top of page
black-01.png

Search Results

125 results found with an empty search

  • 137 Pillars Suites & Residences Bangkok บ้านร้อยเสาแห่งล้านนา สู่โรงแรมระฟ้ากลางมหานคร

    137 Pillars Suites & Residences Bangkok บ้านร้อยเสาแห่งล้านนา สู่โรงแรมระฟ้ากลางมหานคร คุณเคยเห็นบ้านที่มีเสาถึง 137 ต้นไหมครับ แน่นอนว่าบ้านหลังนั้นต้องมีความยิ่งใหญ่เกินบ้านปกติธรรมดาไปมาก ยิ่งหากเป็นบ้านไม้สักโบราณสไตล์โคโลเนียลล้านนาสมัยร.5 ที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปกว่า 130 ปีก็ยิ่งทำให้บ้านหลังนั้นทรงคุณค่าจนประเมินราคาลำบากเลยล่ะครับ บ้านไม้โบราณหลังที่ว่านี้มีอยู่จริงๆที่เชียงใหม่ และเป็นที่มาของ 137 Pillars แบรนด์ Luxury Boutique Hotel ที่ได้ขยายมาให้บริการถึงใจกลางย่านพร้อมพงษ์อยู่พักใหญ่แล้ว และอีกไม่นานก็คงกลายเป็นแบรนด์สัญชาติไทยที่จะเติบโตออกไปอีกหลายประเทศ และวันนี้เราไม่ได้พาเพื่อนๆไปถึงเชียงใหม่กัน แต่เราอยู่กันที่ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ครับ The Overview โรงแรม 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ตั้งอยู่กลางซอยสุขุมวิท 39 ถือเป็น Address ที่เลอค่าที่สุดแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิทเลยล่ะครับ โดยอยู่ห่างจากห้าง The EmQuartier เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ด้วยตัวอาคารที่สูงถึง 33 ชั้นทำให้เราสามารถเสพวิวเมืองหลวงได้ทั้งในมุมกว้างและไกลสุดสายตา และความอลังการของวิวก็เป็นแม่เหล็กพลังสูงที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและเทศให้เข้ามาเป็นแขกของโรงแรมบูทีคอันหรูหราแห่งนี้ ไม่ว่าจะมาเข้าพักหรือมารับประทานอาหาร ไปจนถึงมาใช้บริการสปา (ซึ่งดีงามเกินคาดครับ) เพราะที่นี่เน้นการให้บริการอย่างไทยพร้อมคอนเส็ปต์อันรุ่มรวยและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ตามแรงบันดาลใจที่ได้รับมาจากบ้านไม้สักโบราณ 137 เสาที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์โรงแรม 137 Pillars ขออนุญาตเล่าความเป็นมาของบ้าน 137 เสาซักนิดนะครับ บ้านหลังนี้คาดว่าถูกสร้างเสร็จในปีพ.ศ. 2432 หรือ 133 ปีก่อนเพื่อใช้เป็นสำนักงานของบริษัท บอร์เนียว จำกัด บริษัททำไม้สัญชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นกิจการต่างชาติเจ้าแรกที่ได้รับสัมปทานป่าไม้ของไทย โดยมีผู้จัดการคนแรกคือนาย Louis T. Neolowens ลูกชายของหม่อมแอนนาผู้โด่งดังในฐานะพระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้กับในหลวงรัชกาลที่ 5 นั่นเอง ตามขนบล้านนานั้น จำนวนเสาที่มีมากถึง 137 เสาในบ้านนั้นบ่งบอกถึงความโอ่อ่าและความมั่งคั่งของเจ้าของได้เป็นอย่างดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านหลังนี้ก็ถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองและใช้เป็นที่ทำการของกองทัพ ก่อนจะกลับมาถูกใช้ดำเนินกิจการทำไม้อย่างเดิมจนกระทั่งเลิกกิจการไปในปีพ.ศ. 2498 หลังจากที่ถูกปล่อยให้ทรุดโทรมมานาน คุณนิพันธ์ วงศ์พันเลิศ เจ้าของกังวาลเท็กซ์ไทล์ ผู้นำอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมเส้นด้ายของไทย ก็ได้มาพบกับบ้านแสนงามหลังนี้ระหว่างตระเวนหาทำเลสร้างที่พักตากอากาศในจ.เชียงใหม่ และในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อต่อจากคุณตา แจ็ค จรินทร์ เบน ทายาทผู้จัดการคนสุดท้ายของบริษัท บอร์เนียว จำกัด ความงามทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของตัวบ้านนั้นทำให้คุณนิพันธ์เริ่มมีความคิดอยากจะแบ่งปันให้ผู้คนได้มาสัมผัส จึงเปลี่ยนแผนมาเนรมิตบ้าน 137 เสาให้กลายเป็น Luxury Boutique Hotel ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมจนต้องขยายแบรนด์โรงแรมเข้ามาในกรุงเทพฯ รวมไปถึงเรือยอชท์สุดหรูที่ภูเก็ตภายใต้แบรนด์เดียวกันด้วย The Arrival ล็อบบี้ของ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok นั้นมีชีวิตชีวาด้วยหลากภาษาต่างชาติที่แขกผู้เข้าพักใช้สื่อสารกัน โดยเฉพาะแขกญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ระยะยาวฃในส่วนของ Residences เพียงครู่เดียวหลังจากที่เรามาถึง พนักงานต้อนรับก็นำ Welcome Drink เป็นน้ำอันชัญมะนาวชื่นใจมาเสิร์ฟให้ จากนั้นก็นำเอกสารเช็คอินมาให้เรากรอกและเซ็น ที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ Reception นั้นแขวนแผ่นไม้ขนาดมหึมาเรียงกันอยู่หลายชิ้น บ่งบอกถึงอุตสาหกรรมป่าไม้ที่เป็นที่มาของบ้านต้นกำเนิดแบรนด์ นอกจากตรงนี้แล้ว งานไม้ที่สวยงามยังสามารถพบเห็นได้อีกหลายจุดทั่วโรงแรมเลยครับ อีกสิ่งที่ต่อให้ไม่สังเกตก็ต้องเห็นนั่นก็คือภาพจิตรกรรมขนาดยักษ์เต็มพื้นที่ผนัง โดยคุณปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติประจำปีพ.ศ. 2557 โดยทุกๆองค์ประกอบของภาพนั้นเน้นความเป็นศิริมงคล จนภาพนี้ได้ชื่อว่า “Auspicious Path” นั่นเอง หลังจากทำเรื่องเช็คอินเสร็จเรียบร้อย คุณ Vikky ผู้ช่วยส่วนตัวประจำห้องของเรา (อารมณ์คล้ายๆ Butler ที่เราสามารถเรียกให้ช่วยเหลือได้ตลอดเวลา เพียงแค่ไม่ได้อยู่ประจำเฉพาะที่ห้องของเรา) ก็เข้ามาแนะนำตัว และพาเราไปส่งที่ห้องพักหมายเลข 3101 Our Room ห้องของเราเป็นห้องสุโขทัยสวีท ขนาด 70 ตร.ม. บนชั้น 31 เห็นพื้นที่ห้องใหญ่ขนาดนี้นี่เป็นแค่ขนาดเริ่มต้นเท่านั้นนะครับ เพราะยังมีห้องประเภทอื่นๆที่ขนาดใหญ่ไปจนถึง 127 ตร.ม.เลยทีเดียว ตัวห้องแบ่งครึ่งชัดเจน ฝั่งขวาเป็นโซนห้องนอนกับห้องมินิบาร์ที่แยกออกมา (มีตู้แช่ไวน์ด้วย!) และฝั่งซ้ายก็เป็นโซนห้องน้ำและห้องแต่งตัว นั่นเท่ากับว่าพื้นที่ห้องน้ำที่นี่กว้างถึง 35 ตร.ม.เลยทีเดียว ซึ่งความกว้างขวางนี้ก็ช่วยเพิ่มความน่าอยู่ให้กับตัวห้องขึ้นอีกมากเลยครับ โดยเฉพาะตรงมุมอ่างอาบน้ำทรงกลมริมหน้าต่างกระจกที่เทควิวเมืองกรุงเทพฯแบบเต็มตาเลย เราชอบคุณภาพของสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องของเรามากครับ อุปกรณ์ต่างๆถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะ มีระบบที่ทันสมัย และใช้งานได้แบบสะดวกลื่นไหล ช่องชาร์จ USB นั้นมีให้หลายจุดเพียงพอกับอุปกรณ์ต่างๆของเรา เราเทสต์เครื่องเสียง Bose ด้วยเพลง Pink Venom ที่ตอนนั้นเพิ่งปล่อยมาได้ไม่นาน ก็เสียงคมชัด เบสแน่นไม่ผิดหวังครับ Welcome Pastries ของที่นี่นั้นเป็นขนมไทย 5 อย่างที่หน้าตาดีมากครับ โดยเฉพาะน้องช้างที่ดูสวยราวกับเครื่องเซรามิคจนแทบไม่กล้ากินเลยแหละ The Afternoon Tea น้ำชายามบ่ายของ 137 Pillars นั้นเสิร์ฟที่ Baan Borneo Club บนชั้น 26 ซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตัวชุดชามาในคอนเส็ปต์อัญมณี “Boutique Of Jewels” ที่ไม่เหมือนใคร โดยพรีเซ็นต์ Pastries ออกมาเป็นเครื่องประดับแก้วแหวนและกำไลวับวาวเพื่อเอาใจคุณผู้หญิง ส่วนชานั้นเป็นแบรนด์ Monsoon Tea ชาไทยพรีเมี่ยมจากเชียงใหม่ บ้านเกิดเดียวกันกับแบรนด์ 137 Pillars เลย Fitness & Golf Facilities ที่ชั้น 6 ของโรงแรมนั้นเป็นชั้นสำหรับสาย Active ครับ เพราะมี Gym ที่แม้ขนาดไม่ใหญ่มากแต่อุปกรณ์นั้นทันสมัยและคุณภาพดี และเนื่องจากแขกในฝั่ง Residences นั้นมักจะเป็นชาวญี่ปุ่นผู้หลงไหลในการตีกอล์ฟ บนชั้นนี้จึงมี Golf Studio และลานไดรฟ์กอล์ฟขนาดกระทัดรัดเอาไว้ให้บริการด้วย นับเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้มีความเป็น Boutique Hotel ที่ไม่เหมือนใครสมกับที่ได้เป็นสมาชิก Small Luxury Hotels Of The World เลยครับ The Dinner at Nimitr ใกล้เวลามื้อเย็นแล้วครับ เรากดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 27 กันดีกว่า ห้องอาหาร Nimitr ที่เราจองดินเนอร์ไว้อยู่ชั้นนี้ แต่ก่อนที่จะเข้าสู่มื้ออาหาร เราไปจิบเครื่องดื่มเย็นๆที่ริมสระน้ำกันก่อนดีมั้ยครับ เพราะสระก็อยู่ชั้นเดียวกันเลย น้ำในสระบนชั้น 27 นี้ดูสงบนิ่งงดงาม ต่างจากบรรยากาศรอบๆที่เริ่มครึกครื้นด้วยเสียงแขกเหรื่อที่ทยอยกันมาถึง มื้อเย็นนั้นเป็น Prime Time ของห้องอาหาร Nimitr ครับ เพราะวิว Skyline ของกรุงเทพฯช่วงตะวันตกดินแบบนี้นั้นช่วยเพิ่มดีกรีความสุนทรีย์ให้อาหาร European Fusion ของเราดีงามไปอีกหลายขั้นเลย The Rooftop Pool มุมที่โด่งดังที่สุดของโรงแรมน่าจะเป็นสระว่ายน้ำ Infinity Pool บนชั้นดาดฟ้ายอดตึกแห่งนี้ครับ เรื่องวิวนั้นต้องว้าวอยู่แล้ว สวยทั้งกลางวันและกลางคืนเลย น้ำเกลือในสระก็อุณหภูมิกำลังดี ว่ายสนุก วิวสวย รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้ว ถ้ากรุงเทพฯคือเมืองของเทพจริงๆ ตรงนี้ก็คงไม่ห่างจากสวรรค์แล้วล่ะครับ บนชั้นนี้นอกจากตัวสระหลักแล้ว เค้ายังมีสระ Jacuzzi อีก 2 สระทั้งแบบอุ่นและแบบอุณหภูมิปกติไว้ให้แช่ด้วยเราชอบสระอุ่นครับ นั่งแช่ตอนกลางคืนไปชมวิวเมืองไปเพลินขั้นสุด แต่ถ้าใครไม่ชอบลงน้ำ ก็มีซุ้มเตียงกลางแจ้งเอาไว้ให้เอกเขนกเล่นเช่นเดียวกันครับ Back To Our Room ห้องของเราถูก Turn Down เรียบร้อย เราพุ่งตัวไปที่ Shower แต่ก็ดันกันไปเจออ่างอาบน้ำทรงกลมใหญ่นั่งรออยู่ที่ริมหน้าต่าง เอาไงดีล่ะทีนี้ เพิ่งแช่น้ำมาจากบนดาดฟ้า ตอนแรกก็กะจะตัดใจไม่แช่อ่างแล้วดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็อดไม่ได้ ซักนิดก็ยังดี 5555 ก็บรรยากาศมันดีจริงๆนี่นา และในที่สุดเราก็เพิ่งได้สัมผัสกับทีเด็ดที่แท้จริงของห้องครับ ซึ่งก็คือเตียงนั่นเอง ขอชมจากใจจริงว่านี่เป็นเตียงโรงแรมที่นอนสบายที่สุดเตียงหนึ่งที่เราเคยไปนอนมาเลย ที่นอน Posturepedic Ultra Plush ที่ทางโรงแรมเลือกใช้นั้นรองรับสรีระเราได้ดีเหลือเกิน ส่วนหมอนและผ้าห่มนั้นก็นุ่มและมีน้ำหนักพอดี ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไป ยิ่งได้ความเนียนสบายผิวของเครื่องนอนผ้าลินินอียิปต์ทอ 400 เส้นด้ายด้วยแล้ว เราก็หลับลึกและนานรวดเดียวถึงเช้าเลย The Breakfast อาหารเช้าของ 137 Pillars นั้นเสิร์ฟที่ห้องอาหาร Bangkok Trading Post Bistro & Bar ซึ่งอยู่ชั้นล่างด้านหน้าโรงแรม เมนูมีทั้ง A La Carte แบบสั่งได้เพิ่มไม่จำกัด และ Buffet ให้ไปเลือกตักเองได้เลย มีครบ Spectrum ไล่ตั้งแต่จานเบาไปถึงจานหนัก ผักไปถึงเนื้อ คาวไปถึงหวาน เอเชียถึงยุโรป เราชอบเมนู English Muffin กับ Pork Sausage Patti เป็นพิเศษเพราะไม่ค่อยเห็นเสิร์ฟที่ไหน นอกจาก McDonald’s ฮ่าๆๆ แต่ของที่นี่พรีเมี่ยมกว่านะครับ The London Cab กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เราออกไปข้างนอกกันบ้างดีกว่า ที่ 137 Pillars นั้นมีรถ London Cab สี Royal Blue เป็นของตัวเองไว้คอยรับส่งแขกไปที่ EmQuartier ฟรีทุกชั่วโมงครับ หรือถ้าใครอยากให้พาไปเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ แถวๆวัดพระแก้ว ปากคลองตลาด ก็สอบถามพนักงานเพิ่มเติมได้เช่นกันนะครับ The Spa เดิน (Window) Shopping จนเริ่มเมื่อย กลับโรงแรมไปนวดดีกว่าครับ เราเคยได้ยินถึงความดีงามของ Nitra Serenity Centre หรือสปาบนชั้น 28 ของโรงแรม 137 Pillars เราจึงตั้งตาจะมาลองดูสักครั้ง พอมาถึงอย่างแรกที่สะดุดตาก็คือบานหน้าต่างไม้แกะสลักที่เรียงรายกันอันอย่างสวยงาม ซึ่งสะท้อนความเป็นมาของบ้าน 137 เสาที่เชียงใหม่ได้เป็นอย่างดี นอกจากการนวดทั่วๆไปแล้ว ในเมนูสปานั้นมีหลาย Treatment ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Reiki หรือการนวดท้องเพื่อสุขภาพทางเดินอาหาร ไปจนถึงการนวดโดยเน้นให้หลับสบาย แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็แนะนำ Nitra Raya Signature Treatment ที่ประสานหลายๆศาสตร์ไว้ด้วยกันไปเลย แต่วันนี้เราจะมานวดน้ำมัน Aroma Therapy กันครับ ที่นี่ใช้น้ำมันนวดแบรนด์ Alodia และเราก็เลือกกลิ่น Relaxing ที่เน้นให้ความผ่อนคลายครับ ยอมรับเลยครับว่าน้ำหนักมือของ Therapist ที่นี่นั้นดีงามสมคำร่ำลือ อาจจะถึงขั้นเกินความคาดหมายเลยด้วยซ้ำ มือของพี่ๆเป็น Healing Hands ของจริง เราประทับใจมากครับ และคิดว่าคงได้กลับไปลอง Treatment อื่นๆอีกในอนาคตอันใกล้ Wrapping Up Our Stay การมา Staycation ที่ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ในครั้งนี้ เรารู้สึกเหมือนได้มาสัมผัสกรุงเทพฯในอีกมุมที่ต่างไป แม้ที่นี่จะเป็น City Hotel ซึ่งต่างจากโรงแรมต้นฉบับที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นบ้านไม้โบราณ แต่ Vibes ของ “ความบูทีค” นั้นก็ยังคงปรากฏอยู่ทั่ว ส่วนผสมของโรงแรมหรู+ที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม+ความเป็น Family Business นั้นทำให้ที่นี่มีความแตกต่างในหลายแง่มุม แม้เราจะขับรถผ่านอยู่เป็นประจำ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาทำความรู้จักโรงแรมแห่งนี้แบบจริงๆจังๆ ทำให้เข้าใจว่าทำไมชาวต่างชาติถึงพากันติดใจใน Luxury Boutique Hotel สูง 33 ชั้นกลางย่านสุขุมวิทแห่งนี้ และเราเองก็ได้ค้นพบของดีหลายอย่างที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำบนดาดฟ้า เตียงนอนดูดวิญญาณในห้องพัก และอย่างน้อยเราก็คงต้องกลับมาซ้ำสปาแน่นอนครับ :-) #LetsHoparound #137pillars #137pillarsbangkok

  • Hermès Fit สนุกสนานในจักรวาลสีส้ม

    HermèsFit สนุกสนานในจักรวาลสีส้ม ถึงคิวกรุงเทพฯกันเสียที หลังจากที่แคมเปญ "HermèsFit" Interactive Sports Universe ได้ส่งไม้ต่อให้เมืองต่างๆทั่วโลกเวียนกันจัดราวกับงานโอลิมปิก ทั้ง Paris, Tokyo, New York และที่เมืองไทยก็ยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าที่ใดเลย เพราะจักรวาลความฟิตสีส้มของ Hermès นี้กินพื้นที่ถึง 4,000 ตร.ม. เต็มลานหน้า centralwOrld โดยยกเซ็ตแบบเดียวกันกับที่จัดแสดงที่ Paris เมื่อปลายปีที่แล้วมาให้คนไทยได้สัมผัสอย่างเต็มรูปแบบ นี่ไม่ใช่งานเปิดตัวไลน์สินค้าเสื้อผ้ากีฬาใหม่ของ Hermès แต่อย่างใดนะครับ แต่นี่เป็น Event ที่ทางแบรนด์ต้องการจะสื่อให้ลูกค้าเห็นว่าสินค้า Hermès นั้นสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันในทุกๆสถานการณ์ แม้แต่การออกกำลังกาย หลายคนอาจจะชินกับภาพลักษณ์ที่หรูหราสูงส่งของแบรนด์ แต่จริงๆแล้ว Hermès เป็นแบรนด์ที่ทั้งสนุกและครีเอทีฟที่สุดจนเราคาดไม่ถึงกันเลยล่ะครับ ภายในงานมีมุมให้ถ่ายรูปกันหลากหลายโดยจำลองกีฬาต่างๆมาให้เราได้เข้าไปร่วมสนุกกัน และโพสท่าถ่ายรูป ไม่ว่าจะเป็นยิมนาสติก วิ่ง ปิงปอง มวย หรือแม้กระทั่งเพาะกาย ซึ่ง Hermès ดีไซน์ Space ได้สวยและมีเอกลักษณ์มากๆ ที่สำคัญก็คือสื่อสารจริตทุกอย่างของ Hermès ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่หากจะอยากออกกำลังกายกันจริงจังขึ้นไปอีกขึ้น ในงานนี้ก็มีคลาส “Fitness with Style” ให้ได้เหงื่อกันจริงๆ โดยทางแบรนด์จะนำเอา Accessories ต่างๆจาก Hermès มาประยุกต์เป็นอุปกรณ์ในการออกกำลังกายกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นคลาส Carré Yoga ที่ใช้ผ้าพันคอมามาช่วยสร้างความสมดุล หรือ Belt Stretching ยืดเส้นด้วยเข็มขัด ไปจนถึง Kickboxing with Bracelets ต่อยมวยแบบมีสไตล์ด้วยกำไลข้อมือ และ Hat Balance Challenge ที่จะช่วยฝึกสมดุลร่างกายระหว่างสวมหมวก เป็นต้น แต่ต้องลงทะเบียนจองกันล่วงหน้านะครับ หลายคนคงพอจะเดากันได้ว่างานนี้ได้ Hermès แรงบันดาลใจมาจากงาน Olympic ที่กำลังจะจัดขึ้นที่ Paris ในปี 2024 ที่จะถึงนี้ ที่ดีงามที่สุดก็คืองานทั้งหมดนี้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายนะครับ แถมมีน้ำผลไม้สกัดเย็นบริการให้ด้วย และมีบริการถ่ายรูปมุม TOP แบบไม่เหมือนใครอีกด้วย เพียงแค่ลงทะเบียนกันล่วงหน้าทาง HERMES.COM/HERMESFIT รีบกันหน่อยนะครับ งานจัดตั้งแต่วันที่ 18 – 27 มีนาคม 2565 เวลา 10:30 – 19:30 น. ที่ลานหน้า centralwOrld #LetsHoparound #HermèsFIT

  • KYOTO Highlights เที่ยวเกียวโต อัพเดทจุดสุดฮิปจากทริปเกียวโตล่าสุด

    รวมที่เที่ยวเกียวโต ไม่ว่าจะเคยไปเที่ยวมากี่ครั้ง เกียวโตก็ยังคงเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ชวนหลงไหลไม่ลดลงเลย นอกจาก“ความขลัง”ในฐานะเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่ยาวนานกว่า 1,000 ปีแล้ว ความฮิป ความดีไซน์ ความไลฟ์สไตล์ของเกียวโตที่ล้อไปกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนั้นก็ไม่เป็นสองรองใคร ตรงกันข้าม Vibes ที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานของเก่าและของใหม่ได้อย่างละเมียดละไมนั้นยิ่งทำให้เกียวโตมีความพิเศษไม่เหมือนใครจนเราติดใจต้องกลับไป #hop อีกเรื่อยๆเลย มาเร็ว!ไปสำรวจเกียวโตล่าสุดด้วยกันครับ Garden of Fine Arts Kyoto มาเริ่มกันที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางแจ้งสุดเท่ที่ออกแบบโดยปรมจารย์สถาปนิก Tadao Ando กันครับ ที่นี่คือ Garden of Fine Arts Kyoto ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต บนถนนคิตะยะมะ (Kitayama Street) สวนศิลปะคอนกรีตแห่งนี้จัดแสดงภาพวาดจำลองงานชิ้นเอกของศิลปินระดับโลก โดยวาดลงบนแผ่นเซรามิกที่มีคุณสมบัติทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ทำให้เราสามารถเดินทอดน่องไปตามทางลาดขึ้น-ลงเพื่อชมศิลปะที่มีขนาดใหญ่เต็มตาได้อย่างสบายใจ โดยงานศิลปะนั้นจะปรากฏอยู่ทั้งที่ผนัง กำแพงน้ำตก และใต้น้ำ (แน่นอนว่าตำแหน่งนี้ต้องยกให้กับภาพ Water Lilies ของ Monet) เราประทับใจในการออกแบบตัวอาคารของคุณ Ando มาก แม้พื้นที่จะไม่ใหญ่มากแต่เขาก็สามารถเนรมิตให้ Space มีมิติราวกับเป็นเขาวงกตขนาดย่อม เต็มไปด้วยซอกมุมที่หลากหลาย มีเซอร์ไพร้ซ์รออยู่ทุกๆหัวเลี้ยว และที่ทำให้ทั้งหมดนี้ดีงามขึ้นไปอีกก็คือค่าเข้าชมที่ถูกมากเพียง 100 เยนเท่านั้นครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–17:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kitayama Location: https://maps.app.goo.gl/PNrxifs29xc9ba6MA Ace Hotel Kyoto โรงแรมดีไซน์เก๋สุดฮิปจากอเมริกา เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นที่นี่เลย ใครชอบโรงแรมที่สะท้อนคาแรคเตอร์ครีเอทีฟ เท่ และมีความคราฟท์น่าจะถูกใจที่นี่มากครับ ออกแบบโดยคุณ Kengo Kuma สถาปนิกในใจอีกท่านหนึ่งที่เราชอบมาก คุณ Kuma นั้นหยอดความเป็นเกียวโตลงไปในตัวตนของ Ace Hotel ได้อย่างกลมกล่อมและน่าสนใจมากครับ และแต่เดิมตึกนี้เคยเป็นสำนักงานของบริษัทโทรศัพท์กลางเกียวโตในช่วงทศวรรษปี ค.ศ. 1920 แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่เมื่อปี 2020 ห้องพักของโรงแรมนั้นอยู่ชั้นบนๆ ส่วนด้านล่างนั้นเป็น Reception และมีศูนย์การค้าชื่อ ShinPuhKan ที่รวมเอาร้านเก๋ๆดีๆไว้เยอะมาก เดี๋ยวเราเอาบางร้านมาแนะนำเพิ่มเติมในลำดับต่อๆไปนะครับ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องพักที่นี่ก็มาเดินช้อปปิ้งได้นะครับ (ควรมาเลยแหละ!) เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง การเดินทาง: ลงสถานี Karasuma Oike ทางออก 5 Location: https://maps.app.goo.gl/bZkPen71MZxXtfut5 (THISIS)SHIZEN ร้านนี้เป็นทั้งคาเฟ่และร้านขายต้นไม้ที่อยู่ใน ShinPuhKan บอกเลยว่าใครเดินทางมาเกียวโตต้องแวะนะครับ ร้านที่เน้นความสมบูรณ์ของธรรมชาติ โดดเด่นด้วยประติมากรรมของโคเฮ นาวะ สุดเท่กลางร้านที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการงอกเงยของเมล็ดพันธุ์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกเกิดจากอุกกาบาตจากในจักรวาล ลวดลายได้แรงบันดาลใจมาจากสารอินทรีย์ที่เป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิต สปอร์หรือเมล็ดพืช และไข่ สื่อถึงวิธีที่พวกมันมายังโลกผ่านเมฆ ภายในร้านมีการออกแบบให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้พื้นที่ตามที่สร้างขึ้น โดยเพิ่มวัสดุที่เน้น ปูน สเตนเลส และกระจกให้ดูโมเดิร์นมากยิ่งขึ้น นอกจากต้นไม้และของกระจุกกระจิกที่น่าสนใจแล้ว เรายังชอบผลิตภัณฑ์จาก Vetiver หรือรากหญ้าแฝกที่มีกลิ่นหอมแนว Grounding ด้วย เวลาเปิดปิด: 10:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Karasuma Oike ทางออก 5 Location: https://maps.app.goo.gl/bZkPen71MZxXtfut5 1LDK 1LDK 京都店 เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ญี่ปุ่นที่เราชอบ เค้าเป็นร้าน Select Shop ที่เลือกของมาขายได้ดีมาก แต่ละสาขาของก็จะไม่เหมือนกันด้วยนะครับ ที่สาขานี้เราได้กระเป๋าสตางค์ Maison Margiela แบบที่ไม่เห็นใน Shop มาใบนึงด้วยล่ะ จริงๆแล้ว 1LDK นั้นเป็นชื่อเรียกประเภทห้องอพาร์ทเม้นท์แบบญี่ปุ่นก็คือ 1 ห้องนอน + Living Area + Dining Area และ Kitchen นั่นเอง แต่เค้าเอามาตั้งเป็นชื่อร้านซึ่งเก๋มากเลยใช่มั้ยล่ะครับ บ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างดี นอกจากที่ญี่ปุ่นแล้ว เค้ายังมีสาขาต่างประเทศด้วยนะครับ เราเคยไปสาขาที่โซลกับปารีส แต่ไม่แน่ใจว่าหลังจากโควิดแล้วยังมีสาขาไหนเหลืออยู่บ้าง ยังไงก็เช็คกันดีๆก่อนไปนะครับ แต่สิ่งที่ไม่ต้องห่วงเลยก็คือสินค้าของเค้านั้นดีไซน์เก๋แถมคุณภาพดีอีกด้วย ใครมาเกียวโตแนะนำเลยครับ เวลาเปิดปิด: 10:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Karasuma Oike ทางออก 5 Location: https://maps.app.goo.gl/bZkPen71MZxXtfut5 Stumptown Coffee Roasters เชื่อว่าหลายคนอาจจะคุ้นชื่อแบรนด์กาแฟคุณภาพจาก Portland, Oregon แบรนด์นี้มาบ้างแล้ว เราเองก็คิดถึงรสชาติของเค้ามานานเพราะตอนไปอเมริกาก็เคยซื้อกินอยู่หลายครั้ง ติดใจจนต้องซื้อเมล็ดกลับบ้าน วันนี้ก็เลยดีใจมากที่เค้ามาเปิดร้านถึงเกียวโตเรียบร้อยแล้ว เป็นสาขาแรกในญี่ปุ่นซะด้วย พร้อมเสิร์ฟกาแฟคุณภาพเยี่ยมที่คัดสรรเมล็ดหลากสายพันธุ์มาจากทั่วทุกมุมโลก แถมแพคเกจจิ้งก็น่ารักสมความเป็นแบรนด์จากเมืองฮิปสเตอร์จริงๆครับ เวลาเปิดปิด: 7:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Karasuma Oike ทางออก 5 Location: https://maps.app.goo.gl/o8Xofnk1XuSJDQao9 22 Pieces Hotel Kyoto ใครที่กำลังมองหาที่พักสบายๆใกล้สถานีรถไฟเกียวโตเพียง 350 เมตร เดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงเลย เราขอแนะนำโรงแรมนี้เลยครับ ดีไซน์สวย มินิมอลกว้างขวางกว่าโรงแรมอื่นๆ เราเข้าพักห้องสแตนดาร์ดสตูดิโอ ปลอดบุหรี่มาพร้อมกับห้องน้ำห้องอาบน้ำและห้องครัวขนาดใหญ่ถึง 34 ตร.ม. พักได้สูงสุด 4 คนพร้อม 3 เตียงเดี่ยว เตียงนุ่มสบายมากๆ แถมยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ยืมไปใช้ในห้องเราอีกด้วย ทั้งลำโพง เตา ไมโคเวฟ หูฟัง กาต้มน้ำร้อน และอื่นๆ อีกเพียบ ที่สำคัญมีพนักงานพูดภาษาไทยด้วยนะครับ บริการดีสุดๆ ถือเป็นประสบการณ์การเข้าพักที่ดีมากๆเลยครับ เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto Location: https://maps.app.goo.gl/XNbjWvDBsHdqmYAS8 Ginkakuji Temple มาเกียวโตทั้งทีก็ต้องแวะไหว้พระที่วัดกันบ้างเนอะ ที่เกียวโตมีวัดโบราณที่ทั้งสวยงามและชื่อเสียงโด่งดังเยอะมาก ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ วัดกินคะคุจิ หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดเงิน (Silver Pavilion) สร้างขึ้นเมื่อปี 1482 เป็นวัดพุทธโชโคคุ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองเกียวโต ด้านหลังติดเทือกเขามีและมีสายน้ำไหลผ่านบรรยากาศดีมากๆ ค่าเข้าผู้ใหญ่คนละ 500 เยน เวลาเปิดปิด: 8:30–17:00 การเดินทาง: นั่งรถเมล์มาลงที่ป้าย Ginkakujimichi Location: https://maps.app.goo.gl/s4padaL6eqyNRcxz7 Kyoto National Museum พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกียวโต (Kyoto National Museum, Kyoto) เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 1897 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 นู่นแน่ะ ที่นี่ ติด หนึ่งใน 4 อันดับของพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ด้านในจะมีการจัดนิทรรศการทั้งถาวรและชั่วคราวที่หมุนเวียนเปลี่ยนสลับกันไปอยู่เสมอ ที่โดดเด่นที่สุดคือที่นี่จะเป็นแหล่งรวมมรดกทางวัฒนธรรมด้านโบราณคดีของประเทศญี่ปุ่น ทั้งรูปปั้น เซรามิก การประดิษฐ์ตัวอักษร เครื่องแต่งกาย รวมไปจนถึงภาพวาดจากยุคต่างๆ เวลาเปิดปิด: 9:00–17:30 ปิดวันจันทร์ การเดินทาง: ลงสถานี Shichijō Location: https://maps.app.goo.gl/ohCVstXG9RptChMeA Here Cafe เกียวโตนั้นเต็มไปด้วยร้านกาแฟคุณภาพดีแต่งร้านน่ารักแนวมินิมอล ร้านนี้ก็เป็นอีกร้านที่ถ้ามีโอกาสผ่านมาแถวนี้ก็ควรค่าแก่การแวะครับ นอกจากกาแฟแล้วขนมคาเนลเล่ของเค้าก็มีชื่อไม่แพ้กันครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Karasuma Oike Location: https://maps.app.goo.gl/3N76EufSNVQeK9mD8 Lorimer Kyoto ใครอยากลองอาหารเช้าโฮมเมดสไตล์เกียวโต ต้องร้านนี้เลยครับ วันที่เราไปมีคิวก่อนหน้าประมาณ 3-4 คิวก็เลยต้องรอนานนิดนึง อาจจะเพราะเพิ่งฟื้นจากโควิดดูเหมือนพนักงานไม่พอเลยมีตะกุกตะกักเล็กน้อย รสชาติอาหารดีครับ ไม่ได้หวือหวา รสอ่อนๆละมุนๆแนวญี่ปุ่นผสมฝรั่ง ถ้ามาแถวนี้อยู่แล้วก็แนะนำให้ลอง แต่ถ้าต้องมาไกลหรือมีคิวยาวก็ข้ามไปได้ครับ เวลาเปิดปิด: วันธรรมดา 8:00–15:00 วันเสาร์อาทิตย์ 7:00–15:00 การเดินทาง: ลงสถานี Gojō Location: https://maps.app.goo.gl/eZtthHZC29UKp2L5A Kamo River ทางเดินริมน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กันกับ Kyoto Botanical Gardens เลยครับ เราเดินออกมาจากสวนแล้วบังเอิญเจอ และก็ต้องตกหลุมรักบรรยากาศที่นี่เข้าอย่างจังเลย สวย สงบเหมือนฝัน ถ่ายรูปก็แสงสวยมาก (เรามาช่วงเย็น) กลายเป็นอีกหนึ่งพิกัดโปรดของเราในเกียวโตเลยครับ ถ้าอยากมีโมเม้นต์ชิลๆแบบ Dreamy ก็แวะมาเดินเล่นได้นะครับ เวลาเปิดปิด: 24ชั่วโมง การเดินทาง: ลงสถานี Kitayama Location: https://maps.app.goo.gl/z84Qi6hECeLbsgFa6 Human Made 1928 แบรนด์เสื้อผ้าไลฟ์สไตล์สุดฮิปที่กำลังมาแรงจากโตเกียว ขยายสาขามาถึงเกียวโตแล้วเช่นกัน ใครเป็นแฟนแบรนด์นี้ต้องไม่พลาด นอกจากจะมีสินค้าแฟชั่นสตรีทให้ช้อปแล้ว ที่นี่ยังมีโซนคาเฟ่ที่ทำ Exclusive กับ Blue Bottle Coffee ด้วยครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/9kKBARr9L4QavUTF8 ENFUSE คาเฟ่มาตรฐานญี่ปุ่นตั้งอยู่ใน Kyoto City KYOCERA Museum Of Art หากใครเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ จนเหนื่อยแล้วก็แว็ปมานั่งเล่นที่นี่ได้ครับ เวลาเปิดปิด: 10:30–19:00 ปิดวันจันทร์ การเดินทาง: ลงสถานี Higashiyama แล้วต่อรถเมล์ Location: https://maps.app.goo.gl/Gxc73kPmAHzW85Tu8 お肉と御酒 雑派 ชื่อร้านมีแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น เราใช้วุ้นแปลภาษาได้ความประมาณว่า “เนื้อและแอลกอฮอลต่างๆนานา” จะว่าไปก็ตรงคอนเส็ปต์นะครับ เพราะร้านนี้เน้นกินดื่มสไตล์ยุโรปผสมญี่ปุ่น สารภาพว่าเราเจอร้านนี้โดยบังเอิญอีกเช่นกัน จึงไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ก็ต้องประหลาดใจกับฝีมือการปรุงและคุณภาพวัตถุดิบที่ดีงามจริงๆ เจ้าปลาหมึกตัวจิ๋วที่เสิร์ฟมาในกระทะให้กินคู่กับขนมปังนี่บอกเลยว่าอร่อยเรือหายเลยครับ ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากอาหารญี่ปุ่นทั่วๆไป ต้องมาลองร้านนี้เลยครับ เวลาเปิดปิด: 17:30–11:30  ปิดวันพฤหัส การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/ZirgRo44S7JP8cVk8 Kaikado Café Kaikado คือแบรนด์กระบอกเก็บใบชา (Tea Caddy) ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นที่ก่อตั้งมาตั้งปี 1875 ครับ ซึ่งกระบอกเก็บชาแบบแฮนด์เมดนั้นนับว่าเป็นอีกหนึ่งในงานฝีมือที่ขึ้นชื่อของเกียวโตเลย ส่วนคาเฟ่แห่งนี้นั้นก็เปิดขึ้นมาเพื่อสร้างความเชื่อมโยงให้คนยุคใหม่เข้าถึง Tea Caddy ได้ง่ายขึ้น แก้วที่ใช้เสิร์ฟกาแฟเย็นนั้นก็สั่งทำพิเศษเป็นทรงกระบอกเก็บชา และถาดไม้ที่ใช้รองเสิร์ฟชีสเค้กก็เป็นดีไซน์ดั้งเดิมของ Nakagawa-mokkougei ผู้ผลิตถังไม้ญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียง ดังนั้นใครที่ชอบงานคราฟท์โบราณน่าจะถูกใจร้านนี้สุดๆเลยครับ เครื่องดื่มก็มีทั้งชาและกาแฟคุณภาพพรีเมี่ยม แต่สิ่งที่เตะตามากๆก็คือโทสต์เนยสดถั่วแดงและชีสเค้ก เวลาเปิดปิด: 10:00–18:30  ปิดวันพฤหัสบดี การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/8LtVHR8CdgJS5CCh9 Blue Bottle Coffee Kyoto Kiyamachi Cafe ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเราเป็นแฟน Blue Bottle ร้านกาแฟแบรนด์ดังจาก San Francisco ผ่านทีไร แวะแทบทุกทีเลย 555 ลิสต์นี้อาจจะมี Blue Bottle หลายสาขาหน่อย ใครมาช้อปปิ้งแถว Kyoto Bal ก็แวะมาสาขานี้ได้นะครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/hsrt1FvTx9MPNwkXA Good Nature Station ร้าน Grocery ที่เน้นขายของทางเลือกที่ใส่ใจธรรมชาติทั้งหมดเลยนะครับ เราชอบคอปเซ็ปต์ของเค้ามาก "Good things for people and nature." สายช้อปของกินเพลินตาแตกแน่นอน นอกจากซุปเปอร์มาเก็ตแล้ว ในโครงการนี้ยังประกอบไปด้วยโรงแรม ร้านอาหาร แกลอรี่ ห้องประชุม และร้านค้าอื่นๆซึ่งเราจะคัดเอาร้านเก๋ๆในโครงการนี้มาแนะนำแยกในลำดับถัดๆไปด้วยครับ เวลาเปิดปิด: 10:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/FUpd6Tc9YjprVdjf8 Nemohamo แบรนด์สกินแคร์ที่เน้นสารสกัดจากทุกส่วนของพืช (Whole Plant) ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของโครงการ Good Nature Station ทางแบรนด์เคลมว่าทุกส่วนของพืชนั้นจำเป็นต่อความอยู่รอดของพืชจึงล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว พนักงานแนะนำตัว Whole Plant Booster Oil ให้เราเพราะเป็นตัวขายดีของร้าน เราก็เลยไม่พลาดที่จะซื้อกลับมาลองใช้ดูครับ เวลาเปิดปิด: 10:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/EehotGB2dRKsDfnA7 Fukujuen Kyoto Main Store จริงๆแล้วเกียวโตก็มีร้านขายใบชาญี่ปุ่นอยู่หลายร้าน เนื่องจากเป็นเมืองหลวงเก่าที่ผูกพันกับการชงชามายาวนาน แต่พ่อค้าร้านขายใบชาในตลาด Nishiki บอกว่าถ้าอยากได้ใบชาเกรดพรีเมี่ยมต้องมาที่ Fukujuen เลย เราจึงเชื่อตามนั้น และก็พบว่ามีชาญี่ปุ่นหลากหลายแบบมาก เราจึงซื้อติดมือกลับบ้านไปหลายตัวเลยครับ เวลาเปิดปิด: 11:00–18:00 ปิดวันพุธ การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/PTJ52dJCHeEzpGNY6 Blue Bottle Coffee Kyoto Rokkaku Cafe เราชอบตรงที่ Blue Bottle Coffee ในเกียวโต มักเลือกทำเลที่มีสตอรี่สอดคล้องกับชีวิตของผู้คนในเมืองได้เป็นอย่างดี จุดเด่นของสาขานี้คือปรับปรุงมาจากบ้านไม้โบราณแบบเกียวโต เปิดร่วมกับร้าน Tsujimori ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายและซ่อมจักรยานที่มีประวัติเก่าแก่คู่เมืองเกียวโตมาอย่างยาวนาน เป็นสาขาเล็กๆที่ดูอบอุ่นและน่าสนใจมากครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Karasuma Oike Location: https://maps.app.goo.gl/oZEbAP5P67Cox41u6 Cotoiro Kyoto ร้านกิ๊ฟช็อปคิ้วท์ๆ ตั้งอยู่ในโครงการ Rissei Garden Hulic Kyoto ที่นี่ขายเครื่องหอมที่ได้แรงบันดาลใจเรื่องกลิ่นมาจากเมืองโตเกียวด้วย เลือกดูของเพลินเลยครับ เวลาเปิดปิด: 11:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/uch3sZwGFTsbhqKLA Dunstan Coffee Roasters ร้านกาแฟที่เราบังเอิญเดินผ่าน เลยแวะเข้าไปซื้อชิมดู ปรากฏว่าอร่อยแฮะ แถมเจ้าของร้านก็ใจดีมาก ทางร้านคั่วกาแฟเองจึงมีเมล็ดแปลกๆคัดสรรมาให้ลองหลายตัว เค้ามีขายแบบซองให้เอากลับไปดริปที่บ้านเองด้วยนะครับ (เราก็ซื้อติดมือกลับมา แฮร่ๆๆ) เวลาเปิดปิด: 9:00–17:00 ปิดวันศุกร์ การเดินทาง: ลงสถานี Shijō Location: https://maps.app.goo.gl/Hh7h2bkradaA5rfn9 Kyoto Gion Saryo ข้ามมาฝั่ง Gion กันบ้างดีกว่า คาเฟ่นี้เค้าดังเรื่องขนมปังครับมีหลายเมนูให้เลือกเลย แต่เรามาตอนที่ขนมสดเค้าหมดแล้ว จึงได้ลองแต่เครื่องดื่มรสชาติดีมากครับ ข้างในมีพวกเครื่องเซรามิกแฮนด์เมดที่สวยมากๆขายด้วย ใครชอบสะสมของยูนีคก็แวะเข้าไปชมได้ครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Gion-Shijo Location: https://maps.app.goo.gl/FGDWSXr5knLtcuAEA Kyoto City KYOCERA Museum Of Art พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดตัวขึ้นครั้งแรกในปี 1933 ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นที่ยังตั้งอยู่ในโครงสร้างสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ในปี 2017 บริษัท Kyocera ได้บริจาคเงินกว่า 5,000 ล้านเยน (ประมาณ 1,200 ล้านบาท) เพื่อปรับปรุงตัวอาคารใหม่ทั้งหมด จึงได้สิทธิ์การใส่ชื่อบริษัทไปในชื่อพิพิธภัณฑ์เป็นเวลา 50 ปี ตัวพิพิธภัณฑ์โฉมใหม่ที่สวยมากนี้ออกแบบโดยสถาปนิกสองท่านคือ Aoki Jun และ Nishizawa Tezzo หลังจากปิดปรับปรุงไปกว่า 3 ปี ก็เพิ่งจะเปิดให้คนเข้าชมได้เมื่อกลางปี 2020 นี่เอง แต่ก็มาเจอกับโควิดอีกพอดี ด้วยขนาดพื้นที่ที่ใหญ่โตมหึมา ปัจจุบันที่นี่จึงสามารถแสดงงานได้หลากหลายรูปแบบทั้งงานโบราณและงานสมัยใหม่ โดยแบ่งออกเป็นห้องและโซนย่อยๆให้เราได้เลือกชมกันได้อย่างจุใจเลยครับ ค่าเข้าชมคนละประมาณ ¥730 เวลาเปิดปิด: 10:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Gion-Shijo Location: https://maps.app.goo.gl/Gxc73kPmAHzW85Tu8 Porter Stand Kyoto แทบจะกลายเป็นของที่ระลึกระดับพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่นไปแล้ว สำหรับกระเป๋าผ้าไนล่อนคัตติ้งเนี้ยบจากโตเกียวแบรนด์นี้ และที่เกียวโตเค้าก็มีช้อปแถวๆศาลเจ้า Kiyomizu-dera ให้ลูกค้าได้เข้ามาเลือกดูของกันด้วย ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในอาคารโบราณบวกกับบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านค้าในละแวกนี้ ทำให้ Porter สาขานี้มีพลังดึงดูดใจชวนให้เข้าไปสำรวจอย่างบอกไม่ถูก เวลาเปิดปิด: 10:00–18:00 การเดินทาง: รถเมล์ลงป้าย Gojozaka Location: https://maps.app.goo.gl/7afms3Eae1dsB4vG7 Kyoto Botanical Gardens สวนพฤกษศาสตร์แห่งเมืองเกียวโต ถ้าเพื่อนๆกิน ช้อป เที่ยววัด เดินมิวเซี่ยมจนจุใจแล้ว อยากหากิจกรรมอย่างอื่นทำบ้าง เรามีสวนดอกไม้มาแนะนำครับ ที่นี่เป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ ข้างในแบ่งเป็นสวนย่อยๆตามพันธุ์ไม้อีกหลายสวน ซึ่งจะมีต้นไม้สวยๆให้เข้ามาเดินดูได้ทุกฤดูกาลครับ ที่นี่มีต้นซากุระกว่า 450 ต้น แต่ช่วงที่เรามาซากุระกำลังเริ่มโรยพอดี คลาดกันนิดเดียวเอง แต่เรามีน้องทิวลิปมาปลอบใจครับ สวยสุดๆเลยล่ะ ถ้าเพื่อนๆมาช่วงใบไม้ร่วงต้นไม้ที่นี่ก็จะกลายเป็นสีทองสวยงามไม่แพ้กัน ค่าเข้า 200 เยนครับ หรือจะซื้อควบกับตั๋วเข้า Garden Of Fine Arts ก็เพิ่มอีกแค่ 50 เยน ประหยัดไปอีกกก เวลาเปิดปิด: 9:00–17:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kitayama Location: https://maps.app.goo.gl/qKWttwPE8boJjzov9 WEEKENDERS COFFEE TOMINOKOJI ร้านกาแฟ (อีกแล้ว) สุดเท่ที่มีโรงคั่วเองอยู่อีกสาขา เน้นกาแฟดริปแบบใสๆ สโลว์ไลฟ์แบบเกียวโต ใครผ่านมาย่านนี้มีกาแฟอร่อยอยู่นี่นะ เวลาเปิดปิด: 7:30–18:00 ปิดวันพุธ การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/pH2Mzfs8hWitd8Gv8 Walden Woods ร้านกาแฟสีขาวสมัยใหม่ ตกแต่งให้มีที่นั่งสไตล์อัฒจันทร์การแสดงอยู่ชั้นสอง รสชาติกาแฟดีงามตามมาตรฐานญี่ปุ่นไม่ต้องห่วงครับ ปล.วิวฝั่งตรงข้ามเป็นสนามเด็กเล่น น่ารักกกก เวลาเปิดปิด: 9:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Gojō Location: https://maps.app.goo.gl/aCZxRehw1M1EaY239 Udon Main ร้านอุด้งเส้นสดกับซุปแสนกลมกล่อมในย่าน Gion พาเพื่อนๆมาทานจานเส้นกันบ้างดีกว่า เส้นอูด้งของที่นี่จะไม่อวบอ้วนอย่างอูด้งที่เราคุ้นเคยในไทย แต่ความนุ่มหนุบหนับนั้นชนะทุกสิ่ง แม้จุดขายของเขาอยู่ที่เส้นอูด้งเป็นหลัก แต่เมนูของร้านนี้ก็มีการปรุงรสชาติให้เลือกหลายแบบนะครับ เวลาเปิดปิด: มื้อสาย-เที่ยง 10:30–15:30 มื้อเย็น-ค่ำ 17:00–22:00 ปิดวันอังคาร การเดินทาง: ลงสถานี Gion-Shijo Location: https://maps.app.goo.gl/BRTvqM4JVG2HrhXC6 Ine Funaya หมู่บ้านชาวประมงที่เราเห็นแล้วจดไว้ในลิสว่าต้องมาให้ได้ ไกลหน่อยแต่คุ้มค่ามาก เพราะที่นี่บรรยากาศดีมากกกกก แบบมากกกก เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกนึง เงียบสงบ แต่ไม่ร้างนะ รอบๆก็ยังมีร้านค้าอยู่ ใครมาแล้วต้องลองขึ้นเรือทัวร์อ่าวนี้เลยครับ เค้ามีคำบรรยายประวัติเป็นภาษาไทยด้วยล่ะ การเดินทาง: ลงสถานี Miyazu Location: https://maps.app.goo.gl/4tSa4sBir1QkYD4F6 A-POC ABLE ISSEY MIYAKE / KYOTO เอ-พอค เอเบิ้ล อิซเซ่ มิยาเกะ / เกียวโต แบรนด์ใหม่ล่าสุดจาก Issey Miyake ซึ่งนำเอาแนวคิดดั้งเดิมของ Issey Miyake ตั้งแต่ยุค 70 มานำเสนอใหม่ด้วยเทคนิควิธีที่ล้ำสมัย เช่น ใช้ไอน้ำอัดผ้าให้อยู่ตัวมีรูปทรง 3 มิติ สำหรับหน้าร้านนี้ออกแบบโดย Tokujin Yoshioka ดีไซเนอร์คนเดียวกันกับที่ออกแบบคบเพลิงรูปดอกไม้ในงาน Olympic ปี 2020 นั่นเอง เขาผสมผสานเอาทาวน์เฮาส์ Kyoto Machiya แบบโบราณมาใส่ความทันสมัยเข้าไปโดยใช้อลูมิเนียม ล้อไปกับคอนเส็ปต์จากอดีตสู่อนาคตของแบรนด์นั่นเอง เวลาเปิดปิด: 11:00 - 20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto Shiyakusho-mae Location: https://maps.app.goo.gl/Xppp8XAVo5Km226w8 Rokkaku Chikiriya เราพาเพื่อนๆมาร้านชาเขียวแบบโลคอลกันบ้างดีกว่า เห็นหน้าร้านดูใหม่ๆแบบนี้ แต่แบรนด์เค้ามีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปีตั้งแต่ 1910 แล้วนะครับ เมื่อก่อนเค้าเน้นขายส่งใบชา หน้าร้านปัจจุบันจึงมีชาให้เลือกหลายเกรดเลย ชั้นสองเป็นคาเฟ่เล็กๆไว้ให้ลองจิบชาและมีขนมหวานเสิร์ฟด้วย ใครชอบบรรยากาศกันเองสบายๆ มีใบชาให้เลือกซื้อกลับบ้านต้องที่นี่เลยครับ Rokkaku Chikiriya เวลาเปิดปิด: 9:00–18:00 ปิดวันอาทิตย์ การเดินทาง: ลงสถานี Karasuma Oike ทางออก 5 Location: https://maps.app.goo.gl/3rEaq7kFmKpkR3Xo8 Graphpaper ร้านเสื้อผ้าผู้ชายน่ารักๆ ในเกียวโต ที่ดัดแปลงมาจากทาวน์เฮาส์แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ตัวอาคารได้รับการปรับปรุงใหม่โดยใช้สีขาวเป็นสีหลัก โดยยังคงรักษาคานที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปีไว้ นอกจากนี้ยังมีระเบียงเสื่อทาทามิขนาดเล็กและลานภายในและโกดังด้านหลังซึ่งมีอายุมากกว่า 100 ปีได้ถูกดัดแปลงเป็นพื้นที่แกลเลอรีด้วย บอกเลยว่าเป็นร้านเสื้อผ้าที่ดีไซน์มาดีมากๆ ทั้งตัวร้าน และ เสื้อผ้า เวลาเปิดปิด: 12:00–19:00 ปิดวันพุธ การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/sZZNuha5a6v6WQLe8 Idumoya ที่ริมแม่น้ำคาโมะ มีร้านอาหารเรียงรายกันอยู่หลายร้าน เราเดินผ่านร้านสุกี้ยากี้นี้ตอนหิวพอดีก็เลยแวะซะเลย บางทีการได้ปล่อยให้ความบังเอิญเซอร์ไพร้ซ์เราบ้างก็สนุกดีครับ สรุปก็คือเนื้อดี รสชาติอร่อยไม่ผิดหวัง แถมวิวแม่น้ำก็สวยงามครับ เวลาเปิดปิด: 11:30–21:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi ทางออก 1A Location: https://maps.app.goo.gl/X3NNmu3Dsot8Xp6c8 Rau Patisserie & Chocolate ร้านขายขนมที่เราประทับใจในการพรีเซ้นต์มากๆ มีความอาร์ตขั้นสุด สวยจนไม่กล้ากินเลย ร้านนี้อยู่ในโครงการ Good Nature Station นะครับ ใครผ่านมาแนะนำให้แวะขึ้นไปนั่งทานที่หน้าร้านชั้น 2 นะครับ ในรูปตรงนี้จะเป็นหน้าร้าน Take Away ที่อยู่ชั้นล่างครับ เวลาเปิดปิด: 11:00–18:30 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi ทางออก 4 Location: https://maps.app.goo.gl/mYJ3KwTuRCQq5TYf7 HIN ร้านขายข้าวของเครื่องใช้ที่คัดสรรมาอย่างดี และนำมาจัดแสดงราวกับเป็นแกลอรี่อะไรสักอย่าง บอกได้เลยว่าญี่ปุ๊นนนน ญี่ปุ่นนน เต็มไปด้วยจริตมินิมอลอย่างแท้ทรู เวลาเปิดปิด: 11:00–19:00 ปิดวันอังคาร การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto Shiyakusho-mae ทางออก 3 Location: https://maps.app.goo.gl/ELAJz5oiRwxLMdua7 Arts & Science ร้านเสื้อผ้าอาร์ทๆและมินิมอลสุดๆ ร้านนี้อยู่คู่กันกับร้าน HIN อย่างคู่ควร เวลาเปิดปิด: 11:00–19:00 ปิดวันอังคาร การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto Shiyakusho-mae ทางออก 3 Location: https://maps.app.goo.gl/oiJ4GBShp8Mhm6Cx7 NORDISK CAMP SUPPLY STORE KYOTO ใครสายแคมปิ้งเอาท์ดอร์ต้องแวะมาร้านนี้ครับ มีของให้เลือกช้อปเยอะมาก หลากหลายแบรนด์ เวลาเปิดปิด: 11:30–20:00 ปิดวันจันทร์ การเดินทาง: ลงสถานี Karasuma ทางออก 21 Location: https://maps.app.goo.gl/PuL3zDEnuLuNNb7C7 Comme des Garcons Kyoto แฟนๆกอมเซฟไว้เลย สาขานี้อาจจะต้องออกมาจากย่านหลักๆของเมืองเกียวโตหน่อย แต่คุ้มค่าครับเพราะนักท่องเที่ยวน้อย และยังมีของให้เลือกช้อปเพียบ เวลาเปิดปิด: 11:30–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto Shiyakusho-mae Location: https://maps.app.goo.gl/f6mnBPK8RbdQwq3y7 To See ร้านกาแฟและของกระจุกกระจิกเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านเงียบๆ มีกาแฟดริปเสิร์ฟแกล้มกับจิตวิญญาณมินิมอลแบบเกียวโตแบบเต็มโดส เวลาเปิดปิด: 11:00–19:00 ปิดวันอังคาร การเดินทาง: ลงสถานี Marutamachi ทางออก 6 Location: https://maps.app.goo.gl/rwFguRmQELsQ38q69 koé donuts kyoto ร้านโดนัทอร่อยๆที่มาพร้อมกับแบรนด์ดิ้งสุดคิ้วท์ เวลาเปิดปิด: 9:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto-Kawaramachi Location: https://maps.app.goo.gl/BFdttCHh4sxaKfJP9 Starbucks Coffee Kyoto Bal ที่นี่เป็นหนึ่งใสสตาร์บัคส์สาขาที่อาร์ทที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาเลยครับ ถ้าไม่เหลือบไปเห็นนางเงือกสองหางก็นึกว่านั่งจิบกาแฟอยู่ในแกลอรี่ยังไงยังงั้น เวลาเปิดปิด: Kyoto-Kawaramachi การเดินทาง: ลงสถานี 11:00–20:00 Location: https://maps.app.goo.gl/1BjQodR5XAr5QYJ96 School Bus Coffee Stop ร้านกาแฟคอนเซ็ปต์คิ้วๆท์ ในเกียวโต Vibe ดีมากครับ ทั้งตัวร้าน การตกแต่ง การบริการของพนักงานจนไปถึงลูกค้าที่มาใช้บริการ แค่นั่งหลับตาฟังเสียง Ambience ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เวลาเปิดปิด: 9:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kyoto Shiyakusho-mae Location: https://maps.app.goo.gl/W5jdAAyDywokC1uPA Blue Bottle Coffee Kyoto Cafe Blue Bottle Coffee สาขานี้เป็นหนึ่งในสาขาที่มีเสน่ห์ที่สุดที่เราเคยไปมาครับ อยู่ไม่ไกลจากวัด Nanzen-ji ดัดแปลงมาจากสถาปัตยกรรมบ้านไม้ญี่ปุ่นแบบโบราณ ย่านนี้เป็นอีกจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีหรือซากุระบานที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของเกียวโต เพราะมีทางรถรางโบราณที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสองข้างทางถูกขนาบไปด้วยต้นซากุระสวยงามมากครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Keage Location: https://maps.app.goo.gl/Bp6dG6apfor3V5if6

  • เที่ยวทะเลสาบทาโฮ Lake Tahoe สหรัฐอเมริกา อัญมณีแห่งเซียร์ราเนวาดาที่ห้ามพลาด

    เที่ยวทะเลสาบทาโฮ (Lake Tahoe) สหรัฐอเมริกา อัญมณีแห่งเซียร์ราเนวาดาที่ห้ามพลาด วันนี้ Hoparound.co ขอพาทุกคนไปสัมผัสความงดงามสุดอลังการของ "ทะเลสาบทาโฮ" (Lake Tahoe) อัญมณีแห่งเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา ที่ไม่ได้เป็นเพียงทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ยังเป็น Alpine Lake หรือทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 5,000 ฟุต (ประมาณ 1.5 กิโลเมตร) ขึ้นไป ซึ่งทำให้ที่นี่มีอากาศบริสุทธิ์และทิวทัศน์อันงดงามหาใดเปรียบ ตั้งอยู่บนพรมแดนที่กั้นระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียและเนวาดา ทะเลสาบแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องน้ำสีฟ้าครามที่ใสราวคริสตัลและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติที่ยังคงอยู่ครบถ้วน เสน่ห์ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล สิ่งที่ทำให้ทะเลสาบทาโฮพิเศษไม่เหมือนใครคือเสน่ห์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ไม่ว่าคุณจะมาเยือนช่วงไหน ที่นี่ก็พร้อมมอบประสบการณ์สุดประทับใจเสมอ: ฤดูร้อน (มิถุนายน - สิงหาคม):  ทะเลสาบจะกลายเป็นสวรรค์ของกิจกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการพายเรือคายัค แพดเดิลบอร์ด เจ็ตสกี ล่องเรือ หรือแม้แต่การว่ายน้ำในน้ำที่เย็นสดชื่น นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินป่า ปีนเขา และปั่นจักรยานเสือภูเขาไปตามเส้นทางต่างๆ รอบทะเลสาบเพื่อชมวิวทิวทัศน์อันตระการตา ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน - พฤศจิกายน):  ช่วงเวลาที่ธรรมชาติแต่งแต้มสีสันให้กับป่าไม้รอบทะเลสาบ ด้วยใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม แดง สร้างทัศนียภาพที่สวยงามจับใจ เหมาะสำหรับการขับรถชมวิว ถ่ายภาพ และเดินเล่นในบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติก ฤดูหนาว (ธันวาคม - กุมภาพันธ์):  ทะเลสาบทาโฮจะกลายร่างเป็นอาณาจักรแห่งหิมะ รีสอร์ทสกีชื่อดังหลายแห่งในบริเวณนี้ เช่น Squaw Valley, Heavenly, Northstar จะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นสกี สโนว์บอร์ด และกิจกรรมฤดูหนาวอื่นๆ สัมผัสความตื่นเต้นบนลานหิมะพร้อมวิวทะเลสาบสีครามตัดกับหิมะขาวโพลน ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม - พฤษภาคม):  เป็นช่วงเวลาที่หิมะเริ่มละลาย ดอกไม้ป่าเริ่มผลิบาน และน้ำตกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง อากาศกำลังสบาย เหมาะสำหรับการเดินป่าระยะสั้นๆ และสัมผัสความสดชื่นของธรรมชาติที่กำลังฟื้นตัว การเดินทางสู่ทะเลสาบทาโฮ การเดินทางที่สะดวกที่สุดสู่ทะเลสาบทาโฮคือการขับรถ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์โรดทริปอันน่าจดจำ: จากซานฟรานซิสโก (San Francisco):  ใช้เวลาขับรถประมาณ 3.5 ชั่วโมง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เส้นทางขับง่ายและมีวิวสวยงามตลอดทาง จากเมืองใกล้เคียงอื่นๆ:  หากมาจากเมืองใหญ่อื่นๆ ในแคลิฟอร์เนียหรือเนวาดา ก็สามารถวางแผนขับรถมาได้เช่นกัน สนามบินที่ใกล้ที่สุดคือ Reno-Tahoe International Airport (RNO) ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง และมีเที่ยวบินจากเมืองใหญ่ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา จุดหมายที่ไม่ควรพลาดรอบทะเลสาบ ทะเลสาบทาโฮไม่ได้มีดีแค่วิวทิวทัศน์ แต่ยังมีเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจรายรอบ: เซาท์เลคทาโฮ (South Lake Tahoe):  เมืองที่ใหญ่ที่สุดและคึกคักที่สุดทางฝั่งแคลิฟอร์เนีย มีรีสอร์ท คาสิโน ร้านอาหาร และแหล่งช้อปปิ้งมากมาย เป็นฐานที่มั่นที่ดีสำหรับการพักผ่อน ทาโฮซิตี (Tahoe City):  เมืองเล็กๆ น่ารักทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบ มีบรรยากาศสบายๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางจักรยานและเดินป่าหลายแห่ง เอเมอรัลด์เบย์ (Emerald Bay State Park):  อ่าวที่งดงามราวภาพวาด พร้อมด้วยเกาะ Fannette Island ซึ่งมีบ้านชาขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านบน เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่ไม่ควรพลาด วิกล์รัน (Kings Beach):  ชายหาดที่เหมาะสำหรับการพักผ่อน เล่นน้ำ และทำกิจกรรมทางน้ำต่างๆ คำแนะนำสำหรับชาว #Hopster พักที่ไหนดี?:  มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่รีสอร์ทหรู โรงแรมไปจนถึงที่พักแบบ Cabin และบ้านพักตากอากาศ ควรจองล่วงหน้าโดยเฉพาะช่วงฤดูท่องเที่ยว เตรียมตัวก่อนไป:  สภาพอากาศที่ทาโฮอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ควรเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับฤดูกาล และสำหรับผู้ที่แพ้ความสูง (Altitude Sickness) ควรปรับตัวให้ชินกับสภาพอากาศก่อนทำกิจกรรมหนักๆ อย่าลืมอนุรักษ์ธรรมชาติกันด้วยนะ:  ทะเลสาบทาโฮเป็นแหล่งน้ำที่บริสุทธิ์และระบบนิเวศที่ละเอียดอ่อน ขอความร่วมมือในการรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งขยะ และปฏิบัติตามกฎระเบียบของอุทยาน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักผจญภัยตัวยง ผู้รักธรรมชาติ หรือแค่อยากมาพักผ่อนและสูดอากาศบริสุทธิ์ ทะเลสาบทาโฮก็พร้อมต้อนรับคุณด้วยความงดงามและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร เตรียมตัวให้พร้อมแล้วไป #hop กันที่ Lake Tahoe! #LetsHoparound ติดตามเราได้ทาง Facebook/Instagram: @ hoparound.co  และ Website: www.hoparound.co

  • รีวิว AMAN SKINCARE ปรนนิบัติผิวด้วยศาสตร์แห่งความสงบจากอมันสกินแคร์

    จะเกิดอะไรหาก AMAN แบรนด์รีสอร์ท Ultra Luxury หันมาทำสกินแคร์ แล้วให้ Kengo Kuma (สถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่ออกแบบสเตเดี้ยมไม้ที่จะใช้ในงาน Tokyo Olympic รอบล่าสุดนี้) ออกแบบแพ็คเก็จจิ้ง ผลที่ได้ก็คือเรนจ์ผลิตภัณฑ์สุดพิถีพิถันที่ทั้งลุ่มลึกและงดงามตั้งแต่ภายในไปจนถึงภายนอก เครื่องประทินผิวคอลเล็คชั่นนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของ AMAN ในปี 2018 โดยทางแบรนด์ได้เนรมิตสกินแคร์ออกมาถึง 30 ตัว โดยเน้นพลังบำบัดอันบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ตั้งแต่น้ำมันที่สกัดจากพืชพรรณอันทรงพลังต่างๆ เช่น palo santo, sandal wood เป็นต้น ไปจนถึง ไข่มุก หินอเมธีสต์ หยก กำยาน น้ำด่างจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติที่หนาแน่นไปด้วยออกซิเจน โคลนจากป่าฝน และการใช้โลหะตามวิถีโฮเมโอพาธี ส่วนตัวแพ็คเก็จจิ้งนั้นก็ได้แรงบันดาลใจมาจากแจกันกระเบื้องโบราณของญี่ปุ่น โดย Kengo Kuma เลือกให้เนื้อวัสดุสะท้อนความเป็นธรรมชาติด้วยลวดลายที่คล้ายไม้และหิน และใช้โทนสีเข้มขรึมเพื่อสะท้อนความลักชัวรี่ที่สุขุมลุ่มลึกของ AMAN แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์เลอค่าเหล่านี้ AMAN ได้นำมาใช้ในเมนูสปาอันหรูหราของทางรีสอร์ทด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและบำรุงผิวแล้ว ยังช่วยในการ grounding และ purifying อารมณ์และจิตใจอีกด้วย หากชาว #hopsters คนไหนสนใจจะสร้าง ritual ความงามของตัวเองที่บ้าน ก็สามารถคลิกเข้าไปดูในเวปของ AMAN ได้เลย >>> https://shop.aman.com/en/

  • รีวิวโรงแรม Hansar Pranburi หรรษา ปราณบุรี

    รีวิวโรงแรม Hansar Pranburi หรรษา ปราณบุรี ระหว่างที่เรากำลังหาโรงแรมสำหรับทริปสามร้อยยอดอยู่นั้น เราไปสะดุดตากับภาพอาคารสีขาวตัดกับภูเขาหินปูนเขียวชะอุ่มที่ยืนตระหง่านเป็นฉากหลัง เบื้องหน้าเป็นชายหาดที่เงียบสงบ แถมมองไปรอบๆก็แทบไม่เจอเพื่อนบ้านเลย โลเคชั่นที่ exclusive แบบนี้ช่างมีแรงดึงดูดเราเสียเหลือเกิน หลังจากเปรียบเทียบกับโรงแรมอื่นๆอีก 2-3 แห่ง เราก็ตัดสินใจเลือก Hansar Pranburi ณ ปลายหาดสามร้อยยอดแห่งนี้อย่างง่ายดาย รีวิวโรงแรม Hansar Pranburi หรรษา ปราณบุรี จองห้องพักได้ที่นี่ BOOK NOW นานๆจะได้มาที่สามร้อยยอดสักที แถมโปรโมชั่นลดราคาแถมอาหารเช้าก็ดีเหลือใจ เราจึงเลือกห้องใหญ่ขนาด 61 ตร.ม.ที่วิวดีที่สุดไปเลยแล้วกัน นั่นก็คือห้องฮันนีมูน สวีท วิวทะเลพร้อมจากุซซีเอ้าท์ดอร์ (Honeymoon Sea View Suite with Jacuzzi) ด้วยความที่อยู่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด (ไม่มีลิฟท์) จึงทำให้ได้ดาดฟ้าทั้งหมดเป็นระเบียงส่วนตัวเอาไว้เอ็นจอยวิวทะเลด้านหน้าที่แซมด้วยเกาะนมสาวและแก่งน้อยใหญ่แบบพาโนราม่าเต็มตา บอกเลยว่าสวยจับใจสุดๆ แถมด้านหลังยังมีระเบียงให้ออกไปดูวิวเขาได้อีกต่างหาก ภายในห้องมีทั้งชุดรับแขก เตียงคิงไซส์ และห้องน้ำที่กว้างมากๆ ที่ตั้งของที่นี่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมาก อยู่ห่างจากชุมชนพอสมควร ทางเข้าโรงแรมยังเป็นถนนลูกรัง พนักงานแจ้งว่าโรงแรมเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการได้ไม่นาน สภาพโรงแรมกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆจึงอาจจะไม่เต็มร้อยนัก เช่น น้ำไหลค่อนข้างเบา ประตูเลื่อนบางบานอาจตกร่องบ้าง บางจุดอาจจะดูโทรมบ้าง แต่ในภาพรวมก็ถือว่าสะดวกสบายมากพอ และมีอาหารบริการทำให้ไม่ต้องออกไปหาร้านกินข้างนอก อ่อ! ขออนุญาตเตือนนิดนึงว่าด้วยความที่โรงแรมอยู่ใกล้ภูเขาหินปูนซึ่งถูกกัดเซาะจนมีหลุมมีแอ่งให้น้ำขัง จึงทำให้ที่นี่ยุงเยอะมาก อย่าลืมพกสเปรย์กันยุงกันมาด้วยนะครับ โชคดีที่เราเข้าพักโรงแรมหลังจากช่วงหยุดยาว บรรยากาศจึงสงบมาก มีเพียงนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่กี่คนในโรงแรมเท่านั้น หาดด้านหน้าโรมแรมก็เงียบสงบมากเช่นกัน แต่ด้วยสภาพหาดกึ่งทรายกึ่งโคลน จึงเหมาะแก่การเดินเล่นมากกว่าลงไปนอนอาบแดดหรือเล่นน้ำ (โรงแรมก็มีสระน้ำริมหาดให้บริการ)   ในภาพรวม Hansar Pranburi แห่งนี้เหมาะกับคนที่แสวงหาความสงบเป็นส่วนตัวเพื่อพักผ่อนเติมพลังชีวิตด้วยธรรมชาติที่งดงามราวภาพเขียน หรือเพื่อปล่อยใจทบทวนชีวิต หรือเพียงเพื่อนั่งทำงานเงียบๆ แต่หากคุณคาดหวังความหรูหรา และการบริการไร้ที่ติแบบโรงแรม 5 ดาว ที่นี่อาจจะไม่ตอบโจทย์ของคุณ สำหรับชาว #hopsters ที่อ่านมาจนใกล้จบบทความนี้ เราอยากจะแถมโบนัสให้สักนิด หากคุณตัดสินใจจะมาใช้บริการที่นี่แบบเดียวกับเรา เรา strongly recommend ให้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า เพราะแสงสีทองที่ฉาบขอบฟ้านั้นร่ายมนตร์ทำให้วิวที่สวยมากๆอยู่แล้ว ยิ่งมหัศจรรย์ขึ้นไปอีก และภาพนี้จะตราตรึงใจคุณไปอีกนานแสนนาน สรุปความประทับใจกับหรรษา ปราณบุรี วิว 5 ดาว (ว้าวสุดๆถ้ามีมากกว่า 5 ก็ให้เต็มแบบไม่หัก) โลเคชั่น 4.5 ดาว (เป็นส่วนตัวมากๆ หัก 0.5 เพราะทางเข้าลูกรัง) สิ่งอำนวยความสะดวก 3.5 ดาว (อ่านในโพสต์) บริการ 4 ดาว (พนักงานอัธยาศัยดีมาก แต่ขาดความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว) ความสะอาด 4 ดาว อาหาร 4 ดาว (รสชาติดีแต่ตัวเลือกน้อย และอาหารเช้ายังไม่ประทับใจ) ความคุ้มค่า 4 ดาว (สำหรับราคาโปรโมชั่น) . รีวิวโรงแรม Hansar Pranburi หรรษา ปราณบุรี จองห้องพักได้ที่นี่ BOOK NOW . FB/IG/TikTok: @hoparound.co YouTube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #SamRoiYod #LetsHoparoundThailand #LetsHoparound #LetsHoparoundPrachuapkhirikhan #เที่ยวไทย #เที่ยวสามร้อยยอด#ไทยเที่ยวไทย #เที่ยวไทยเท่ #เที่ยวประจวบ #ประจวบคีรีขันธ์ #เที่ยวทะเล #วิธีไปถ้ำพระยานคร #วิธีไปเขาสามร้อยยอด #ถ้ำพระยานคร #UnseenThailand #Prachuapkhirikhan #อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด #อุทยานแห่งชาติ #ภูเขา

  • Ho Chi Minh City ของดีใกล้บ้าน ตะลุยย่านกิน-เที่ยว-ช้อป โฮจิมินห์ เวียดนาม

    HO CHI MINH CITY โฮจิมินห์ ซิตี้ (หรือชื่อเดิมคือไซ่ง่อน) เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่และ Happening ที่สุดของเวียดนาม ตอนนี้กำลังเริ่มฮ็อตในหมู่นักท่องเที่ยวยุคหลังโควิด เพราะนอกจากจะเดินทางสะดวก บินใกล้ๆ ไม่ต้องปรับเวลา และมีค่าครองชีพที่ถูกกว่าไทยแล้ว โฮจิมินห์ยังเต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านเสื้อผ้าดีไซน์สวย ราคาดีที่กำลังสร้างชื่อในหมู่นักช้อปสายแฟฯ ทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆไปกระโดดโลดเที่ยวกัน 3 คืน 4 วัน ไปดูกันว่าโฮจิมินห์ ซิตี้ในปี 2025 นี้เป็นยังไงกันบ้าง ไปดูกันเลยคร้าบบบ Park Hyatt Saigon ทริปนี้เรานอนกันที่ Park Hyatt Saigon หนึ่งในโรงแรมที่หรูที่สุดของเมืองแล้วล่ะ และที่สำคัญคือทำเลดีมากอยู่กลางเมืองเลย เดินไปเที่ยวจุดสำคัญๆได้สะดวกแบบแทบไม่ต้องพึ่งแท็กซี่ เราชอบที่การตกแต่งของที่นี่ยังคงเก็บดีเทลและเสน่ห์ความความ Heritage ในยุคโคโลเนียลเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และหลังจากเดินเที่ยวจนเหงื่อชุ่มมาทั้งวัน เราก็อุ่นใจว่ากลับถึงห้องพักเราจะสบายแน่นอน โดยเฉพาะตอนอาบน้ำด้วย Amenities กลิ่น Bergamote 22 จาก Le Labo ที่หอมฟุ้งสดชื่นเป็นกลิ่นสบู่ Signature ของ Park Hyatt ทั่วโลกเลย จองห้องพัก Park Hyatt Saigon ราคาพิเศษได้ที่นี่ เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง Location: https://maps.app.goo.gl/ncaogANaz2JHK1Yz5 Catinat Building ตึกนี้น่าจะอยู่ในแทบทุกลิสต์ของคนที่มาเที่ยวโฮจิมินห์ซิตี้ แต่อาจจะไม่รู้จักชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ที่นี่เป็นตึกเก่าที่ถูกดัดแปลงมาเป็นศุนย์การค้ารวมแบรนด์แฟชั่นท้องถิ่นใจกลางเมือง ชั้นใต้ดินเป็นชั้นรวมสินค้าแฟชั่นวัยรุ่นแบ่งเป็นล็อกๆอารมณ์คล้ายๆโบนันซ่าที่สยามสแควร์สมัยก่อน ถ้าสมัยนี้ก็ประมาณยูเนี่ยนมอลล์ (แต่ที่นี่แอบมีกลิ่นอับ เพราะความเก่าแหละ 555) ด้านบนตึกก็เป็นแบรนด์โลคอลเช่นเดียวกันแต่ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น แยกเป็นร้านของแต่ละแบรนด์จริงจัง เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/nrro4TQx5LzZaGuK8 Rang Rang Coffee น่าจะอ่านว่า “ราง ราง” แปลว่า “คั่ว คั่ว“ เป็นร้านกาแฟที่กำลังมาแรงด้วยแบรนดิ้งเท่ล้ำสมัย ตอนนี้มีอยู่ 8 สาขาทั่วโฮจิมินห์ซิตี้และกำลังเปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราไปสาขาที่อยู่ติดกับ Park Hyatt เลย ได้ข่าวว่าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน เมนูขายดีของเค้าคือ Rang No.5 ซึ่งเป็นกาแฟใส่ครีมโฟมนม แต่เราเลือกลองกาแฟเวียดนามที่เป็น Fine Robusta ปรุงด้วยนมข้นหวาน เค้ามีความเข้มให้เลือกอยู่ 2 ระดับ คือ Brown Coffee กับ Light Brown Coffee อร่อยดีครับ แต่แก้วเล็กไปนิด ดูดแป๊บเดียวหมดเลย 55555 เวลาเปิดปิด: 7:00–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/hnWByrR7S2nxym6s8 Cao Minh Saigon ร้านตัดสูทเนี้ยบที่มีความเป็นมามากว่า 70 ปีของ Ho Chi Minh City ตั้งอยู่ติดกับร้านกาแฟ Rang Rang เลย ใครชอบอยากได้สูทสวยๆมาลองแวะชมได้ครับ เวลาเปิดปิด: 9:00–20:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/qxZnJeFdpGYrfHv87 Quan Bui - Original เราถาม Conceirge ของโรงแรมว่าถ้าอยากลองอาหารเวียดนามดั้งเดิมไปร้านไหนดี และร้านนี้ก็คือคำตอบ ข้อดีก็คือเค้ามีเมนูให้เลือกค่อนข้างเยอะเลยครับ ฉะนั้นถ้าใครอยากลองหลายๆเมนูก็สามารถจบที่นี่ได้เลยครับ ส่วนเรื่องรสชาตินั้นเราเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอาหารเวียดนาม ก็ขอคอมเม้นต์ตามความรู้สึกก็แล้วกันเนอะ เราว่ารสชาติอาหารของที่นี่อร่อยแบบกลางๆ ไม่จัดและไม่มีอะไรโดดออกมาให้ว้าวเท่าไหร่ แต่ชอบที่เค้าเน้นผักและวัตถุดิบท้องถิ่นที่สดและคุณภาพดีครับ เวลาเปิดปิด: 7:00–23:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/aQo6pyq7c4KJiKqD9 Gom Sai Gon อยู่ชั้นบนของตึก Catinat ที่นี่เป็นเวิร์คช้อปสอนปั้นจานชามเซรามิค ที่มีโซนคาเฟ่ไว้ให้คนนอกเข้ามาดื่มมัทฉะและกาแฟกันได้ แถมยังมีจานชามสวยๆให้เลือกซื้อกลับบ้านได้ด้วย ดูแล้วน่าจะกำลังเป็นที่นิยมเพราะมีคนเข้ามาทำเวิร์คช้อป และสั่งเครื่องดื่มไม่ขาดสายเลยครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/GhYKLM46EhpWvy1t5 L'usine อีกร้านคาเฟ่และ Select Shop ที่เราแอบเห็นว่ามีสาขาในห้างด้วย สาขานี้อยู่ตรงหัวมุมสี่แยก ก็เลยเห็นโดดเด่นแต่ไกลชวนให้เข้ามาสำรวจมากๆ เข้ามาด้านในบรรยากาศดูอบอุ่น และยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ความโคโลเนียลผสานกับยุคสมัยใหม่ได้ลงตัวดีครับ เวลาเปิดปิด: 7:30–21:30 น. Location: https://maps.app.goo.gl/GiS5M95hiKoHi3ya8 AMAI DONG KHOI อีกร้านเซรามิคสีสวยที่เราบังเอิญเดินผ่านมาเจอ เกือบเสียเงินแล้วครับ ยังดีที่สติทำงานก่อน เพราะเซรามิคที่ซื้อจากทริปก่อนๆยังนอนนิ่งอยู่ในห่อกระดาษที่บ้านอยู่เลย ฮ่าๆ เวลาเปิดปิด: 9:00–20:30 น. Location: https://maps.app.goo.gl/mommgFz63mGjbRDo6 Katinat ร้านคาเฟ่ที่มีทั้งชาและกาแฟ แต่ดูเหมือนจะเน้นชามากกว่า มีอยู่หลายสาขาในโฮจิมินห์ซิตี้ มีเมนูที่น่าสนใจหลายตัว เช่นชานมเงาะ ชาอู่หลงผสมสับปะรดและมะขาม กาแฟผสมชีสและน้ำผึ้ง หรือจะเป็นอะโวคาโดปั่นกับมะพร้าวอ่อนก็น่าลองไม่เหมือนใคร เกร็ดเล็กๆ Katinat น่าจะมาจากชื่อถนน Catinat ชื่อเก่าของถนน Dong Khoi ซึ่งเป็นหนึ่งในถนนสายหลักของ Ho Chi Minh City โดยที่ถนนเส้นนี้ตั้งชื่อตามเรือรบฝรั่งเศส Catinat ที่เข้าจู่โจมมาเอาเวียดนามไปเป็นเมืองขึ้น (เศร้าจัง) โดยเรือลำนี้ก็ตั้งชื่อตามจอมพล Nicholas Catinat ผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 17-18 อีกที โอ้ย! จะตั้งชื่อหลายทอดไปไหนเนี่ย เวลาเปิดปิด: 6:30–23:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/iVbi2srHBdW7129SA Pizza 4P’s ร้านพิซซ่าที่ไม่ว่าจะถามใครต่างก็แนะนำให้มาลอง จุดเด่นของเค้าอยู่ที่ความสดของวัตถุดิบตามคอนเส็ปต์ Farm-To-Table ทางแบรนด์มีโรงงานผลิตชีสเป็นของตัวเองที่ Don Duong หมู่บ้านเล็กๆบนเขานอกเมือง Dalat ดาวเด่นของบรรดาชีสที่เค้าทำเองก็คือ Burrata ซึ่งต้องเสิร์ฟภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่ทำเสร็จ ดังนั้นชีส Burrata ประมาณ 2,000 ลูกจึงต้องผลิตและส่งไปที่สาขาต่างๆให้ทันเวลาในทุกๆวัน และก็ทำให้รสชาติแตกต่างจริงๆ ต้องยอมรับว่ามื้อนี้ที่ Pizza 4P’s นั้นเป็นหนึ่งในมื้อที่เราประทับใจที่สุดในทริปนี้เลย เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ Pizza 4P’s นั้นเป็นการเล่นกับคำว่า Pizza For Peace เพื่อส่งมอบความอร่อยและเสริมสร้างสันติภาพในโลก ก่อตั้งโดยชาวญี่ปุ่น 2 คน คือ คุณ Masuko Yosuke และ Sanae Takasugi เวลาเปิดปิด: 10:00–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/T6x18MR6hzcAnkCC8 Annam Gourmet ร้านขายของฟีลกรูเมต์มาเก็ต ร้านนี้มีทั้งของเวียดนามเองและของนำเข้านะครับ คัดสรรมาให้เลือกช้อปแบบจุใจมาก ที่นี่รับบัตรเครดิตนะ เวลาเปิดปิด: 7:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/nE5cZ3LoZcgsp8by9 Ho Chi Minh City Museum of Fine Arts มิวเซียมดีๆ มาเดินเล่นชิลๆได้ครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–17:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/aYwyq9ds7BCEWBSf6 Compound Garment ร้านเสื้อผ้าแบรนด์โลคัลเวียดนาม มีทั้งเสื้อผ้าผู้ชายและผู้หญิงเลย เวลาเปิดปิด: 10:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/L9g8ykPKy7TiFZ8n9 Lacaph Coffee Experiences Space แบรนด์กาแฟชื่อดังของเวียดนาม ที่นี่มีทั้งเมล็ดคั่วจากทั้งเวียดนามและหลากประเทศ ส่วนใครมีเวลาหน่อยอยากให้ลองเข้าคลาสเวิร์คชอปทำกาแฟเวียดนามที่นี่นะครับ เราชอบมาก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็เสร็จละ เวลาเปิดปิด: 9:30–17:30 น. Location: https://maps.app.goo.gl/pSrD5B4Bapig52rh7 Waa แบรนด์รองเท้าหนังดีไซน์เก๋ๆ ของเวียดนาม เวลาเปิดปิด: 10:00–21:30  น. Location: https://maps.app.goo.gl/3PnaqzsAVLRv2NSK9 The Beuter แบรนด์เสื้อผ้าเวียดนาม unisex ดีไซน์เท่ๆ ราคาไม่แพง เวลาเปิดปิด: 9:30–21:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/DDfA42UM7mJfSCWA8 Beat Unbeaten Store ร้านเสื้อผ้าน่ารักๆ ที่นี่รับบัตรเครดิตด้วยนะ เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/vJqTx9G2MFuJoE2y6 ️HO CHI MINH BOOK STREET ถนนของคนรักหนังสือใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ที่นี่มีทั้งหนังสือภาษาเวียดนามและภาษาอังกฤษนะครับ เวลาเปิดปิด: 8:00–21:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/KAsZyZvCoZVG2RWn9 Phê La - Hồ Tùng Mậu อีกหนึ่งร้านชาและกาแฟที่เหมาะแก่การนั่งจิบชิลๆ เวลาเปิดปิด: 7:00–23:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/dhbPUiq3LT3H9ZC66 WABE SABE ใครมองหาเสื้อผ้าสไตล์มินิมอลควรแวะร้านนี้นะ เวลาเปิดปิด: 10:00-20:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/i9PhpyPUdnmqcNoq8 Bếp Ốc - Sài Gòn ร้านอาหารทะเลสุดอร่อยที่เราอยากแนะนำให้มากิน เพราะเป็นอาหารทะเลที่สดมาก แถมราคาดีด้วยครับ เวลาเปิดปิด: 11:00-22:00  น. Location: https://maps.app.goo.gl/H4pufFMV28ysT98VA Bach Dang Ice Cream ร้านไอศกรีมท้องถื่นที่อร่อยมากๆๆๆ เราชอบรสเผือกมาก นัวๆ หวานน้อย ก็ไม่น่าแปลกใจที่คนนั่งกินเยอะมาก แถมโลเกชั่นดีสุดๆ อยู่กลางสี่แยกเลย เวลาเปิดปิด: 8:00–23:00 Location: https://maps.app.goo.gl/2GfEmjUi3JYXqajJ6 Cheese Coffee กาแฟชีสที่นี่อร่อยนะ ร้านนี้มีสาขาเยอะ แต่สาขานี้อยู่หน้าโรงแรมเราเลยขอแวะสักหน่อย เปิดทุกวัน 7:00–21:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/ThFJgMp9G18nsBST9 Quán Cơm Tấm Hùng กินอาหารเช้าสไตล์เวียดนามแบบคน Local ที่ Quán Cơm Tấm Hùng เปิดทุกวัน 6:00–12:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/YL2a5GueH2WcEVoL7 35 Nguyễn Văn Tráng แวะช้อปปิ้งที่ตึก 35 Nguyễn Văn Tráng ตึกนี้ไม่แมสมาก แต่มีพวกแบรนด์เสื้อผ้าโลคัล คาเฟ่ ร้านค้า และร้านที่เราช้อปเสื้อผ้าผู้ชายเยอะสุดคือร้าน HIM CONCEPT แนะนำเลยครับ วันและเวลาเปิดปิดขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน Location: https://maps.app.goo.gl/9rM4fXE8FQuG3tVMA MêMan ร้านเสื้อผ้าผู้ชายคัตติ้งเนี้ยบสุดมินิมอล ที่ตั้งอยู่ข้างๆร้านไอศกรีม https://www.instagram.com/meman.saigon/ เปิดทุกวัน 10:00–20:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/3WqTsR4baUMBLLA7A Ka Koncept Flagship Store  ถัดมาจากร้านเสื้อผ้า Me Man ก็จะเป็นร้าน Ka Koncept Flagship Store ซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นานเลย มีขายทั้งน้ำหอมแบรนด์นิชๆ เสื้อผ้า หนังสือ แม็กกาซีน สำหรับใครที่นึกภาพไม่ออกแนะนำให้นึกถึง Dover Street Market ที่ Tokyo London New York ฟีลประมาณนั้นเลย แถมพนักงานทุกคนอัทยาศัยดีมากๆ ภาษาอังกฤษปังสุดๆ เปิดทุกวัน 9:30–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/XF3xhrue97UqkKNq8 Cafe Apartment จะไม่แวะก็ไม่ได้ เพราะที่นี่เค้าเป็นตึกที่รวมเอาคาเฟ่และร้านค้าร้านอาหารเยอะมากๆ ใครเหนื่อยก็ขึ้นลิฟต์ได้นะครับแต่ต้องจ่ายค่าขึ้นน้าา ส่วนใครไหว เดินขึ้นเลยครับ วันและเวลาเปิดปิดขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน Location: https://maps.app.goo.gl/9rM4fXE8FQuG3tVMA Secret Garden Restaurant ภัตตาคารอาหารเวียดนามที่เค้าแนะนำมา แต่สำหรับเรารสชาติกลางๆ แต่เราว่าบรรยากาศดี เพราะอยู่ชั้นดาดฟ้าเลยไม่ร้อนมาก ลมโกรก เปิดทุกวัน 9:30–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/edut3bbc8cVbQMki8 Godmother Bake & Brunch  ก่อนกลับกันเราขอแวะกินขนมเค้กและดื่มน้ำสดชื่นๆกันที่ร้านนี้ ซึ่งเจ้าเป็นคนเกาหลีนะ ใครที่คุ้นๆ ก็เหมือนกันกับร้านที่ไทยนี่แหละ ไม่แน่ใจว่าเค้าซื้อแบรนด์มาเปิดหรือยังไง ลองแวะไปชิมกันดูได้ มีให้บริการทั้งอาหารคาว Brunch รวมไปถึงเค้ก ของหวาน เครื่องดื่มต่างๆ และร้านน่ารักมากกกกกกก เปิดทุกวัน 8:00–22:00 น. Location: https://maps.app.goo.gl/TM5PukkXJCtbEW1U8 #LetsHoparound #Vietnam #HoChiMinhCity

  • The Surin Phuket เดอะสุรินทร์ ภูเก็ต อีกครั้งกับสวรรค์สีครามที่งดงามยิ่งกว่าเดิม

    The Surin Phuket เดอะสุรินทร์ ภูเก็ต อีกครั้งกับสวรรค์สีครามที่งดงามยิ่งกว่าเดิม วันนี้เราดีใจมากครับที่ได้กลับมาพักที่ The Surin รีสอร์ทหรูบนหาดที่สวยที่สุดและเป็นส่วนตัวที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะภูเก็ต ตลอดกว่า 40 ปีที่ผ่านมาดีไซน์รีสอร์ทระดับตำนานแห่งนี้ได้ร่ายมนต์ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้กลับมาเป็นแขกประจำซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดทั้งปี แต่สำหรับคนไทยแล้วกลับมีน้อยคนที่จะรู้จักหรือเคยได้มาสัมผัสเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครของที่นี่ด้วยตัวเอง และในการที่เรากลับมาคราวนี้ The Surin ก็มีโซนใหม่ให้เราได้ไปอัพเดทกันด้วย ปกติแล้ว The Surin จะมีแขกค่อนข้างแน่นหมุนเวียนกันจองเข้ามาเกือบตลอดปี และแทบจะไม่เคยมีข้อเสนอพิเศษสำหรับคนไทยเลย วันนี้  hoparound.co  จึงภูมิใจพรีเซนต์ดีลหายากที่เราได้ทำร่วมกับ The Surin Phuket มากๆครับ แต่เพื่อนๆต้องรีบกันหน่อยนะ จองห้องพักกับดีลพิเศษ BOOK NOW WITH EXCLUSIVE OFFER อย่างที่เกริ่นไว้ว่าครั้งนี้เป็นการกลับมาพักครั้งที่ 2 ของเรา คราวนี้จึงเน้นการอัพเดท และแจ้งดีลพิเศษเป็นหลัก ถ้าใครต้องการอ่านประสบการณ์เข้าพักครั้งแรกของเราก็ คลิกที่นี่ได้ครับ สิ่งแรกที่ทุกคนน่าจะสังเกตเห็นเมื่อมาถึงรีสอร์ทแห่งนี้นั้นน่าจะเป็นทะเลสีฟ้าคราม ณ หาดพันทรี (อ่านว่าพัน-ซี) ที่มีทรายขาวละเอียดนุ่มเท้า ทะเลที่นี่สวยจริงๆครับ ไม่ว่าเราจะมากี่ครั้งเห็นมากี่ทีก็ยังอดรู้สึกว้าวไม่ได้เลย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แดดออก ทะเลจะมีสีฟ้าเป็นพิเศษเลย  และด้วยโลเคชั่นของรีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนหาดที่มีโขดหินปิดทั้ง 2 ฝั่งโดยธรรมชาติ จึงทำให้แขกของ The Surin (และ Amanpuri ที่อยู่ติดกัน) ได้ใช้หาดนี้แบบเป็นส่วนตัวโดยไม่มีใครมารบกวน นี่คือความโดดเด่นมากๆที่ The Surin มีเหนือคู่แข่งเกือบทั้งตลาด อีกหนึ่งเสน่ห์ของ The Surin ก็คือตัวรีสอร์ทเองที่สวยงามมีเอกลักษณ์และได้รับออกแบบทั้งหมดโดยคุณ Edward Tuttle สถาปนิกระดับตำนานของโลกผู้ล่วงลับไปเมื่อปี 2020 ดังนั้นแขกที่เข้าพักจึงได้มากกว่าการพักผ่อนในบรรยากาศที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังได้มาเสพผลงานชั้นครูของปรมาจารย์ด้านการออกแบบอีกด้วย และสุดท้าย รีสอร์ทสวยๆบนหาดงามๆก็คงจะไร้ชีวิตชีวาหากไม่มีผู้คนในทีม The Surin ที่ช่วยกันส่งมอบความประทับใจผ่านการบริการอย่างมืออาชีพและพร้อมใบหน้าแต้มยิ้มทุกๆครั้งที่สบตากับแขก เมื่อความดีงามทั้ง 3 อย่างมาบรรจบกัน The Surin จึงมักกลายเป็นรีสอร์ทโปรดของแทบทุกคนที่เคยได้มาสัมผัส The Cottages ห้องพักส่วนใหญ่ของที่นี่จะมีลักษณะเป็น Cottage ซึ่งแบ่งย่อยเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับขนาด (มีทั้งแบบ 1 และ 2 ห้องนอน) และตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละหลัง แต่ Vibes โดยรวมนั้นให้อารมณ์เดียวกันเกือบทั้งหมดด้วยการตกแต่งที่เน้นงานไม้ทาสีเทาอ่อนตัดกับผนังสีขาวสะอาดตา พูดง่ายๆก็คือห้องพักของ The Surin นั้นมีเสน่ห์น่าพักทุกประเภทเลยครับ แม้กระทั่ง Room Type เริ่มต้นที่อยู่บนเนินเขาและมีทิวมะพร้าวเขียวชอุ่มเป็นวิวก็ให้ความรู้สึกร่มเย็นและเป็นส่วนตัวมากๆ แต่เพื่อให้ตอบโจทย์ของเพื่อนๆมากที่สุด เราแนะนำให้สอบถามโดยตรงกับทางรีสอร์ทว่า Cottage แบบไหนที่จะเหมาะกับเงื่อนไขต่างๆของเรามากที่สุดนะครับ  Beach Suites กลับมาคราวนี้ห้องพักของเราคือ Beach Suite หมายเลข 340 ซึ่งอยู่บนหาดเลย ได้วิวทะเลแบบเต็มตาไม่มีอะไรมากั้นยกเว้นกรอบหน้าต่าง ตอนกลางคืนก็ได้ยินเสียงคลื่นกล่อมนอน และยังมีระเบียงให้ออกไปนั่งเล่นจิบกาแฟชิลๆริมหาดด้วย ห้องของเราขนาดประมาณ 65 ตร.ม. แบ่งสัดส่วนเป็นห้องนอนพร้อมมุมนั่งเล่นชมวิว ถัดเข้าไปอีกหน่อยก็จะเป็น Walk-In Closet แยกเป็น 2 ฝั่งสำหรับผู้เข้าพักแต่ละคน และจากนั้นก็เป็นห้องน้ำพร้อมอ่างอาบน้ำตรงกลาง ประกบด้วยอ่างล้างหน้าแยกกัน 2 ฝั่ง ใครที่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับทะเลก็ต้องเป็น Room Type นี้เลยครับ ในปี 2021 ที่เรามาพัก The Surin เมื่อคราวก่อน ตอนนั้น Pool Villa และ ร้านอาหาร Beach Restaurant นั้นยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง แต่กลับมาในคราวนี้ทุกอย่างเปิดพร้อมให้บริการกันแล้ว เราไปอัพเดทกันดีกว่าครับ  Pool Villa  แม้คุณ Edward Tuttle จะล่วงลับไปก่อนที่ Pool Villa ของ The Surin จะสร้างขึ้น แต่งานออกแบบก็ยังคงอ้างอิงจากสไตล์ของเขามาทั้งหมด เพียงแต่ Pool Villa จะเน้นสีไม้ธรรมชาติ ไม่ทาสีเทาอ่อนแบบ Cottage อื่นๆ และมีเพียง 6 หลังเท่านั้น ขึ้นชื่อว่า Pool Villa แน่นอนว่าต้องมีสระส่วนตัวมาให้ แต่ของที่นี่ยังมีศาลาพักผ่อนส่วนตัวมาให้อีกด้วย ส่วนด้านในนั้นแบ่งสัดส่วนเป็นอย่างดีครับ มี 1 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น ให้อารมณ์เหมือนบ้านที่อบอุ่นและหรูหราไปพร้อมๆกัน อ่างอาบน้ำในห้องน้ำนั้นดูทันสมัยและใหญ่กว่าที่อ่างของห้องแบบเก่าพอสมควรเลยครับ Pool Villa นั้นเหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว และชอบพื้นที่ใช้สอยกว้างๆ (ประมาณ 90 ตร.ม.) Beach Restaurant มาถึงห้องอาหารไทยที่เปิดใหม่อย่าง Beach Restaurant กันบ้าง สำหรับเพื่อนๆที่จองด้วยโค้ด Hop Around ก็จะได้เซ็ตดินเนอร์ 1 มื้อ (Degustation Set) สำหรับ 2 ท่าน ที่ห้องอาหารนี้ด้วยนะครับ Beach Restaurant นั้นตกแต่งสไตล์ไทยโมเดิร์น ตั้งอยู่หน้าหาดมีทั้งโซน Indoor และ Outdoor สามารถรองรับได้ตั้งแต่โต๊ะเล็กๆ 1-2 คน ไปจนถึงกรุ๊ปใหญ่ๆ หรืองานจัดเลี้ยงก็ได้เช่นกัน วันนี้เราสั่งมาชิมหลายเมนูเลย อร่อยทุกจานครับ แต่เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของ The Surin จะเป็นชาวต่างชาติ การปรุงรสจึงมีการปรับให้เหมาะกับแขกส่วนใหญ่ของทางรีสอร์ท แต่ถ้าเราชอบรับประทานรสจัดจ้านแบบคนท้องที่ก็สามารถรีเควสต์กับพนักงานได้เลยนะครับ Breakfast at Lomtalay Restaurant ไหนๆก็พูดถึงอาหารกันแล้ว เรามาดูหน้าตาอาหารเช้าที่รวมอยู่ในข้อเสนอของเรากันด้วยดีกว่านะครับ อาหารเช้าที่นี่เสิร์ฟที่ห้องอาหารลมทะเล โดยมีทั้งแบบบุฟเฟต์และ A la carte ปรุงสดให้เราเลือกสั่งได้เต็มที่เลยครับ อาหารเช้าของ The Surin นั้นมีความหลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ มีทั้งแบบตะวันตกและเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ นม ไข่ ชีส เบเกอรี่ ไปจนถึงแบบสุขภาพที่เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชและโยเกิร์ต เราชอบน้ำผลไม้คั้นสดและสมูธตี้ในไลน์บุฟเฟ่ต์เป็นพิเศษ ส่วนอาหารท้องที่ก็มีทั้งติ่มซำ ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน โรตี ไปจนถึงข้าวราดผัดกะเพรา และข้าวเหนียวหมูทอดแบบ A la carte  Poolside Dining สำหรับมื้ออื่นๆ ที่ Poolside Dining จะมีเสิร์ฟทั้งอาหารไทยและฝรั่งในเมนูที่อร่อยง่ายๆแบบ All Day Dining เช่น ผัดไทย สเต๊ะ เบอร์เกอร์ แซนด์วิช หรือพิซซ่า  จองห้องพักกับดีลพิเศษ BOOK NOW WITH EXCLUSIVE OFFER Sunset Restaurant ส่วนที่ห้องอาหาร Sunset ที่อยู่ติดกันในอาคาร ก็พร้อมเสิร์ฟดินเนอร์แบบเมดิเตอร์เรเนียนเลิศรสให้แขกทุกๆเย็นครับ Beach Bar อีกหนึ่งสิทธิพิเศษสำหรับแขกที่จองด้วยโค้ด Hop Around ก็คือส่วนลด 10% สำหรับเครื่องดื่มผสมแอลกOฮอล ซึ่งสั่งได้จากทุกห้องอาหารของรีสอร์ท แต่ถ้ามาดื่มที่ Beach Bar ก็จะชิลล์เป็นพิเศษครับเพราะอยู่ติดหาด และเขาเสิร์ฟเครื่องดื่มทั้งกลางวันและกลางคืนเลย Spa สปาเราก็มีส่วนลด 10% ให้เช่นกัน สำหรับแขกที่จองด้วยโค้ด Hop Around นะครับ และที่ The Surin นั้นก็มีชื่อเสียงในด้านสปาด้วยเช่นกัน เราประทับใจที่ก่อนนวดพี่ Therapist จะมีการวนขัน Singing Bowl เพื่อทำ Sound Bath ให้เรารู้สึกสงบก่อน และน้ำหนักมือที่ถูกฝึกมาอย่างดีนั้นก็ทำให้เราเคลิ้มจนเผลอหลับไปได้อย่างรวดเร็วเลยครับ Water Activities นอกจากเราจะสามารถลงเล่นน้ำในสระ 6 เหลี่ยมสีดำขนาดใหญ่สุด Iconic ที่เป็นมรดกงานออกแบบของคุณ Edward Tuttle แล้ว ทางรีสอร์ทยังมีอุปกรณ์สำหรับเล่นกิจกรรมทางน้ำไว้คอยให้บริการเราซึ่งส่วนใหญ่ก็จะฟรีด้วยนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศนะครับ ไม่ว่าจะเป็น บอดี้บอร์ด แพดเดิ้ลบอร์ด เรือแคนู วินด์เซิร์ฟ ดำน้ำสนอร์เกิ้ล ไปจนถึงเรืออย่าง Hobie Cat และ Catamaran Sailing แต่ถ้าใครชอบอยู่แค่บนชายหาด ก็มีอุปกรณ์วอลเลย์บอลกับฟุตบอลชายหาดไว้ให้ยืมด้วย Gym เพื่อนๆเคยออกกำลังกายในห้องแอร์หน้าหาดมั้ยครับ เราอยากให้ได้มาลองการออกกำลังที่นี่กันครับ เพราะทั้งชิลล์และได้เหงื่อไปพร้อมๆกัน ที่สำคัญคืออุปกรณ์ทุกอย่างของที่นี่นั้นครบครันทันสมัยได้มาตรฐานโลกไปเลย Boutique ใครอยากหาของที่ระลึกติดไม้ติดมือให้แวะเข้ามาที่ The Boutique ของรีสอร์ทครับ ในนี้จะมีทั้งของที่คัดมาจากแหล่งต่างๆ และสินค้าที่เป็นแบรนด์ของรีสอร์ทเอง น่าสนใจหลายชิ้นเลยล่ะ Library ถ้าเต็มอิ่มกับลมทะเลและแสงแดดแล้วอยากจะหาที่ตากแอร์พักร้อนโดยไม่ต้องกลับห้องพัก เราขอแนะนำห้องสมุดสุดสวยของ The Surin ที่นี่มีหนังสือให้เลือกอ่านและดูรูปได้เพลินๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเชิงศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ แถมยังมีโต๊ะ Pool ให้เล่นได้ด้วยครับ ใครจะหิ้วคอมฯหอบงานมานั่งทำในนี้ก็เย็นสบายแถมดีไซน์สวยมากเหมือนอยู่ห้องสมุดบ้านเศรษฐีเก่าเลยแหละ จองห้องพักกับดีลพิเศษ BOOK NOW WITH EXCLUSIVE OFFER ยอมรับเลยว่า The Surin เป็นรีสอร์ทที่มีเสน่ห์มากๆครับ ถ่ายรูปสวยทุกมุม ดูรูปที่เราถ่ายมาฝากเป็นหลักฐานได้เลย แต่ที่มากกว่าความโฟโตเจนิคก็คือ Vibes ของสถานที่จริงครับ เราได้รับพลังงานบวกทุกครั้งที่กลับมาที่นี่ ทั้งจากธรรมชาติที่สวยงาม งานสถาปัตย์ระดับโลก และการบริการที่อบอุ่นรู้ใจ ที่สำคัญคือลูกค้าคนไทยยังค่อนข้างน้อยมากๆ เราจึงอยากให้เพื่อนๆชาว #Hopsters ได้ไปลองสัมผัสกันดูสักครั้งครับ จองห้องพักกับดีลพิเศษ BOOK NOW WITH EXCLUSIVE OFFER The Surin Phuket Pansea Beach, 118 Moo 3, Choengtalay, Thalang, Phuket 83110 Thailand Tel: +66 (0) 76 316 400 Fax: +66 (0) 76 621 590 E-mail: hotel@thesurinphuket.com Website: www.thesurinphuket.com #TheSurinPhuket #Phuket #LuxuryBeachResort #LetsHoparound #รีวิวโรงแรม #รีวิวรีสอร์ท #เดอะสุรินทร์ภูเก็ต #ภูเก็ต #BestHotelsInPhuket #PlacestoStay #LuxuryResort

  • AMANPURI อมันปุรี The Original Aman

    AMANPURI อมันปุรี The Original Aman ป่ะ! ไป #hop ชมรีสอร์ทหรูระดับ Ultra-Luxury ที่ Amanpuri ภูเก็ตกัน ที่นี่คือรีสอร์ทแห่งแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Aman แบรนด์ที่พัก Exclusive ที่เลอค่าที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก และรีสอร์ทหรูแห่งนี้ยังเป็น Flagship Property ของแบรนด์ที่พิเศษสุดๆอีกด้วย Aman (แปลว่าความสงบในภาษาสันสกฤติ) ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ Hospitality สุดหรูที่มีโอกาสต้อนรับแขก A-list ทั่วโลกอยู่บ่อยๆเท่านั้น แต่ทุกๆ Property ของ Aman นั้นตั้งอยู่ในทำเล Exclusive ที่คัดสรรมาอย่างดีทั่วโลก ทั้งที่อยู่แนบชิดกับธรรมชาติที่งดงามตระการตา หรือเป็นสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติของแต่ละถิ่นที่ ทำให้ Aman เป็นมากกว่าที่พักสวยหรูทั่วๆไป แต่เป็นจุดหมายปลายทางที่หลายคนใฝ่ฝันว่าจะต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิตเพื่อลิ้มรสความสมบูรณ์แบบในทุกๆองค์ประกอบของความเป็นสถานที่แห่งความสุขสงบเหนือระดับ Exclusive Rate for Hoparound.co Fans ! ! ราคาพิเศษเฉพาะ Hoparound.co เท่านั้น!! ตั้งแต่โลเคชั่นที่งดงามทรงคุณค่าและเป็นส่วนตัวขั้นสุด งานสถาปัตยกรรมที่ผสานเสน่ห์วัฒนธรรมของสถานที่นั้นๆ ให้เข้ากับความสะดวกสบายตามวิถีชีวิตสมัยใหม่ได้อย่างมีรสนิยม การบริการอันดีเยี่ยมไร้ที่ติ และที่เหนือชั้นในการฝึกอบรมทีมมากๆก็คือการแสดงออกถึงความจริงใจของพนักงานทุกคนที่เราสัมผัสได้จึงทำให้ไม่รู้สึกเกร็งใดๆเลย รวมไปถึงการสนับสนุนให้แขกได้ตักตวงเอาประสบการณ์ดีๆจากแต่ละโลเคชั่นให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะในรูปแบบของกิจกรรมที่ยูนีคและหลากหลาย หรือการช่วยให้แขกได้ออกไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนจริงๆอย่างไม่เคอะเขิน ทั้งหมดนี้รวมเป็นความ Luxury ที่แท้จริงที่ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของ “มูลค่า” แต่ให้ความสำคัญกับ “คุณค่า” และการส่งมอบพลังอันดีงามจาก Aman ไปสู่แขกเพื่อให้บรรลุถึงความสุขสงบสมกับความหมายของชื่อแบรนด์ และที่น่าดีใจก็คือแบรนด์รีสอร์ทระดับท็อปของโลกอย่าง Aman นี้มีจุดเริ่มต้นที่แหลมเล็กๆที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของต้นมะพร้าวริมทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ตบ้านเรานี่เอง Amanpuri แปลว่า Place of Peace หรือสถานที่แห่งความสงบ และจากประสบการณ์ตรง 3 วัน 2 คืนของเราที่นี่ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะมีอายุถึง 32 ปีแล้ว แต่ทุกตารางนิ้วของที่นี่ก็ได้รับการดูแลอย่างยอดเยี่ยม และยังคงเปี่ยมด้วยเสน่ห์และรสนิยม เรือนที่พักสำหรับแขกจร (Guest Pavilion) ประมาณ 40 หลัง และวิลล่าที่มีเจ้าของซื้อขาดอีกประมาณ 47 หลัง ถูกออกแบบให้เป็นเรือนทรงอยุธยาโดยสถาปนิกชื่อดัง Ed Tuttle แม้จะมีอาคารเดี่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก แต่การจัดวาง landscape และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบนั้นทำให้เรารู้สึกถึงความสงบและเป็นส่วนตัวท่ามกลางแมกไม้ และต้นมะพร้าวจนน่าประทับใจ ระหว่างเดินทางบนรถลิมูซีนของ Aman ที่ไปรับเรามาจากสนามบิน เราพยายามมองหาป้าย Amanpuri ระหว่างทาง แต่ก็ไม่เห็นเลย เราจึงไม่แน่ใจว่าเราใกล้ถึง Amanpuri แล้วหรือยัง แต่จู่ๆรถลิมูซีนของเราก็จอดลงอย่างนุ่มนวล และทันทีที่เราก้าวเท้าลงจากรถ เสียงฆ้องก็ดังกังวาลขึ้นเพื่อต้อนรับการมาถึงของเรา ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นดาราฮอลลีวู้ดทั้งหลายที่เคยเป็นแขกที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Leonardo DiCaprio, Tom Cruise หรือแม้กระทั่ง Beyonce ที่เข้ามาใช้บริการอยู่หลายครั้ง จากนั้นรถรับ-ส่งภายในรีสอร์ทก็มารับช่วงต่อเพื่อพาเราไปเข้าเช็คอินที่ Partial Ocean Pool Pavilions ของเราได้เลย โดยไม่ต้องเช็คอินที่ล็อบบี้เหมือนโรงแรมทั่วไป Partial Ocean Pool Pavilions แบบ 2 ห้องนอน หลังจากที่ Porter ทั้ง 3 คนช่วยยกสัมภาระของเราเข้าที่พักซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนคู่สไตล์อยุธยาที่พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว พนักงานต้อนรับอีกคนก็เข้ามาช่วยเรากรอกเอกสารในการเช็คอิน พร้อมกับแนะนำรายละเอียดต่างๆของ Pavilions ของเรา เริ่มตั้งแต่บริเวณด้านนอกซึ่งมีทั้งสระว่ายน้ำพร้อมเตียงอาบแดดส่วนตัว และศาลานั่งเล่นส่วนตัวอีก 2 หลังสำหรับแขกในเรือนนอนแต่ละเรือน ด้านบนโต๊ะก็มีจดหมายจากทีมงานน่ารักๆ พร้อมช็อกโกแลตสุดอร่อย (เราประทับใจที่นี่มากจนกลับมาซ้ำรอบ 2) ที่พักเราเป็นแบบ 2 ห้องนอน ซึ่งแยกกันอยู่ในเรือน 2 เรือนติดกัน เรือนละ 1 ห้องนอน และมีสะพานเชื่อมไปมาหาสู่กันได้) ส่วนภายในเรือนนอนแต่ละหลังก็เป็นห้องนอนที่ดูกว้างขวาง มีสมาร์ททีวีขนาดใหญ่ซ่อนอยู่หลังบานเลื่อนไม้ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ตู้เซฟ ระบบอิเล็คโทรนิคทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ แอร์ ทีวี นาฬิกาปลุกนั้นสามารถควบคุมด้วย iPad และยังใช้สั่ง Room Service และอ่านนิตยสารได้อีกด้วย หากต้องการความสดชื่นก็มีน้ำตะไคร้เป็น Welcome Drink ให้เราบริการตัวเองได้เลย ส่วนผลไม้ ขนม ชา กาแฟ (แบรนด์ illy) และเครื่องดื่มในตู้เย็นที่วางไว้ก็สามารถหยิบทานได้ตามสบายและมาเติมให้ทุกวันโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม และที่สำคัญสำหรับชาว Hoparound.co รับฟรี! In-room Cocktail Session for Two ทันที!! (เมื่อทำการจองผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์โดยตรงกับทางโรงแรมแล้วแจ้ง โปรโมชั่นโค้ด Hop Around) ที่ขนาดใหญ่กว่าห้องนอนก็คือห้องน้ำซึ่งมาพร้อมกับอ่างอาบน้ำแบบฝังบนพื้นไม้ยกระดับ แยกโซน Shower และโซนชักโครกต่างหากเป็นสัดส่วน มีผ้าขนหนูทั้งเช็ดหน้า เช็ดตัว รองเท้าใส่ในห้อง รองเท้าแตะใส่ไปหาด หมวกแก๊ปกันแดด กระเป๋าชายหาด ไปจนถึงเสื่อโยคะ สำหรับเครื่องประทินผิวนั้นเป็นของแบรนด์ Aman Skincare โดยเฉพาะ และมีให้ครบครันตั้งแต่ครีมอาบน้ำ เกลือขัดผิว สบู่ก้อนล้างมือ และโลชั่นบำรุงผิว โดยที่ของเหลวทุกอย่างจะถูกบรรจุไว้ในขวดเซรามิคเพราะ Aman มุ่งมั่นที่จะจำกัดการใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด สำหรับรอบที่สอง เราเลือกนอนห้องแบบ Ocean Pool Pavilion มีสระว่ายน้ำ วิวทะเล ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี เราสั่ง Room Service จากห้องอาหารไทย Buabok มาภูเก็ตทั้งทีเราจึงสั่งเมนูอาหารใต้มาประเดิมมื้อแรกกันก่อนด้วยหมี่สะปำ แกงเหลือง คั่วกลิ้ง และหมี่หุ้นแกงปูใบชะพลู โดยทาง Aman นำมาเสิร์ฟให้ถึงศาลาริมสระส่วนตัวของเราเลย ยิ่งกว่านั้นเชฟกรรณิการ์ประจำห้องอาหาร Buabok ก็ให้เกียรติมาอธิบายอาหารแต่ละจานด้วยตัวเองทำให้เราประทับใจมาก รสมือของเชฟนั้นเข้มข้นถึงเครื่องแบบกลมกล่อมพอดี และที่สำคัญคือวัตถุดิบนั้นสดและคุณภาพดีจริงๆ นั่งชิลรับประทานมื้อเที่ยงสไตล์ไทยๆที่ Beach Terrace สำหรับรอบที่สองที่เราได้ไปเยือนอมันปุรี เราได้ลองไปชิมอาหารที่ Beach Terrace ติดริมหาดพันทรี บอกเลยว่ารสชาติอร่อยถึงเครื่องไม่แพ้กัน แถมบรรยากาศก็ฟินอีกด้วย หาดพันทรี (Pansea Beach) หาดส่วนตัวของ Aman ที่สงบและงดงาม อิ่มอร่อยกันจนพุงกางแล้วเราจึงไปเดินเล่นริมหาดพันทรี (Pansea Beach) หาดส่วนตัวของ Aman ที่งดงามและลงตัวด้วยองค์ประกอบต่างๆ ทั้งทรายที่ขาวละเอียดเหมาะแก่การนอนอาบแดด น้ำทะเลใสไล่เฉดสีเขียวอมฟ้าแกมน้ำเงิน ต้นมะพร้าวสูงลิ่วยืนตระหง่านเรียงรายอยู่ริมหาด แม้กระทั่งโขดหินธรรมชาติก็ตั้งประดับอยู่อย่างเหมาะเจาะ ทำให้บรรยากาศดูสงบสวยงามจริงๆ นอกจากจะมีพนักงานที่คอยให้บริการอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังมีกิจกรรมทางน้ำแทบจะทุกรูปแบบให้เลือกเล่นได้ด้วยเช่น ตั้งแต่ของเบสิคอย่างคายัค จักรยานน้ำ ซีบ๊อบ เจ็ทสกี ฟลายบอร์ด สกูบา ไปจนถึงคลาสโยคะบนแพดเดิ้ลบอร์ด และคลาสสอนบังคับเรือใบเลยทีเดียว บันไดทางลงหาดก็เป็นอีกมุมที่มีเสน่ห์มากๆของที่นี่ Retail Pavilion ร้านรวมสินค้าที่คัดสรรโดย Aman ออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นผู้เลื่องชื่อ Kengo Kuma สิ่งหนึ่งที่เราตื่นตามากก็คือ Retail Pavilion คอนเส็ปต์ใหม่ของ Aman ซึ่งมีที่ Amanpuri เป็นที่แรกในโลก ร้านรวมสินค้าดีไซน์ระดับแห่งนี้ออกแบบโดย Kengo Kuma สินค้าทุกชิ้นในร้านล้วนเป็นผลงานที่ทีมคัดสรรของ Aman ได้ออกไปหยิบเลือกเอามาจากทั่วโลก และหลายๆชิ้นก็ผลิตขึ้นให้กับ Aman เท่านั้นโดยเป็นการร่วมมือกันของ Aman กับศิลปินทั้งโลคอลและอินเตอร์ มีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ สกินแคร์ งานฝีมือ ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน หลังจากที่สำรวจรีสอร์ตมาทั้งวัน ก็ถึงเวลากลับห้องพัก และก็พบกับของขวัญเซอร์ไพรส์ในคืนแรกวางอยู่บนเตียงเป็นกางเกงเล เช้าวันที่สองเริ่มต้นที่ห้องอาหารไทย Buabok กับขนมจีนน้ำยาปูและเมนูเพื่อสุขภาพมากมาย สำหรับเช้าวันที่สอง หัวใจเราโหยหาอาหารสไตล์ภูเก็ตอีกครั้ง ทางรีสอร์ทจึงเสิร์ฟขนมจีนน้ำยาปูและมีไข่เจียวปูแน่นๆ เป็นเบรคฟัสต์ปักษ์ใต้เพื่อสนองนี้ดของเรา ความจริงแล้วที่ Aman ยังมีห้องอาหารญี่ปุ่น Nama (ยังไม่กลับมาเปิดให้บริการในช่วงที่เราไป) และห้องอาหารอิตาเลียนที่ชื่อว่า Arva ด้วย เราจึงเลือกรับประทานอาหารอิตาเลียนเลิศรสในมื้อเย็นของเมื่อวานไป แต่เนื่องจากบรรยากาศค่อนข้างมืดเราจึงไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากกัน Water sports at AMANPURI เรามาลองเล่น Fliteboard eFoil เซิร์ฟบอร์ดแบบใหม่ที่สามารถเล่นได้ไม่จำเป็นต้องอาศัยคลื่น เพียงแค่เรายืนบนบอร์ดหรือนั่ง แล้วใช้การบิดไหล่เพื่อเลี้ยวเท่านั้น ใต้บอร์ดจะมีใบพัดคอยควบคุมโดยเราต้องถือรีโมทเพื่อบังคับความเร็วของใบพัด ความเร็วสูงสุดประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (เร็วมากๆ) เครื่องเล่นนี้มีเฉพาะที่ Amanpuri เท่านั้น ใครมาที่นี่เราแนะนำให้เล่น eFoil ครับ เพราะสนุกและคุ้มมาก จากนั้นเราก็แวะว่ายน้ำ อาบแดดที่ Main Swimming Pool ของรีสอร์ต จิบชาพร้อมขนมครกที่ริมสระ ตกบ่ายแก่ๆ ช่วงเวลาประมาณ 4-5 โมงเย็นบริเวณริมสระส่วนกลางก็จะมีขนมครก ขนมไทย ผลไม้ น้ำดื่มผลไม้ ชา คอยเสริฟให้พวกเรา หรือใครจะลองทำขนมครกก็ได้นะ พี่ๆ เค้าจะคอยสอน บอกเลยว่าเรากินจนอิ่มมากเพราะมันอร่อยทุกอย่างจริงๆ Amanpuri's Holistic Wellness Centre ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่มีเฉพาะที่ Flagship Property อย่าง Amanpuri เท่านั้น ในฐานะที่ Amanpuri เป็น Flagship Property ของ Aman ที่นี่จึงมีความพิเศษอีกอย่างตรงที่มีศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness Center) ที่มีโปรแกรมดูแลสุขภาพโดยผู้เชี่ยวชาญในแทบจะทุกศาสตร์อย่างครบครัน (และจริงจังด้วย) ตั้งแต่การบำบัดเพื่อความผ่อนคลาย ดูแลน้ำหนักตัว ปรับเปลี่ยนรูปร่าง ล้างพิษ เจริญสติ เรกิ ชี่กง คลายเครียด ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ฯลฯ โดยแต่ละโปรแกรมจะเป็นการดูแลแบบครบทุกแง่มุมตั้งแต่เรื่องโภชนาการ การออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อ การบำบัดด้วยศาสตร์แห่งสปาและพลังธรรมชาติ โดยจะ customize มาเพื่อให้บรรลุโจทย์ของเราจริงๆ น่าเสียดายที่เวลาของเรามีน้อยเกินกว่าจะเข้าร่วมโปรแกรมใดๆ เราจึงได้แค่เพียงลิ้มลองอาหาร Raw Food ของทางรีสอร์ต อาหาร Raw มื้อนี้เราย้ายมาทานกันที่ Villa ส่วนตัวที่ชาวเยอรมันคนหนึ่งซื้อเอาไว้และให้ทางรีสอร์ทบริหารจัดการ หลังจากทานเสร็จ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลวิลล่าแห่งนี้ก็พาเราเดินทัวร์รอบๆ ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าดีงามมากๆ โดยเฉพาะวิวทะเลของวิลล่าหลังนี้นั้นเกินบรรยายจริงๆ สำหรับคนที่สนใจเช่าวิลล่าส่วนตัวแบบนี้สามารถติดต่อผ่านเวปไซต์ของ Aman ได้เลย โดยวิลล่าหลังใหญ่ที่สุดนั้นมีห้องนอนถึง 9 ห้อง มากันเป็นกรุ๊ปใหญ่ได้สบายๆ ปิดท้ายวันด้วยมื้อค่ำกับอาหารไทยที่ห้องอาหาร Buabok (อีกครั้ง!) คงไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้ว่าเราอินกับอาหารไทยมากขนาดไหน และมานั่งชิลจิบเครื่องดื่มกันต่อที่ Beach Bar "The Lounge" ของขวัญคืนที่สองเป็นที่คั่นหนังสือไม้ฉลุลาย อาหารเช้ามื้อสุดท้ายที่ Pavilions ตื่นเช้ามาวันสุดท้าย เราเลือกที่จะทานอาหารเช้ากันที่ห้อง โดยผสมกันทั้งแบบไทยและฝรั่ง มีข้าวกล้องต้ม เซ็ทขนมปังหลากชนิด ธัญพืช ไส้กรอก แซลม่อนรมควัน น้ำผลไม้ และอีกมากมายยยยย ฟินกันก่อนกลับเลย (ปล. ข้าวกล้องต้มอร่อยมากกกก) สรุปความประทับใจกับ AMANPURI เรารู้สึกประทับใจพนักงานและการบริการตลอดทั้ง 3 วัน 2 คืน เราใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ที่ Amanpuri ทำให้เราได้เข้าใจว่าเหตุใด Aman จึงได้รับการยกย่องว่ามาหนึ่งในแบรนด์ Hospitality ที่ดีที่สุดในโลก ประสบการณ์ในครั้งนี้ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้ว Aman อื่นๆอีกกว่า 30 แห่งรอบโลกล่ะ จะมีสเน่ห์เหมือนหรือต่างจากที่นี่ยังไงบ้าง เพียงแค่ลอง Search หาดูรูปของ Amannoi ที่เวียดนาม, Amanemu ที่ญี่ปุ่น หรือ Amangiri ที่อเมริกา ต่อมอยากเที่ยวก็เต้นแรงแทบหยุดไม่อยู่ แล้วเพื่อนๆล่ะ รู้สึกยังไงกันบ้างครับ โปรโมชั่นพิเศษ AMANPURI CLOSER TO HOME #สุดยอดดีลพิเศษ กับรีสอร์ทหรู 𝗔𝗠𝗔𝗡𝗣𝗨𝗥𝗜 ภูเก็ต จุดเริ่มต้นของ 𝗔𝗠𝗔𝗡 แบรนด์ระดับ 𝗨𝗹𝘁𝗿𝗮-𝗹𝘂𝘅𝘂𝗿𝘆 เริ่มต้นเพียงคืนละ 𝟭𝟳,𝟬𝟬𝟬++ **พิเศษสุดๆ** สำหรับชาว Hoparound.co โปรดแจ้ง Code: HOP AROUND เพื่อรับราคาและสิทธิ์พิเศษ อัตราค่าห้องพักพิเศษเฉพาะ Hoparound.co : ⛱ เริ่มต้นที่ 𝟭𝟳,𝟬𝟬𝟬++ สิทธิพิเศษเฉพาะ Hoparound.co : 𝟭. อาหารเช้า ณ พาวิลเลียน หรือ ห้องอาหารบัวบก สำหรับ 𝟮 ท่าน 𝟮. บริการรถรับส่งสนามบินไป – กลับจากอมันปุรี เมื่อสำรองห้องพาร์เชียลโอเชียล พาวิลเลียน เป็นต้นไป 𝟯. ชุดน้ำชา เครื่องดื่มพิเศษประจำวันและขนมครกยามบ่าย 𝟰. มินิบาร์ (เติมให้วันละ 𝟭 ครั้ง) 𝟱. บริการอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทางน้ำ (สำหรับเครื่องเล่นชนิดที่ไม่มีเครื่องยนต์) 𝟲. โปรดสำรองห้องพักอย่างต่ำ 𝟮 คืนเพื่อรับข้อเสนอดังกล่าว 𝟳. ระยะเวลาในการจองและเข้าพัก: วันนี้ - 𝟯𝟭 มีนาคม 𝟮𝟱𝟲𝟲 𝟴. อัตราค่าห้องพักอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตขึ้นอยู่กับนโยบายของอมัน เรทสุดคุ้มและให้เยอะแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่า “ดีที่สุด” ในรอบ 𝟯𝟰 ปี ตั้งแต่ 𝗔𝗠𝗔𝗡 เริ่มก่อตั้งมาเลย ใครที่หมายปองความสงบหรูหราหาที่เปรียบไม่ได้ในแบบ 𝗔𝗠𝗔𝗡 นี่คือโอกาสทองที่เกิดขึ้นยากกว่าสุริยุปราคาเต็มดวงซะอีก จองเลยไม่ต้องรอ!!! สำรองห้องพัก: โทร 𝟬𝟳𝟲-𝟯𝟮𝟰𝟯𝟯𝟯 อีเมล 𝗮𝗺𝗮𝗻𝗽𝘂𝗿𝗶𝗿𝗲𝘀@𝗮𝗺𝗮𝗻.𝗰𝗼𝗺 𝗟𝗶𝗻𝗲: 𝗵𝘁𝘁𝗽𝘀://𝗹𝗶𝗻.𝗲𝗲/𝗽𝗙𝟲𝟭𝗛𝟱𝗨 FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co #LetsHoparound #AMANPURI #TheOriginalAman #ClosertoHome #อมันปุรี #เราเที่ยวด้วยกัน #LetsHoparoundThailand #Aman #เที่ยวไทย #ไทยเที่ยวไทย #เที่ยวไทยเท่ # เที่ยวภูเก็ต #พักผ่อนที่ภูเก็ต #เที่ยวทะเล #รีวิวรีสอร์ต #รีวิวโรงแรม #รีวิวอมันปุรี #รีสอร์ทหรูสไตล์ไทยในพื้นที่เงียบสงบ #ราคาคนไทย #เรทคนไทย

  • PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 2

    PARIS PART 2 8 neighbourhoods to visit เที่ยว 8 ย่านชิคๆ คูลๆ ในปารีส ใครๆก็รู้ว่า Paris นั้นขึ้นแท่นเป็นเมืองยอดนิยมที่สุดตลอดกาลเมืองหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานจนบางคนอาจรู้สึกว่า Paris กลายเป็นเมืองแมสที่ใครๆก็ไปกัน ไม่เท่เท่าเมืองใหม่ๆ ไม่ชิคเท่าเมืองที่ไปยากๆ แต่เชื่อเราเถอะว่า Paris ได้ตำแหน่งนี้มาอย่างสมศักดิ์ศรีเพราะนางมีดีมากเหลือเกินจริงๆ (อ่อ... คำว่า “ชิค” นี่ก็ภาษาฝรั่งเศสนะ) ทริปนี้เราจะพาคุณไป #hop ดู Paris ผ่าน 2 มุมมองที่ต่างกัน เพราะ 2 คนที่เดินทางไปด้วยกันนี้ คนหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อนและอีกคนเพิ่งจะได้เปิดซิง Paris เป็นครั้งแรกแม้ว่าเราจะใช้เวลาซ่อกแซ่กอยู่ในปารีส 11 วันเต็มๆ เราก็ยังเที่ยวไม่ครบเล้ยยยย ครั้งนี้เราใช้บริการการบินไทยและเราจ่ายเพียงค่าภาษี 6,xxx บาทเท่านั้น แต่ก็สามารถติดแฮชแทค #IflyThai #ThaiAirways ได้แบบไม่น้อยหน้าใคร ต้องขอบคุณพลังทวีในการสะสมไมล์ผ่านบัตรเครดิต THAI Amex Platinum Card ที่ทำให้เราสะสมไมล์ได้เร็วขึ้นผ่านการจับจ่ายซื้อของต่างๆในชีวิตประจำวัน และยิ่งถ้าซื้อตั๋วการบินไทยผ่านบัตรนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เราจะได้ไมล์สะสมหลายเด้ง แถมแบ่งชำระ 0% ได้ 3 เดือนอีกต่างหาก นอกจากหอไอเฟล มาการอง และกระเป๋าแบรนด์เนมที่ใครๆก็นึกถึงเมื่อพูดถึง Paris แล้ว ต้องบอกว่าเมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้คือแหล่งบ่มเพาะการสร้างสรรค์งานศิลปะ แฟชั่น อาหาร ดนตรี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เริ่ดหรูอย่างหน้าตายจนน่าหมั่นไส้ ถ้าเป็นคนชอบเดินดูเมือง ดูคน ดูร้าน ดูงานดีไซน์ไปเรื่อยคุณจะเอ็นจอย Paris มากๆ (โดยเฉพาะย่าน Le Marais ย่านโปรดของเรา) หลายสิ่งด้านลบที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับปารีส ไม่ว่าคนไม่เฟรนด์ลี่ หรือขโมยเยอะ มาคราวนี้เราไม่เจอเลย คนปารีสส่วนใหญ่ nice กับเรามาก (ยกเว้นเจ้าหน้าที่ Tax Refund ที่สนามบินขากลับ) และถ้าเทียบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าคนปารีสยุคนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมาก และไม่พยายามทำหงุดหงิดแก้เขินเหมือนเมื่อก่อน 20 arrondissements ผังเมือง Paris แบ่งง่ายๆเป็น 20 เขต (arrondissements) โดยวนเป็นก้นหอย เริ่มจากฝั่งขวาของแม่น้ำเซน (บริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ Louvre) แล้ววนตามเข็มนาฬิกาออกไปเรื่อยๆจาก 1 จนถึง 20 แต่สำหรับเราแล้ว วิธีที่ทำให้เห็นภาพรวมของ Paris ได้ง่ายกว่านั้นก็คือซีกตะวันตกของ Paris จะเป็นย่านพักอาศัยของคนมีเงินมาก และซีกตะวันออกเป็นย่านของคนมีเงินน้อย ส่วนซีกบนของ Paris (หรือฝั่งขวาของแม่น้ำเซน — La Rive Droite) จะเป็นย่านการค้า และซีกล่าง (หรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน — La Rive Gauche) จะเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียนและนักวิชาการ การเดินทางใน Paris นั้นง่ายมาก เพราะรถไฟใต้ดิน(Métro) เชื่อมต่อกันทั่วถึงทั้งเมือง และเชื่อมกับรถไฟออกไปถึงที่เที่ยวนอกเมืองอย่างพระราชวัง Verseille หรือ Euro Disney ด้วย ถ้าจะอยู่ใน Paris นานเป็นสัปดาห์อย่างเรา ขอแนะนำตั๋ว Navigo ที่มีทั้งตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือนซึ่งคุ้มค่ามากๆ สามารถทำได้ตามจุดบริการของสถานี Métro ใหญ่ๆ แอบกระซิบหน่อยว่าต้องเตรียมรูปถ่ายไปติดบัตรด้วยนะ แต่ถ้าไม่ได้เตรียมไป ตามสถานีก็มักมีตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติเอาไว้อำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว ส่วนที่พัก เราเลือกพัก AirBnB แถวสถานี Grands Boulevards ตั้งอยู่ในเขต 2 ซึ่งสะดวกมากกกก มีสถานี Métro อยู่ปากซอยเลย แม้พื้นที่จะแคบไปหน่อยตามมาตรฐานยุโรป แต่ราคาก็ถือว่าเป็นมิตร แถมโฮสก็ดีด้วย ไปถึงวันแรกเค้าจัดดินเนอร์ให้เลย 1 มื้อ พูดถึงอาหารการกิน ส่วนตัวแล้วปารีสเป็นเมืองที่หาอาหารอร่อยถูกปากค่อนข้างยาก และราคาค่อนข้างสูง แม้อาหารฝรั่งเศสจะมีชื่อก้องโลก แต่อาหารฝรั่งเศสที่อร่อยก็ไม่ได้หาได้จากร้านข้างทางทั่วไป บางร้านต้องจองล่วงหน้านานๆ ฉะนั้นถ้าอยากกินของดีทำการบ้านกันไปก่อนนะ ส่วนถ้าใครติดกาแฟอย่างเรา คนที่นี่กินกาแฟค่อนข้างจืดนะ อาจจะหาถูกปากเหมือนบ้านเรายากนิดนึง แต่เราก็แอบบอกพิกัดไว้ในนี้แล้วล่ะว่ามีร้านไหนบ้างที่ขายกาแฟที่รสพอถูกปากเรา อีกเรื่องคือ ภาษาฝรั่งเศส เป็นอะไรที่ออกเสียงยากสำหรับคนที่ไม่คุ้น หนึ่งในการออกเสียงที่เด่นชัดที่สุดคือการออกเสียงตัว r ซึ่งปกติก็จะเทียบเท่ากับตัว ร.เรือ ในภาษาไทย แต่ภาษาฝรั่งเศสจะออกเสียงตัวอักษรนี้ด้วยการเอาลมผ่านไปที่เพดานอ่อนของช่องปาก ประหนึ่งว่าจะขากถุย 5555 แต่ทำแบบซอฟท์ๆ เสียงที่ออกมาจะเป็นส่วนผสมของ ค.ควาย + ฮ.นกฮูก และเราเขียนออกมาเป็นภาษาไทยค่อนข้างยาก ถึงเขียนได้ก็อ่านยากอยู่ดี เช่น Paris = ปาคฮี หรือ Marais = มาคเฮ่ ดังนั้นเพื่อความสะดวกเราจึงขอเขียนแทนด้วย ร.เรือ ง่ายๆเลยละกันนะ สุดท้ายก่อนจะไป #hop กัน ร้านใน Paris ส่วนใหญ่ปิดวันอาทิตย์นะ ถ้าวางแผนจะมาก็ลองเช็ควันเวลากันให้ดีคร้าบบบ พวกแลนด์มาร์คและจุดช้อปปิ้งหลักๆอย่าง หอไอเฟล ถนน Champs-Élysées และห้างดังๆ เราขอข้ามไปเลยนะ น่าจะหาข้อมูลกันง่ายอยู่แล้ว เราพาไปดูอะไรที่ถูกจริตเรากันดีฝ่าาา . อ่ะถ้าพร้อมแล้วไปกัน Let’s Hop Around Paris... PARIS PART 2 5. Montmartre (มงมาร์ตร์ - เขต 18) Montmartre (มงมาร์ตร์ - เขต 18) ช่วงท้ายศตวรรษที่ 19 เมื่อค่าครองชีพในตัวเมืองชั้นใน Paris ขยับสูงขึ้น บรรดาจิตรกร และศิลปินชั้นครู ไม่ว่าจะเป็น โมเน่ต์ เรอนัวร์ มอนเดรียน ปิกัสโซ่ หรือแม้กระทั่งแวนโก๊ะห์ ต่างก็พากันย้ายสตูดิโอมารังสรร์งานศิลป์กันในย่านเนินเขาทางตอนเหนือของ Paris แห่งนี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นย่านศิลปะและย่านสถานบันเทิง (เช่น Moulin Rouge และ piano bars ต่างๆ) ที่มีคาแร็คเตอร์เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนย่านอื่น Getting there: Metro สถานี Anvers (สาย 2) หรือ สถานี Abbesses หรือสถานี Château Rouge (สาย 12) มีร้านอาหารให้พักขาก่อนเดินขึ้นบันไดไปยังมหาวิหารซาเคร-เกอร์ ทำเลร้านนี้คือสุดจริง ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนเป๊ะ Location: https://goo.gl/maps/BCMde9PySm5yuit59 หัวใจหลักของย่านนี้คือมหาวิหาร Sacré Coeur (ซาเคร-เกอร์) แหม แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น “หัวใจศักสิทธิ์” หลังสีขาวสง่า ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเนินเขามงมาร์ตร์ ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวยอดฮิตอีกจุดที่สามารถมองเห็นเมืองปารีสได้ทั้งเมือง แม้ต้องเดินขึ้นมาเหนื่อยหน่อย แต่วิวคือคุ้มมาก (ถ้าฟ้าเปิด) และคนก็จะเยอะมากเช่นกัน 5555 Location: https://goo.gl/maps/MRWoKBvh58susbj36 หลังจากชมมหาวิหารซาเคร-เกอร์แล้ว เราเลือกที่จะเดินลงอีกทาง เพื่อจะไปสนามบาสเก็ตบอลที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Playground Duperré สนามบาสเก็ตบอลสีสุดจัดจ้าน ทำให้ย่านนี้ดูสดใสขึ้นมาทันตา Location: https://goo.gl/maps/UvJfiGk8ibyNY6vaA Rose Bakery Rose Bakery ร้านโปรดตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว Rose Bakery Rose Bakery A.P.C. Surplus อย่าบอกใครไปล่ะว่า ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังเนินเขามงมาร์ตร์ จะมีร้าน A.P.C. Surplus ซึ่งเป็นเสมือนเอ๊าท์เล็ตเล็กๆไว้คอยระบายของจากคอลเล็คชั่นก่อนๆในราคาพิเศษ ลด 40-60% ให้เราแวะเสียตังค์อีกด้วย ซึ่งร้าน A.P.C. Surplus มีเพียงไม่กี่สาขาบนโลกนะ เช่น นิวยอร์ก ปารีส โตเกียว โอซาก้า บอกเลยว่าคุ้มมว้าก ใครผ่านมาอย่าลืมแวะนะ รับรองได้ของดีๆไปครอบครองอย่างแน่นวลลลล Location: https://goo.gl/maps/EUyMDG8rHNwkutBT7 6. Canal Saint-Martin (กานาล ซางต์-มาร์ตัง - เขต 10) ย่านอินดี้ริมคลองซางต์-มาร์ตัง ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากย่านหลักที่เต็มไปด้วยทัวริสต์ มาที่นี่ได้เลย (แต่ถ้าเป็นช่วง high season ยังไงก็หลบทัวริสต์ไม่พ้นนะ) ที่นี่เป็นย่านสุดฮิปที่หนุ่มสาวชาวปารีเซียง นิยมออกมาปิคนิคและพบปะสังสรรค์ริมสองฝั่งคลอง โดดเด่นไปด้วยกราฟิตี้เท่ๆตามถนน มีบาร์และร้านอาหารเก๋ๆอยู่ในย่านนี้เยอะมาก ถ้ามากลางคืนก็จะได้บรรยากาศที่แตกต่างไป คนก็จะมาดินเนอร์กันทำให้คึกคักไปอีกแบบ Getting there: Metro สถานี Jacques Bonsergent Holybelly 5 ร้านแรกที่เรามากินอาหารเช้าเลยก็คือ Holybelly 5 “Where Good Coffee Meets Good Food” ร้านนี้เป็นที่นิยมมากๆใน Paris ว่ากันว่าร้านเค้าได้รับแรงบันดาลใจจากคาเฟ่ของประเทศออสเตรเลีย บรรยากาศในร้านนี่ดู lively มาก โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานอย่างสนอกสนใจลูกค้าไป ฮัมเพลงไป และเพลงที่นี่ก็เลือกมาดีจริงๆ มีพี่พนักงานคนไทยด้วย ใจดีมากเลย แนะนำทุกอย่าง แอบเม้าท์ว่าเจ้าของร้านใจดีมาก ชอบทำเซอร์ไพร้ซ์พนักงาน ช่วงคริสต์มาสก็แอบเอาเสื้อยืดที่สั่งผลิตพิเศษไปซ่อนไว้ใต้ต้นคริสต์มาสให้พนักงานทุกคน ที่สำคัญรสชาติอร่อยใช้ได้เลย ใครมาสายต้องต่อคิวยาวเลยแหละ ร้านนี้เปิดทุกวันตั้งแต่ 9:00–17:00 Location: https://goo.gl/maps/XNhcuu7m2KhvkFaz5 Holybelly 5 Holybelly 5 Bob's Juice Bar Green Factory Green Factory ร้านขายต้นไม้น่ารักมาก Green Factory Liberté Liberté ร้านขนมปังสไตล์ฝรั่งเศส Liberté Liberté Drapeau Noir Drapeau Noir ร้านเสื้อผ้าผู้ชาย ดีไซน์ดี ราคาค่อนไปทางสูง เราเกือบเสียเงินไปแล้วววว Location: https://goo.gl/maps/zbE52jffau1b4Vos7 Drapeau Noir เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอคลอง St. Martin ที่เป็นโลเคชั่นถ่ายหนังหลายเรื่องเลย บรรยากาศแถวนี้ชิลมากกก แถมสองข้างทางก็มีร้านดีๆ เต็มไปหมดเลย ชอบ Paris ตรงที่ ตรงไหนก็สามารถสร้างงานอาร์ตได้ ดูจากการเพ้นกำแพงลายต่างๆ ลายกราฟิตี้ยุ่งๆ ยังดูสวยเลยอะ 7. Palais Royal - Bourse (ปาเลส์รัวยาล - บูร์ส — เขต 1และ2 ) คนส่วนใหญ่แวะลงสถานี Palais Royal - Musée du Louvre เพื่อเดินลงต่อไปทางทิศใต้ไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ แต่คราวนี้เราขอละแลนด์มาร์คปีรามิดชื่อดังไว้ก่อน จึงพา #hop ไปทางทิศเหนือ ไปทางสถานี Bourse Palais Royal เดิมที่เป็นที่พำนักของ Cardinal Richelieu ผู้ทรงอำนาจทั้งทางศาสนาและการเมืองในช่วง 1585-1642 ปัจจุบันแปลงสภาพกลายเป็นย่านร้านค้า และร้านอาหารมีระดับ หลายร้าน โดยเฉพาะร้าน Le Grand Véfour ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็น “grand restaurant” ร้านแรกในปารีส พร้อม 3 ดาวมิชลินการันตีความพรีเมี่ยม แม้แต่นโปเลียนก็ยังเคยเป็นแขกของที่นี่ Getting there: Metro สถานี Palais Royal Musée du Louvre สาย 1, 7 Café Kitsuné Palais Royal เป็นที่หลบความวุ่นวายที่แสนเพอร์เฟ็คท์ จากนักท่องเที่ยวที่มักพลุกพล่านอยู่ทั่วไปในเขต 1 ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Café Kitsuné สำหรับแฟนๆของแบรนด์จิ้งจอก และเป็นอีกพิกัดสำหรับผู้โหยหารสชาติกาแฟที่ถูกปากเหมือนอย่างในแถบเอเชีย Location: https://goo.gl/maps/EFXsUvWdUAUjxNU86 Café Kitsuné Palais Royal สวนของ Palais Royal นั้นก็มีความ “iconic” อย่างมาก เพราะ เรียงรายไปด้วยต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นทรงสี่เหลี่ยม ยิ่งถ้ามาในช่วงหน้าร้อน เราก็จะเห็นพุ่มสี่เหลี่ยมสีเขียวเรียงกันเป็นแถวๆ เหมาะแก่การโพสท่าถ่ายรูปอย่างยิ่ง “Les Deux Plateaux” by Daniel Buren 1986 สิ่งที่เป็น “iconic” อีกอย่างก็คืองานประติมากรรมที่มีชื่อว่า “Les Deux Plateaux” โดย Daniel Buren สร้างขึ้นเมื่อปี 1986 เป็นอีกหนึ่งงานคอนทราสต์ที่เอาอาร์ทสมัยใหม่มาตัดกับอาร์ทแบบคลาสสิค ซึ่งเป็นเสน่ห์ของ Paris งานชิ้นนี้มีลักษณะเป็นเสาทาสีขาวสลับดำสูงต่ำไม่เท่ากันกว่า 280 ต้น ใครมาเห็นแล้วก็คงอดถ่ายรูปไม่ได้ แล้วเราจะเหลือเรอะ นอกจากนี้ยังมีช็อปของแบรนด์เริ่ดๆ เช่น Stella McCartney, Rick Owen, Acne Studios ด้วย เราแอบถูกใจกับร้าน Maison de l’Ambre ร้านขายอำพันทั้งในเรื่องดีไซน์และราคาที่ถูกกว่าในเมืองไทย รอบๆนอกของ Palais Royal ยังมีช็อปเก๋ๆ ของทั้ง Maison Margiela และ Maison Kitsuné ด้วยนะ Galerie Vivienne เดินขึ้นทางทิศเหนือมาหน่อยก็จะเจอกับ Passage ที่ดูหรูหราที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ใน Paris และมีอายุเกือบ 200 ปีที่ชื่อว่า Galerie Vivienne อยากถ่ายรูปข้างในมาให้ดูมากๆ แต่ดันเหลือบไปเห็นป้ายห้ามถ่ายรูปเฉพาะด้านในด้วย Galerie Vivienne Gribaudo Paul สิ่งที่เตะตาตั้งแต่แรกเข้ามาก็คงจะเป็นร้านหนังสือโบราณชื่อ Gribaudo Paul ที่คูลหนักมาก เห็นลูกหมูสามตัวนั่นไหมภายในยังมีร้านอาหารชื่อ Le Grand Colbert ซึ่งถูกใช้เป็นฉากในหนังเรื่อง Something’s gotta give อีกด้วย Statue of Louis XIV เดินเลาะมาอีกนิด ก็จะพบกับออฟฟิศของ Celine, Kenzo และ Marc Jacobs ซึ่งก็คงจะบอกถึงความเก๋ของย่านนี้ได้อยู่พอควร แต่ถึงไม่มีแบรนด์เหล่านี้ ลำพังตึกรามบ้านช่องก็ดูน่ายกกล้องขึ้นมาชักภาพรัวๆได้ไม่รู้เบื่อเลยล่ะ ป้อมโฆษณาริมถนนสไตล์ปารีเซียง ป้ายสถานี Métro ที่เขียนด้วย Font สไตล์ Art Nouveau อันเป็นเอกลักษณ์ 8. Sentier-Grands Boulevards (ซองทีเย่-กร็องด์ส์ บูลเลอวาร์ดส์ - เขต 2) Sentier-Grands Boulevards (ซองทีเย่-กร็องด์ส์ บูลเลอวาร์ดส์ - เขต 2) ย่านนี้ไม่ใช่ย่านนักท่องเที่ยว แต่เป็นย่านใกล้ที่พักที่เราเดินผ่านประจำ และรู้สึกว่ามีเสน่ห์ที่ไม่เสแสร้งซุกซ่อนอยู่มากมาย แต่เดิมย่านนี้เป็นแหล่งผลิตภัณฑ์สิ่งทอ แต่ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นแหล่งออฟฟิศธุรกิจ Start-up จนได้รับฉายาใหม่ว่า Silicon Sentier Getting there: Métro สถานี Richelieu - Drouot เสน่ห์ของย่านนี้ก็คือ passage โบราณที่ตกแต่งอย่างงดงาม (passage หมายถึง ช่องทางเดินที่มีร้านค้าอยู่ 2 ข้างทางและมีหลังคาคลุม) เช่น Passage Jouffroy และ Passage des Panoramas L'Appartement Sézane ตามซอกซอยของย่านนี้ ชาว #hopsters จะได้พบกับร้าน concept store เก๋ๆอย่าง L'Appartement Sézane ที่เราปักหมุดตั้งใจจะไปให้ได้ตั้งแต่ยังหาข้อมูลอยู่เมืองไทย เหมาะกับสาวๆ ร้านนี้ก็มีสาขาที่นิวยอร์กด้วยนะ L'Appartement Sézane ร้านที่เราไปแวะกินวันแรกนั้นคือร้านชื่อ Bouillon Chartier แนะนำโดยโฮสต์ของเรา (คงคิดเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว) แต่เราก็ไปนะ เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราก็ไม่เคยได้ลองเหมือนกัน Location: https://goo.gl/maps/EDXn41whoyoUzeKZ6 Nous อีกร้านชื่อ Nous เป็นร้านอาหารสมัยใหม่ที่รูปลักษณ์ของร้านกระตุ้นความอยากให้เราเข้าไปใช้บริการตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเดินผ่าน และได้เข้าไปชิมในที่สุด อาหารที่นี่นั้นแนว Mexican ผสม American (แต่ตั้งอยู่ในฝรั่งเศส งงมะ) ให้อารมณ์เหมือนจะเฮลธ์ตี้แต่ก็เสิร์ฟฟรายส์นะ รวมๆคือให้ 3.8 เต็ม 5 ละกัน Nous Hôtel des Grands Boulevards เรื่องที่พัก (พักแถวนี้สะดวกจริงๆ) เราเจอโรงแรมที่สไตลิชน่าพักมากๆอยู่ 2 โรงแรมที่เราเองก็อยากลอง ถ้าไม่ได้จอง AirBnB มาซะก่อน นั่นก็คือโรงแรม The Hoxton ที่เท่ คูล และเอ็ดจี้มากๆ ลองเข้าไปดูรูปเพิ่มเติมในเวปดูเองแล้วกันนะว่าดีงามขนาดไหน ( https://thehoxton.com/france/paris/hotels ) และอีกที่ก็คือ Hôtel des Grands Boulevards ที่ดีงามไม่แพ้กัน ( https://www.grandsboulevardshotel.com/ ) Crème de Paris ร้าน Crème de Paris นางเคลมตัวเองว่ามีเครปและวาฟเฟิ่ลที่ดีที่สุดในปารีสนะ ICI librairie ร้านหนังสือแถวที่พักเราสองชั้นใหญ่ใช้ได้ด้านในหนังสือครบทุกแนว มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศษ พวกเครื่องเขียนอะไรก้มีครบนะ และยังมีร้านคาเฟ่เล็กตั้งอยู่กลางร้านด้วย ใครอยากจะนั่งชิลทำงานอ่านหนังสือจิบกาแฟที่นี่แนะนำเลยคร้าบ Location: https://goo.gl/maps/2xhZ8P73gotM8mG69 ICI librairie Sentier เดินมาทาง Sentier เรื่อยๆ เราก็จะพบกับร้านค้าน่าสนใจกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณ ใครอยากจะหลบเลี่ยง“ความทัวริสตี้” ขอให้มาย่านนี้ เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ดูมีดีไซน์และมีคุณภาพ ตั้งแต่ร้านแฟชั่น ร้านเครื่องสำอางค์ ร้านขนม ร้านอาหาร ไปจนถึง supermarket แนวเฮลธ์ตี้ คือไม่ใช่ร้านแนวตีหัวนักท่องเที่ยวเข้าบ้านเหมือนในย่านท่องเที่ยว อ่อ.. บริเวณนี้มีร้าน COS และ Yohji Yamamoto ด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีตรอกอาหารในตำนาน อย่าง Rue Montorgueil (รู มงตอร์เกย) ที่ดูมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยนักกินและนักท่องเที่ยว จะเข้าร้านไหนก็ต้องศึกษาดูดีๆนะ เพราะทุกทำเลทองก็จะมีทั้งตัวจริงและตัวปลอมมาฉวยโอกาสกับนักท่องเที่ยวเหมือนกันทุกที่ หนึ่งในร้านที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็น Stohrer ร้านขายขนมที่เก่าแก่ที่สุดใน Paris ก่อตั้งขึ้นในปี 1730 หรือเกือบ 300 ปีมาแล้ว 8 ย่านที่เรายกมาแนะนำนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของความดีงามที่ Paris มีให้ไปเยี่ยมชม เมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้ยังมีของดีอีกเยอะมากๆ เราถ่ายรูปจนหมด memory card ไปหลายแผ่น และยังสามารถเอามาลงได้อีกหลายโพสต์ ดังนั้นติดตามกันต่อนะค้าบบบ . #LetsHoparoundPARIS #LetsHoparound #Travel #Amex #EarnMilesFaster #Paris #ParisCityGuide #เที่ยวปารีส #ปารีส #เมืองปารีส #ช็อปปิ้งในปารีส #คาเฟ่ในปารีส #รีวิวปารีส #เที่ยวปารีสด้วยตัวเอง #ฝรั่งเศส #เที่ยวฝรั่งเศส #ปารีสไปไหนดี #ไปไหนดีในปารีส #ช็อปอะไรที่ปารีส #ร้านดีๆในปารีส PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 1

  • Teshima เที่ยวเกาะเทชิมะ เกาะสวรรค์ของเหล่าคนรักศิลปะ

    เพียง 20 นาทีบนเรือโดยสารจาก Naoshima เกาะศิลปะยอดนิยมที่เรานำเสนอไปในโพสต์ที่แล้ว เราก็จะได้พบกับเกาะศิลปะอีกเกาะที่ดีงามไม่แพ้กัน (แต่นักท่องเที่ยวน้อยกว่ามาก) ในนามว่า Teshima และที่นี่เองที่จะเป็นปลายทาง #hopstination ของเราในวันนี้ Teshima แปลว่าเกาะที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีแหล่งน้ำพุธรรมชาติที่บริสุทธิ์แหล่งใหญ่ผุดขึ้นที่ใจกลางเกาะ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้คาดเดาได้ว่า เกาะนี้มีมนุษย์อาศัยมายาวนานกว่า 25,000 ปีแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันประชากรของเกาะก็ยังคงมีตัวเลขอยู่ประมาณ 1,000 คนเท่านั้น เกาะแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มากเสียจนเคยเป็นหนึ่งในไม่กี่เกาะที่สามารถผลิตข้าว และสินค้าทางการเกษตรอื่นๆได้มากเกินการบริโภคของคนบนเกาะ จนต้องส่งออกไปขายที่อื่น โชคไม่ดีที่ Teshima ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมอื้อฉาวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของญี่ปุ่น เมื่อตรวจพบว่ามีการใช้พื้นที่บนเกาะเป็นที่ทิ้งขยะพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมโดยผิดกฎหมายจำนวนมหาศาลกว่า 600,000 ตันมาตั้งแต่ปี 1975 กว่าขยะพิษต่างๆจะเริ่มทยอยได้รับการจัดการก็ปาเข้าไปปี 2000 แม้จะพยายามเคลียร์ขยะกันอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงทุกวันนี้ 18 ปีให้หลัง ขยะก็ยังไม่หมดซะทีเดียว และยังคงต้องจัดการรีไซเคิลกันต่อไป ความสดใสเข้ามาเยือน Teshima อีกครั้งในเดือนตุลาคมปี 2010 เมื่อ Teshima Art Museum (ที่เรารู้สึกว่า “โคตรรรรรเจ๋ง”) ได้เปิดตัวขึ้น และสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิด art sites อื่นๆเรื่อยมา ค่อยๆสะสมเป็นแรงดึงดูดให้นักเสพศิลปะทั้งจากญี่ปุ่นและทั่วโลกมาเยือน วิธีการเดินทางมายังเกาะเทชิมะ การเดินทางมายังตัวเกาะเทชิมะนั้น มีหลายวิธีมาก แต่ที่เราจะแนะนำคือขึ้น "รถไฟ" แล้วต่อ "เรือ" ถ้าใครที่มาจากโอซาก้า เราขอแนะนำให้เพื่อนๆเริ่มต้นจาก 1.สถานีรถไฟ Shin-Ōsaka Station โดยขึ้นรถไฟขบวน Tokaido-Sanyo Shinkansen ที่มุ่งหน้าไปทาง のぞみHakata 2.จากนั้นมาลงที่สถานีรถไฟ Okayama Station แล้วเปลี่ยนรถไฟไปเป็น JR สาย Seto-Ohashi Line มุ่งหน้าไปทาง 快速Takamatsu 3.จากนั้นให้เปลี่ยนรถไฟที่สถานี Chayamachi Station โดยขึ้นรถไฟ JR สาย Uno Line ซึ่งจะมุ่งหน้าไปทาง 各停Uno 4.แล้วให้ลงสถานีสุดท้ายปลายทางคือ Uno Station แล้วเดินไปขึ้นเรือที่ท่า Uno Port เพื่อไปลงที่เกาะเทชิมะ หรือใครจะลองค้นหาในกูเกิ้ลแมปก็ได้นะ สะดวกสุดๆ ที่เที่ยวนรอบๆเกาะเทชิมะ เราเลือกมาลงที่ท่าเรือ KARATO PORT ฝั่งขวาของเกาะก่อน เพราะมันอยู่ใกล้กับ Teshima Art Museum ซึ่งเป็นตัวไฮไลท์ของเกาะนี้กันก่อนเพราะเช้าๆ คนยังไม่เยอะมาก Teshima Art Museum มิวเซี่ยมแห่งนี้บริหารงานโดย Benesse Foundation ทีมเดียวกันกับที่ดูแลโปรเจ็คบนเกาะ Naoshima แต่ Teshima Art Museum นี้มีบุคลิกที่ต่างไป อาจจะเพราะความอ่อนช้อยของเส้นโค้งตามแนวอาคารที่เกลี้ยงเกลาล้ำยุค บวกกับความเปิดโล่งของ landscape ที่เป็นเนินเขาอันสวยงามก็เป็นได้ เนินเขาแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหญ้าและนาข้าวเขียวขจี (เฉพาะในฤดูร้อน) ที่ลาดลงไปทางทะเล ตลอดทางที่เราปั่นจักรยานไฟฟ้าขึ้นมาที่นี่ เรารู้สึกรื่นรมย์ไปกับทิวทัศน์ที่งดงาม นาข้าวบนเนินแห่งนี้นั้นครั้งหนึ่งเคยถูกทอดทิ้งให้รกร้างไปในยุคที่เกาะเต็มไปด้วยขยะพิษ บัดนี้ก็กลับมาได้รับการดูแลชุบชีวิตอีกครั้ง ตัวอาคารทรงหยดน้ำได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะที่จัดแสดงถาวรอยู่ด้านใน โถงภายในนั้นไม่มีเสาคำ้เลยแม้แต่ต้นเดียว โครงสร้างหลังคามีลักษณะคล้ายเปลือกหุ้มทำจากคอนกรีตที่หนาเพียง 25 ซม.โค้งทอดแบบไร้รอยต่อคลุมพื้นฝั่งหนึ่งถึงอีกฝั่งโดยมีความยาวกว่า 60 เมตร ตาม concept ที่ไม่ต้องการให้มีเส้นตรงในงานออกแบบทั้งหมดแม้แต่เส้นเดียว อีกหนึ่งแนวคิดที่ทำให้อาคารมิวเซี่ยมแห่งนี้แตกต่าง คือความตั้งใจที่จะออกแบบ space ให้มีลักษณะที่ทั้งปิดและเปิดในเวลาเดียวกัน คือแม้จะมีหลังคาเปลือกคลุมพื้นที่ให้เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด แต่ก็มีการเจาะช่องวงรี 2 ช่องขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อเปิดรับอากาศและแสงธรรมชาติด้วย Teshima Art Museum Teshima Art Museum เดินไปซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อนเลย คนละ 1,540 YEN Teshima Art Museum Teshima Art Museum Teshima Art Museum Teshima Art Museum ระหว่างทางที่เดินเข้าไปยังตัวอาคารหลักนั้น เราก็ได้เพลิดเพลินกับต้นไม้ใบหญ้า และวิวทะเลจากมุมสูง แต่ไม่ว่าภายนอกอาคารนี้จะดีงามเพียงใด ก็ดูเหมือนว่าจะเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์เมื่อเราได้ก้าวเท้าเข้าไปภายในเพื่อชื่นชมชิ้นงานศิลปะที่แสนจะเรียบง่าย ทว่าล้ำลึกและทรงพลังของ Rei Naito ศิลปินหญิงวัย 57 ปี The Matrix คือชื่อของ Artwork ชิ้นที่อยู่ภายในมิวเซี่ยมนี้ Rei ตั้งใจจะสื่อถึงการกำเนิดขึ้นของชีวิตและให้ผู้เข้าชมได้เป็นผู้เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของชีวิตมนุษย์ โดยถ่ายทอดเชิงสัญลักษณ์ผ่านการผุดขึ้นของน้ำหยดเล็กๆจากรูขนาดจิ๋วบนพื้น จิ๋วจนแทบสังเกตไม่เห็นด้วยตาเปล่า Teshima Art Museum ด้านในของตัวมิวเซียม ห้ามถ่ายรูปด้วยนะ Teshima Art Museum เจ้าหยดน้ำเหล่านี้เมื่อผุดขึ้นแล้วก็ค่อยๆไหลเป็นทางโดยไม่มีรูปแบบที่แน่นอน บ้างก็ไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มแอ่งน้ำน้อยๆ บ้างก็เป็นแอ่งใหญ่ อยู่บนพื้นปูนเดียวกับที่เราเดิน(หรือนั่ง)ชมอยู่นั่นเอง เปรียบให้เห็นถึงการแปรเปลี่ยนสภาพอยู่เสมอของสรรพสิ่ง... ชีวิตของเราก็เช่นกัน เราเองก็ไม่เคยคิดว่าเพียงการนั่งดูหยดน้ำไหลจะเป็นประสบการณ์ที่งดงามได้ถึงเพียงนี้ อาจจะเพราะอากาศ ต้นไม้ และเสียงแมลงที่ขับกล่อมให้จิตใจเรารู้สึกเบาสบาย หรือเพราะสถาปัตยกรรมระดับ Master Piece ที่ตรึงอารมณ์ของเราให้อยู่ในความสงบสำรวม เอาจริงๆก็คงเป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันนั่นแหละที่เอื้อให้เราสามารถซึมซับความละเมียดแห่งการได้อยู่ที่นั่น ณ เวลานั้นอยู่กับทุกๆปัจจุบันขณะที่ค่อยๆเคลื่อนผ่านไปอย่างเรียบง่าย Teshima Art Museum Teshima Art Museum เมื่อดื่มด่ำกับงานศิลป์จนเต็มอิ่มแล้ว เราก็มาแวะที่ shop/cafe ของมิวเซี่ยม ที่นี่เต็มไปด้วยของดีไซน์เท่ๆ เก๋ๆ เต็มไปหมด สำหรับตัวคาเฟ่นั้นแม้จะเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มเพียงไม่กี่อย่าง แต่เราก็รู้สึกได้ถึงความตั้งใจทำของพนักงานทุกคน (แต่อาหารช้าไปนิดนะ อิอิ) Teshima Art Museum Teshima Art Museum Teshima Art Museum No One Wins - Multibasket นอกจาก Teshima Art Museum แล้ว รอบๆเกาะนั้นยังมี art sites อีกหลายแห่ง ก่อนหน้าที่เราจะมาถึงมิวเซี่ยมนี้ เราก็แอบแวะสนามบาสที่มีแป้น 6 ห่วง หรือชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ “No One Wins - Multibasket” โดย Jasmina Llobet & Luis Fernandez Pons ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เรามองศิลปะในมุมใหม่เป็นมุมที่เข้าถึงง่ายไม่ถือตัว (เราสามารถเอาลูกบาสมาโยนเล่นลงห่วงกันได้จริงๆ) และกระตุ้นให้เราคิดถึงข้อความที่แฝงอยู่ซึ่งก็คือ “No One Wins” หรือ “ไม่มีใครชนะ” Les Archives du Cœur Les Archives du Cœur โดย Christian Boltanski เป็นอีกหนึ่งงาน art (หรือเปล่า?) ที่น่าสนใจทีเดียว เพราะที่นี่เก็บบันทึกเสียงเต้นของหัวใจจากคนทั่วโลก (และเราเองก็สามารถบันทึกเสียงหัวใจของเราที่นี่ได้เช่นกัน) และแน่นอนวิธีการเสพงานชิ้นนี้ก็ใช่ว่าจะให้เราไปนั่งใส่หูฟังฟังเสียงหัวใจชาวบ้านกันเฉยๆเท่านั้น แต่เขาได้สร้างห้องมืดทรงยาวลึกเข้าไปเอาไว้ พร้อมกับหลอดไฟ 1 ดวงห้อยไว้อยู่กลางห้อง ที่จะติดๆดับๆตามจังหวะการเต้นของหัวใจตุ้บๆด้วย พูดตามตรงก็แอบหลอนอยู่เหมือนกันนะ Les Archives du Cœur Les Archives du Cœur Teshima Yakoo House อีกงานที่เราชอบก็คือ Teshima Yakoo House (โดย Tadanori Yakoo) ที่เล่นกับมิติความลึก และกระจกสีแดงที่ลวงตาให้เราเห็นสวนญี่ปุ่นด้านนอกเป็นสีสดผิดจากสวนธรรมชาติที่เราคุ้นเคย ที่จริงแล้วงานของ Yakoo นั้นต้องการจะสื่อถึงชีวิตและความตาย โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับความตาย จึงมีการหยิบเอาความเหนือจริง มิติความลึก และภาพลวงตาต่างๆมาใช้เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดแนวคิดของเขา Teshima Yakoo House Teshima Yakoo House น่าเสียดายที่ art sites หลายแห่งบนเกาะ Teshima นั้นปิดในวันที่เราไป โดยเฉพาะ IL VENTO (แปลว่า “สายลม” ในภาษาอิตาเลียน) โดย Tobias Rehberger ศิลปินชาวเยอรมัน ที่นี่เป็นทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานที่แสดงงานศิลปะในที่เดียวกัน โดดเด่นด้วยลวดลายกราฟฟิคเฟี้ยวฟ้าวลายตา ทั้งบนผนัง พื้น เพดาน รวมถึงบนเฟอร์นิเจอร์ด้วย แต่วันนี้เราก็คงได้แค่ถ่ายรูปเล่นด้านหน้า ฮือๆ.. IL VENTO อันนี้ก็ปิดเช่นกัน Needle Factory (โดย Shinro Ohtake) โรงงานเข็มเก่าที่ถูกทิ้งร้างไปตั้งแต่ช่วงปี 80s ตัวอาคารถูกนำมาดัดแปลง และนำเอาเรือที่ไม่เคยถูกใช้งานเลยมาคว่ำโชว์ เป็นการเล่นกับความทรงจำที่น่าเศร้าของทั้ง 2 สิ่ง นั่นก็คือการหมดประโยชน์ของโรงงาน กับการที่ไม่เคยถูกใช้ให้เป็นประโยชน์เลยของเรือ ...จะหดหู่ไปไหนเนี่ย เราก็ปั่นมาเรื่อยๆ จนถึงอีกฝั่งนึงของเกาะ คือ Ieura Port เพื่อรอขึ้นเรือกลับที่พัก ระแวกนี้แมวเยอะมากกกกกก เป็นสิบยี่สิบตัวเลย อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่แรกแล้วว่า Teshima นั้น แม้จะยังไม่ได้รับความนิยมเหมือนกับ Naoshima แต่ความดีงามในบุคลิกที่แตกต่างออกไปนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย นอกจากงานศิลปะแล้วสิ่งที่เราเอ็นจอยมากๆก็คือการได้ปั่นจักรยานไปในธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามเงียบสงบ ตลอดเวลาที่เราอยู่บนเกาะ Teshima นี้ นอกจากที่ Teshima Art Museum ที่เป็นจุดท่องเที่ยวหลักของเกาะแล้ว เราก็แทบไม่ได้พบเจอผู้คนเลย ยิ่งเมื่อได้รู้ความเป็นมาและปัญหาที่เกาะแห่งนี้ต้องเผชิญแล้ว เราก็ยิ่งอยากจะเอาใจช่วยให้ Teshima กลับมารุ่งโรจน์อย่างที่มันควรจะเป็น เราไม่ได้หมายถึงการมีเศรษฐกิจที่อู้ฟู่ หรือการท่องเที่ยวที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน แบบนั้นก็คงไม่เหมาะกับจริตของเกาะเท่าไรนัก แต่เราหมายถึงการที่ Teshima จะได้รับการมองเห็นถึงคุณค่าความดีงาม และมีคนกลับมาดูแลเกาะแห่งนี้มากขึ้น และมากพอที่จะให้เกาะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ไม่หดหู่เหมือนกับงานที่จัดแสดงอยู่ที่ Needle Factory เราเชื่อว่าศิลปะ ธรรมชาติ และความตั้งใจสร้างสรรค์ของมนุษย์นั้นมีพลังเพียงพอที่จะจุดประกายพลิกฟื้นชีวิตให้กับเกาะแห่งนี้และจะสำเร็จได้ในสักวันที่ไม่นานเกินรอ แล้วเราจะไปเยี่ยมเธอใหม่ #Teshima นะ :-) ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจาก http://setouchi-artfest.jp/en/ , http://benesse-artsite.jp/en/art/ , http://google.com #LetsHoparound #LetsHOParoundJapan #Teshima #Teshimaartmuseum

  • AMANDAYAN ขุมทรัพย์แห่งยูนนาน อลังการเขาหิมะมังกรหยก มรดกโลกลี่เจียง อมันดายัน

    Amandayan ขุมทรัพย์แห่งยูนนาน อลังการเขาหิมะมังกรหยก มรดกโลกลี่เจียง อมันดายัน ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าเมืองโบราณลี่เจียงและวิวภูเขาหิมะที่ตระการตาเบอร์นี้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพฯเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เรารู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆทันทีที่ได้รับคำเชิญจากรีสอร์ทที่ Exclusive ที่สุดในลี่เจียงอย่าง Amandayan ให้ไปสัมผัสกับความงดงามของทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรมชาวเขาเผ่านาชี (Naxi บางทีก็สะกด Nakhi) และเมืองโบราณ “ดายัน” ที่มีอายุกว่า 800 ปีแถมสวยเว่อร์วังอย่างกับฉากในภาพยนตร์ และสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกหลายขั้นก็คือการดูแลอย่างดีเยี่ยมโดยทีมของ Aman ซึ่งไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักครั้ง ถ้าเพื่อนๆอ่านโพสต์นี้แล้ว อยากจะตามรอย เรามีโปรดีๆมาบอกกันเอาไว้ก่อนด้วยนะครับราคาพิเศษสำหรับแฟนๆ ชาว Hoparound.co กับราคาเริ่มต้นดังนี้ Courtyard Suite เริ่มต้น CNY 4,876++, Deluxe Suite เริ่มต้น CNY 5,336++, Amandayan Villa เริ่มต้น CNY 16,560++ ต่อคืนพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย Overview เพื่อนๆชาว #hopsters คงรู้ดีกันอยู่แล้วถึงความ Exclusive และเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Aman ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของวงการรีสอร์ทและโรงแรมหรูทั่วโลก สำหรับที่ Amandayan นี้ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่บนยอดเนินเขาสิงโต (Lion Hill) ที่คั่นระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ ทำให้จากรีสอร์ทเราก็สามารถมองเห็นวิวเมืองเก่าได้แบบพาโนราม่าเลย และหากจะลงมาเดินเล่นไม่ว่าจะในเขตเมืองเก่าหรือเมืองใหม่ก็ใช้เวลาเดินลงมาไม่ถึง 10 นาที จึงสะดวกมากๆและในขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายในรีสอร์ทก็มีความเป็นส่วนตัวขั้นสุดสมกับความหมายของ “Aman” ที่แปลว่าความสงบ ส่วนคำว่า “Dayan” นั้นเป็นชื่อของเมืองเก่าที่อยู่เบื้องล่างรีสอร์ทนั่นเอง ที่จริงลี่เจียงมีเมืองโบราณอยู่ถึง 3 เมืองซึ่งเกิดจากการค่อยๆย้ายถิ่นฐานเพื่อหาแหล่งเพราะปลูกลงมาทางใต้ของชาว Naxi ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในแถบนี้มาแต่โบราณ จากเมือง Baisha (ไป๋ชา) ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดถึง 1,200 ปีทางตอนเหนือ และยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ลงใต้มาสู่เมือง Shuhe (ชู่เหอ) อายุ 1,000 ปี ก่อนจะลงใต้มาอีกสู่แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดจนก่อตั้งเป็นเมือง Dayan (ดายัน) เมื่อ 800 ปีก่อน เมืองเก่าดายันจึงเป็นกลายเป็นเมืองเก่าขนาดใหญ่ (3.8 ตารางกิโลเมตร) และยังมีสภาพดีที่สุด และก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในเมืองลี่เจียงด้วยเช่นกัน เมืองลี่เจียงตั้งอยู่บนความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,400 เมตร (ใกล้เคียงกับยอดดอยอินทนนท์) และล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูงเสียดฟ้าอีกมากมาย แต่ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของลี่เจียงก็คือเขาหิมะมังกรหยก ซึ่งสูงถึง 5,596 เมตรจากระดับน้ำทะเล (สูงกว่า Mont Blanc ในยุโรปซะอีก) นอกจากนี้ลี่เจียงเป็นเมืองปลอดอุตสาหกรรมหนัก จึงไร้มลพิษในอากาศและมีความเย็นตลอดทั้งปี แม้ในหน้าร้อนที่สุดในเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิก็ยังอยู่ที่ประมาณ 25-28 องศาเท่านั้น และด้วยเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง แถมไม่ต้องทำวีซ่าให้ยุ่งยาก จึงทำให้เราสามารถหลบร้อนมาที่ลี่เจียงได้อย่างสะดวกสบาย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมณฑลยูนนานก็คือประชากรส่วนใหญ่ยังคงเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอยู่รวมกันมากถึง 25 ชนเผ่า ซึ่งต่างจากมณฑลอื่นๆของจีนที่ประชากรส่วนใหญ่มักเป็นชาวฮั่น และสำหรับลี่เจียงนั้นก็เป็นดินแดนของชนเผ่า Naxi เป็นหลัก จะมีชนเผ่าอื่นๆแซมบ้างก็เพียงเล็กน้อย ชาว Naxi ถือเป็นชนเผ่าที่มีหัวก้าวหน้า เฉลียวฉลาดรู้จักวางแผน และมีค่านิยมส่งเสริมเรื่องการศึกษามาแต่โบราณ เคยรุ่งเรืองถึงขนาดก่อตั้งเป็นราชวงศ์มู่ (Mu) ขึ้นมาปกครอง มีทั้งภาษาพูดและเขียนเป็นของตัวเอง ทำให้ลี่เจียงเป็นหนึ่งในเมืองการค้าที่สำคัญบนเส้นทาง Tea Horse Road ที่ก่อตั้งขึ้นกว่า 1,000 ปีก่อน เพื่อนำใบชาจากผู่เอ๋อร์แบกขึ้นหลังม้าไปกระจายสู่ภูมิภาคอื่นๆของจีน ทิเบต และบางส่วนของอินเดีย วัฒนธรรมของลี่เจียงจึงมีความรุ่มรวยไม่เหมือนใคร ในปัจจุบันว่ากันว่า 80% ของจำนวนประชากรกว่า 1.25 ล้านคนของลี่เจียงนั้นยังคงกระจายอาศัยกันอยู่บนภูเขามากกว่าอยู่ในเมือง วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านจึงยังคงดำเนินไปอย่างไม่ถูกรบกวนจากเทคโนโลยีภายนอกมากนัก ลี่เจียงแห่งแคว้นยูนนานเป็นเมืองจีนโบราณอายุนับพันปีที่งดงามเปี่ยมเสน่ห์พร้อมสะกดทุกผู้มาเยือน ยิ่งได้ฉากหลังเป็นเขามังกรหยกสูงเสียดฟ้ากว่า 5,500 เมตร มีหิมะปกคลุมยอดตลอดทั้งปี ก็ยิ่งทำให้ทั้งเมืองดูขลังและอลังการสมกับที่ UNESCO รับรองให้เป็นมรดกโลกเลยล่ะครับ สำหรับการเดินทางก็สะดวกเพราะไม่ต้องขอวีซ่า และบินตรงเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นการหลบร้อนไปพึ่งเย็นที่ทั้งง่ายและชวนหลงไหลจนไม่น่าเชื่อว่าลี่เจียงจะอยู่ใกล้บ้านเรามากขนาดนี้ และคงไม่น่าแปลกใจเลยหากที่นี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายยอดฮิตสำหรับคนไทยในอนาคตอันใกล้นี้ครับ The Arrival  Ruili Airlines เป็นสายการบินเดียวที่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯไปลี่เจียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพียง 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงลี่เจียงเลย อีกทางเลือกหนึ่งก็คือเดินทางด้วยสายการบินหลักอื่นๆไปลงที่คุนหมิง แล้วนั่งรถไฟต่อมาที่ลี่เจียงก็ได้เช่นกัน หากเพื่อนๆเลือกจองที่ Amandayan ด้วยโค้ด “Hop Around” ก็สามารถเลือกให้ทางรีสอร์ทมารับที่สนามบินได้เลยก็จะสะดวกมากๆ ในแพ็คเก็จแขกสามารถเลือกรับบริการจาก Amandayan ระหว่างให้มารับหรือมาส่งที่สนามบินได้ขาใดขาหนึ่ง แต่เราแนะนำให้เลือกให้มารับมากกว่าเพราะการเรียกรถแท็กซี่จาก International Terminal ที่ลี่เจียงอาจจะไม่ค่อยสะดวกมากนัก (ถ้าเดินไปที่ Domestic Terminal จะมีแท็กซี่มากกว่า) และแนะนำดาวน์โหลดแอ๊ป WeChat และ AliPay พร้อมผูกบัตรเครดิตเอาไว้ให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ไทย จะได้พร้อมใช้งานเลย ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องอินเตอร์เน็ตเมื่อไปถึง จากสนามบินเราใช้เวลาบนรถ Mercedez-Benz ที่ทาง Amandayan ส่งมารับประมาณ 45 นาทีก็มาถึงรีสอร์ทบนเนินเขา Lion Hill กลางเมืองลี่เจียง เมื่อถึงจุด Drop Off พนักงานของ Amandayan ก็มายืนรอต้อนรับกันพร้อมหน้า นับเป็นความประทับใจแรกตามตำรับ Aman ที่เราคุ้นเคย หลังจากรับผ้าเย็นแล้ว เราก็ถูกเชิญให้ไปนั่งพักจิบ Welcome Drink (ชาเขียวยูนนานผสมน้ำผลไม้) เพื่อรอเช็คอินที่ Lobby  Amandayan เปิดตัวในปี 2015 และออกแบบโดยสถาปนิกระดับตำนานอย่าง Ed Tuttle โดยได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะของชาว Naxi อาคารทั้งหมดนั้นสร้างขึ้นมาใหม่ให้มีกลิ่นอายโบราณเป็นหนึ่งเดียวกับเมืองเก่า มีเพียงอาคารเดียวในเขตรีสอร์ทเท่านั้นที่เป็นศาลเจ้าโบราณสถานอายุกว่า 300 ปีซึ่งเปิดให้คนนอกสามารถเข้าชมได้ และเราจะพาเพื่อนๆไปชมกันหลังจากเช็คอินแล้วนะครับ  เราสัมผัสได้ถึงความนิ่งสงบตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้ามาสู่ Lobby วัสดุในการตกแต่งภายในส่วนใหญ่ทำมาจากไม้ ซึ่งให้ความรู้สึกที่หรูหราและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นโคมไฟทรงกระบอกยาว 9 โคมที่แขวนสูงทะลุขึ้นไปถึงโถงชั้น 2 ของอาคาร รสนิยมอันละเมียดละไมของคุณ Ed Tuttle ที่ทำให้สเปซมีความโดดเด่นอย่างกลมกล่อมนั้นฝังตัวอยู่ในทุกอณูของ Lobby ที่นี่เลยครับ Our Room: Courtyard Suite เช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราพาไปชมห้องพักของเรากันดีกว่าครับ ก่อนอื่นต้องขอเล่าให้เห็นภาพใหญ่กันก่อนว่าบนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ของ Amandayan นี้ มีห้องพักเพียงแค่ 34 ห้อง บวกกับอีก 1 วิลล่าที่เปิดให้จองได้ ดังนั้นเรื่องความเป็นส่วนตัวจึงไม่ต้องห่วงเลย ส่วนของห้องพักก็แบ่งเป็น 2 แบบเท่านั้น คือ Courtyard Suite ที่อยู่ชั้นล่างและ Deluxe Suite ที่อยู่ชั้นสอง ห้องชั้นล่างนั้นได้เปรียบเรื่องความสะดวกเวลาจะเข้าออกห้องพัก ส่วนชั้นสองจะได้เปรียบเรื่องระเบียงที่สามารถเห็นวิวจากมุมที่สูงกว่า แต่หากคืนใดมีงานเลี้ยงเสียงดังในเขตเมืองเก่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป ห้องชั้นบนก็อาจจะมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาง่ายกว่าชั้นล่างเช่นกัน การตกแต่งภายในห้องพักทั้ง 2 ประเภทนี้มีรูปแบบและหน้าตาห้องเหมือนกันหมดทุกประการ อาจจะมี Layout ที่สลับฝั่งซ้าย-ขวากันบ้างในบางห้อง แต่ในภาพรวมแล้วการพาไปดูห้องของเราซึ่งเป็นแบบ Courtyard Suite เพียงห้องเดียวก็เท่ากับว่าเพื่อนๆจะได้เห็นหน้าตาห้องของทั้งรีสอร์ทเลยครับ ห้องของเราหมายเลข 121 มีขนาด 72 ตารางเมตร กว้างขวางสะดวกสบายมาก การจัดแบ่งพื้นใช้สอยก็ทำได้ดีเลิศเลยครับ เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา เราก็จะเจอกับพื้นที่นั่งเล่นที่มีโซฟาขนาดใหญ่สำหรับเอกเขนกก่อนเลย ด้านหลังโซฟาเป็นผนังบุผ้าทอลวดลายศิลปะท้องถิ่นที่นอกจากจะประดับไว้เพื่อความงามแล้ว ยังเป็นบานเลื่อนในตัวที่เอาไว้เปิด-ปิดซ่อนทีวีที่อยู่เบื้องหลังได้ด้วย บนโต๊ะกลางก็มีผลไม้ ของว่าง และข้อมูลต่างๆของรีสอร์ทที่ทางแม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้เรา เมื่อหันไปทางซ้ายก็จะเจอกับเตียง King Size ที่ดูโอ่อ่านุ่มสบาย แต่สิ่งที่ทำให้ห้องดูสวยงามและโดดเด่นอย่างมากก็คือฉากไม้ที่เจาะฉลุลวดลายดอกไม้แบบจีน ช่างไม้ฝีมือเนี้ยบมากครับ ยิ่งเมื่อแสงแดดส่องทะลุเข้ามา แสงเงาที่เกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้ห้องดูงดงามราวกับมีเวทมนตร์เลยทีเดียว ด้านหลังฉากไม้ฉลุนี้เป็นโซนของโต๊ะทำงาน และมินิบาร์ซึ่งเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล เราสามารถรับประทานได้ทั้งหมดเพราะรวมอยู่ในค่าห้องเรียบร้อยแล้ว ตรงจุดนี้นอกจากอุปกรณ์ชง Cocktail ที่เราจะเจอได้ตามโรงแรมหรูทั่วไปแล้ว ที่นี่ยังจัดเตรียมเซ็ตชงชาเอาไว้ให้แขกเป็นพิเศษด้วย ซึ่งช่วยยกระดับบรรยากาศของห้องพักให้มีความพิถีพิถันแบบจีนมากขึ้นไปอีก ถัดจาก Minibar เข้าไปหลังผนังโซนนั่งเล่น ก็จะเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet มีอ่างล้างหน้าแยก 2 เซ็ตสำหรับแขก 2 ท่าน ตรงกลางเป็นอ่างอาบน้ำ และมีห้อง Shower กับห้องส้วมแยกออกไปต่างหากอย่างเป็นสัดส่วนดีมากครับ  สิ่งหนึ่งที่เราขอให้ทางรีสอร์ทจัดหาให้เพิ่มเติมก็คือเครื่องทำความชื้นในอากาศครับ เพราะลี่เจียงอากาศค่อนข้างแห้งจึงทำให้รู้สึกแห้งในจมูกและคอเวลาตื่นนอน นี่แหละครับข้อดีของการมาพักที่ Aman เขาใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างจริงๆ Private Villa ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราพาเพื่อนๆไปดู Private Villa หนึ่งเดียวของ Amandayan ที่เปิดให้จองกันได้ต่อเลยดีกว่าครับ วิลล่าหมายเลข 888 นี้ (เลขมงคลสุดๆ) เป็นวิลล่า 2 ห้องนอนสำหรับแขกที่ต้องการอยู่เป็นกรุ๊ป 4-5 ท่านแบบเป็นส่วนตัว สำหรับกรุ๊ปที่ใหญ่กว่านี้สามารถปรึกษาทาง Reservation ได้นะครับ เพราะจริงๆแล้วทางรีสอร์ทก็สามารถเปิด Private Villa หลังอื่นเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษได้อีก ห้องพักแบบวิลล่านั้นจะมาพร้อมกับ Butler ส่วนตัวที่คอยให้บริการเราตลอด 24 ชม. มีการจัดสรรพื้นที่เป็นห้องนอนให้ Butler นอนพักภายในตัววิลล่าด้วยเลย ซึ่งทาง Aman แบ่งโซนตรงนี้ได้ดีมากครับ ยังคงความเป็นส่วนตัวของแขกอย่างเต็มที่ เนื่องจากถ้าไม่สังเกตเราก็แทบมองไม่เห็นห้องพักของ Butler เลย วิลล่า 888 มีการจัดวางอาคาร 2 ชั้นเป็นรูปตัว L บนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีพื้นที่ว่างเป็นลาน Courtyard ส่วนตัวที่เงียบสงบ เมื่อเปิดประตูเข้ามา ด้านขวามือภายในตัวอาคารก็จะเป็นห้องรับประทานอาหารกับโต๊ะกลมหมุนได้แบบจีน เดินลึกเข้าไปอีกนิดก็จะพบกับห้องครัวส่วนตัวที่มีอุปกรณ์พร้อมสรรพ  อีกฝั่งของอาคารตัว L ก็จะเป็นห้องนั่งเล่น ที่มาพร้อมกับโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเบ้อเริ่มตรงกลางห้อง พร้อมโซฟาที่นั่งได้รอบโต๊ะเลย ถัดออกไปติดผนังก็เป็นทีวี นอกจากนี้ก็ยังมีโต๊ะทำงานเซ็ตใหญ่อีก 2 เซ็ตตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ที่ชั้นล่างนี้จะมีห้องน้ำอยู่ตรงจุดก่อนถึงบันไดขึ้นชั้น 2 และทางเข้าห้องพักของ Butler ก็อยู่ใต้บันไดนี่เอง  ชั้น 2 ของวิลล่าก็จะเป็นห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว ซึ่ง Layout ทุกอย่างก็เหมือนกับห้องพักของเราเลยครับ เพียงแต่ห้องนอนของวิลล่าที่อยู่คนละปีกก็จะมีการสลับฝั่งของการจัดสรรพื้นที่ให้อยู่ทิศตรงข้ามกัน Man Yi Xuan - The Main Chinese Restaurant สำหรับเรื่องอาหารที่ Amandayan จะมีทั้งสิ้น 3 Outlets แต่ห้องอาหารหลักนั้นมีชื่อว่า Man Yi Xuan ซึ่งเสิร์ฟอาหารจีนในมื้อกลางวันและเย็นโดยมีทั้งเมนูจีนทั่วไป และอาหารยูนนานท้องถิ่นที่ทั้งอร่อยและหาทานได้ยากครับ ในวันที่ฟ้าใสเพื่อนๆก็จะสามารถมองเห็นวิวภูเขาหิมะมังกรหยกแบบเต็มตาได้จากห้องอาหาร Man Yi Xuan นี้ได้เลย เรียกได้ว่าอร่อยลิ้นและอิ่มเอมสายตาไปพร้อมๆกัน วิวตรงนี้คือ Iconic View พันล้านที่เป็นจุดขายในภาพโฆษณาของ Amandayan เลยก็ว่าได้ครับ เมนูที่เราอยากจะแนะนำหากเพื่อนๆได้มารับประทานอาหารที่นี่ก็คือ Hot Pot แต่ต้องสั่งจองกันล่วงหน้านิดนึงนะครับ เนื่องจากทางห้องอาหารต้องเตรียมการอย่างน้อย 4 ชั่วโมงเลย Hot Pot ของที่นี่เสิร์ฟในหม้อดินดำที่นำเข้ามาจาก Shangri-la ดูสวยขลังมากครับ ตัวน้ำซุปนั้นกลมกล่อม ส่วนเนื้อสัตว์ก็มีให้เลือกทั้งเนื้อไก่ฟาร์ม ซี่โครงหมูบ่ม 6 เดือน และเนื้อจามรี มื้อนี้เราเลือกลองซี่โครงหมูและเนื้อจามรีจานเล็กๆมาลองครับ เชฟจะนำเนื้อซี่โครงหมูดิบๆมานวดคลึงเคล้าด้วยเครื่องปรุงและเครื่องเทศท้องถิ่น ก่อนจะบ่มเก็บเอาไว้นานถึง 6 เดือนจนเข้าเนื้อ ตอนแรกเราคาดหวังว่าเนื้อหมูคงจะนุ่มเปื่อยแบบละลายไปเลย แต่จริงๆแล้วเท็กซ์เจอร์นั้นนุ่มกำลังดียังมีความสู้ฟันพอให้เราได้เคี้ยวอยู่ครับ แต่มีรสชาติเข้มข้นแทรกซึมอยู่ในเนื้อหมูเลย ส่วนเนื้อจามรีนั้นรสชาติเหมือนเนื้อวัวชั้นดีเลยครับ ไม่เหนียวหรือมีกลิ่นสาบอย่างที่คิด อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของ Hot Pot ก็คือเห็ดและผักซึ่งสดอร่อยมาก โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่เป็นฤดูเก็บเห็ด เพื่อนๆก็จะได้ลิ้มลองเห็ดหลายชนิดเลยครับ ที่มีชื่อที่สุดน่าจะเป็นเห็ดสน หรือ Matsutake ที่ปกติราคาค่อนข้างสูง ถ้ามีโอกาสอย่าลืมสั่งมาลองดูกันนะครับ The Lounge มื้อเช้าของทุกวันนั้นรวมอยู่ในแพ็คเก็จข้อเสนอพิเศษเมื่อจองด้วยโค้ด Hop Around ด้วยนะครับ ซึ่งมื้อเช้าที่ Amandayan จะเสิร์ฟกันที่ The Lounge ซึ่งอยู่ในพื้นที่อีกฝั่งของ Lobby เมนูอาหารเช้าของที่นี่ก็จะมีทั้งแบบตะวันตก แบบจีนทั่วไป และแบบยูนนาน และมีเมนูทิเบตแซมๆมาด้วย เช่น ชาผสมเนยจามรี เพราะจริงๆแล้วถัดจากลี่เจียงไปนิดเดียวก็ทิเบตแล้ว ในแต่ละวันที่เข้าพักเราก็พยายามสั่งเมนูที่แตกต่างกันไปเพื่อให้เพื่อนๆได้เห็นหน้าตาอาหารเช้าหลากหลายแบบที่สุด ส่วนตัวแล้วเราถูกใจกับรสชาติที่เข้มข้นของเมนูเส้นเป็นพิเศษทั้งแบบแห้งและแบบน้ำ อยากให้เพื่อนๆได้ลองดูครับ  ส่วนอาหารเช้าแบบท้องถิ่นนั้นมีธัญพืชเป็นวัตถุดิบค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่วเลนทิล (อันนี้มีเอามาทำเป็นเจลลี่ด้วย แปลกดีครับ) รวมไปถึงมันสีต่างๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าดีต่อสุขภาพมากเลย อีกอันที่แปลกดีก็คือก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้กลีบกุหลาบ อ่อ! ลืมบอกไปว่าที่ลี่เจียงนี่เป็นดินแดนแห่งดอกไม้นานาพันธุ์เลยครับ ดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งสวยมากจริงๆ และคนก็นิยมนำดอกไม้หลายชนิดมาประกอบอาหารเช่นกัน อย่างของฝากชื่อดังที่มีขายทั่วเมืองเก่าก็คือขนมเปี๊ยะไส้กลีบกุหลาบนี่แหละครับ The Boutique ในบริเวณเดียวกันกับ The Lounge จะมีห้องเล็กๆที่หลบอยู่ใกล้โต๊ะรีเซ็พชั่น ซึ่งภายในจะเป็น Boutique ร้านขายของที่ระลึกทั้งที่ทาง Amandayan คัดสรรมาจากช่างฝีมือท้องถิ่น และสินค้าในแบรนด์ Aman เองซึ่งมีตั้งแต่เครื่องหอมไปจนถึงเสื้อผ้าเลยครับ เป็นมุมเล็กๆที่น่าสนใจยังไงก็ลองมาแวะชมกันนะครับ The Library and The Meeting Room พาขึ้นมาชมชั้นสองของอาคาร Lobby กันบ้างครับ ห้องสมุดของทุก Aman นั้นเป็นมุมที่เราชอบเป็นพิเศษ เป็นมุมเงียบๆที่ตกแต่งสวยอบอุ่น ให้อารมณ์บ้านผู้ดีเก่าที่มีความ Sophisticated แบบไม่ต้องพยายาม และที่ Amandayan ก็เช่นกันครับ ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ที่พิเศษกว่า Aman อื่นที่เราเคยไปก็คือที่นี่มีห้องประชุมขนาดค่อนข้างใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทุกอย่างเอาไว้ให้บริการด้วย จากสายตาคิดว่าสามารถรองรับคนได้ประมาณ 30 คนสบายๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไม Amandayan ถึงมีบริษัทเก๋ๆพาพนักงานมาพักแบบ Buy Out กันอยู่เรื่อยๆ  The Theatre อาคาร Lobby ยังมีชั้นใต้ดินให้เราลงไปสำรวจกันอีกนะครับ ข้างล่างนี้มีห้องที่พิเศษมากก็คือ Private Theatre หรือโรงหนังส่วนตัวที่เพื่อนๆสามารถชวนกันมาเลือกดูหนังได้อย่างจุใจ ห้องนี้จะเป็นที่นิยมมากในช่วงเทศกาลแข่งขันกีฬาต่างๆไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิค บอลโลก เทนนิสโอเพ่น ฯลฯ ในบางวันก็จะมีโปรแกรมหนังที่ทางทีม Amandayan เลือกเอามาฉายด้วย และห้องนี้ก็ไม่ได้มาเล่นๆนะครับ ตั้งแต่การออกแบบ วัสดุที่ใช้ตกแต่ง ระบบภาพและเสียง รวมไปถึงคุณภาพของที่นั่งทุกอย่างคือดีเยี่ยมทั้งหมด ตอนที่เปิดเข้ามาเห็นครั้งแรก เราเซอร์ไพร้ซ์กับความจริงจังนี้มากครับ The Spa นอกจากห้องพักที่สวยงามแล้ว อีกสิ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากที่ Aman ก็คือสปาครับ จากประสบการณ์การใช้สปาในแต่ละ Aman ที่เราเคยได้ไปสัมผัสมานั้นดูเหมือนว่าจะมีเวทมนตร์บางอย่างที่มากไปกว่าแค่เพียงความผ่อนคลายสบายตัว แต่จิตใจเราก็รู้สึกสงบนิ่งปลอดภัยราวกับเราได้เข้าไปอยู่ใน Sanctuary บางอย่าง และที่ Amandayan นี้ก็เช่นกัน คุณ Therapist นวดโดยใช้เทคนิคจีนเข้ามาผสม แต่คำว่า “นวด” ก็อาจจะดูน้อยและเบาไปนิดในความรู้สึกของเรา คำว่า “บำบัด” น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะเรารู้สึกได้ถึงความใส่ใจในทุกๆการกด การรีด และการลงน้ำหนักมืออันไหลลื่นซึ่งช่วยให้ความตึงเครียดที่สะสมอยู่ในทั้งร่างกายและจิตใจของเราค่อยๆคลายลงจนเราเผลอหลับไปเลยครับ  The Gym ชั้นล่างของอาคารสปาเป็นที่ตั้งของห้องฟิตเนสและห้องโยคะที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป แต่อุปกรณ์นั้นมีครบครันและทุกชิ้นก็มาตรฐานสูงจากแบรนด์ TechnoGym สายออกกำลังไม่ต้องห่วงเลยครับ ได้ใช้อุปกรณ์ชั้นเยี่ยมอย่างเป็นส่วนตัวแน่นอนครับ The Pool นี่คือหนึ่งในสระน้ำ Outdoor เพียงไม่กี่สระในเขตเมืองเก่าของลี่เจียง (เราคิดว่าน่าจะเป็นสระกลางแจ้งสระเดียวเลยด้วยซ้ำ) ยิ่งไปกว่านั้นสระของ Amandayan ยังมีระบบรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 28 องศาเซลเซียส ดังนั้นแม้ในวันที่อากาศหนาว แขกของรีสอร์ทก็ยังสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายตัว จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะได้ว่ายน้ำในเซ็ตติ้งจีนโบราณแบบนี้ The View Pavilion และนี่ก็น่าจะเป็นศาลาชมวิวจากบนเนินเขาหนึ่งเดียวของเมืองเก่าลี่เจียงเช่นกัน เพื่อนๆจะได้ชมวิวเมืองเก่าในมุมที่สวยที่สุดของลี่เจียงแบบพาโนรามาโดยไม่ต้องไปแย่งชิงกับฝูงชนใดๆ นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ Exclusive สำหรับแขกของ Amandayan เท่านั้นครับ เพราะคนนอกไม่สามารถเข้ามาตรงจุดนี้ได้ The Tea House ยูนนานนั้นเป็นอีกแหล่งปลูกชาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน โดยเฉพาะที่เมืองผู่เอ๋อร์ทางใต้ของลี่เจียง ด้วยความที่ลี่เจียงเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคมาแต่อดีต โดยเป็นจุดผ่านที่สำคัญของ Tea Horse Road จึงทำให้ลี่เจียงเป็นแหล่งซื้อขายใบชาชั้นดีไปโดยปริยาย การจิบน้ำชาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวที่ลี่เจียง และในเมืองเก่าก็มีร้านขายชาเก่าแก่มากมายที่เพื่อนๆสามารถไปลองชิมชาได้ แต่ที่ The Tea House ของ Amandayan ไม่ได้มีดีแค่ชาเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆให้เลือกหลากหลาย และมีบริการทั้งติ่มซำและเซ็ต Afternoon Tea แบบจีนประยุกต์ที่พรีเซ้นต์ได้สวยงามขึ้นกล้องมากๆ และที่ว้าวที่สุดก็คือวิวเมืองเก่าจากมุมสุด Exclusive ที่ยิ่งช่วยเสริมให้รสชาติของชานั้นยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก Wenchang Palace ศาลเจ้าเหวินชางเป็นอีกหนึ่งไอเท่มลับของ Amandayan เลยครับ เมื่อ 300 กว่าปีก่อนสถานที่แห่งนี้เคยถูกใช้เป็นจุดสอบคัดเลือกเข้าเป็นขุนนางข้าราชการของจีน ปัจจุบันผู้คนจึงนิยมมาขอพรเรื่องการเรียนและการงานที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ต้นไม้บางต้นที่อยู่ในบริเวณศาลเจ้าก็เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่ก่อนสร้างศาลเจ้าด้วยซ้ำ และเนื่องจากศาลเจ้านี้อยู่ติดกันกับพื้นที่ของรีสอร์ท ทางการจีนจึงมอบหมายให้ Amandayan เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยทั้งหมด ดังนั้นบริเวณนี้จึงเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเที่ยวชมได้ตั้งแต่ 10:00-17:00 น. ในบางวันนอกจากจะมีคนมาขอพรและชมวิวแล้ว เราอาจจะได้เห็นศิลปินมานั่งสเก็ตช์ภาพสวยๆด้วย ได้อารมณ์ชะมัด The Old Town Dayan นั้นเป็นเมืองที่เก่าที่อยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุดในบรรดา 3 เมืองโบราณของลี่เจียง ตัวเมืองจึงมีขนาดใหญ่ที่สุดและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดด้วยเช่นกัน กลายเป็นภาพจำของผู้คนทั่วไปเมื่อพูดถึงเมืองเก่าลี่เจียงโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยว ดังนั้นชื่อเมือง Dayan จึงถูกแทนที่ด้วย Lijiang Old Town ไปโดยปริยาย เขตเมืองเก่าของลี่เจียงนั้นสวยงามดั่งภาพในนิยายจีนโบราณ และมีพื้นที่ถึง 3.8 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นโซนต่างๆได้ตามทิศเหนือ-ใต้-ออก-ตก ข้อดีของ Amandayan ก็คือมีทางเดินลงมาที่เมืองเก่าได้หลายทางซึ่งแต่ละทางก็จะพาไปโซนที่ต่างกันของเมือง โดยโซนทางเข้าฝั่งทิศเหนือ (North Gate) นั้นนับว่าเป็นทางเข้าหลัก นักท่องเที่ยวก็จะค่อนข้างเยอะกว่าทางเข้าอื่น ตรงกันข้ามกับฝั่ง South Gate ที่นักท่องเที่ยวจะบางตากว่า ใจกลางของเมืองเก่าก็คือ Square Market (จตุรัสกลางเมือง) ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวหนาแน่นเช่นกัน ทางเดินในเมืองเก่านั้นเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมาย วิธีการเดินเที่ยวที่ดีที่สุดคือเดินไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ตัวเองได้หลงทางสำรวจเมืองแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก อาจจะยึดเอา Square Market ที่อยู่กลางเมืองและสายน้ำที่ไหลจากเหนือลงใต้ทะลุเมืองเก่าเป็นหลักในการเดาทิศแบบคร่าวๆ ในแต่ละซอกซอยก็เรียงรายไปด้วยร้านค้าตลอดสองข้างทางทั่วทั้งเมือง แต่ก็มักจะขายสินค้าคล้ายๆกัน สินค้าที่มีชื่อจากลี่เจียงและควรค่าจะซื้อกลับไปเป็นของฝากก็อย่างเช่น ชาผู่เอ๋อร์เกรดต่างๆ เห็ดตากแห้ง ขนมเปี๊ยะไส้กลีบกุหลาบ และเครื่องเงิน (อันนี้ต้องเลือกร้านดีๆนะครับ หรือปรึกษา Conceirge ที่ Aman ก่อนก็ได้ เพราะได้ข่าวมาว่าบางร้านก็ไม่ใช้เงินแท้)  ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เมืองเก่าจะมี Vibes ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ช่วงเช้าเป็นช่วงที่เราชอบมากที่สุด เพราะยังเงียบสงบ ร้านรวงยังเปิดกันไม่ครบ นักท่องเที่ยวยังน้อย เหมาะมากกับการเดินเล่นชมเมืองเพลินๆและเก็บภาพสวยๆ ลี่เจียงในช่วงเช้ามีเสน่ห์มาก เราแนะนำให้เพื่อนๆลองมาเดินเล่นกันดูนะครับ ช่วงกลางวันตัวเมืองเริ่มพลุกพล่านไปด้วยผู้คนทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ เราเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนตั้งใจมาแต่งชุดพื้นเมืองถ่ายรูปกันแบบจริงจังเลย ส่วนในช่วงกลางคืน (โดยเฉพาะบริเวณ Square Market) เมืองเก่าก็จะกลายร่างเป็นผีเสื้อราตรีงานแสงสีเสียงฉ่ำมาก ผับบาร์พร้อมใจกันอวดแสงไฟหลากสี และมีดนตรีทั้งเล่นสด และเปิดแผ่นเรียกลูกค้ากันสนุกสนานเลย Zhongyi Market ถ้าเพื่อนๆอยากจะหลบหลีกนักท่องเที่ยวไปหามุมที่ “Authentic” ในเมืองเก่าลี่เจียง เราขอแนะนำให้ลองมาเดินตลาดจงยี่ตอนเช้า ที่นี่เป็นตลาดสดที่เราแทบไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย แต่จะเป็นคนท้องที่ที่เข้ามาจับจ่ายผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ เราจะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารและวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขารอบๆลี่เจียง ลำพังแค่หัวมันก็มีตั้งหลายชนิดและหลายสีให้เลือกแล้ว Fun Fact ที่เราก็เพิ่งรู้ก็คือถ้าเนื้อของหัวมันเป็นสีอะไร ดอกของต้นมันก็จะเป็นสีนั้นไปด้วย ส่วนใครที่อยากลิ้มลองอาหารท้องถิ่น ใกล้ๆกับตลาดก็มีฟู้ดคอร์ทแบบชาวบ้านไว้บริการด้วยนะครับ Mu’s Mansion ตระกูล Mu (มู่) เป็นตระกูลชาว Naxi ที่ปกครองดินแดนละแวกนี้มากว่า 1,200 ปี ตระกูล Mu มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการวางผังเมือง และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอารยธรรมของชาว Naxi ให้ก้าวหน้าแซงชนเผ่าอื่นๆในละแวกนี้จนถึงขั้นมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง นอกจากนี้ยังมีค่านิยมที่ปลูกฝังให้ลูกหลานรักการอ่านเขียน จึงยิ่งทำให้ชาว Naxi นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าใคร ด้วยการให้ความสำคัญกับการศึกษามายาวนาน เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภายในคฤหาสน์ของตระกูล Mu นี้จึงมีหอสมุดที่เป็นอาคารสูง 3 ชั้นเพียงหลังเดียวในเมืองเก่าลี่เจียง อาคารอื่นๆทั้งหมดในตัวเมืองจะเตี้ยกว่านี้ทั้งสิ้น ในวันที่รุ่งโรจน์ที่สุดของตระกูล Mu อาณาบริเวณของคฤหาสน์แห่งนี้เคยกว้างขวางถึงประมาณ 40 ไร่ และมีความยิ่งใหญ่งดงามจนมีคนเอาไปเปรียบว่าเป็นขนาดย่อส่วนลงมาของพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง ตระกูล Mu นั้นอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ต่อเนื่องกันมาถึง 22 รุ่น แต่หลังจากผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนก่อนจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง Mu’s Mansion บางส่วนจึงถูกทำลายลงไปจนปัจจุบันเหลือพื้นที่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และอาคารส่วนใหญ่ที่เห็นในปัจจุบันก็เป็นการสร้างขึ้นใหม่ตามดีไซน์เก่าในช่วงทศวรรษ 90 แต่ความสวยงามก็ยังคงทำให้เราตื่นตะลึงได้ไม่ยากนัก  Naxi Ancient Music Recital สำหรับใครที่อยากดื่มด่ำกับความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของชาว Naxi ไปอีกระดับ เราขอแนะนำให้มาชมการแสดงดนตรีโบราณแบบสดๆ สามารถให้ทาง Amandayan จองให้ได้เลยครับ แนวดนตรีจะมีความคล้ายงิ้วที่ประณีตขึ้นมาอีกระดับ เป็นเรื่องน่าทึ่งนะครับที่คนโบราณสามารถประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้นมาได้หลากหลายแบบ และทำให้ทุกชิ้นสอดประสานกันขึ้นเป็นเพลงที่ไพเราะและมีเอกลักษณ์ได้แบบนี้ Black Dragon Pool อีกหนึ่งพิกัดสุด Iconic ของลี่เจียงก็คือสระมังกรดำที่ตั้งอยู่ที่เชิงเนินเขาช้าง (Elephant Hill) ซึ่งสระแห่งนี้เป็นทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน สวนสาธารณะที่ร่มรื่นเดินเพลิน สถานอนุรักษณ์น้ำของรัฐ ที่ตั้งพิพิธภัณฑ์และสถาบันวิจัยวัฒนธรรมตงปา (Dongba) ของชาว Naxi และเป็นแหล่งรวมงานสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัยทั้งแบบ Naxi และแบบชาวฮั่น อาคารบางหลังเช่นหอ Wufeng หลังคาซ้อน 3 ชั้นที่ปัจจุบันตั้งอยู่คู่กับสะพานหินอ่อนสีขาวกลางสระ ก็เป็นศิลปะตั้งแต่ราชวงศ์หมิง อายุกว่า 400 ปี ซึ่งถูกย้ายมาจากวัด Fuguo ที่อยู่นอกเมือง Dayan ออกไป  ใดๆก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Black Dragon Pool มีชื่อเสียงที่สุดก็คือวิวที่สวยหยาดเยิ้มชวนฝัน เป็นความลงตัวของการจัดวางสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์กับวิวภูเขาหิมะมังกรหยกที่ตั้งเป็นฉากปังๆอยู่ด้านหลัง สระน้ำที่สะท้อนเงาวิวทั้งหมดในวันฟ้าใสก็ยิ่งเพิ่ม Wow Factor ให้กับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า หากเพื่อนๆมีเวลานอกจากจุดชมวิวชื่อดังแล้ว Black Dragon Pool ก็ยังมีอะไรอีกเยอะแยะให้เดินดูได้เพลินๆหลายชั่วโมงเลยครับ Excursions มณฑลยูนนานของจีนนั้นเป็นมณฑลที่มีเมืองที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่หลักสิบเมตรไปจนถึงหลายพันเมตร ถ้าจะเอาตัวเลขเป๊ะๆก็คือ 76.4 - 6,740 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ดังนั้นจึงเป็นมณฑลที่มีความหลากหลายมาก ข้อดีของการมาเที่ยวลี่เจียงก็คือเราสามารถเทค Day Trip ออกนอกเมืองไปที่อื่นได้อีกหลายจุด โดยเราสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วและราคาไม่แพง (โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถไฟ) เช่น ต้าลี่ และคุนหมิง ซึ่งในทริปนี้เรายังไม่มีโอกาสได้ไปเก็บภาพมาฝากกัน แต่ไม่ต้องห่วงครับ เราไปเยี่ยมชมที่อื่นๆมาอีกหลายที่เลยครับ ลองดูเพื่อเป็นไอเดียตามรอยได้ด้านล่างนี้ครับ Jade Dragon Snow Mountain ที่แรกที่พลาดไม่ได้ก็คือภูเขาหิมะมังกรหยกที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,596 เมตร ซึ่งสูงกว่า Mont Blanc (4,809 เมตร) ภูเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตกเสียอีก นอกจากจะสวยมากๆแล้ว ภูเขาแห่งนี้ยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาว Naxi ให้ความเคารพมาแต่โบราณ ด้วยเหตุนี้จึงว่ากันว่ายังไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเหยียบบนจุดสูงสุดยอดเขาจริงๆเสียที แต่เราสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปที่ความสูง 4,506 เมตร เพื่อชมยอดเขาในระยะใกล้ๆได้ จากจุดนี้ก็จะมีทางให้เดินเท้าขึ้นต่อไปได้อีกแต่ก็ไม่ถึงจุดยอดสุดนะครับ สำหรับการเดินทางจากลี่เจียง เราต้องนั่งรถออกนอกเมืองไปประมาณ 1 ชม. เราสามารถเช่ารถพร้อมคนขับ แล้วให้คนขับช่วยจัดการเรื่องตั๋วกระเช้าลอยฟ้าและตั๋วจุดท่องเที่ยวอื่นๆได้เลย (หาดูได้ตามกลุ่มเที่ยวเมืองจีนต่างๆในเฟสบุ้คนะครับ) หรือจะให้ทาง Amandayan จัดทริปให้ก็จะสะดวกมากกว่า อีกอย่างก็คืออย่าลืมพกกระป๋องออกซิเจนขึ้นมาด้วยนะครับ เพราะอาการข้างบนค่อนข้างบาง ส่วนใครที่เป็นโรคแพ้ความสูงก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้ามาให้ดีด้วยนะครับ Lijiang Impression Show ใกล้ๆกับสถานีกระเช้าลอยฟ้าขาขึ้นด้านล่างเขามังกรหยก ก็จะเป็นโรงละครสำหรับการแสดงอันเลื่องชื่อของเมืองลี่เจียงที่กำกับโดยจาก อี้ โหมว ผู้กำกับชาวจีนผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 ครั้ง และยังเป็นผู้ออกแบบการแสดงในพิธีโอลิมปิกที่ปักกิ่งเมื่อปี 2008 ด้วย  สารภาพตามตรงว่าครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีการแสดงที่นี่ เราไม่ได้รู้สึกอยากดูเลยเพราะคิดว่าจะต้องเป็นกับดักนักท่องเที่ยวที่การแสดงจะออกแนวแห้งๆปลอมๆแน่ๆ แต่เมื่อได้เข้ามาดูจริงๆกลับรู้สึกประทับใจกับการนำเสนอที่มีรสนิยมสมชื่อ Lijiang Impression Show ความตระการตาเริ่มต้นตั้งแต่ภูเขามังกรหยกที่ตั้งเป็น Background อยู่ด้านหลัง ตัดกับเวทีสีแดงสุด Iconic เอาเข้าจริงๆเราแทบไม่ได้ติดตามเส้นเรื่องของตัวโชว์เท่าไหร่นัก แต่เราก็อินไปกับงาน Visual และ Movement ของนักแสดงในทุกๆฉาก แม้ในวันที่เราเข้าชมฝนจะตกหนักเกือบตลอดการแสดง แต่นั่นก็ยิ่งกลับทำให้ได้ความ Dramatic ไปอีกแบบ ที่สำคัญนักแสดงกว่า 500 ชีวิตนั้นเป็นชาว Naxi พื้นเมืองทั้งหมดก็แสดงแบบมืออาชีพมาก ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร The Show Must Go On ฉะนั้นก็เท่ากับว่าเราก็จะได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้ไปด้วย ใครที่ลังเลอยู่ว่าจะดูโชว์ดีมั้ย เราก็แอบเชียร์ให้ดูนะครับ อย่างน้อยก็จะได้รูปปังๆมาอวดเพื่อนแน่นอน Blue Moon Valley ไม่ไกลจากจุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์ของภูเขามังกรหยกมาทางทิศตะวันออก ก็คือ “ไป๋ซุยเหอ” หรือ Blue Moon Valley ซึ่งเป็นอุทยานน้ำสีฟ้าที่สวยงามมาก จนมองลงมาจากที่สูงแล้วเห็นเหมือนมีพระจันทร์สีน้ำเงินฝังอยู่ในหุบเขา  เนื่องจากบนเขาหิมะมังกรหยกนั้นมีแร่ธาตุ Copper Sulfate ค่อนข้างเข้มข้น เมื่อหิมะละลายไหลลงมาจึงพาเอาไอออนทองแดง (Copper Ion) มาอยู่ในน้ำด้วย ซึ่งน้ำสวยๆแบบนี้ไม่เหมาะกับการบริโภคนะครับ แต่จะมีความเชื่อให้ล้างมือ 3 ครั้งในน้ำเพื่อความโชคดี 3 เรื่อง โดยครั้งแรกจะหมายถึงอาชีพการงาน ครั้งที่สองหมายถึงทรัพย์สินเงินทอง และครั้งที่สามหมายถึงความรักที่มั่นคง แม้ชื่อจะแปลว่าหุบเขา แต่หุบเขา Blue Moon Valley นี้ก็ยังตั้งอยู่ที่ระดับความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ลำธารที่ไหลมาจะถูกแนวหินกั้นแบ่งเอาไว้กลายเป็นแอ่งน้ำคล้ายทะเลสาบย่อยๆถึง 5 แห่ง หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็จะมีบริการรถ Buggy สีเขียววิ่งรับส่งระหว่าง 3 จุดสต็อปอยู่ตลอดเวลาและเราก็สามารถขึ้นลงได้ตามความสะดวก ตัวธรรมชาตินั้นมหัศจรรย์และสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกก็ยอดเยี่ยมมาก แต่อาจจะต้องเล็งจังหวะในการถ่ายรูปดีๆ เพราะความสวยของหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินนี้ก็มีพลังดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากให้เดินทางมาชมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคู่ว่าที่บ่าวสาวที่นิยมมาถ่ายรูป Pre-Wedding กันหลายคู่เลย Wenhai Yi Village ความเอ็กซ์คลูซีฟของ Aman ก็คือเราสามารถขอให้ไกด์จัดทริปพาออกนอกเส้นทางที่เป็นที่นิยมนักท่องเที่ยวทั่วไปเพื่อไปสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบ Authentic ของผู้คนท้องถิ่นได้ด้วย อย่างที่เล่ามาตั้งแต่แรกว่า Naxi คือชนเผ่าหลักที่อาศัยอยู่ในลี่เจียง แต่ในความเป็นจริงแล้วยูนนานประกอบไปด้วยชนเผ่าต่างๆกว่า 25 เผ่า วันนี้ทาง Amandayan จึงพาเราไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชาว Yi (ยี่) ที่อยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบเหวินไห่ และแวะชมธรรมชาติที่สวยงามระหว่างทางไปด้วย ทะเลสาบเหวินไห่เป็น Alpine Lake ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,100 เมตร และจะมีน้ำเป็นบางฤดูกาล ทำให้พื้นที่รอบๆนั้นเป็น Wet Land ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าเขียวขจี และชาวบ้านจึงใช้เป็นสถานที่เลี้ยงม้าหลายสิบตัว จึงเกิดเป็นภาพที่สวยงามแปลกตา เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยว Unseen ของลี่เจียงครับ หลังจากแวะถ่ายรูปกับน้องม้าจนพอใจแล้ว ไกด์ (คุณโทมัส) ก็พาเราเดินทางขึ้นเขาต่อไปยังหมู่บ้านของชาว Yi แบบไม่ได้มีจุดหมายว่าจะไปบ้านไหนเป็นพิเศษ คุณโทมัสบอกว่าถ้าเจอใครอยู่บ้านก็จะไปเคาะประตูขอเข้าไปชมบ้านและพูดคุยแบบดิบๆเลยเพื่อความ Real และเราก็โชคดีครับ มีคุณตาคุณยายคู่หนึ่งอยู่ที่บ้านพอดี เราจึงได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในบริเวณบ้านของพวกเขา และได้นั่งคุยโดยมีไกด์ช่วยแปลภาษาให้ด้วย เป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากเลยครับ คุณโทมัสเล่าให้ฟังว่าชาวเผ่า Yi นั้นรักสนุก และใช้ชีวิตแบบมีความสุขวันต่อวัน โดยเฉพาะผู้ชายที่จะดื่มสุราหนักและมักจะมีชีวิตสั้นกว่าผู้หญิง ต่างจากชาว Naxi ที่ชอบคิดการณ์ไกลและวางแผนล่วงหน้าโดยคุณโทมัสเปรียบเทียบว่า ถ้ามีการฆ่าหมูมาทำอาหาร ชาว Yi ก็จะชวนคนมาสังสรรค์กันทั้งหมู่บ้านและกินหมูให้หมดภายในคราวเดียว ส่วนชาว Naxi จะมีการแบ่งและถนอมอาหารเก็บไว้กินในอนาคต  Tiger Leaping Gorge ช่องเขาเสือกระโจนอันเลื่องชื่อนั้นอยู่ห่างจากลี่เจียงไปทางเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร ถ้าใครเดินทางไป Shangri-la ด้วยรถยนต์ก็แวะเที่ยวเป็นทางผ่านได้นะครับ ช่องเขาเสือกระโจนเป็นช่องแคบระหว่างภูเขาสูงเสียดฟ้า 2 ลูกเป็นระยะทาง 23 กิโลเมตรคือเขาหิมะมังกรหยก (สูง 5,596 เมตร) กับเขาหิมะฮาปา (สูง 5,390 เมตร) โดยเบื้องล่างมีแม่น้ำแยงซีตอนบน (Upper Yangtze) ไหลผ่าน แต่จุดที่เป็นที่มาชองชื่อช่องเขาเสือกระโจนจริงๆนั้นจะเป็นจุดที่แคบที่สุด (25 เมตร) โดยชื่อนี้ได้มาจากตำนานที่ว่าเคยมีเสือตัวหนึ่งกระโจนข้ามแม่น้ำณ จุดนี้เพื่อหลบหนีนายพราน และความแคบนี้ก็ยิ่งทำให้แม่น้ำเชี่ยวกรากดุดันสุดๆเช่นกัน สำหรับจุดที่ลึกที่สุดของช่องเขานี้โดยวัดจากยอดเขาลงไปที่แม่น้ำด้านล่างก็คือ 3,790 เมตร ซึ่งลึกกว่าแกรนด์แคนยอนเกือบ 2 เท่า สรุปง่ายๆว่าทั้งแคบมาก แรงมาก และลึกมากกกกกกก การเข้าชมช่องเขาเสือกระโจนนั้นต้องซื้อตั๋วคนละ 45 หยวน และถ้าไม่อยากออกแรงเดินลงและเดินกลับขึ้นมาด้วยตัวเองซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็สามารถจ่ายเพิ่มเพื่อใช้บันไดเลื่อนอีกคนละ 70 หยวนรวมสำหรับทั้งขาลงและขากลับขึ้นมา  นอกจากจุดที่แคบที่สุดแล้ว ตลอดระยะทาง 23 กิโลเมตรของช่องเขาเสือกระโจนนี้เต็มไปด้วยวิวที่สวยอลังการตลอดเส้นทาง เราขับรถทะลุออกมาอีกฝั่งและแวะจิบกาแฟชมยอดเขาหิมะ Haba ที่สูงไล่เลี่ยกันกับเขามังกรหยกเลย ปล.ถ้ามีเวลา มีคนแนะนำให้ลองค้างคืนแบบ Glamping แถวๆจุดที่เราแวะจิบกาแฟนี้ จะเห็นดาวเต็มฟ้า และทางช้างเผือกได้ชัดๆเลยครับ Bai Shui Tai  ไป๋สุยไถ หรือระเบียงธารน้ำขาว อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่อยู่ห่างจาก Shangri-la ประมาณ 106 กิโลเมตร ถ้าไม่ได้เดินทางด้วยรถยนต์จากลี่เจียงมา Shangri-la อาจจะต้องข้ามที่นี่ไป ว่ากันว่าไป๋สุ่ยไถนั้นเป็นจุดที่ผู้ก่อตั้งลัทธิ Dongba (ตงปา) ของชาว Naxi ที่นับถือธรรมชาติเป็นพระเจ้าใช้ประกาศคำสอนหลังเดินทางกลับมาจากทิเบต แอ่งน้ำทรงโค้งสีขาวที่เรียงตัวลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดลงมาตามไหล่เขาเกิดจากหินปูน (Calcium Carbonate) ในน้ำที่ค่อยๆก่อตัวผ่านกาลเวลาปีแล้วปีเล่าทำให้เกิดภาพที่มหัศจรรย์ไม่เหมือนใคร สีของน้ำเองก็มีหลายเฉดทั้งใส ฟ้า เขียว และเหลืองสวยงามมาก ขาขึ้นเราตัดสินใจเช่าม้าแคระขี่ขึ้นมา และค่อยๆเดินลงเองไปตามเส้นทางที่เดินค่อนข้างสะดวกสบายครับ Shangri-La    แชงกรีล่า หรือ เซียงเกอหลีลา เป็นชื่อเมืองในเขตการปกครองตนเองของชนชาติทิเบตตี๋ชิ่งที่รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจเปลี่ยนจากชื่อเดิมคือจงเตี้ยน เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเมืองลึกลับที่ถูกสมมติขึ้นมาในนิยายเรื่อง The Lost Horizon ที่เขียนโดย James Hilton ในปี 1933 หลังจากที่เขาได้เดินทางมายังเทือกเขาหิมาลัยไม่กี่ปีก่อนหน้านั้นโดยในนิยายเขาพรรณนาถึง Shangri-la ไว้ว่าเป็นเมืองอันใกล้โพ้นซึ่งงดงามดั่งสวรรค์ มีผู้คนที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและมีอายุยืนยาวนับร้อยปี  แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าบริเวณใดในเทือกเขาหิมาลัยที่ตรงกับคำบรรยายในนิยายที่สุด บ้างก็ว่าน่าจะเป็นที่ Hunza Valley ในปากีสถานมากกว่า แต่เมืองจงเตี้ยนนั้นเคลมไวก่อนใคร และได้ใช้ชื่อแชงกรีล่าอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 2001 ที่นี่จึงกลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งเมื่อมาเที่ยวลี่เจียงเพราะสามารถนั่งรถไฟมาถึงได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที  อย่างไรก็ตาม แชงกรีล่าหรือเมืองจงเตี้ยนเดิมนั้นก็สวยงามและมีเอกลักษณ์ในแบบทิเบต ตัวเมืองเก่านั้นดูขลังและสงบ มีแลนด์มาร์คเป็นกงล้อธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกสีทองอร่ามของวัดต้าฝอ (วัดพระใหญ่) ที่อายุเก่าแก่กว่า 1,600 ปีตั้งเด่นอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง กงล้อธรรมนั้นมีลักษณะเหมือนหอคอยสูง 23 เมตรที่สามารถหมุนได้เมื่อหลายๆคนช่วยกันผลัก ว่ากันว่าเมื่อสวดมนต์ขอพรขณะหมุนกงล้อก็จะทำให้บทสวดนั้นก้องกังวานไปถึงสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีอีกวัดที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือวัดซงจ้านหลิน (Songzanlin) ซึ่งอยู่ห่างออกจากเมืองเก่าไปประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นวัดทิเบตนิกายลามะหมวกเหลืองที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน และถอดแบบมาจากพระราชวังโปตาลาในกรุงลาซา จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น Little Potala Palace วัดซงจ้านหลินสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1679 โดยดาไลลามะองค์ที่ 5 ด้วยศิลปะทิเบตผสมจีนฮั่น ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดว่ากันว่ามีกุฏิในวัดที่สามารถรองรับพระสงฆ์ได้ถึง 2,000 รูป แต่ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน วัดก็ได้รับความเสียหายไปเยอะมากจึงต้องบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1983 ปัจจุบันแม้พระสงฆ์จะมีจำนวนน้อยลงกว่าในยุคก่อน แต่ภายในวัดนั้นก็ยังเต็มไปด้วยสมบัติเก่าและวัตถุมีค่าให้ไปศึกษามากมาย แต่หากมีเวลาน้อย(เหมือนเรา) แค่เดินชมบรรยากาศก็คุ้มค่ามากๆแล้วครับ ถ้าใครชอบแต่งชุดท้องถิ่นถ่ายรูป ก็สามารถจัดเต็มที่นี่ได้เช่นกันครับ Wrapping Up Our Stay การมาพักที่ Amandayan นั้นดูเหมือนจะสามารถต่อยอดเป็นทริปย่อยๆออกไปได้ไม่รู้จบ เวลาถูกถามว่าควรที่นี่พักกี่คืนดี เราจึงตอบได้ค่อนข้างยากเพราะขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆอยากจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง แต่หากเน้นเที่ยวเมืองเก่าลี่เจียงเป็นหลักและอาจจะออก Day Trip โดยรวบเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก ดูโชว์ Lijiang Impression และ Blue Moon Valley ให้ครบทั้ง 3 ที่ภายในวันเดียวกันก็สามารถทำได้ เพราะทั้ง 3 จุดนั้นอยู่ใกล้กัน จากประสบการณ์เราคิดว่า 3-4 คืนน่าจะกำลังดีครับ แต่หากจะไปเที่ยวจุดอื่นๆที่ไกลออกไปด้วยก็ต้องเผื่อเวลาเพิ่ม หรือแทรกด้วยการไปนอนค้างที่เมืองอื่น อย่าลืมว่าตัว Amandayan เองก็เป็นจุดหมายปลายทางในตัวเองอยู่แล้วด้วยเช่นกัน ในเมื่อเพื่อนๆมีโอกาสได้มาพักที่นี่ทั้งที เราก็อยากให้เพื่อนๆได้มีเวลาดื่มด่ำประสบการณ์วิถี Aman ที่รีสอร์ทอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเร่งรีบ ธรรมชาติที่อลังการและความ Exotic ของลี่เจียงนี้อยู่ใกล้บ้านเรามากกว่าที่คิด ยังไงมาตามรอยกันนะครับ Amandayan รอให้คุณมาสัมผัสอยู่ครับ ข้อเสนอพิเศษ Lijiang Escape จาก Amandayan ร่วมกับ Hoparound.co 1. ห้องพักเรทพิเศษ เริ่มต้น 4,876 ++ หยวน (ลดลงจากเรทปกติของแต่ละ Room Type 20%) 2. อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน 3. บริการรถรับหรือส่งจาก สนามบิน Lijiang Sanyi Airport หรือสถานีรถไฟ (เลือกได้ขาใดขาหนึ่ง) 4. บริการผลไม้สดประจำวัน และ Turn Down Amenities 5. กิจกรรมเชิงวัฒนธรรมประจำวัน 6. ซอฟท์ดริ้งค์ในมินิบาร์ ห้องพักเรทพิเศษ (ขึ้นอยู่กับห้องว่างและราคาในแต่ละช่วง) Courtyard Suite เริ่มต้น CNY 4,876++ Deluxe Suite เริ่มต้น CNY 5,336++ Amandayan Villa เริ่มต้น CNY 16,560++ #LetsHoparound

STAY IN TOUCH

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon

INSTAGRAM

  • TikTok
  • Black YouTube Icon

YOUTUBE

Hoparound.co ฮ็อปอะราวด์ – เว็บไซต์ท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์สำหรับคนรักงานดีไซน์และประสบการณ์ใหม่ๆ เรา คัดสรรที่พักดีไซน์ คาเฟ่ แกลเลอรี่ พร้อม ระบบจองที่พัก และ ดีลพิเศษ เฉพาะคุณ รวมถึงคอนเทนต์คุณภาพจาก บล็อกท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ ศิลปะ และดีไซน์ ที่คัดมาแล้วว่า "ทั้งสวย ทั้งมีแรงบันดาลใจ" สำรวจสถานที่น่าสนใจทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ คาเฟ่ ร้านอาหาร โรงแรมดีไซน์จัดเต็ม ไปจนถึงงานสถาปัตยกรรมสุดว้าว รวมถึงสินค้าและแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น ผ่านการเล่าเรื่องอย่างสร้างสรรค์ ภาพสวย อ่านสนุก ได้ทั้ง ข้อมูลท่องเที่ยว ความรู้ และแรงบันดาลใจ ไปพร้อมกัน

Hoparound.co – A travel and lifestyle platform curated for design lovers and creative explorers. We handpick design hotels, cafés, galleries, and offer a booking system with exclusive travel deals you won’t find elsewhere. Beyond travel, we dive into lifestyle, art, and design content to inspire your journey. Discover unique places across Thailand and around the world — from museums, galleries, cafés, restaurants, and design hotels, to remarkable architecture, creative brands, and stylish products. All presented through engaging storytelling, beautiful visuals, and high-quality content that’s informative, enjoyable, and full of inspiration.

ที่เที่ยวใหม่ 2025 |  พิพิธภัณฑ์ & แกลเลอรี่ | โรงแรมดีไซน์ |  คาเฟ่สายอาร์ต |  เที่ยวไทย-ต่างประเทศ จองที่พัก |  รีวิวโดยบล็อกเกอร์ |  ไอเดียทริปไม่ซ้ำใคร |  ค้นหาสถานที่สร้างแรงบันดาลใจ | Travel wesite | Thai Travel Blogers | Travel Influencers | a travel website travel influencers thailand รีวิวท่องเที่ยว รีวิวโรงแรม รีวิวร้านอาหาร

 

Contact and Collaboration with Hoparound.co
E-mail: info.hoparound@gmail.com | Facebook: @hoparound.co | Instagram: @hoparound.co | Youtube: hoparound.co | Tiktok: @hoparound.co

Follow us on Instagram

black-01.png
bottom of page