่มครึกครื้นด้วยเสียงแขกเหรื่อที่ทยอยกันมาถึง มื้อเย็นนั้นเป็น Prime Time ของห้องอาหาร Nimitr ครับ เพราะวิว Skyline ของกรุงเทพฯช่วงตะวันตกดินแบบนี้นั้นช่วยเพิ่มดีกรีความสุนทรีย์ให้อาหาร European Fusion ของเราดีงามไปอีกหลายขั้นเลย The Rooftop Pool มุมที่โด่งดังที่สุดของโรงแรมน่าจะเป็นสระว่ายน้ำ Infinity Pool บนชั้นดาดฟ้ายอดตึกแห่งนี้ครับ เรื่องวิวนั้นต้องว้าวอยู่แล้ว สวยทั้งกลางวันและกลางคืนเลย น้ำเกลือในสระก็อุณหภูมิกำลังดี ว่ายสนุก วิวสวย รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้ว ถ้ากรุงเทพฯคือเมืองของเทพจริงๆ ตรงนี้ก็คงไม่ห่างจากสวรรค์แล้วล่ะครับ บนชั้นนี้นอกจากตัวสระหลักแล้ว เค้ายังมีสระ Jacuzzi อีก 2 สระทั้งแบบอุ่นและแบบอุณหภูมิปกติไว้ให้แช่ด้วยเราชอบสระอุ่นครับ นั่งแช่ตอนกลางคืนไปชมวิวเมืองไปเพลินขั้นสุด แต่ถ้าใครไม่ชอบลงน้ำ ก็มีซุ้มเตียงกลางแจ้งเอาไว้ให้เอกเขนกเล่นเช่นเดียวกันครับ Back To Our Room ห้องของเราถูก Turn Down เรียบร้อย เราพุ่งตัวไปที่ Shower แต่ก็ดันกันไปเจออ่างอาบน้ำทรงกลมใหญ่นั่งรออยู่ที่ริมหน้าต่าง เอาไงดีล่ะทีนี้ เพิ่งแช่น้ำมาจากบนดาดฟ้า ตอนแรกก็กะจะตัดใจไม่แช่อ่างแล้วดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็อดไม่ได้ ซักนิดก็ยังดี 5555 ก็บรรยากาศมันดีจริงๆนี่นา และในที่สุดเราก็เพิ่งได้สัมผัสกับทีเด็ดที่แท้จริงของห้องครับ ซึ่งก็คือเตียงนั่นเอง ขอชมจากใจจริงว่านี่เป็นเตียงโรงแรมที่นอนสบายที่สุดเตียงหนึ่งที่เราเคยไปนอนมาเลย ที่นอน Posturepedic Ultra Plush ที่ทางโรงแรมเลือกใช้นั้นรองรับสรีระเราได้ดีเหลือเกิน ส่วนหมอนและผ้าห่มนั้นก็นุ่มและมีน้ำหนักพอดี ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไป ยิ่งได้ความเนียนสบายผิวของเครื่องนอนผ้าลินินอียิปต์ทอ 400 เส้นด้ายด้วยแล้ว เราก็หลับลึกและนานรวดเดียวถึงเช้าเลย The Breakfast อาหารเช้าของ 137 Pillars นั้นเสิร์ฟที่ห้องอาหาร Bangkok Trading Post Bistro & Bar ซึ่งอยู่ชั้นล่างด้านหน้าโรงแรม เมนูมีทั้ง A La Carte แบบสั่งได้เพิ่มไม่จำกัด และ Buffet ให้ไปเลือกตักเองได้เลย มีครบ Spectrum ไล่ตั้งแต่จานเบาไปถึงจานหนัก ผักไปถึงเนื้อ คาวไปถึงหวาน เอเชียถึงยุโรป เราชอบเมนู English Muffin กับ Pork Sausage Patti เป็นพิเศษเพราะไม่ค่อยเห็นเสิร์ฟที่ไหน นอกจาก McDonald’s ฮ่าๆๆ แต่ของที่นี่พรีเมี่ยมกว่านะครับ The London Cab กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เราออกไปข้างนอกกันบ้างดีกว่า ที่ 137 Pillars นั้นมีรถ London Cab สี Royal Blue เป็นของตัวเองไว้คอยรับส่งแขกไปที่ EmQuartier ฟรีทุกชั่วโมงครับ หรือถ้าใครอยากให้พาไปเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ แถวๆวัดพระแก้ว ปากคลองตลาด ก็สอบถามพนักงานเพิ่มเติมได้เช่นกันนะครับ The Spa เดิน (Window) Shopping จนเริ่มเมื่อย กลับโรงแรมไปนวดดีกว่าครับ เราเคยได้ยินถึงความดีงามของ Nitra Serenity Centre หรือสปาบนชั้น 28 ของโรงแรม 137 Pillars เราจึงตั้งตาจะมาลองดูสักครั้ง พอมาถึงอย่างแรกที่สะดุดตาก็คือบานหน้าต่างไม้แกะสลักที่เรียงรายกันอันอย่างสวยงาม ซึ่งสะท้อนความเป็นมาของบ้าน 137 เสาที่เชียงใหม่ได้เป็นอย่างดี นอกจากการนวดทั่วๆไปแล้ว ในเมนูสปานั้นมีหลาย Treatment ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Reiki หรือการนวดท้องเพื่อสุขภาพทางเดินอาหาร ไปจนถึงการนวดโดยเน้นให้หลับสบาย แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็แนะนำ Nitra Raya Signature Treatment ที่ประสานหลายๆศาสตร์ไว้ด้วยกันไปเลย แต่วันนี้เราจะมานวดน้ำมัน Aroma Therapy กันครับ ที่นี่ใช้น้ำมันนวดแบรนด์ Alodia และเราก็เลือกกลิ่น Relaxing ที่เน้นให้ความผ่อนคลายครับ ยอมรับเลยครับว่าน้ำหนักมือของ Therapist ที่นี่นั้นดีงามสมคำร่ำลือ อาจจะถึงขั้นเกินความคาดหมายเลยด้วยซ้ำ มือของพี่ๆเป็น Healing Hands ของจริง เราประทับใจมากครับ และคิดว่าคงได้กลับไปลอง Treatment อื่นๆอีกในอนาคตอันใกล้ Wrapping Up Our Stay การมา Staycation ที่ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ในครั้งนี้ เรารู้สึกเหมือนได้มาสัมผัสกรุงเทพฯในอีกมุมที่ต่างไป แม้ที่นี่จะเป็น City Hotel ซึ่งต่างจากโรงแรมต้นฉบับที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นบ้านไม้โบราณ แต่ Vibes ของ “ความบูทีค” นั้นก็ยังคงปรากฏอยู่ทั่ว ส่วนผสมของโรงแรมหรู+ที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม+ความเป็น Family Business นั้นทำให้ที่นี่มีความแตกต่างในหลายแง่มุม แม้เราจะขับรถผ่านอยู่เป็นประจำ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาทำความรู้จักโรงแรมแห่งนี้แบบจริงๆจังๆ ทำให้เข้าใจว่าทำไมชาวต่างชาติถึงพากันติดใจใน Luxury Boutique Hotel สูง 33 ชั้นกลางย่านสุขุมวิทแห่งนี้ และเราเองก็ได้ค้นพบของดีหลายอย่างที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำบนดาดฟ้า เตียงนอนดูดวิญญาณในห้องพัก และอย่างน้อยเราก็คงต้องกลับมาซ้ำสปาแน่นอนครับ :-) #LetsHoparound #137pillars #137pillarsbangkok

  • Banyan Tree Veya Phuket อิสระแห่งการได้หยุดพักและถักทอคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

    Banyan Tree Veya Phuket อิสระแห่งการได้หยุดพักและถักทอคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น Veya (เวญา) คือแบรนด์รีสอร์ทใหม่ล่าสุดจากเครือ Banyan Tree ซึ่งเปิดตัวที่ภูเก็ตเป็นแห่งแรกในโลก โดยนำเสนอแนวคิด Conscious Living เน้นการสอดประสานการดูแลสุขภาพอย่างมีสติเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับการพักผ่อนที่หรูหรา มีผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมินสุขภาพพร้อมให้คำแนะนำแบบตัวต่อตัว ให้อิสระกับแขกในการเลือกเรียนรู้จากกว่า 50 คลาส/สัปดาห์เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปเลือกใช้ในชีวิตประจำวันต่อได้เอง หรือจองไปแล้วจะแคนเซิ่ลเมื่อไหร่ก็ได้ ความยืดหยุ่นที่ปราศจากแรงกดดันนี้ทำให้ Veya ตั้งอยู่บนจุดกลมกล่อมที่จะช่วย “ถักทอ” สิ่งที่ดีต่อสุขภาพให้เป็นเนื้อเดียวกันกับชีวิตประจำวันของเราได้อย่างแนบเนียน สมกับความหมายของคำว่า Veya ที่แปลว่า “To Weave” นั่นเอง วันนี้ hoparound.co ทำตามสัญญาแล้วครับ จะพาเพื่อนๆบินไปภูเก็ตกันอีกครั้ง คราวนี้เราจะพาเพื่อนๆไปชม Veya กันก่อนใครเลย สนใจสอบถามโทร 076 372 400 Line: @BanyanTreePhuket Email: phuket@banyantree.com The Arrival ทางรีสอร์ทส่งรถ Mercedez-Benz มารอรับเราที่สนามบิน โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง Banyan Tree Veya ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาจักร Laguna อันยิ่งใหญ่ทางทิศตะวันตกของเกาะ ต้นไทร (Banyan Tree) 5 ต้นตรงวงเวียนหน้าทางเข้าโรงแรมนั้นบอกเราให้รู้ว่าเรามาถึง Banyan Tree เรียบร้อยแล้ว พนักงานเล่าให้ฟังว่าที่นี่ไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของ Banyan Tree Veya ที่แรกในโลกเท่านั้นนะครับ แต่เป็นจุดกำเนิดของแบรนด์ Banyan Tree ทั้งหมดมาตั้งแต่ปี 1994 ก่อนที่จะขยายไปทั่วโลก ก่อนหน้านี้แผนก Wellbeing เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Banyan Tree Phuket แต่เมื่อกระแสสังคมยุคใหม่ให้ความใส่ใจกับสุขภาวะและการพักผ่อนแบบ Luxury กันมากขึ้น Veya จึงเกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยตรง โดยแยกตัวออกมาจาก Banyan Tree ใหญ่ แต่แขกของ Veya นั้นยังสามารถเข้าไปใช้พื้นที่และ Facilities ของอีกฝั่งได้เหมือนเดิม และที่อยู่ติดกันอีกด้านของ Veya ก็จะเป็นส่วนของสนามกอล์ฟ หากสนใจใช้บริการสอบถามทางรีสอร์ทได้เช่นกันครับ เนื่องจากส่วนของ Banyan Tree เองนั้นมีพื้นที่กว่า 200 ไร่ (จากพื้นที่ Laguna ทั้งหมดกว่า 2,500 ไร่!) พนักงานจึงเสนอให้เราแอดไลน์ของ Veya เพื่อความสะดวกในการสอบถามข้อมูลหรือในกรณีที่เรามี Request พิเศษ หลังจากดื่ม Welcome Drink ซึ่งเป็นน้ำสมุนไพรที่จะเปลี่ยนสีไปตามแต่ละวันที่เช็คอิน (เราไปถึงในวันศุกร์จึงได้น้ำสีฟ้า) จนชื่นใจกันแล้ว พนักงานต้อนรับก็พาเรานั่งรถบั๊กกี้ไปส่งและแนะนำห้องพักกันถึงที่เลยทีเดียว Our Villa เราพักที่ Villa หมายเลข 633 ทุกห้องของ Veya นั้นล้วนแต่เป็น Pool Villa ที่กว้างขวางเป็นส่วนตัว จุดเด่นคือแนวคิด Sleep & Rest ซึ่งเป็นข้อแรกของ “8 Pillars Of Wellbeing” ที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญจาก Veya โดยเฉพาะ ซึ่งในส่วนของห้องพักนั้น Veya ให้ความสำคัญอย่างมากกับการนอนหลับเต็มอิ่มของแขก ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่แตกต่างจากโรงแรมส่วนใหญ่ที่เราเคยเข้าพัก Bedding Area ทุกองค์ประกอบถูกคัดสรรมาอย่างดีเพื่อ “ถักทอ” ให้เกิดความผ่อนคลายในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของแขกที่เข้าพัก ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งห้องพักอย่างสวยงามด้วยสีเอิร์ธโทนให้ความรู้สึกสะอาดปลอดภัย มีม่านทึบแสงเพื่อช่วยให้หลับสนิทปราศจากแสงรบกวน นาฬิกาปลุกที่จำลองแสงอาทิตย์ยามเช้าและเสียงธรรมชาติ ไฟหัวเตียงที่ช่วยตัดแสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือหรือไอแพด เตียงที่นุ่มสบายราวกับค่อยๆดูดร่างของเราให้จมลึกลงไป เมนูหมอนที่เลือกได้ตามสรีระของเรา กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากเตา Burner และธูปหอมที่มีเตรียมไว้ให้ทุกห้อง ดนตรี Binaural Beats ที่ใช้คลื่นความถี่ให้สมองผ่อนคลายในระดับต่างๆ Singing Bowl ที่เราสามารถฝึกวนจนเกิดเสียงเพื่อสร้างความสงบได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังมีแถบยางยืดและเสื่อโยคะสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกความยืดหยุ่นให้ร่างกายอีกด้วย ส่วนมินิบาร์ก็จะเน้น Snacks ที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากใครหิวจริงจังแต่ไม่อยากออกจากวิลล่า ก็สามารถสั่ง In-Villa Dining มารับประทานได้เลย แอบใบ้ว่า Veya มีเมนูอาหารสุขภาพที่ไม่เหมือนใครในนามว่า Flexitarian ด้วย จะเป็นยังไงนั้นต้องติดตามอ่านต่อด้านล่างนะครับ Private Swimming Pool and Jet Tub ด้านนอกห้องเป็นสระน้ำเกลือขนาดกำลังดี และที่เราประทับใจมากก็คือบ่อ Jacuzzi น้ำร้อนที่อยู่ติดกัน เพราะมีน้ำร้อนพร้อมให้แช่ตลอด 24 ชม. ไม่ต้องรอเติมน้ำให้เต็มเหมือนอ่างอาบน้ำทั่วๆไป หัวเจ็ตก็แรงดีครับช่วยคลายเมื่อยได้ดีมากเลย ยิ่งแช่ตอนกลางคืนก็จะช่วยให้หลับสบายมากครับ Personal Consultation ก่อนวันเช็คอินเกือบสัปดาห์ ทาง Veya ได้ส่งแบบสอบถามเพื่อประเมินสุขภาพของเราตามหลัก 8 Pillars Of Wellbeing มาทางอีเมลล่วงหน้า จริงๆอยากอธิบายหลัก 8 ข้อนี้ให้เพื่อนๆฟัง แต่กลัวจะเบื่อกันซะก่อน ถ้าเพื่อนๆสนใจก็ดูข้อมูลต่อกันได้ที่ลิงค์นี้นะครับ https://www.banyantree.com/thailand/veya-phuket/8-pillars เมื่อเรามาถึง ผู้เชี่ยวชาญจึงนัดเวลามาสรุปผลการประเมินให้เราฟังแบบเฉพาะบุคคล ที่ว่า “เฉพาะบุคคล” นี้จริงจังนะครับ เพราะเรามาด้วยกัน 2 คน แต่ต้องแยกกันปรึกษา เราได้รับเกียรติจากคุณ Kim ซึ่งเป็น Director Of Wellbeing สาวชาวออสเตรเลีย และคุณ Raj ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำสมาธิและการฝึกหายใจชาวอินเดียมาช่วยให้คำแนะนำครับ นอกจากเราจะได้รู้ว่าใน 8 เรื่อง มีเรื่องไหนที่เป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนสำหรับเราแล้ว ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ท่านยังแนะนำ Workshop เป็นเหมือนคลาสสั้นๆให้เราเข้าไปเรียนรู้เทคนิควิธีที่จะช่วยให้สุขภาพเราดีขึ้นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเรามีอิสระเต็มที่ที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ได้ หรือจะจองไปก่อนแล้วยกเลิกทีหลังก็ได้เช่นกันครับ ซึ่งทาง Veya มีให้เลือกมากกว่า 50 คลาสต่อสัปดาห์ทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นคลาสฝึกสมาธิ ฝึกหัวเราะ กราวน์ดิ้ง ฝึกคลายความตึงเครียดในร่างกาย โยคะ พีลาทีส การออกกำลังกายเพื่อเบิร์นไขมัน การบำบัดด้วยกลิ่น ไปจนถึงความรู้เกี่ยวกับอาหารการกิน และ Mindful Living ดูตารางกิจกรรมได้ที่นี่นะครับ https://www.banyantree.com/thailand/veya-phuket/experiences The Food หลังจากรับคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบตัวต่อตัวแล้ว ท้องเราก็เริ่มร้องเบาๆครับเพราะเลยเที่ยงมานิดหน่อยแล้ว จริงๆแล้วความรู้เกี่ยวกับอาหารที่รับประทานเข้าไป (Dietary Awareness) นั้นเป็นเสาต้นที่ 2 ใน 8 Pillars Of Wellbeing เลยครับ Lunch มื้อนี้เราจึงสนใจอยากลองอาหาร Flexitarian ตำรับ Veya เป็นพิเศษ หน้าตาจะน่ากินขนาดไหนไปดูกันเลยครับ และถ้าอยากสำรวจเมนูเต็มๆพร้อมรายละเอียดแต่ละจาน ก็คลิกตรงนี้ได้เลยครับ https://www.taste.banyantree.com/bt-phuket-veya-eng อาหาร Flexitarian นั้นปรุงแบบ Asian ผสม Mediterranean เน้นใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ครบหมู่ สมดุล ยืดหยุ่น ไม่สุดโต่ง ตัดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างแป้งและน้ำตาลฟอกขาวออกไป แล้วใช้วัตถุดิบให้ความหวานจากธรรมชาติที่ปลอดภัยอื่นๆมาทดแทน รวมทั้งมีการลดโซเดียมลงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับรสชาติความอร่อย มีการใช้เนื้อสัตว์ที่คัดสรรมาอย่างดีมาประกอบอาหารอยู่ด้วย ทำให้ Flexitarian เป็นอาหารสุขภาพที่กินง่ายและอยู่ท้อง แม้สำหรับผู้ที่ไม่ชินกับอาหารสุขภาพ ที่สำคัญคือหน้าตาดีมากครับ Breakfast ในแต่ละมื้อเชฟก็จะรังสรรค์เมนูออกมาแตกต่างกันออกไปครับ เราได้ลองเมนูมื้อเช้าด้วยซึ่งเราสั่งให้มาเสิร์ฟที่วิลล่าของเราเลย อันนี้ต้องสั่งล่วงหน้า 1 วันนะครับโดยติ๊กเลือกจากเมนูกระดาษที่ทางรีสอร์ทให้มา หรือจะถ่ายรูปแล้วติ๊กหน้าจอส่งให้พนักงานทางไลน์ก็ได้เช่นกันครับ ตอนที่เราเลือกจากเมนูไม่ได้คิดว่าตอนมาเสิร์ฟจริงๆจะจัดเต็มจนโต๊ะแทบวางไม่พอขนาดนี้นะครับ เล่นเอาพุงไม่พอใส่กันเลยครับ ฮ่าๆๆ Dinner นอกจากอาหารสุขภาพแล้ว ถ้าใครยังรู้สึกโหยหาความอร่อยสะใจของอาหารแบบปกติก็ไม่ต้องกังวลเลยครับ เพราะเราก็เป็นเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ เราแว่บไปกินบาร์บีคิวอาหารทะเลและอาหารฝรั่งแสนอร่อยที่ร้าน The Watercourt กับอาหารไทยรสเยี่ยมที่ร้าน Saffron อันโด่งดัง (มีสาขาใน Banyan Tree ทั่วโลก) ในฝั่ง Banyan Tree ใหญ่มาด้วยครับ และเราก็อยากชวนเพื่อนๆไปลองเช่นกัน ติดใจแน่นอนครับ ถ้าไม่เชื่อก็ลองชมรูปดูไปก่อนนะครับ The Activities มา Veya ที่เดียวเหมือนได้เสาครบ 8 ต้นครับ เนื่องจากช่วงก่อนเราเข้าพัก เรามีปัญหาเกี่ยวกับการนอนค่อนข้างมาก คลาสที่เราเลือกจึงเน้นเรื่องการปรับปรุงคุณภาพการนอนอย่าง Sleep Meditation ที่ช่วยให้เราค่อยๆคลายกล้ามเนื้อทีละส่วนอย่างมีสติเพื่อเตรียมให้ร่างกายได้หลับลึกลงไป หรือ Ocean Breath คือการฝึกควบคุมลมหายใจทั้งเพื่อคลายเครียดและเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ซึ่งตามปกติจะนัดกันที่ริมหาดเพื่อสูดไอบริสุทธิ์ของทะเลยามเช้า แต่บังเอิญฝนตกหนักเราจึงฝึกในศูนย์ Wellbeing Center แทน อีกคลาสที่เราลงจองเอาไว้ก็คือ Conscious Grounding เป็นการตั้งสติฝึกเดินเท้าเปล่าบนพื้นหญ้าเพื่อปลดปล่อยพลังลบลงสู่พื้นดิน นอกจากนี้เราก็จองคลาส Duo Stretch เป็นการจับคู่ฝึกท่ายืดกล้ามเนื้อให้กันและกัน และพอยืดเสร็จก็ปั่นจักรยานไปออกกำลังต่อที่ยิมที่อยู่ไม่ห่างกันได้สะดวกเลยครับ ใช่แล้วครับ ในรีสอร์ทมีจักรยานให้ยืมด้วย ซึ่งเราเอ็นจอยมากๆ เราปั่นจากฝั่ง Veya เข้าไปในเขต Banyan Tree ใหญ่ซึ่งบริเวณกว้างขวางและร่มรื่นมากๆครับ หนึ่งในไฮไลท์ของอาณาจักร Laguna ก็คือลากูนน้อยใหญ่ที่เชื่อมต่อทะลุกันได้หมด ซึ่งแท้ที่จริงบึงน้ำเหล่านี้นั้นเป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในอดีตของภูเก็ต การปั่นจักรยานนอกจากจะได้เหงื่อแล้ว ยังได้เสพบรรยากาศที่สวยงามชวนให้สบายใจด้วย และถ้าอยากออกไปทะเล ก็ฝากจักรยานไว้กับพี่ยามตรงทางออก แล้วก็เดินพุ่งตัวไปปร๊าดเดียวก็ถึงเลยครับ ทางรีสอร์ทมีเตียงชายหาดเตรียมไว้ให้พร้อมอยู่แล้วด้วยครับ สะดวกมากๆ แต่ถ้าหากอยากจะออกไปไกลกันกว่านั้น ที่วงเวียนต้นไทรหน้าล็อบบี้ก็มีสกู๊ตเตอร์ให้บริการผ่านแอ๊ป Beam ให้เช่าได้ด้วย ขี่ง่ายและสนุกมากครับ เราเช่าสกู๊ตเตอร์ขี่บรื้นๆกันออกไปด้านหน้า Laguna ซึ่งเรียงรายไปด้วยร้านรวงน่ารักๆหลายร้านดูดีมีชีวิตชีวามาก เริ่มตั้งแต่บริเวณ Boat Avenue ไปจนถึง Porto De Phuket ที่เลยไปอีกนิด ร้านอาหารก็มีให้เลือกหลากหลายสัญชาติเลย แถวนี้มีจุดจอดสกู๊ตเตอร์ไว้ให้บริการหลายจุดครับ อยากจะหยุดเดินเล่น หรือแวะร้านไหนก็ไม่ต้องห่วงเลย อีกกิจกรรมที่ถือเป็น Destination Dining ที่ Banyan Tree ก็คือการล่องเรือทานดินเนอร์ชมพระอาทิตย์ตกในลากูน หรือ Sundowner Cruise โดยทางรีสอร์ทมีเรือโบราณนามว่า Sanya Rak เตรียมไว้ให้บริการ ตามปกติแล้วจะล่องเรือพร้อมกับเสิร์ฟดินเนอร์ไปจนค่ำ แต่ช่วงนี้ฝนตกน้ำขึ้นทำให้ไม่สามารถลอดใต้สะพานบางช่วงได้ และเราเองก็มีนัดรับประทานอาหารไทยที่ห้องอาหาร Saffron อันเลื่องชื่อต่อจากนี้ด้วย ก็เลยขอแค่นั่งชมวิวและเอ็นจอยอาหารเรียกน้ำย่อยเบาๆแทน ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่เพลิดเพลินและสวยงามมากๆครับ Banyan Tree Spa สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดอย่างหนึ่งของ Banyan Tree ก็คือสปาครับ ที่นี่มี Academy ฝึกสอนกันจริงจัง ไม่ว่าเราจะไป Banyan Tree สาขาไหนในโลกก็จะมีเทคนิคการนวดเดียวกัน โด่งดังกันถึงขั้นที่ว่าแบรนด์โรงแรม 5 ดาวอื่นๆบางแบรนด์ก็ยังเลือกให้ทีม Banyan Tree มาช่วยฝึกสอนการนวดให้เลย พูดกันถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ไปนวดคงจะเสียใจมาก แม้ตารางเราค่อนข้างแน่นเอี้ยด แต่ 90 นาทีนี้ไม่มีไม่ได้ครับ ฮ่าๆๆ เมนูสปาที่นี่หลากหลายและครีเอทีฟมาก แต่วันนี้เราขอ Back To Basics กันดีกว่า คุณเฟิร์สเลือกนวดไทยแบบราชสำนัก ส่วนคุณเค้กก็เลือกนวดน้ำมัน Deep Tissue สบายมากจริงๆครับ อยากให้เทคโนโลยีสามารถบันทึกความสบายมาฝากกันได้จัง Checking Out รู้ตัวอีกทีก็ใกล้เวลาต้องกลับบ้านแล้ว ในวันสุดท้ายทางรีสอร์ทนัดให้เราพบผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งเพื่อรับ Feedback ว่าประสบการณ์การเข้าพักของเราเป็นยังไงบ้าง และช่วยให้เราได้ทบทวนถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับเราแล้วเราก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเราอ่อนแอเรื่องการครองสติให้อยู่กับร่างกาย และได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆที่จะช่วยให้การนอนของเราดีขึ้น จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะเลือกเอาอะไรไปปรับใช้บ้าง จริงๆแล้วมีอีก 1 คลาสเล็กๆที่เราลงไว้ แต่ตั้งใจจะเก็บไว้ทำก่อนเช็คเอ้าท์จะได้เอาผลงานเป็นที่ระลึกกลับบ้านไปด้วย นั่นก็คือ Herbal Potpourri Making หรือคลาสทำเครื่องหอมบุหงารำไปจากสมุนไพรนั่นเอง เป็นกิจกรรมที่ทั้งง่ายและสนุก เราสามารถเลือกผสมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยได้เอง ทำเสร็จแล้วก็หน้าตาดีแถมมีประโยชน์เอาไปใช้ต่อที่บ้านได้ด้วย ก่อนออกจากรีสอร์ท พนักงานได้ยื่น Folder เล็กๆให้พร้อมข้อความพลังบวกที่เป็น Take-Home Wellbeing Guide ให้เราได้เอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ใส่ใจทุกขั้นตอนจริงๆครับ Wrapping Up Our Stay 3 วัน 2 คืนที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าได้ทำอะไรไปเยอะมากครับ กิจกรรมแน่นเอี้ยด แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเครียดหรือความเร่งรีบเลย ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการพักผ่อนและดูแลสุขภาพไปด้วยพร้อมๆกัน เสน่ห์ของ Veya อยู่ตรงที่แขกแต่ละคนสามารถเลือกกิจกรรมตามระดับความจริงจังได้ด้วยตัวเอง หรืออยากจะใช้เวลาอยู่ใน Villa ทั้งวันก็ได้เช่นกัน ทำให้สามารถตอบทุกโจทย์ได้แม้มาด้วยกันหลายคน ถือเป็นคอนเส็ปต์การพักผ่อนแบบใหม่ที่น่าสนใจเข้ากับวิถีชีวิตยุคใหม่มากครับ สำหรับเราแล้วการเข้าพักที่ Veya ครั้งนี้นั้นเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในดีกรีที่กำลังพอดี เราใช้เวลาใน Villa อย่างคุ้มค่า กิจกรรมต่างๆก็สนุกและมีประโยชน์มาก อาหารก็ดีงาม และบริการก็ยอดเยี่ยมมากครับ อยากให้มาลองเข้าพักกันสักครั้ง แล้วเพื่อนๆจะอยากกลับมา “ถักทอ” และ “สานต่อ” คุณภาพชีวิตให้ยิ่งดีขึ้นไปอีกเรื่อยๆครับ สนใจสอบถามโทร 076 372 400 Line: @BanyanTreePhuket Email: phuket@banyantree.com #LetsHoparound

  • Singapore Airline Flight Review รีวิว Premium Economy สิงคโปร์แอร์ไลน์ ชั้นประหยัดพิเศษ

    Flight review - Premium Economy กับสิงคโปร์แอร์ไลน์ส บินไปซานฟรานซิสโกบนเครื่องบินแบบใหม่แอร์บัส A350-900 —————— Premium Economy หรือ ชั้นประหยัดพรีเมียม ถามว่าต่างจากชั้นประหยัดปกติยังไง บอกเลยครับว่าต่างตั้งแต่ขั้นตอนการเช็คอิน เพราะเราสามารถเข้าช่องเช็คอินพิเศษ โดยไม่มีคิวตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิเลย และยังได้สิทธิ์การได้รับกระเป๋าก่อนด้วย ที่นั่งก็กว้างกว่าและ ปรับเอนได้มากกว่า คุ้มค่ามากเมื่อบินไกลๆครับ เช่นไฟลท์นี้ของเราที่เป็นแบบ ultra-long haul โดยใช้เวลาบินจากสิงคโปร์ทั้งหมด 15 ชั่วโมง ก็เลยคิดว่าถ้าบิน Economy ปกติคงเมื่อยและอึดอัดแน่ๆ บังเอิญตอนนั้นได้ตั๋วโปรโมชั่นมาในราคาแค่ครึ่งเดียว (35,XXX บาท จากราคาเต็ม 75,XXX บาทโดยประมาณ) ถือว่าโคตรคุ้ม แถมเรายังเลือกบินแบบ Multi-City ด้วยคือไป-กลับ คนละสนามบินตามนี้ครับ ขาไป Bangkok(BKK) - Singapore(SIN) - San Francisco(SFO) ขากลับ New York(JFK) - Singapore(SIN) - Bangkok(BKK) แต่เนื่องจากขาออกขากรุงเทพไปสิงคโปร์ เขาใช้เครื่อง Airbus 330 ซึ่งไม่มีที่นั่งแบบ Premium Economy ก่อนถึงวันเดินทาง 7 วันทางสายการบินส่ง E-mail มาให้ลองใช้บริการอัพเกรดที่นั่ง mySQupgrade ในวิธี bid-to-upgrade programme คือ เราสามารถประมูลเพื่ออัพเกรดที่นั่งได้โดยจะเลือกจ่ายเงินกี่บาทก็ได้ เราเลยไม่รอช้าลอง bid ดูไปประมาณ 3,000 บาท (ถ้าจำไม่ผิด) ปรากฎว่าได้ครับ ได้เลื่อนขั้นเป็นชั้นธุรกิจเลย สบายสุดๆ (แต่เฉพาะขาไปสิงคโปร์จากกทม.นะ) รวมน้ำหนักกระเป๋า 2 ใบๆละ 23 kgและ Carry-On ไม่เกิน 7 kg อีก 1 ใบ สามารถสะสมไมล์กับเครือ Star Alliance ได้ หรือจะสะสมผ่านโปรแกรม Krisflyer Miles ของสิงคโปร์ หรือจะเลือก Royal Orchid Plus ของการบินไทยก็ได้ โดยจะได้ไมล์สะสม 100% ของเส้นทางบินจริงครับ (คุ้มเว่อร์!) —————— มาเริ่มกันที่เลาจ์ของ KrisFlyer ที่สุวรรณภูมิ การตกแต่งที่นี่รู้สึกสบายมากครับ ใช้สีโทนสว่างทันสมัยเลยทำให้ดูกว้าง รู้สึกไม่อึดอัด ที่นี่มีโซนพักผ่อน โซนอาหาร และโซนบาร์เครื่องดื่มที่เราสามารถสั่งพนักงานชงให้ได้เลย มีพนักงานคอยให้บริการตลอด ภายในเลาจ์ก็มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ทั้งของคาว เบเกอรี่ สลัด ขนมหวาน และเครื่องดื่มต่างๆ นิตยสารก็มีนะ จอบอกสถานะไฟลท์บินก็ชัดเจนดีครับ เครื่องบินที่ใช้บินวันนี้คือ แอร์บัส A330–300 จัดเรียงเป็นแบบ 2-2-2 จอส่วนตัวพร้อมที่เก็บของมากมาย ขึ้นมาบนเครื่องก็โชว์บัตรโดยสารและพนักงาน ก็พาเราไปนั่งที่หมายเลขที่ระบุบนตั๋วครับ จากนั้นก็เสิร์ฟ Welcome Drink ไฟลท์เช้าวันนี้เสิร์ฟอาหารเช้าเป็นข้าวผัดไข่ เสริฟพร้อมไก่ กุ้งและผัดผัก รสชาติดีเชียว เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาทีก็ถึงสิงคโปร์ละครับ พอถึงสนามบิน Changi Singapore แล้วก็ทำการเปลี่ยนเครื่องบิน โดยเครื่องบินที่เราจะใช้เดินทางต่อวันนี้คือเครื่องบินลำใหม่ Airbus A350-900 ชั้นธุรกิจ Business Class ที่นั่งในโซนนี้จะจัดเรียงเป็น 1-2-1 มี 67 ที่นั่ง คุมโทนสีได้ดี ทันสมัย น่านั่ง โดยจะทำการบินตรงไปยังสนามบินซานฟรานซิสโกเลย ชั้นโดยสารของเที่ยวบิน SG34 บนเครื่องบินนี้ จะมีให้บริการแค่ที่นั่งแบบ Business Class และ Premium Economy เท่านั้นครับ (ไม่มี Economy) ชั้นประหยัดพรีเมียม Premium Economy ที่นั่งในโซนนี้จะจัดเรียงแบบ 2-4-2 มี 94 ที่นั่ง แต่เฉพาะแถว 3 แถวสุดท้ายของเครื่อง (แถวที่ 40-41-42) จะจัดเรียงแบบ 1-4-1 ฉะนั้นถ้าอยากนั่งเดี่ยวๆไม่เบียดกับใครให้จอง 3 แถวนี้นะครับ เช็คดูดีๆเพราะมีแค่ลำละ 6 ที่นั่งเท่านั้นนะ ตอนเราบินเค้ายังเปิดให้จองได้ (ตอนนี้เหมือนจะไม่เปิดให้จองแล้ว) เราก็เลยเลือกที่นั่ง 40H ติดหน้าต่าง ถึงแล้วววว ที่นั่งของเรา 40H ที่นั่งเดี่ยวติดทั้งหน้าต่างและทางเดิน บอกเลยว่าสบายสุดๆ ไม่ต้องไปเบียดกับใคร และที่สำคัญมีช่องเก็บของข้างที่นั่งที่ใหญ่มาก วางของได้สบายเลย เรียกได้ว่าเป็นสเปซที่พิเศษมากครับ นอกจากนี้ยังมีช่องเก็บของเฉพาะสำหรับขวดน้ำ แล็ปท็อป หูฟัง และของใช้ส่วนตัวอื่นๆ เก้าอี้ของ Premium Eco นี้มีเบาะรองน่องและที่พักเท้าในตัวที่นั่ง เพื่อให้ตำแหน่งการนอนที่เหมาะสมที่สุด เพียงแค่ปรับเอนเบาะยืดตัวลงนอนก็รู้สึกหลวมๆสบายเพราะระยะห่าง ระหว่างที่นั่งกว้างถึง 38 นิ้ว มีช่องเก็บของส่วนตัวด้านข้าง, ช่องเสียบ USB 2 ช่อง ไฟอ่านหนังสือส่วนตัวแบบปรับได้เอง รวมไปถึงปลั๊กไฟที่ซ่อนอยู่ใต้ที่นั่ง สามารถเสียบชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้สบายๆ, ด้านหน้าที่นั่งก็จะมีแม็กกาซีนต่างๆ และ ก็จะมีหูฟังแบบ On Ear ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่น Noise Cancelling, ของใช้ต่างๆ ที่แพ็คมาในถุงเล็กๆนี้ ประกอบไปด้วย แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ถุงเท้ายาว และผ้าปิดตาครับ เรื่องความบันเทิงของ KrisWorld ก็มีให้แบบไม่ต้องกลัวเบื่อเลย เพราะมีตัวเลือกกว่า 1,000 รายการ ทั้งภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ สารคดี เพลง เกม และแอปพลิเคชันบนหน้าจอสัมผัสขนาด 13.3 นิ้วแบบ HD แต่ถ้าใครยังรู้สึกว่าไม่หนำใจ ก็สามารถซื้อบริการแพ็คเก็จ wifi บนเครื่องเพิ่มได้ด้วย สิงคโปร์แอร์ไลน์สยังเปิดให้จองเมนูพิเศษออนไลน์ หรือที่เรียกว่า Book the Cook คือเพื่อนๆสามารถจองอาหารจานหลักจากเมนูพิเศษที่มีตัวเลือกหลากหลาย สำหรับชั้นประหยัดพรีเมียมได้ก่อนการเดินทาง 24 ชั่วโมง ซึ่งปกติจะจัดให้ในคลาสบิสิเนสและเฟิร์สเท่านั้นหรือจะเลือกจาก 3 รายการปกติบนเครื่องก็ได้ และส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งแชมเปญ ไวน์ สปิริตและซอฟท์ดริ้งค์อื่นๆให้เลือกตามความชอบได้เลย ระหว่างบิน พนักงานก็เดินให้บริการเครื่องดื่มทุกชั่วโมง แถมมีแอปเปิ้ลให้ด้วย โดยสรุปแล้วการบินบนชั้น Premium Eco นั้นก็ถือได้ว่าสะดวกสบายกว่าแบบ Eco ธรรมดาพอสมควร ตั้งแต่ช่องพิเศษในการเช็คอิน การขึ้นเครื่อง​ก่อน ความกว้างและความสบายของที่นั่ง สิทธิ์ในการจองเมนูพิเศษล่วงหน้า ไปจนถึงสิทธิ์ในการได้กระเป๋าก่อน ยิ่งถ้าได้ตั๋วในราคาโปรโมชั่นแบบเราด้วยแล้ว ถือว่าคุ้มค่ามากๆ อ่อ ถ้าทำได้ก็อย่าลืมเคล็ดลับในการจองให้ได้บริการพิเศษขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการ Bid-to-Upgrade การจองที่นั่งเดี่ยวด้านหลังเครื่อง หรือว่าการ Book the Cook นะครับ ไฟลท์นี้เรารู้สึกผ่อนคลายตลอดเที่ยวบิน นอกจากเรื่องที่นั่ง Premium Eco ที่สบายขึ้นแล้ว เครื่องบิน A350-900 ลำใหม่นี้ก็สามารถบินได้ดีขึ้น เงียบขึ้น และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน ทำให้นอนหลับสบายมากขึ้น และไม่รู้สึก Jet-Lag เท่าไหร่เมื่อถึงที่หมาย ก่อนลงเครื่องพนักงานต้อนรับมาชวนคุยว่า “คุณใช้บริการกับเราบ่อยเหมือนกันนะคะ ฉันจำคุณได้” ทำให้รู้สึกประทับใจมากครับ ไม่แปลกใจที่สายการบินประจำชาติสิงคโปร์จะได้อันดับ 1 ของสายการบินที่ดีที่สุดในโลกมาตลอดหลายปี แม้ปีนี้จะถูกล้มแชมป์โดยอีกสายการบิน แต่คุณภาพที่เสมอต้นเสมอปลายของ Singapore Airlines ก็ยังทำให้เราประทับใจจนไม่ได้คิดถึงเรื่องอันดับไปเลย —————— FB/IG @hoparound.co Website www.hoparound.co —————— #LetsHoparound #FlightReview #FlySQ #SingaporeAir

  • Celadon ถึงเครื่องตำรับไทย ถึงใจระดับโลก

    Celadon ถึงเครื่องตำรับไทย ถึงใจระดับโลก วันแม่ปีนี้ hoparound.co มีห้องอาหารไทยแท้ที่ดีงามจนคุณแม่ต้องประทับใจมาแนะนำให้เพื่อนๆพาคุณแม่และสมาชิกทั้งครอบครัวไปร่วมฉลองกัน นี่คือห้องอาหาร Celadon (ศิลาดล) แห่งโรงแรม The Sukhothai Bangkok ที่กำลังจะกลับมาเปิดให้บริการในวันที่ 12 สิงหาคมนี้เป็นวันแรกพอดี หลังจากปิดหลบโควิดไปพักใหญ่ โทรไปจองล่วงหน้ากันได้เลยครับที่เบอร์ 02 344 8888 ก่อนหน้านี้ Celadon เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักชิมว่าเป็นห้องอาหารไทยแถวหน้าของกรุงเทพมหานคร การันตีด้วยสารพัดรางวัลนานาชาติติดต่อกันว่า 5 ปี รวมถึง Michelin Guide ด้วย และวันนี้ Celadon กำลังจะกลับมาแบบ Top Form ยิ่งกว่าเดิม เพราะเชฟรสริน ศรีประทุม (เชฟริน) ผู้ที่ได้รับอิทธิพลการปรุงอาหารไทยโบราณทั้งคาวหวานมาจากคุณย่าและคุณยายตั้งแต่เด็ก ตั้งใจจะส่งมอบประสบการณ์ Gastronomy มื้อพิเศษที่เปี่ยมล้นด้วย Taste ทั้งที่แปลว่ารสชาติและรสนิยมเลยครับ เริ่มตั้งแต่ตัวอาหารที่เชฟย้ำว่าต้องถึงเครื่องตามตำรับไทยแท้ ดังนั้นจึงต้องปรุงอย่างละเอียดเพื่อดึงเอารสชาติวัตถุดิบชั้นยอดที่คัดสรรมาจากทั่วประเทศให้ออกมามากที่สุด ก่อนจะถูกนำมาจัดจานให้มีหน้าตาที่ทันสมัยเรียบหรู สำหรับการบริการของ The Sukhothai นั้นมีชื่อจนไม่จำเป็นที่เราจะต้องสาธยายใดๆ และที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กันก็คือบรรยากาศอันงดงามของห้องอาหารในศาลาเรือนไทยติดแอร์เย็นสบาย แถมรายล้อมด้วยสระบัวสะพรั่ง ส่วนการตกแต่งภายในนั้นก็ทำให้เรารู้สึกทั้งปลอดโปร่งและอบอุ่นอย่างมีรสนิยม เรามาดูหน้าตาอาหารวันนี้กันดีกว่าครับ เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อยข้าวเกรียบปากหม้อโบราณไส้เห็ดชิเมจิและเนื้อปู (550.-) เคล้าด้วยเครื่องปรุง กระเทียม พริกไทยและรากผักชี แต่ทีเด็ดอยู่ที่แป้งที่ไม่เหมือนใคร เพราะเชฟได้ไปเรียนรู้มาจากชาวบ้าน ราดด้วยซอส Coconut Vinegar ที่หมักเอง เรียกน้ำย่อยจานที่ 2 เป็นทอดมันกุ้งแชบ๊วย (550.-) เนื้อนุ่มหวานจากปากน้ำกระบี่ราดด้วยน้ำจิ้มบ๊วย เสิร์ฟคู่กับผักดองน้ำส้มสายชูที่หมักจากสับปะรดจันทบุรี ต่อกันด้วยพล่าเนื้อมะเขือเปราะ (580.-) เชฟเลือกใช้เนื้อชาโรเลส์สายพันธุ์จากฝรั่งเศสแต่เลี้ยงที่จังหวัดสุรินทร์ นำมาย่างให้สุกกำลังดี จากนั้นเคล้ากับเครื่องปรุงและสมุนไพรเครื่องพล่าแล้วบีบส้มซ่าเติมรสเปรี้ยวสดชื่นอีกหน่อย อร่อยมากครับ จานนี้เชฟแนะนำให้จับคู่กับสปาร์คลิ่งไวน์ Louis Perdrier Sparkling Brut d’Excellence จะเสริมกันพอดีครับ แกงเลียงเนื้อปูม้าและกุ้งสด (580.-) จานนี้น้ำขลุกขลิกแต่เข้มข้นด้วยกะปิจากคลองโคนบ้านเกิดเชฟ หอมฟุ้งด้วยสมุนไพรนานาชนิด แน่นอนว่าเนื้อปูม้าและกุ้งสดๆก็ช่วยเพิ่มความหวานธรรมชาติให้กับตัว Broth ได้อย่างดี อร่อยแบบวิดน้ำเกลี้ยงจานเลย จานนี้แนะนำให้จับคู่กับไวน์ขาวที่เบาและสดชื่นอย่าง Sauvignon Blanc จาก Clearwater Cove, Marlborough, NZ ครับ มาถึงจานหลักครับ กุ้งแม่น้ำสามสายย่างไม้โมก (2,700.-) เสิร์ฟมากับข้าวสวย และซอส 2 อย่าง ย่างไม้โมกมาหอมฉุยเนื้อฉ่ำสุกกำลังดี แถมมันหัวกุ้งก็เยิ้มสะใจเลยครับ เชฟจัดมาให้พร้อมกับข้าวอีก 2 อย่างคือแกงสิงหลกับมะระหวานผัดไข่ อาหารง่ายๆแต่อร่อยมาก จานนี้มีชื่อว่า แกงสิงหลแก้มวัว (780.-) ว่ากันว่าเป็นแกงโบราณตั้งแต่สมัยต้นรัชกาลที่ 2 ครับ มีที่มาจากชาวศรีลังกาที่อพยพเข้ามาในสยาม แต่ก็ถูกปรับแต่งรสชาติเรื่อยมาจนกลายมาเป็นอาหารไทยไปแล้ว จานนี้เชฟรินนำแก้มวัวไป Slow Cook นานถึง 12 ชั่วโมงจนเปื่อยนุ่มก่อนจะนำมาปรุงกับเครื่องแกงที่ทำเอง สูตรของเชฟรินมีการเพิ่มใบเตย ใบเบย์ และผักชีลาวเพื่อความหอมที่ช่วยพรางกลิ่นเนื้อไปในตัว มาถึงของหวานกันแล้วครับ เชฟเตรียมมาให้เรา 2 อย่างเลยทั้งแบบร้อนและเย็น จานแรกเป็นขนมโคงาขี้ม่อนบ้านน้ำช้าง (420.-) หอมหวานมันพอดีไปหมด ยิ่งราดด้วยกะทิอุ่นๆยิ่งฟินถึงใจ แต่อีกไฮไลท์ที่อร่อยประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือไอติมมันย่างครับ (150.-) เสิร์ฟมาเป็นไอศกรีมแท่งที่ท็อปด้วยมันเชื่อม โอ้ยยย… อร่อยไม่รู้ลืมจ ใครคิดถึงรสชาติอันเยี่ยมยอดของ Celadon หรือสนใจมาสัมผัสประสบการณ์ความอร่อยถึงเครื่องตำรับไทยด้วยบริการและนำเสนอที่ทันสมัยระดับสากล ก็โทรไปจองได้เลยครับ สำรองที่นั่งได้ที่ ☎️ +66 (0) 2344 8888 📧 promotions@sukhothai.com 🌎 https://www.sukhothai.com/bangkok/en #LetsHoparound #Bangkok #Celadon #TheSukhothaiBangkok

  • ทะเลสาบทาโฮ Lake Tahoe

    วันนี้เราจะพาไป #hop กันที่ทะเลสาบทาโฮซึ่งเป็น Alpine Lake ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ — Alpine Lake หมายถึงทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 5,000 ฟุต (ประมาณ 1.5km) ขึ้นไป — อยู่บนเทือกเขา Sierra Nevada ที่กั้นระหว่างรัฐ California กับ Nevada ถ้าขับรถจาก San Francisco ก็จะใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมงขึ้นมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ . นอกจากสูงมากๆแล้วยังสวยมากๆด้วย ทะเลสาบแห่งนี้นั้นขึ้นชื่อเรื่องน้ำสีฟ้าที่ใสปิ๊งและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ในแต่ละฤดูกาลก็จะมีเสน่ห์ต่างกันไป ที่นี่จึงดึงดูดนักกิจกรรมเอ้าท์ดอร์ผู้หลงไหลความงามของป่าเขาลำเนาไพร แต่เชื่อเราเถอะ แค่ได้มาสูดอากาศและถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆก็คุ้มมากแล้ว พวกเราขับรถจากเมือง San Francisco ก็จะใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมงขึ้นมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็จะถึง Lake Tahoe ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียและเนวาดา . #LetsHoparound #LetsHoparoundUSA #LakeTahoe #Travel #USARoadTrip #RoadTrip . FB/IG: @hoparound.co Website: www.hoparound.co

STAY IN TOUCH

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon

INSTAGRAM

  • TikTok
  • Black YouTube Icon

YOUTUBE

Hoparound.co ฮ็อปอะราวด์ เว็ปไซต์นำเที่ยว บล็อกเกอร์ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ และงานดีไซน์ อัพเดทที่เที่ยวใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นสถานที่ครีเอทีฟ ทั้งพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรมที่พัก ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมไปถึงสินค้าและแบรนด์ที่น่าสนใจ ผ่านการเล่าเรื่องราวและการออกแบบภาพอย่างสร้างสรรค์อ่านสนุก ได้ทั้งความรู้และแรงบันดาลใจไปพร้อมๆกัน | Travel wesite | Thai Travel Blogers | Travel Influencers | a travel website travel influencers thailand รีวิวท่องเที่ยว รีวิวโรงแรม รีวิวร้านอาหาร
 

Contact and Collaboration with Hoparound.co
E-mail: info.hoparound@gmail.com | Facebook: @hoparound.co | Instagram: @hoparound.co | Youtube: hoparound.co

Follow us on Instagram

black-01.png
bottom of page