Search Results
126 results found with an empty search
- KIRO / THE SHARE HOTELS Hiroshima รีวิวโรงแรม
THE SHARE HOTELS KIRO โรงแรมเดอะแชร์ คิโระ ฮิโรชิมะ The Share Hotels Kiro Hiroshima โรงแรมเปิดใหม่ ตั้งอยู่ในย่าน Fukuro-machi ใจกลางเมืองฮิโรชิมะ มาในคอนเซปต์ที่ให้แขกมาใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน ตกแต่งแบบโมเดิร์นลอฟท์ มีห้องพัก 49 ห้องแตกต่างกัน 11 รูปแบบ จองห้องพักได้ที่นี่ Lobby Space, Showcase ล็อบบี้ทางของโรงแรมตกแต่งแบบเรียบง่าย มีโซนแกลอรี่เล็กๆเป็นดิสเพลย์ โซนขายของใช้ที่คัดสรรมาจากทั่วญี่ปุ่นให้เลือกช้อป และโซนนั่งพักผ่อนตรงกลางมีหนังสือที่เกี่ยวกับท้องทะเลเซโตอุจิให้เลือกอ่านกันด้วยนะ Cicane -liquid stand- ถัดมาอีกฝั่งก็จะเป็น Coffee Stand ที่ทางโรงแรมจะนำคาเฟ่ดีๆ มาเปิด Pop-up ผลัดเปลี่ยนไปไม่ซ้ำกันทุกวัน เวลาเปิด-ปิด: 08:00-17:00 ปิดทุกวันอังคาร ห้องพักแบบลอฟท์ (LOFT 4) ขนาด 25 ตารางเมตร ครั้งนี้เราเลือกพักห้องนี้เป็นห้องพักแบบลอฟท์ (4A) ขนาด 25 ตารางเมตร ตกคืนละประมาณ 5,256.04 บาท มี 2 เตียงเดี่ยวและ 2 ฟูกแบบญี่ปุ่นขนาดทวินไซส์ สามารถเข้าพักได้ 4 คน สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้คือชุดนอน แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, สบู่อาบน้ำ, ยาสระผม, ครีมนวด, รองเท้าสลิปเปอร์, ผ้าเช็ดตัว, ผ้าเช็ดหน้า, ไดร์เป่าผม, Wi-Fi ฟรี, ทีวีจอแบน, ตู้เย็น, ห้องน้ำส่วนตัว, อ่างอาบน้ำ เครื่องปรับอากาศ, เครื่องทำความร้อน และมีบริการทำความสะอาดห้องทุกวัน ที่ชอบอีกอย่างคือห้องที่นี่แยกเป็นสัดส่วนชัดเจนดีมาก SHARED KITCHEN พื้นที่ส่วนกลางชั้น 3 ที่นี่ยังมีไมโครเวฟให้บริการที่ส่วนกลาง, มีตู้ซักผ้าบริการที่ส่วนกลาง,มีตู้เย็นให้บริการที่ส่วนกลาง และอุปกรณ์ซักรีด The POOLSide bar ส่วนชั้น 3 มีบาร์ชื่อ The POOLSide ซึ่งตอนเช้าใช้เป็นห้องบริการเบรคฟัสต์ ส่วนตอนค่ำจะกลายร่างเป็นบาร์สุดฮิป เสิร์ฟเครื่องดื่มรสชาติดีที่ครีเอทจากผลไม้นานาชนิดให้จิบแกล้มกับเสียงเพลงเพราะๆ BREAKFAST มื้อเช้าของที่นี่จะมีอาหารหลักคือ เครปคาว หวาน ซุป กราโนล่า ไข่ต้ม สลัด กาแฟร้อน น้ำส้ม น้ำดื่ม และก็ยังมีหนังสือดีๆ ให้อ่านด้วยนะ เวลาเปิด-ปิด: 07:00-10:00 KIRO / THE SHARE HOTELS Hiroshima ราคาเริ่มต้น 2,8XX / คืน จองห้องพักได้ที่นี่ ใครที่ชอบโรงแรมดีไซน์เท่ๆ เราแนะนำที่นี่เลย พนักงานทุกคนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมาก แถมห้องพักก็ยังสบาย และพื้นที่ส่วนกลางก็ดีอีกด้วย จริงๆเครือนี้(The share hotels) ก็ยังมีโรงแรมอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นเลยนะ ลองเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thesharehotels.com . FB/IG @hoparound.co Website www.hoparound.co . #LetsHoparoundH iroshima #LetsHoparound #Travel #WestJapan #Japan #Hiroshima #Hotel #NewHotel #LifestyleHotel #TheShareHotelsKiro # ฮิโรชิมะ # เที่ยวฮิโรชิมะ # ญี่ปุ่น # เที่ยวญี่ปุ่น # เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #JRWestpass #ฮิโรชิม่า #เมืองฮิโรชิม่า #รีวิวโรงแรมฮิโรชิม่า #รีวิวโรงแรม #รีวิวKiroTheShareHotels #TheShareHotel
- The St. Regis Bangkok อิ่มเอมประสบการณ์ ณ โรงแรมระดับตำนานแห่งนิวยอร์ค เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ
The St. Regis Bangkok อิ่มเอมประสบการณ์ ณ โรงแรมระดับตำนานแห่งนิวยอร์ค วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปลิ้มลองประสบการณ์ Staycation อันหรูหราและเอร็ดอร่อยกับแพ็คเก็จ Gastronomic Stay แสนคุ้มค่า มัดรวมกันมาให้ทั้งห้องพัก อาหาร และเครื่องดื่ม ณ โรงแรม St. Regis Bangkok กันครับ จองห้องพักได้ที่นี่ A Brief History ปูพื้นกันซักนิด โรงแรม St. Regis ดั้งเดิมที่ New York นั้นเป็นผลงานของ J.J. Astor บุรุษคนดังในแวดวงสังคมชั้นสูงแห่งยุค Guilded Age เขาเป็นทั้งนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายทหารยศพันเอก นักประดิษฐ์คิดค้นผู้มีวิสัยทัศน์ และชายผู้มั่งคั่งที่สุดบนเรือ Titanic ก่อนที่จะจมลงไปพร้อมกับเรือสู่ทะเลอันหนาวเหน็บในปี 1912 เมื่อตอนเปิดตัวบนถนน Fifth Avenue ในปี 1904 อาคาร St. Regis กลายเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในอเมริกาด้วยความสูง 18 ชั้นในสไตล์ French Beaux-Arts อันงดงามและยังขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ทั้งหรูและล้ำที่สุดอีกด้วย เพราะทุกๆห้องนั้นมีโทรศัพท์เป็นของตัวเองในยุคที่โทรศัพท์ยังคงเป็นเทคโนโลยีใหม่และราคาแพงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเอื้อมถึง ส่วนชื่อ St. Regis นั้น J.J. Astor เลือกตามคำแนะนำของหลานสาวที่นำมาจากชื่อของทะเลสาบ Upper St. Regis Lake ทางตอนเหนือของรัฐ New York ซึ่งก็ถูกตั้งตามชื่อนักบุญชาวฝรั่งเศสผู้โอบอ้อมอารีมาอีกทอดหนึ่ง ในวันนี้แบรนด์ St. Regis มีอายุ 118 ปีแล้ว และได้ต้อนรับแขกระดับ VVIP ของโลกในทุกวงการมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศ นักธุรกิจ ศิลปิน ดารา ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญมาหลายยุคสมัย ผ่านความเปลี่ยนแปลง และสร้างประวัติศาสตร์มาครั้งแล้วครั้งเล่า ปัจจุบัน St. Regis นั้นมี Property ในกว่า 60 โลเคชั่นทั่วโลกภายใต้การดูแลในเครือ Marriot เพื่อนๆรู้ไหมครับว่า Bloody Mary เครื่องดื่ม Cocktail สุดคลาสสิคที่มีอยู่ในแทบทุกบาร์ทั่วโลกก็มีต้นกำเนิดจากโรงแรมแห่งนี้นี่เอง จนกลายเป็นธรรมเนียมว่า St. Regis ทุกแห่งในโลกนั้นต้องมี Bloody Mary ในเวอร์ชั่นตัวเอง และสำหรับที่กรุงเทพนั้นก็มี Siam Mary เพื่อนๆลองสั่งมาชิมกันดูนะครับ The Arrival St. Regis Bangkok นั้นตั้งอยู่บนถนนราชดำริในทำเลที่เลอค่าที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ นอกจากจะติดสถานี BTS และอยู่ใกล้แยกราชประสงค์เพียงไม่กี่ก้าวแล้ว ฝั่งตรงข้ามยังเป็นราชกรีฑาสโมสร พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่มีทั้งสนามกอล์ฟและสนามแข่งม้า จึงทำให้ St. Regis Bangkok นั้นได้ “The Best Of Both Worlds” ทั้งความสะดวกใจกลางเมืองและความเขียวขจีแบบ Exclusive พร้อมๆกัน เราเทียบรถที่ทางเข้าตึก แล้วพนักงาน Porters ก็ช่วยลำเลียงสัมภาระของเราลงจากรถพร้อมเสนอบริการ Valet Parking ให้ บรรยากาศโถงชั้นล่างของตึกนั้นดูโอ่อ่าสวยงาม ที่นี่เน้นการใช้งานผ้าลวดลายอ่อนช้อยต่างๆมาบุประดับผนังโดยจะพบสิ่งนี้ได้ทั่วโรงแรมเลยครับ เราอ่านเจอมาว่าที่ St.Regis ดั้งเดิมที่ NYC ก็ใช้ผ้าไหมบุผนังเช่นกัน ก็เลยเดาเอาว่าน่าจะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแบรนด์ ส่วน Lobby ของโรงแรมนั้นอยู่บนชั้น 12 ซึ่งเราต้องกดลิฟท์ขึ้นไปเพื่อเช็คอิน ขั้นตอนทุกอย่างราบรื่นดีครับ พนักงานต้อนรับดูแลเราอย่างดี และพาเราขึ้นไปส่งเพื่อแนะนำห้องพักด้วย Our Room ที่ St. Regis Bangkok นั้นมีห้องพักทั้งสิ้น 227 ห้องพัก (ไม่รวม Owner’s Penthouse ขนาด 800 ตร.ม.) และแบ่งเป็นประเภทต่างๆถึง 12 Room Types โดยมีขนาดตั้งแต่ 45-250 ตร.ม. หนึ่งในห้องพักที่ Popular ที่สุดก็คือห้องพักของเรานั่นเอง (หมายเลข 1624) ห้องนี้มีชื่อว่า Caroline Astor Suite ทั้งโรงแรมมีอยู่ทั้งหมด 14 ห้องซึ่งเป็นห้องมุมของชั้นต่างๆ ทำให้เทควิวทั้งฝั่งสนามราชกรีฑาสโมสรแบบ 180 องศา และฝั่งเมืองแยกราชประสงค์แบบเต็มตา พื้นที่ 90-115 ตร.ม. (แล้วแต่ชั้น) ของห้อง Caroline Astor Suite นั้นถูกจัดสรรให้เป็นสัดส่วนดีมากๆ เริ่มตั้งแต่ Foyer โถงทางเข้าห้องและห้องน้ำสำหรับแขก ถัดไปอีกก็เป็นห้องนั่งเล่น/ห้องรับแขกที่กว้างมากแถมได้วิวเมืองผ่านกระจกบานโตอีกด้วย หันกลับเข้ามาอีกฝั่งของห้องก็เป็น Study Area ให้นั่งทำงานได้สบายๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อพบกับเตียง King Size พร้อมวิวเขียวขจีของสนามกอล์ฟฝั่งตรงข้ามแบบจุใจ ยังไม่พอครับ เดินทะลุ Walk-In Closet เข้าไปโซนห้องอาบน้ำก็ยิ่งน่าประทับใจ เพราะเราสามารถแช่อ่างใบใหญ่ไปพร้อมๆกับชมวิวอันสวยงามได้เลย อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของ St. Regis ก็คือการที่มี Butler (On Call) มาให้บริการครับ เพื่อนๆสามารถโทรขอบริการ Butler ได้ 24 ชั่วโมงเลย เราขอให้พี่ Butler มาช่วย Unpack กระเป๋า และเตรียมอ่างอาบน้ำให้เราด้วย แต่ช่วงนี้โรงแรมเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการหลังโควิด พนักงานยังไม่ครบทุกตำแหน่ง Butler คนหนึ่งอาจต้องดูแลหลายห้อง ก็ต้องใจเย็นกันนิดนะครับ เราแนะนำให้นัดพี่ๆเค้าล่วงหน้าจะดีที่สุดครับ พรรณนาความดีงามของห้องมาเยอะเลย เพื่อนๆอาจจะสงสัยว่าแล้ว Caroline Astor คือใครกัน ทำไมถึงต้องเอามาตั้งเป็นชื่อห้องด้วยนะ เราขอเฉลยว่าเธอคือคุณแม่ของ J. J. Astor ผู้ก่อตั้ง St. Regis นั่นเองครับ และเธอก็เป็นสตรีผู้ทรงอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้นอีกด้วย ถึงขนาดจัดงาน Caroline’s 400 ของตัวเอง โดยเลือกเชิญเฉพาะบุคคลหัวกะทิในแวดวงต่างๆของสังคม New York จำนวนถึง 400 คน ในตอนนั้นบรรดาคนดังต่างก็ใฝ่ฝันว่าจะได้รับเชิญ แต่ Caroline เท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ ในปัจจุบัน Caroline’s 400 นั้นกลายเป็นชื่อกลิ่นน้ำหอมประจำโรงแรม St. Regis ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกลิ่นไม้หายากในห้อง Ballroom ของเธอ เจือด้วยกลิ่นดอกกุหลาบสายพันธุ์ American Beauty ที่เธอหลงไหล Pool สระว่ายน้ำของ St. Regis Bangkok นั้นอยู่บนชั้น 15 ขนาดไม่ใหญ่มาก เน้นให้ลงเล่นแบบเพลินๆมีโซนที่มีหัวเจ็ทนวดตัวให้ด้วยนะครับ หรือถ้าไม่อยากลงน้ำเราสามารถสั่งเครื่องดื่มมาจิบขณะนั่งพักผ่อนริมสระ พร้อมชมวิวไปพลางๆก็ได้ บริเวณสระมีพนักงานคอยให้บริการแบบใส่ใจดีมากเลยครับ Clinique La Prairi นี่คือมุมลับที่เราโปรดปรานมากที่สุดในโรงแรมเลย Clinique La Prairie นั้นเป็นแบรนด์คลีนิคความงามและสุขภาพชั้นยอดระดับตำนานจากสวิสเซอร์แลนด์ และที่นี่ก็เป็นสาขานอกยุโรปแห่งแรกของแบรนด์ (St. Regis Bangkok ของเราไม่ธรรมดาจริงๆ) สิ่งที่ดีที่สุดก็คือแขกของโรงแรมทุกคนสามารถเข้ามาใช้ Wet Facilities ของที่นี่ได้ฟรีตลอดการเข้าพักเลยครับ แต่แทบไม่มีใครรู้! ภายในเหมือนกับเราอยู่ใน Private Onsen แบบ High End เลยครับมีทั้งบ่อจากุซซี่น้ำเกลือร้อน บ่อ Cold Plunge พร้อม Cold Waterfall Shower ห้อง Rasul ห้อง Steam ทางเดินนวดเท้าด้วยหิน และ Smart Shower ที่สามารถตั้งโปรแกรมเวลาและอุณหภูมิได้ บอกเลยว่าฟินมากทั้งในเรื่องคุณภาพและความเป็นส่วนตัว ในระหว่างที่เข้าใช้บริการเราแทบไม่เจอแขกคนอื่นเลย Epic Dinner Buffet at Viu สำหรับเพื่อนๆที่จองมาในแพ็คเก็จ Gastronomic Stay ก็จะมีดินเนอร์แสนอร่อยรวมอยู่ในแพ็คด้วย หากเข้าพักในวันอาทิตย์-พฤหัสฯ ทางห้องอาหาร Viu (วูว์) ก็จะเสิร์ฟเป็นเซ็ตดินเนอร์ 7 Course แต่หากเพื่อนๆเข้าพักวันศุกร์-เสาร์เหมือนกับเรา ก็จะเจอกับ Epic Dinner Buffet สุดอลังการ (ปกติราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,500++ บาทต่อหัวนะครับ) โดยจะมีดาวเด่นเป็น Lobster ให้คนละ 1 ตัว สามารถแบ่งครึ่งให้เชฟปรุงได้ 2 แบบ ส่วนไลน์ Buffet ก็จะมีทั้งอาหารทะเลพรีเมี่ยมสดๆ ชาชิมิ เนื้อสตริปลอยน์ หมูคุโรบุตะ ซี่โครงแกะ ฮามอน อิเบอริโก้ ชีสนานาชนิด อาหารไทย ญี่ปุ่น ยุโรป ทั้งคาวและหวานมาครบหมดครับ เราอิ่มอร่อยกันมากจนต้องขอชา Peppermint มาตบท้ายเพื่อช่วยให้ท้องรู้สึกเบาขึ้นซักนิดก่อนกลับไปที่ห้อง Turn Down เราชอบห้องของเรามากครับ ความสวยงาม สะดวกและกว้างขวางทำให้เราอยากใช้เวลาที่ห้องนานๆ ที่สำคัญคือวิวในแต่ละช่วงเวลาของวันนั้นมีเสน่ห์ไม่เหมือนกันเลย ตอนฝนตกก็เป็นมู้ดที่สวยไปอีกแบบ หลังดินเนอร์มื้อใหญ่จบไป เราก็กลับมาพบกับห้องที่ Turn Down เสร็จเรียบร้อยแล้ว คืนนี้เราน่าจะนอนหลับกันสบายเลย อ่อ! อย่าไปเผลอปิด Master Switch ที่ประตูทางเข้าห้องนะครับ ไม่งั้นแอร์จะไม่ทำงาน เราเองก็งงอยู่นานจนต้องเรียก Butler มาช่วย Gym ตื่นเช้ามาวันนี้ เราขอฮึบออกกำลังกันก่อนเลย ยิมของ St. Regis Bangkok ครบและทันสมัยมากครับ ที่นี่ใช้เครื่องออกกำลังกายแบรนด์ TechnoGym ไม่ว่าจะเน้นเบิร์นไขมัน เพิ่มความยืดหยุ่น หรือสร้างกล้ามเนื้อทั้งแบบใช้เครื่องและยกเวทก็มีครบ รวมถึงเวทีมวยขนาดย่อมให้ซ้อมชกด้วย และที่สำคัญคือมีเทรนเนอร์อยู่ประจำคอยแนะนำการใช้อุปกรณ์และองศาท่าที่ถูกต้อง และหากอยากจัด Session ส่วนตัวก็สอบถามทางโรงแรมเพิ่มเติมได้เช่นกัน Breakfast Buffet ท้องเริ่มหิวแล้ว เรารีบอาบน้ำแต่งตัวไปเพื่อเพิ่มพลังกันต่อเลยครับ เรากลับมาที่ห้องอาหาร Viu อีกครั้งในบรรยากาศบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าซึ่งรวมอยู่ในแพ็คเก็จ Gastronomic Stay ด้วยเช่นกัน ทุก Station เต็มพรึ่บไปด้วยอาหารทุกหมวดหมู่ หลายสัญชาติ รวมไปถึงเครื่องดื่มและผลไม้ด้วย ให้รูปเล่าเรื่องก็แล้วกันนะครับ เราชอบครัวเปิดตรงกลางที่ทำให้เราได้ Enjoy ดูเชฟง่วนทำอาหารเสิร์ฟแขกนับร้อยกันอย่างขะมักขเม้น มีชีวิตชีวามากครับ นอกจากอาหารบนไลน์ Buffet แล้วอาหารไทยๆอย่างข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ไข่เจียวหมูสับ หรือก๋วยเตี๋ยวก็มีให้สั่งได้เช่นกัน Wrapping Up Our Stay เราใช้เวลาแค่เพียง 1 คืนที่นี่ แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่น่าประทับใจครับ แบรนด์ St. Regis นั้นจัดอยู่ในประเภท Classic Luxury ภายใต้เครือ Marriot ซึ่งมีความ Heritage และดูภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่ ก็จะเหมาะกับคนที่ชอบสไตล์นี้ครับ ส่วนเรื่องการบริการนั้นแบรนด์น่าจะการันตีได้อยู่แล้วว่าอยู่ในระดับ 5 ดาวตามมาตรฐานสากล แม้พนักงานจะยังกลับมาไม่ครบทุกตำแหน่ง แต่ทุกคนก็บริการด้วยใจอย่างเต็มที่ สิ่งที่เราประทับใจที่สุดก็คือห้องพักของเราและ Wet Facilities ใน Clinique La Prairie ที่เราเข้าไปใช้ได้ฟรีเลย สำหรับอาหารก็มีความหลากหลายและให้ของคุณภาพดี หากเพื่อนๆใช้สิทธิ์แพ็คเก็จ Gastronomic Stay ก็เท่ากับได้ทั้งห้องพัก อาหาร เครื่องดื่ม (และ Swiss Onsen) เราคิดว่าคุ้มมากครับ จองห้องพักได้ที่นี่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม For more information ☎️ 02-207-7777 📩 reservation.bangkok@stregis.com #GastronomicStay #StRegisBangkok #LiveExquisite #LetsHoparound #Bangkok
- The Ritz-Carlton Maldives, Fari Islands เดอะริทซ์-คาร์ลตัน มัลดีฟส์ หมู่เกาะฟารี
The Ritz-Carlton Maldives, Fari Islands เกาะสวรรค์มหัศจรรย์ฝีมือมนุษย์ ณ North Malé Atoll แนวปะการังรูปวงแหวนบนปากปล่องภูเขาไฟเก่าในมหาสมุทรอินเดียนั้นมีหมู่เกาะ Fari (ประกอบด้วยเกาะทั้งหมด 4 เกาะ) ที่งดงามราวกับธรรมชาติจงใจมาปั้นแต่งเอาไว้ เพียงแต่ผู้ที่ปั้นแต่งหมู่เกาะ Fari นั้นไม่ใช่ธรรมชาติ แต่เป็น Pontiac Land Group บริษัทพัฒนาอสังหาฯสัญชาติสิงคโปร์ที่ตั้งใจถมทะเลสร้างเกาะสวรรค์บนผืนน้ำสีเทอร์คอยส์ของมัลดีฟส์โดยให้เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูมากๆถึง 3 แบรนด์นั่นก็คือ Capella, Patina (แบรนด์น้องใหม่จาก Capella) และ The Ritz-Carlton (แบรนด์สูงสุดของเครือ Marriott) ซึ่งเรากำลังจะพาเพื่อนๆไปสำรวจกันนั่นเอง จองห้องพักได้ที่นี่ มิถุนายน 2021 คือเดือนที่ Ritz-Carlton Maldives, Fari Islands ได้เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ ดังนั้นนอกจากความหรูแล้ว ที่นี่ยังได้ความใหม่เอี่ยมอีกด้วย และที่น่าตราตรึงใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือรีสอร์ทแห่งนี่เป็นผลงานออกแบบชิ้นสุดท้ายของคุณ Kerry Hills สถาปนิกระดับตำนานผู้ออกแบบโรงแรมหรูมานับไม่ถ้วนทั่วโลก ก่อนที่เขาจะลาโลกไปในเดือนสิงหาคม 2018 ใช่แล้วครับ แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ได้มีโอกาสให้เห็นโปรเจ็คท์นี้แบบเสร็จสมบูรณ์เลย ตัวรีสอร์ทถูกออกแบบให้มีโมเดิร์นเรียบหรู ด้วยสีสันและเส้นสายที่สะอาดตา ทีมคุณ Kery Hills เลือกใช้รูปทรงเรขาคณิตที่เข้าใจง่ายแต่ก็มีรายละเอียดที่โดดเด่น วิลล่าส่วนใหญ่จากทั้งหมด 100 หลัง (เลขสวยจำง่ายมาก) ซึ่งมีทั้งแบบ Beach Front และ Overwater นั้นถูกดีไซน์ให้เป็นทรงกลมเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากกลอง Beru ท้องถิ่นของมัลดีฟส์นั่นเอง การเดินทาง ครั้งนี้เราเลือกสายการบิน SriLankan Airlines เป็นสายการบินประจำชาติของศรีลังกาและเป็นสายการบินสมาชิกของพันธมิตรสายการบิน Oneworld ซึ่งเราประทับใจการบริการ คุณภาพ รสชาติอาหารมาก แต่จะเสียเวลาเปลี่ยนเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมงที่เมือง Colombo Sri Lanka นะครับ แต่โดยรวมแล้วเราชอบมาก เครื่องบินใหม่ มีจอทีวีหนัง เพลงอัพเดทมาก เบาะกว้าง ไม่อึดอัด เสิร์ฟอาหารอร่อยด้วย พอเราลงที่สนามบิน Velana International Airport เราก็เดินทางต่อไปที่รีสอร์ทกันโดยเรือ Speed Boat โดยใช้เวลานั่ง 45 นาทีโดยประมาณก็จะถึง The Ritz-Carlton Maldives, Fari Islands เลยครับ ค่าเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ-มาเล่ คนละ THB 16,XXX ค่าเรือ Shared Luxury Boat ไปกลับ คนละ USD 500++ ค่าเรือ Private Luxury Boat ไปกลับ ลำละ USD 2,800++ ค่าเรือ Private Luxury Yacht ไปกลับ ลำละ USD 7,100++ ค่าเครื่องบิน Shared Seaplane ไปกลับ คนละ USD 1,400++ ค่าเครื่องบิน Private Seaplane ไปกลับ ลำละ USD 9,500++ The Arrival รีสอร์ทแห่งนี้อยู่ห่างจากสนามบิน Velana International Airport ไปทางเหนือประมาณ 45 กิโลเมตร ประมาณ 1 ชั่วโมงบนเรือสปีดโบ้ท หรือแค่เพียง 10-15 นาทีบน Sea Plane เท่านั้น หลังจากที่มาถึงแล้วสิ่งที่แขกจะได้รับก็คือความเป็นส่วนตัวแต่ก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งวิลล่าของเราด้วยนะครับ เพราะบางมุมของเกาะก็จะมีเรือรับส่งแขกวิ่งผ่านไปมา ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวแบบจริงจัง แนะนำให้ย้ำกับทาง Reservations ตอนจองห้องเพื่อเลือกวิลล่าหลังที่หลบสายตาคนที่สุด แต่ไม่ว่าจะอยู่วิลล่าหลังไหน สิ่งที่ไม่น่าเป็นห่วงคือการบริการครับ เพราะที่ Ritz-Carlton นั้นแน่นอนว่าพิเศษเหนือระดับอยู่แล้ว Villa ทุกหลังจะมี “Aris Meeha” หรือ Butler ประจำตลอด 24 ชั่วโมง Resort Map ที่นี่จะแบ่งเป็น 4 เกาะตามแผนที่เลยครับ Our Villa No.128 จากนั้นคุณ Novita (Butler ของเรา) ก็พามาเช็คอินที่ห้องของเรา โดยเค้าอัพเกรดให้เป็นห้อง Sunset Beach Pool Villa แต่หลังจากนี้เราขอย้ายกลับไปห้องที่จองมาครับ เพราะคุณแม่อยากนอนห้องแบบ Overwater Pool Villa Sunset มากกว่า เรามาดูห้องพักของเรากันดีกว่า ห้องนี้ชื่อ Sunset Beach Pool Villa ขนาดใหญ่ 155 ตร.ม. สามารถนอนได้สูงสุดผู้ใหญ่ 3 คน มีทางลงหาดด้านหน้า มีห้องอาบน้ำแต่งตัวแบบ walk in closet ห้องส้วม ราวแขวนเสื้อที่ใหญ่มากกกก มินิบาร์ที่นี่ก็ฟรีทั้งหมด ยกเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีของต้อนรับ มีทีวี มีลำโพง มีสระว่ายน้ำและพื้นที่นั่งพักผ่อนขนาดใหญ่ใช้ได้เลย Minibar รายการขนมและเครื่องดื่มทั้งหมดจะรวมอยู่ในราคาค่าห้องแล้วนะครับ ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจะเติมวันละ 1 ครั้งครับ ราคาห้องพักที่เราจองมาจะรวม Welcome in-villa amenity Daily turndown service and amenities Pressing Service at our courtesy on the day of arrival, up to 8 pieces per villa WIFI high-speed internet access in-villa and all public areas 24 hours Aris Meeha , your island butler for personalized experiences At our courtesy, non-alcoholic beverages and sweet & savory snacks in the honor-bar At our courtesy shared boat within the Fari Islands archipelago, as per the schedule Access to daily Resort activities, as per schedule Access to the fitness center, sauna & steam bath at our recreation area Access to the Ritz Kids area and daily activities calendar (for activities outside the daily schedule a charge applies) Access to Tennis court (Tennis Pro available for coaching at a fee) Non-motorized watersports activities: Stand Up Paddleboard / Kayak / Windsurfing / Catamaran Bathroom and Walk In Closet มาดูห้องน้ำกันดีกว่าครับห้องน้ำที่นี่ใหญ่มากๆ แบ่งเป็นโซน His & Her ราวแขวนผ้าคือยาวสุดๆ แขวนได้เป็นสิบๆ ชุดเลย ส่วน Amemities ของที่นี่ใช้ของ Bamford แบรนด์หรูที่เน้นความยั่งยืนจากอังกฤษนะครับ Pool Area and Beach Access บริเวณด้านนอกวิลล่าของเราก็มีโซฟา โต๊ะ เก้าอี้อาบแดด และมีทางเดินลงหาดเล่นน้ำได้เลย แต่โซนนี้ยุงจะเยอะนิดนึงนะครับ Move to Villa No.306 วันต่อมาเราได้ย้ายมาที่ห้องพัก Overwater Pool Villa Sunset เป็นห้องพักขนาดใกล้เคียงกับห้องแรก แต่ห้องนี้พิเศษตรงที่อยู่เหนือน้ำทะเล เราสามารถกระโดดลงไปว่ายน้ำดูปลาได้เลย แถมยังตื้นมากด้วยรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติสุดๆ Breakfast serve at La Locanda อาหารเช้าที่นี่เสิร์ฟเป็นแบบ Buffet และ A la carte มีครบมากครับทั้งอาหารเอเชียอาหารฝรั่งอาหารพื้นเมืองมัลดีฟ แต่สำหรับเรา เราชอบพวกเบเกอรี่มาก Restaurants ที่นี่มีร้านอาหารคอยเสิร์ฟความอร่อยให้กับเราถึง 7 ร้าน 7 สไตล์ (อย่าพลาดอาหารเลบานอนผสมอินเดียตอนเหนือที่ร้าน Arabesque นะครับ ปกติเราไม่ใช่แฟนอาหารอินเดียเลย ยังอร่อยติดใจมาจนถึงทุกวันนี้) และยังมีบาร์อีก 2 แห่ง EAU BAR ห้องอาหารสไตล์บีชคลับที่เสิร์ฟตั้งแต่อาหารทะเลสด ไปจนถึงพิซซ่าและดริ้งค์ต่างๆ LA LOCANDA ห้องอาหารเช้า และ อาหาร Southern Italian BEACH SHACK ห้องอาหารชิลๆสไตล์ Mediterranean เน้นจานแชร์ง่ายๆ ARABESQUE เป็นห้องอาหารเลบานอน ผสมอาหารอินเดีย SUMMER PAVILION ห้องอาหารจีน Cantonese เปิดเฉพาะมื้อเย็น IWAU ห้องอาหารญี่ปุ่น TUM TUM รถฟู้ดทรัคง่ายๆ สไตล์เอเชีย เปิดเฉพาะตอนเที่ยง ตั้งอยู่บนเกาะ Fari Marina Boutique หากใครยังจัดเสื้อผ้ามาไม่พร้อม ต้องมาแวะช็อปที่นี่ครับ The Boutique เค้าคัดสรรสินค้าแฟชั่นและแบรนด์เนมมาจากทั่วโลกรวมไปถึงแบรนด์โลคัล แบ่งเป็นส่วนของผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก ร้านตั้งอยู่ติดกับห้องอาหาร LA LOCANDA นะครับ บอกเลยว่าถูกจริตเราสุดๆ The Ritz-Carlton SPA Pool สระว่ายน้ำส่วนกลางของที่นี่ตั้งอยู่บริเวณบาร์ EAU BAR สามารถมานั่งรีแล็กซ์ได้ทั้งวันทั้งคืนเลยครับ ตกเย็นก็จะมีแสดงโชว์สั้นๆ Defining Moment พร้อมชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปพร้อมๆกันด้วย Defining Moment at EAU BAR Art สิ่งที่เราประทับใจที่สุดน่าจะ Vibe ของ “ความอาร์ท” ที่ทำให้ใจของเราระริกได้ตลอด นอกจากตัวรีสอร์ทและเกาะจะเป็นผลงานการดีไซน์ชั้นสูงในตัวอยู่แล้ว ที่เกาะ Fari Islands นี้มีการจัดแสดงงานศิลปะอยู่หลายจุด รวมไปถึงประติมากรรมทรงลูกบาศก์เรียบเท่อันเป็นอนุสรณ์เล็กๆเพื่อระลึกถึงคุณ Kerry Hills ด้วย Fari Marina Village นอกจากรีสอร์ทแล้ว ที่ Fari Islands ยังเป็นที่ตั้งของ Fari Marina Village ที่เป็นเหมือนชุมชนไฮเอ็นด์ส่วนกลางให้กับแขกของรีสอร์ททั้ง 3 ได้มาเพลินเพลินอย่างมีรสนิยม ทั้งในเรื่องอาหารการกิน ดนตรี ช้อปปิ้ง ความรู้ ศิลปะ ไปจนถึง Marina สำหรับจอดเรือยอทช์ เพราะที่นี่มีทั้ง Fari Beach Club ร้านอาหารหลากหลายสไตล์ ร้านค้าแบรนด์หรู ศูนย์ Marine Biology และที่เราชอบมากๆก็คืองาน Art Installation โดย James Turell ศิลปินผู้โด่งดัง เจ้าของผลงานห้องดูท้องฟ้าที่มีอยู่ในหลายๆมิวเซียมทั่วโลก สรุปความประทับใจ สำหรับเรื่องราคานั้นหากตัดสินใจจะมาเที่ยว Maldives เพื่อนๆก็คงได้ทำใจไว้ประมาณนึงอยู่แล้วเนอะว่าค่าครองชีพและค่าเดินทางนั้นค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเพื่อมาพักรีสอร์ทระดับ Ultra Luxury อย่าง Ritz-Carlton ด้วย แต่เป็นราคาสูงที่สมเหตุสมผลนะครับ คือเค้าต้องสร้างเกาะขึ้นมาใหม่ทั้งหมด การออกแบบก่อสร้างก็น่าจะยากลำบากพอตัว การบริหารจัดการวางระบบต่างๆ ไปจนถึงการเทรนพนักงานเพื่อให้ได้ตามมาตรฐาน Ritz-Carlton ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แถมแต่ละวันยังต้องขนส่งข้าวของและวัตถุดิบหลายอย่างมาจากแดนไกลเพราะหาไม่ได้บนเกาะอีกด้วย พอมาทบทวนดูดีๆมันน่าทึ่งมากที่ Maldives กลายมาเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวระดับไฮเอ็นด์ได้อย่างรวดเร็ว จากต้นยุค 70s ที่ George Corbin เอเจ้นต์ท่องเที่ยวชาวอิตาเลียนพานักท่องเที่ยวกลุ่มแรกมายังหมู่เกาะที่แทบไม่มีใครรู้จักและไม่มีรีสอร์ทเลยมาจนถึงวันนี้นั้น ต้องบอกว่า Maldives มาไกลมากจริงๆครับ Maldives นั้นมีโรงแรมที่หรูหราในระดับใกล้เคียง Ritz-Carlton อยู่หลายแห่ง การแข่งขันในตลาด Luxury ค่อนข้างสูงทีเดียว แต่ละแบรนด์ก็ล้วนพยายามตอบโจทย์ที่ต่างกันไป เราคิดว่า Ritz-Carlton นั้นสามารถนำเสนอคุณค่าและรสชาติที่แตกต่างในตลาดได้อย่างสมศักดิ์ศรีครับ และเราก็มีความสุขกับประสบการณ์เข้าพักที่ Ritz-Carlton Maldives ในครั้งนี้มาก โดยเฉพาะการที่เราได้มาที่นี่กับครอบครัว หากเพื่อนๆกำลังมองหาที่พักผ่อนติดทะเลที่ทั้งสงบเป็นส่วนตัวในบรรยากาศงานดีไซน์ที่เรียบหรู ใช้เวลาว่างไปกับการปล่อยอารมณ์ อ่านหนังสือ ทบทวนชีวิต ดำน้ำดูปลาดูปะการัง หรือปั่นจักรยานเล่นรอบเกาะ ไม่ว่าจะมากับครอบครัว คู่รัก หรือเพื่อนสนิทเราก็ขอแนะนำที่นี่เลยครับ จองห้องพักได้ที่นี่ #LetsHoparound #Hopstay #Maldives #RCMemories #EmbraceIslandLife #FariIslands
- Beijing เที่ยวปักกิ่ง ยิ่งใหญ่และใหม่มาก
Let's Hoparound Beijing รีวิวเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง ยิ่งใหญ่และใหม่มาก นานแสนนานที่เราแอบเล็งไว้ว่าอยากจะมาเยี่ยมชมมหานครปักกิ่งสักครั้ง เราจึงตื่นเต้นกับทริปปักกิ่งครั้งแรกนี้ของเราเป็นพิเศษ แม้จะเป็นทริปสั้นๆเพียง 4 วัน 3 คืน แต่เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนแห่งนี้ก็ทำให้เราประทับใจเกินคาดไปมาก ต้องใช้คำว่าเมืองเค้าเกรียงไกรจริงๆนะครับ เอาแค่เรื่องประวัติศาสตร์ก็สามารถย้อนกลับไปได้ไกลกว่า 3,000 ปีโน่นแน่ะ และถึงจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยปักกิ่งก็ยังคงยืนหนึ่งเป็นศูนย์กลางทั้งด้านการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการศึกษาของประเทศจีน มหาอำนาจอันดับ 2 ของโลก บ้านเมืองนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวและความเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ด้วยประชากรกว่า 22 ล้านคนที่เป็นแรงขับเคลื่อนทำให้เมืองใหญ่เมืองนี้มีอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา มาเถอะ เราจะพาไปสำรวจแบบรวบรัดกันดูว่าปักกิ่งในปี 2024 นั้นจะมีโฉมหน้าเป็นยังไงบ้าง โรงแรมพาร์คไฮแอท ปักกิ่ง (Park Hyatt Beijing) 北京柏悦酒店 รอบนี้เราเลือกนอนกันที่โรงแรม Park Hyatt Beijing แบรนด์ท็อปเทียร์ของเครือ Hyatt ที่นี่เป็นโรงแรมแบรนด์ Park Hyatt แห่งแรกที่เปิดให้บริการในจีน แค่ชื่อก็น่าจะการันตีความดีงามได้โดยแทบไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว แต่เราขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมกันอีกหน่อยละกันนะครับ (อุตส่าห์ไปค้นมา ฮ่าๆๆๆ) Park Hyatt Beijing ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของปักกิ่งบนอาคารที่สูงที่สุดบนถนน Chang’an Avenue มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากและที่นี่ไม่ได้มีแค่โรงแรมเท่านั้นนะครับ แต่ยังประกอบไปด้วย Park Hyatt Residence, Park Hyatt Penthouse โดยตัวโรงแรมจะตั้งอยู่บนชั้น 37 ถึง 49 และ 59 ถึง 67 ของ Beijing Yintai Center โดยชั้นล่างๆจะเป็นห้างหรู และอยู่ติดกับรถไฟใต้ดินสถานี Guamao เลย ตัวโรงแรมมีห้องพักและห้องสวีทให้บริการรวม 237 ห้อง ตกแต่งสไตล์จีนโมเดิร์นเน้นสีครีมสบายตา เรียบแต่โก้ ที่สำคัญวิวจากห้องพักทุกห้องนั้นเป็นแบบพาโนรามาผ่านกระจกบานใหญ่เห็นวิวเมืองปักกิ่งแบบไม่มีอะไรมาบังเลย และทุกห้องก็จะมีระบบฟอกอากาศที่ทำงานเงียบเชียบมาก สามารถดักจับอนุภาค PM2.5 ได้ชะงัด ช่วยให้อากาศในห้องสะอาดสดชื่นปลอดภัยไร้กังวล จองโรงแรม Park Hyatt Beijing ได้ที่นี่ ตัวโรงแรมเพิ่งได้รับการปรับปรุงไปเมื่อปี 2019 ทุกอย่างจึงดูใหม่มากๆ นอกจากห้องพักสวยๆแล้ว ทางโรงแรมยังมี ร้านอาหารและบาร์อีก 3 แห่งไว้ให้บริการด้วยนะครับ แต่ถ้ายังไม่จุใจด้านล่างของตึกนั้นเป็นห้างไฮเอนด์ชื่อ in01 มีครบทั้งช้อปปิ้ง บันเทิง ฟิตเนส และร้านอาหาร ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อเลยครับ ห้องพักของเราเป็นห้อง 1 King Bed ขนาดห้อง 45 ตร.ม. เป็น Room Type มาตรฐานที่ดีมากเลยล่ะครับ ตอบโจทย์ทุกความต้องการในทริปนี้ของเรา พื้นที่ในห้องแบ่งสัดส่วนลงตัวมาก ไม่รู้สึกอึดอัดเลยครับ แต่ถ้าใครอยากได้ห้องพิเศษกว่านี้ก็มีอีกหลายประเภท ห้องใหญ่สุดก็คือ 240 ตร.ม.กันไปเลย คุณภาพเครื่องใช้ภายในห้องดีเลิศครับ เตียงนุ่มสบายกำลังดีปูด้วยผ้าปูเตียงความละเอียด 300 เส้นด้ายและผ้านวมขนเป็ด สมาร์ททีวีจอแบนขนาดใหญ่และมีเดียฮับในตัว โซนมินิบาร์มีเครื่องชงกาแฟและกาต้มน้ำสำหรับชงชาเตรียมไว้ให้บริการ ตู้เสื้อผ้าเป็นแบบ Walk-in ห้องน้ำแบ่งโซนแห้งโซนเปียกเป็นสัดส่วน มีทั้งฝักบัวและอ่างอาบน้ำ หน้าตาอาหารเช้าที่นี่น่ากินมั้ยครับ มีให้เลือกสั่งทั้งแบบ A la carte และ ตักเองแบบ Buffet จัดเต็มมากเลย สรุปสั้นๆคือถ้ามาเที่ยวปักกิ่งและพอจะมีงบ เราก็แนะนำให้นอนที่นี่นะครับ สำรองห้องพัก: จองโรงแรม Park Hyatt Beijing ได้ที่นี่ เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง การเดินทาง: สถานี Guomao เดิน 1 นาทีจากทางออก C Location: https://maps.app.goo.gl/jKJKsdQni3rW7q1x5 ย่านวัยรุ่นช้อปปิ้ง Sanlitun (ซานลี่ถุน) เป็นอึกหนึ่งย่านที่มาปักกิ่งแล้วต้องมาแวะ เพราะที่นี่จะรวมเอาทุกแบรนด์บนโลก ร้านอาหารดังๆ เบเกอรี่ คาเฟ่ รวมไปถึงแบรนด์โลคอลของจีนด้วย แต่ละร้านก็ไม่ได้มีแค่ชั้นสองชั้นเท่านั้นนะครับ บางร้านคือเหมาตึกทั้งตึกเลย ตอนที่เราไปตึก Louis Vuitton Flagship Store และ Dior Flagship Store กำลังก่อสร้างอยู่ ถ้าสร้างเสร็จน่าจะยิ่งใหญ่มากเลย นอกจากพวกร้านแบรนด์เนม เค้ายังมีร้านให้ได้นั่งอ่านหนังสือกัน 24 ชั่วโมงอีกด้วยนะ แถมถนนหนทางฟุตบาทคือทำดีมาก เดินกันเพลินเลยครับ เวลาเปิดปิด: ตามเวลาเปิดปิดของแต่ละร้าน การเดินทาง: MRT Line 10 สถานี Tuenjiehu ทางออก A แล้วเลี้ยวขวาที่สี่แยกตรงหน้า เดินตรงไปอีกประมาณ 400 เมตร พระราชวังต้องห้าม Forbidden City เพื่อนๆสามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ https://bookingticket.dpm.org.cn/ โดยต้องจองล่วงหน้า 7 วัน ประมาณ 1 ทุ่มเวลาไทย เฝ้าจอได้เลยครับ โดยรอบเช้าเปิดให้เข้าชมเวลา 8:30 - 12:00. รอบบ่ายเปิดให้เข้าชมเวลา 11:00 เป็นต้นไป บางทีถ้าตรงกับวันหยุดยาวจีนก็จะหมดเร็ว แนะนำให้ไปแบบเลี่ยงวันหยุดยาวจีนนะครับ พระราชวังต้องห้าม หรือ The Forbidden City คือนครที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิจีนในอดีต เป็นที่ประทับของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง รวมทั้งสิ้น 24 พระองค์ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่งเลยครับ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ จักรพรรดิลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์หมิงผู้ย้ายราชธานีจากนานกิงมาปักกิ่ง การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1406 หลังจากขับไล่ชาวมองโกออกนอกกรุงปักกิ่งได้หมด ใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น 14 ปี ปัจจุบันพระราชวังต้องห้ามเป็นหนึ่งในเกือบ 20 สถานที่ในปักกิ่งที่ได้รับการคุ้มครองจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ในอดีตพระราชวังแห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูงยังต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า "พระราชวังต้องห้าม" แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหลังการปฏิวัติประเทศจีนให้เป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ.1911 ถึงแม้ในปัจจุบันจะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมในหลายๆจุดของพระราชวังแล้ว แต่ภายใต้ความยิ่งใหญ่นี้ก็น่าจะยังคงมีความลับต้องห้ามซุกซ่อนตัวอยู่อีกมาก เรามาดูความเว่อร์วังอลังการของพระราชวังต้องห้ามกันดีกว่าครับ เนื้อที่ทั้งหมดคือ 720,000 ตารางเมตร คือใหญ่กว่าพระบรมมหาราชวังของไทยเรามากกว่า 3 เท่า มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง มีตำหนัก 800 องค์ พระที่นั่ง 750 และหอบูชาหลายหอ ศาลา หอพระสมุด รวมห้องลับอีกมากมาก มีสวน ลานกว้าง และทางเดินเชื่อมโยงถึงกันโดยตลอด มีคูและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตรล้อมรอบ ในการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนั้นต้องใช้สัตว์ลากจูงหลายพันตัว ช่างฝีมือกว่า 100,000 คน คนงานมากกว่า 1,000,000 คน และใช้อิฐกว่า 10,000,000 ก้อนเพื่อปูพื้นพระราชวัง วัสดุที่ใช้สร้างอาคารนั้นเป็นวัสดุชั้นยอดที่คัดมาจากทั่วประเทศจีน ทั้งไม้ “หนานมู่” จากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนนาน ไม้ซุงจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน หินแกร่งหนักอึ้งจากฟ่างซานที่ถูกตัดออกมาเป็นก้อนๆยาวถึง 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร แค่การขนส่งวัสดุอย่างเดียวก็ต้องใช้ทั้งทรัพยากรและแรงงานมากมายมหาศาลเพราะประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลมีหลากหลายภูมิประเทศ และภูมิอากาศมาก โดยเฉพาะไม้จากเขตภูเขาสูงและหินจากเขตหนาวเยือกแข็งก็ยิ่งลำบากเป็นพิเศษ Opening hours ปิดวันจันทร์ April 1st - October 31st 8:30 am - 5:00 pm Last Entry 16:00 November 1st - March 31st 8:30 am - 4:30 pm Last Entry 15:30 เพื่อนๆสามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ https://bookingticket.dpm.org.cn/ สวนสาธารณะจิงซาน (Jingshan Park) อยู่ติดกับพระราชวังต้องห้ามทางฝั่งเหนือ สวนแห่งนี้เคยเป็นสวนของจักรพรรดิในราชวงศ์หยวน หมิง และชิง นอกจากแมกไม้นานาพรรณแล้ว จุดที่สูงที่สุดของสวนจะเป็นที่ตั้งของพระตำหนักว่านชุน (Wanchun Pavillion) ซึ่งในอดีตเคยเป็นจุดที่มีความสูงที่สุดในตัวเมืองปักกิ่งชั้นใน ปัจจุบันที่นี่จึงเป็นจุดชมวิวพระราชวังต้องห้ามจากมุมสูงได้แบบพาโนรามาเลยครับ เวลาเปิดปิด: 6:00 am - 9:00 pm การเดินทาง: MRT Line 8 สถานี Shichahai ออกทางออก C แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 914 เมตร สามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ด้านหน้าทางเข้า Voyage Coffee (Sanlihe Park Branch) Voyage Coffee เป็นแบรนด์คาเฟ่ฟีลโฮมมี่ของปักกิ่ง มีอยู่หลายสาขาแต่เราเลือกมาที่สาขาในสวนสาธารณะ Sanlihe Park (น่าจะอ่านว่า “ซานลี่เหอ“ นะครับ) เพราะมีบรรยากาศร่มรื่นสบายๆริมน้ำ บางทีก็มีน้องเป็ดน้องไก่จากละแวกใกล้เคียงเดินผ่านมาอวดโฉมกันด้วย แต่ไม่ว่าจะนั่งข้างนอกหรือข้างในก็ชิลไม่แพ้กัน เพราะด้านในร้านก็มีโซนหนังสือท้องถิ่นให้เลือกอ่านด้วย และต่อให้เราอ่านภาษาจีนไม่ออกแต่การที่มีมุมหนังสืออยู่ในร้านก็ช่วยสร้าง Vibes ดีๆได้อย่างบอกไม่ถูก ร้านนี้ดังทั้งกาแฟและขนม โดยเฉพาะกาแฟ Dirty แต่เราสั่ง Americano กับสปาร์คลิ่งยูสุ ซึ่งก็รสชาติดีทั้ง 2 แก้วเลย เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 6:00 pm ทุกวัน การเดินทาง: MRT Line 7 สถานี Qiaowan ออกทางออก D แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 10 นาที Li Qun Roast Duck Restaurant ร้านเป็ดปักกิ่งชื่อดังเจ้าเก่าของเมือง เปิดมาตั้งแต่ปี 1992 (เมื่อก่อนเจ้าของเคยเป็นเชฟของร้านดังอีกร้าน แต่ลาออกมาเปิดร้านที่บ้านตัวเอง) ร้านนี้ยังคงย่างเป็ดด้วยวิธีการดั้งเดิม โดยใช้ฟืนจากไม้แอ๊ปเปิ้ลและไม้สาลี่ที่จะมีกลิ้นหอมผลไม้อ่อนๆในควันไฟ ร้านเป็ดปักกิ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านแนวภัตตาคาร แต่ร้านนี้เป็นฟีลบ้านๆเลย แต่ประเด็นหลักของการมาร้านอาหารก็คือรสชาติ ซึ่งสำหรับเรานั้นอาหารอร่อยถูกปากแทบทุกจานที่สั่งมา เป็ดปักกิ่งหนังกรอบบาง เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำไร้กลิ่นสาบ อีกจานที่เราชอบมากไม่แพ้กันก็คือปลาทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ส่วนเรื่องราคาก็ถือว่ารับได้ครับ ไม่ได้ถูกแต่ก็ไม่ได้แพงจนเหมือนถูกปล้น สั่งเป็ดมา 1 ตัว ราคาประมาณ 1,600-1,700 บาท แบ่งกันกิน 5 คนได้กำลังดีครับ แต่เราก็สั่งอย่างอื่นมากินด้วยอีกหลายอย่างเหมือนกันนะครับ ฮ่าๆๆๆ เวลาเปิดปิด: 10:30 am - 10:00 pm ทุกวัน การเดินทาง: MRT Line 7 สถานี Qianmen ออกทางออก D แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร Wangfujing Street ถนนคนเดินหวังฟู่จิง 王府井大街 ตั้งอยู่ฝั่งขวาของพระราชวังต้องห้าม เป็นย่านที่ใครมาปักกิ่งครั้งแรกต้องแวะ เพราะ ที่นี่มีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านแบรนด์เนมให้เลือกชิมเลือกช้อปเยอะแยะมากมาย รวมไปถึงร้าน POPMART ยอดฮิตด้วยนะครับ ร้านเยอะคนก็เยอะด้วยเช่นกัน ให้อารมณ์แบบชินจูกุที่โตเกียว สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยรถไฟใต้ดินสถานี Wangfujing สายสีเขียวเข้ม หรือ แดงเข้ม Aesop Wangfujin WF CENTRAL House 19 ที่นี่เป็นร้านเอสอปสาขาแรกในจีนเปิดตัวช่วงปลายปี 2022 ตั้งอยู่ในย่านหวังฝูจิ่งของกรุงปักกิ่งภายในอาคารสีเหอหยวนซึ่งหมายถึงบ้านแบบจีนโบราณที่มีลานร่มรื่นอยู่กลางบ้าน จึงให้บรรยากาศที่ดูแปลกตาไปกว่าร้านอื่นๆของ Aesop บ้านหมายเลข 19 หลังนี้เป็นแบบจำลองของที่อยู่อาศัยของลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดิปูยี ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์คลาสสิกแบบราชวงศ์หมิงผสมกับองค์ประกอบอื่นๆที่มีความร่วมสมัย นอกจากสินค้าทั่วไปของ Aesop แล้ว สาขานี้ยังแบ่งพื้นที่พิเศษให้กับน้ำหอมคอนเส็ปต์ไม่เหมือนใครของแบรนด์ ถึงกับมีห้องส่วนตัวสำหรับทดลองกลิ่นโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีโครงการ Rinse and Return ของแบรนด์ โดยนำบรรจุภัณฑ์ Aesop ที่ใช้หมดแล้ว ล้างให้สะอาดแล้วมาคืนที่ร้าน เพื่อนำไปรีไซเคิลต่อ เป็นแนวคิดที่ดีมากครับ (แต่แอบคิดว่าน่าจะมีการแลกเปลี่ยนให้ส่วนลดในบิลถัดไปเพื่อเป็นแรงจูงใจเพิ่มเติมซักหน่อย อิอิ) ใครมีเวลาแวะไปดูได้น้าา ร้านเอสอปสาขานี้อยู่ใกล้กับ Dover Street Merket Beijing เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 10:00 pm เปิดทุกวัน การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน Line 1 สถานี Wangfujing ทางออก C2 หรือ B. กำแพงเมืองจีน (Mutianyu ด่านมู่เถียนยวี่) ว่ากันว่าใครมาปักกิ่งแล้วไม่มากำแพงเมืองจีน ถือว่ามาไม่ถึง ฮ่าๆ เราเลยบุ๊คตั๋วแล้วมาสำรวจกำแพงเมืองจีนโดยไม่รีรอ กำแพงเมืองจีนเริ่มก่อสร้างมาเมื่อ 2,200 กว่าปีที่แล้ว (ตั้งแต่ก่อนพระเยซูเกิดอีกอ่ะ) และมีความยาวรวมกว่า 20,000 กิโลเมตร ฉะนั้นจึงมีจุดให้เข้าชมได้หลายจุดมาๆ สำหรับครั้งแรกครั้งนี้ของเรา เราเลือกมากำแพงเมืองจีนที่ด่านมู่เถียนยวี่ (Mutianyu) บอกเลยว่าประทับใจมาก! ที่นี่เป็นหนึ่งในด่านที่สภาพของกำแพงยังสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ที่สุด จุดเด่นของด่านนี้ คือ ทางเดินง่าย วิวสวย มีหอคอยเยอะ เดินทางง่ายจากปักกิ่งแค่ 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น แถมยังมีให้เลือกขึ้นไปชมกำแพงเมืองจีนแบบทั้งกระเช้าลอยฟ้า (cable car) แบบกั้นหมด กับ แบบไม่มีอะไรกั้น และลงแบบรางสไลด์ (toboggan) ที่ทำให้การเดินทางขึ้นลงกำแพงสะดวกสุด ๆ เหมาะกับการพาครอบครัวและเด็ก ๆ มาเที่ยวมาก และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก บริการต่าง ๆ สำหรับนักท่องเที่ยว ห้องน้ำก็ถือว่าสะอาดมากนะครับ สามารถซื้อทัวร์ได้ที่: https://www.beijingmubus.com/ โดยรถทัวร์แต่ละวันจะมีออกจากปักกิ่ง 2 รอบ คือ 8:00 AM และ 10:00 AM Meeting Point: ขึ้น Subway Line 2 หรือ Line 13 มาลงสถานี Dongzhimen Station(东直门地铁B口)ออกทางออก B แล้วมองหาคนถือธง MUBUS สีแดง To Summer | 观夏 แบรนด์เครื่องหอมสัญชาติจีนจากปักกิ่งเองที่เน้นการปรุงกลิ่นจากพืชพรรณแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นดอกหอมหมื่นลี้ มะลิ กล้วยไม้ ไผ่ ส้มพันธุ์ต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้งานดีไซน์แบรนดิ้งต่างๆก็จะใส่แนวคิดแบบตะวันออกผสมลงไปในความโมเดิร์นและมินิมอลไว้ได้อย่างลงตัว เช่น ฝาขวดน้ำหอมทรง 8 เหลี่ยม เป็นต้น ซึ่งเราชอบมากครับ ภายในร้านมีสินค้าทั้ง Home Fragrances ไปจนถึง Niche Perfume ราคาก็อยู่ในระดับกลางค่อนสูง แม้แบรนด์จะเปิดตัวได้ไม่นานแต่เราสัมผัสได้ถึงความฮิตกำลังติดตลาดอย่างรวดเร็วในหมู่คนจีนที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้นกว่าแบรนด์จากชาติตะวันตก ส่วนเราเองก็โดนไป 1 ขวดเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ 观夏 To Summer ในปักกิ่งมี 5 สาขา ส่วนสาขาที่เราไปตั้งอยู่ชั้น 1 ห้าง China World Mall ตรงข้าม Park Hyatt Beijing เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 10:00 pm เปิดทุกวัน การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Guomao Dover Street Market Beijing ร้านรวมแบรนด์สตรีทแฟชั่นสุดล้ำโดย Rei Kawakubo แห่ง Comme Des Garçons มีหน้าร้านอยู่ในเพียง 7 เมืองทั่วโลก และปักกิ่งก็คือหนึ่งในนั้น สาขานี้มีพื้นที่ถึง 3 ชั้นซึ่งเต็มไปด้วยไอเท่มพิเศษที่คัดสรรมาจากกว่า 60 แบรนด์เฉพาะกลุ่มตั้งแต่ Stüssy, Lemaire, Miu Miu, Dries Van Noten, Sacai, The Row และอีกมากมาย แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือไลน์สินค้าที่แตกแยกย่อยของ Comme Des Garçons เอง สายสตรีทแวร์ห้ามพลาดนะครับ ร้าน Dover Street Merket Beijing อยู่ในย่าน Wangfujing street เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 10:00 pm เปิดทุกวัน การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Jinyu Hutong Documents อีกหนึ่งแบรนด์เครื่องหอมจากแดนมังกรที่กำลังมาแรงเตรียมตัวไประดับโลกเพราะได้เงินอัดฉีดก้อนโตจาก Ushopal Group บริษัทบิวตี้เจ้าใหญ่ของจีน Documents เป็นแบรนด์ที่ถือกำเนิดขึ้นที่ Shanghai อีกเมืองยักษ์ใหญ่ของจีน แม้จะโฟกัสไปที่วัตถุดิบท้องถิ่นในการปรุงกลิ่นเช่นเดียวกับแบรนด์ To Summer แต่คาแรคเตอร์ของสินค้าและการสื่อสารแบรนด์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง Documents จะเน้นไปที่วิถีชีวิตคนเมืองที่มีความล้ำสมัยกล้าที่จะแหวกแนว ซึ่งก็สอดคล้องกับคาแรคเตอร์ของเซี่ยงไฮ้ที่มีความเป็นเมืองยุคใหม่มากกว่าปักกิ่ง กลิ่นของ Documents นั้นมีโน้ตของโป๊ยกั๊ก ถั่ววอลนัท ดอกยูหลานแมกโนเลีย ไปจนถึงต้นจิงจูฉ่าย และราคาน้ำหอมก็เริ่มต้นตั้งแต่ขวดละประมาณ 4,000 บาทเลยทีเดียว สาขาที่เราไปตั้งอยู่ชั้น 1 ห้าง China World Mall ตรงข้าม Park Hyatt Beijing เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 10:00 pm เปิดทุกวัน การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Guomao ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.instagram.com/documentsperfume/ สรุปความประทับใจ เราตกหลุมรักเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนแห่งนี้เข้าอย่างจังเลยล่ะ นอกจากบ้านเมืองจะสะอาดทันสมัยยิ่งใหญ่อลังการแล้ว สิ่งที่เกินคาดที่สุดกลับเป็นผู้คนที่เฟรนด์ลี่มากๆพร้อมช่วยเหลือตลอด แม้จะสื่อสารกันคนละภาษาต้องแปลกันผ่านแอ๊ป แต่เราก็รู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรที่จริงใจ ส่วนอาหารก็ถูกปาก (ตัดสินเฉพาะจากร้านที่เราเลือกไปกินนะครับ) การเดินทางก็สะดวกปลอดภัย ที่ถูกใจอีกเรื่องก็คือทั้งเมืองนั้นขับรถไฟฟ้ากันเกือบทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการแก้ปัญหามลพิษของทั้งรัฐบาลและประชาชน ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เราแทบจะไม่ได้กลิ่นควันรถหรือได้ยินเสียงรถเลยครับ ถ้าจะมีก็น่าจะมาจากบุหรี่บ้างเพราะคนปักกิ่งสูบบุหรี่จัดมากกกก 4 วันที่ปักกิ่งนี้ทำให้เรารู้เลยว่าเวลาแค่นี้ไม่พอครับ ฮ่าๆๆๆ เพราะยังมีอีกหลายสิบย่านที่เรายังไม่ได้ไปสำรวจ รอบหน้าจะเผื่อเวลามากขึ้นและจะกลับมาเที่ยวเมืองปักกิ่งอีกแน่นอน #LetsHoparound #Beijing
- The Tokyo EDITION, Toranomon เดอะ โตเกียว เอดิชั่น โทราโนมง
รีวิวโรงแรม The Tokyo EDITION, Toranomon เดอะ โตเกียว เอดิชั่น โทราโนมง EAST MEETS WEST กลับมาโตเกียวในรอบหลายปี!! เลยอยากมาลองพักที่โรงแรม The Tokyo EDITION, Toranomon เดอะ โตเกียว เอดิชั่น โทราโนมง เพราะเป็นแบรนด์ในเครือแมริออตที่เราชื่นชอบสไตล์มินิมอลของแบรนด์มากๆ แบรนด์ The EDITION ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Lan Schrager ผู้สร้างแบรนด์โรงแรมระดับตำนาน ร่วมกับ Marriott International เครือโรงแรมระดับโลก เป็นแบรนด์ Top สุดของเครือแมริออท The Tokyo EDITION, Toranomon เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมานี่เอง (ช่วงโควิดพอดี) เราชอบการตกแต่งอย่างอบอุ่นด้วยพื้นไม้ ผนังไม้ และเพิ่มเติมด้วยต้นไม้สีเขียว ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเตรียมพร้อมสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง จองโรงแรม The Tokyo EDITION Toranomon ราคาพิเศษคลิ๊กที่นี่ Overview โรงแรมตั้งอยู่ที่ชั้น 31–36 ของตึกระฟ้าใจกลางโตเกียวอย่าง “Tokyo World Gate” อยู่ในย่านธุรกิจ Kamiyachō ในทำเลที่สะดวกสบายติดกับจุดเชื่อมต่อรถไฟใต้ดินหลายสาย ทำให้สามารถเดินทางไปยังสถานที่ยอดนิยมอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง เช่น รปปงหงิ หรือ กินซ่า หรือไกลออกไปได้อย่างง่ายดายมาก ห่างจากสถานที่ที่ดีที่สุดของโตเกียวเพียงไม่กี่ก้าว ประกอบไปด้วยห้องพัก 206 ห้อง รวมถึงห้องสวีทอีก 22 ห้อง พร้อมกับทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของโตเกียว มีให้บริการห้องอาหารทั้งหมด 3 ห้อง มองเห็นวิวโตเกียวทาวเวอร์ ล็อบบี้เลาจน์ บาร์เลานจ์ 3 แห่ง สปาพร้อมห้องทรีตเมนต์ 6 ห้อง ยิมพร้อมเครื่องเล่นที่ทันสมัย และสระว่ายน้ำสีน้ำเงินสุดโดดเด่น The Arrival ล็อบบี้ที่นี่จะอยู่ที่ชั้น 31 เราจะต้องกดลิฟต์ขึ้นมาจากชั้น 1 เมื่อลิฟต์เปิดมาเราจะเจอกับเก้าอี้ที่ตั้งเป็นงานอาร์ตและรูปถ่ายขนาดเล็ก ติดเรียงรายไปตลอดทางเดินที่ทอดยาวไปยังล็อบบี้และจุดสำหรับเช็คอิน ซึ่งล็อบบี้ที่นี่สวยมาก รู้สึกร่มรื่นเพราะเค้าตกแต่งด้วยต้นไม้กว่า 500 ต้นเลย แบ่งเป็นมุมต่างๆ ผ่อนคลายและดูไม่อึดอัด Our Room เราพักห้อง DELUXE เตียงคิงไซส์พร้อมวิวเมือง ขนาด 42 sqm ห้องพักที่นี่ออกแบบโดยสถาปนิกที่เราชอบมากที่สุดคนนึงในญี่ปุ่นเลย คือ คุณ Kengo Kuma ห้องมีความเรียบง่ายมาก มีเส้นสายที่สะอาดตาและขอบที่คมชัดตลอดแนวใช้สีออร์แกนิก เช่น พื้นไม้โอ๊คสีขาวพร้อมเฟอร์นิเจอร์สีเบจและสีขาว ให้ความโฮมมี่มินิมอลสุดๆ เหมาะกับการพักผ่อนมาก Amenities สิ่งที่ชอบสุดในห้องก็หนีไม่พ้น Amenities กลิ่นหอมละมุนสั่งทำพิเศษจากแบรนด์ Le Labo ใครอยากนำกลับบ้านก็ขวดละแค่ 8,000 JPY เท่านั้นนนนน Gym & Pool สำหรับโรงยิมที่นี่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะครับ อุปกรณ์สุดไฮเทคโดย Technogym พร้อมอุปกรณ์มัลติฟังก์ชั่นล้ำสมัยกว่า 17 รายการที่คอยเติมเต็มความฟิตและสุขภาพที่ดีให้กับคนรักการออกกำลังกาย ส่วนพื้นที่สระว่ายน้ำที่นี่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากๆ ออกแบบเหมือนเรือนกระจกพร้อมหน้าต่างบานสูงเพื่อรับแสงจากธรรมชาติ แต่เสียดายที่ไม่มีวิวให้ชมเลย ส่วนตัวรู้สึกแอบอึดอัดนิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าสะอาดและใหม่มากๆ สรุปความประทับใจ สำหรับเราค่อนข้างชอบที่นี่ เพราะมันมีสไตล์การตกแต่งของแบรนด์ชัดเจนมากๆ เดินทางสะดวก อยู่ใจกลางเมือง ใครสนใจอยากมาพักที่นี่เราแนะนำเลยครับ สำรองห้องพัก: https://www.editionhotels.com/tokyo-toranomon จองโรงแรม The Tokyo EDITION Toranomon ราคาพิเศษคลิ๊กที่นี่ #LetsHoparound #HopStay #TheTokyoEdition #Toranomon #TheEdition #TheEditionHotel #Marriott #MarriottBonvoy
- AMANPURI จิตวิญญาณแห่งความลักชูรี่ ณ สถานที่แห่งความสงบสุข
AMANPURI จิตวิญญาณแห่งความลักชูรี่ ณ สถานที่แห่งความสงบสุข “Welcome to Paradise!” ไม่ใช่คำพูดของพนักงานหรอกนะครับ แต่มาจากแขกต่างชาติที่บังเอิญเดินผ่านมาตอนที่เราเพิ่งมาถึงสวรรค์บนดินที่มีอายุกว่า 30 ปีแห่งนี้ แม้ว่าจะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่คลื่นพลังพิเศษบางอย่างของ อมันปุรีก็ส่งเข้ามากระทบให้หัวใจเราพองโตได้แบบไม่พลาดเป้าเลยสักครั้ง คราวนี้เราจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ 2 คืน 3 วัน และตั้งใจว่าจะจัดสรรเวลาทำกิจกรรมในมุมต่างๆของรีสอร์ทให้มากที่สุด จะได้เก็บภาพมาฝากได้ครบ แต่แน่นอนว่าเราทำได้ “เกือบ”สำเร็จเลยนะครับ :D ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา ขออนุญาตแจ้งข่าวดีกันก่อนเลยว่า hoparound.co มีดีลลับร่วมกับ Amanpuri ในแคมเปญ Closer to Home ซึ่งพิเศษทั้งในเรื่องของเรทค่าห้องและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกหลายรายการเลย คลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ Exclusive Rate for Hoparound.co Fans !! ราคาพิเศษเฉพาะ Hoparound.co เท่านั้น!! Amanpuri Phuket Review รีวิวอมันปุรี ภูเก็ต Aman The Arrival ที่สนามบินภูเก็ต หลังจากที่เราได้สัมภาระครบเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมาพบกับพี่คนขับรถที่ชูป้าย AMANPURI รอเราอยู่ รถ BMW ที่มารับเรานั้นกว้างขวาง มีน้ำดื่ม ขนม และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แม้แต่สายชาร์จมือถือก็มีเตรียมให้เช่นกัน พี่คนขับรถแจ้งเราอย่างสุภาพว่าจะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินทางถึงโรงแรม แต่ความรู้สึกของเราเหมือนเร็วกว่านั้นมากเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนตัวที่ไร้ป้ายชื่อรีสอร์ทใดๆ ไม้กั้นที่ป้อมยามยกขึ้นเปิดทางให้เราเข้าสู่ความร่มรื่นของแมกไม้ที่ขนาบสองข้างทาง บอกให้เรารู้ว่าเรากำลังเข้าสู่อีกเขตแดนหนึ่งที่ถูกสงวนรักษาไว้เป็นอย่างดี เส้นทางที่ขึ้นๆลงๆแม้ไม่ได้ชันมาก แต่ก็ทำให้เรารับรู้ถึงสภาพภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา เพราะอมันปุรีตั้งอยู่บนเนินแหลมส่วนตัวทางทิศตะวันตกของเกาะภูเก็ต ศาลาเรือนไทยอยุธยาหลังคาสีเทาสะอาดตาเริ่มปรากฏให้เห็น และเมื่อรถจอดลงตรงจุดเทียบรถของล็อบบี้ เสียงฆ้องก็ดังกังวาลขึ้นพร้อมกับการยกมือไหว้อันพร้อมเพรียงกันของทีมต้อนรับที่มายืนเรียงหน้ากระดานรอการมาถึงของเรา เป็นการต้อนรับที่เปี่ยมไปด้วยความใส่ใจจนเรารู้สึกเหมือนได้กลับมายังบ้านอีกหลังของเรา แคมเปญ Closer to Home คงมีที่มาจากความรู้สึกนี้นี่เอง ทันทีที่เราลงจากรถ พนักงาน (ซึ่งจำชื่อพวกเราได้!) ก็นำเอาพวงมาลัยดอกไม้สดสีขาวมาคล้องคอต้อนรับ พร้อมกับเสนอผ้าเย็นกลิ่นมะลิหอมสดชื่นให้เราได้เช็ดเหงื่อไคล ยิ่งเมื่อได้ดื่ม Welcome Drink เย็นๆก็ยิ่งทำให้เรากระชุ่มกระช่วยขึ้นมาทันที แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับบ้านจริงๆเท่ากับบทสนทนาที่สุภาพและคุ้นเคยดุจมิตรที่รู้จักกันมานาน เพื่อความผ่อนคลายสูงสุดของแขกที่เข้าพัก Amanpuri จะไม่ทำการเช็คอินกันที่ล็อบบี้ แต่พนักงานต้อนรับจะพาเราไปส่งถึงเรือนพัก เพื่อแนะนำการใช้อุปกรณ์ในทุกๆจุดและช่วยกรอกเอกสารเช็คอินกันในห้องของเราเลย Overview Amanpuri แปลว่า A Place Of Peace (สถานที่แห่งความสงบ) มีเนื้อที่กว่า 236 ไร่บนเนินแหลมส่วนตัวที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวสูงชะลูดตัดกันกับสีฟ้าไล่เฉดของทะเลอันดามัน แหลมนี้อยู่ระหว่างหาดสุรินทร์และหาดบางเทา โดยจุดที่ Amanpuri ตั้งอยู่นั้นมีหาดพันทรีซึ่งมีลักษณะเป็นหาดปิดที่สวยมาก จึงกลายเป็นหาดส่วนตัวสำหรับแขกของ Amanpuri และ The Surin Phuket ที่อยู่ติดกันไปโดยปริยาย จาก Landscape ที่เลอค่าอยู่แล้วนั้น เมื่อได้รับการดูแลงานสถาปัตยกรรมทั้งหมดโดยคุณ Ed Tuttle ปรมาจารย์ด้านสถาปัตย์ระดับโลกที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อปี 2020 จึงยิ่งทำให้ Amanpuri นั้นเป็นดั่งสรวงสวรรค์ที่มนุษย์สร้างขึ้นดีๆนี่เอง โดยตัวอาคารทั้งหมดในรีสอร์ทคุณ Tuttle ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรือนไทยทรงอยุธยาแต่นำมาปรับแต่งเส้นสายและสีสันให้เกลี้ยงเกลาและรองรับประโยชน์ใช้สอยที่ทันสมัยมากขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าเรือนไทยสไตล์อยุธยาจะทั้งโดดเด่นและกลมกล่อมไปกับบริบททะเลอันดามันและทิวมะพร้าวได้ราวกับถูกร่ายมนตร์ พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งเป็น 3 โซนหลักๆครับ โซนแรกเป็นโซนรีสอร์ท (68 ไร่) ที่ไม่ได้มาเป็นห้อง แต่มาเป็นเรือนพักทรงไทยอยุธยาแยกหลังกันทั้งหมด 40 หลัง ซึ่งที่นี่จะเรียกว่า Pavilion (พาวิลเลี่ยน) มีหลายขนาด หลายวิว หลายราคาเลือกกันได้ตามสะดวกเลยครับ สอบถามได้ที่แผนก Reservation โดยตรงนะครับ โซนต่อมาเป็นโซน Holistic Wellness Center (17 ไร่) ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมด้วยทีมงานมืออาชีพในแต่ละด้าน พร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัยครบครัน มีหลายโปรแกรมให้เลือกเข้าร่วมตั้งแต่นวดผ่อนคลาย ลดน้ำหนัก โยคะ ฝึกสมาธิ ฟื้นฟูร่างกาย บำบัดด้วยน้ำ ไปจนถึงการเสริมสร้างความฟิตตามโจทย์ของแต่ละคน และโซนสุดท้ายก็คือโซน Private Villas มีทั้งสิ้น 44 หลังซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ที่สุดกว่า 150 ไร่ เดาได้ไม่ยากว่าโซนนี้เป็นโซนที่ทั้ง Exclusive ที่สุดและ Exquisite ที่สุดของ Amanpuri แต่ละหลังนั้นมีเจ้าของที่ซื้อกรรมสิทธิ์ขาดไป แต่ยังคงให้ทางทีม Amanpuri บริหารจัดการและปล่อยเช่าให้อยู่ เดี๋ยวในโพสต์นี้เราจะพาไปเยี่ยมชม Villa บางหลังกันด้วย และถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจจะเช่าวิลล่าก็สอบถามทาง Reservation ได้เช่นกันครับ Our Pavilion ตัดกลับมาที่เรือนพักของเรากันดีกว่า คราวนี้เราพักในโซนรีสอร์ทครับ Pavilion ของเราหมายเลข 906 เป็น Garden Pavilion ขนาด 1 ห้องนอนที่ไม่มีสระส่วนตัว แต่มีศาลานั่งเล่นให้ 1 หลังใหญ่ และเอาเข้าจริงๆก็เห็นวิวทะเลอยู่บ้างนะครับ สวยหรูอยู่เพลินมาก และถ้าตารางของเราไม่แน่นไปด้วยโปรแกรมสำรวจซอกมุมต่างๆของรีสอร์ทแล้ว เราก็ไม่ติดเลยที่จะพักผ่อนยาวๆอยู่ในเรือนพักของเราตลอดวัน พนักงานต้อนรับพาเราเดินไปตามเส้นทางที่ลัดเลาะบนเนินเขาใต้เงาต้นมะพร้าวพอให้ได้ออกกำลังเล็กน้อย ต้นไม้เขียวขจีนานาพันธ์ุถูกจัดวางให้บังสายตาเพื่อความเป็นส่วนตัวของ Pavilion แต่ละหลังได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ด้านนอกของ Pavilion ทุกหลังนั้นมีเรือนนั่งเล่นแยกออกมาอีก 1 หลัง โดยยกหลังคาสูงรับลมธรรมชาติและมีพัดลมเพดานเผื่อไว้ให้ด้วย Pavilion ของเราก็เช่นกันครับ ภายใน Pavilion นั้นแบ่งเป็น 2 โซนหลักๆ คือห้องนอนกับห้องน้ำ เราไปสำรวจกันทีละโซนนะครับ เปิดประตูปุ๊บก็เจอห้องนอนก่อนเลย ภายในตกแต่งด้วยไม้เนื้อแข็งโทนส้มอมแดง (ตระกูลไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง) สลับกับผนังขาวและกระจกเงาซึ่งเป็นองค์ประกอบที่คุณ Ed Tuttle ชอบนำมาใช้เป็นอย่างมาก อารมณ์ภายในนั้นสงบขลังเหมือนบ้านผู้ดีเก่าที่ทั้งอบอุ่นและมีรสนิยม ที่มุมห้องมีผลไม้สด และลูกชุบในตะกร้าเล็กๆ เป็น Welcome Snacks พร้อมกับโน้ตสั้นๆอธิบายว่าลูกชุบคืออะไรในภาษาอังกฤษสำหรับลูกค้าต่างชาติ รวม Welcome Message ที่เขียนด้วยลายมือและลงชื่อคุณ Gearoid Lyons ผู้จัดการรีสอร์ท อีกมุมหนึ่งของห้องมี Surprise พิเศษสำหรับเราเป็น Sparkling Wine แบรนด์ Ferrari Trento ที่ผลิตให้ Aman โดยเฉพาะ ต้องบอกว่าสิ่งนี้เป็นของขวัญ Extra ที่ไม่ได้อยู่ในแพ็คเกจห้องปกติ ซึ่งแขกแต่ละคนในแต่ละครั้งที่เข้าพักก็อาจจะได้รับหรือไม่ได้รับ และสิ่งของก็อาจจะแตกต่างกันไป นับเป็นเสน่ห์เล็กๆที่ทาง Aman ตั้งใจสร้างความแตกต่างให้กับแขก แต่สิ่งที่เพื่อนๆชาว #hopster จะได้รับแน่นอนหากใช้โค้ด Hop Around จองห้องพักก็คือ Cocktail 2 แก้ว และเรทห้องพักที่พิเศษสุดครับ ในตู้เย็นมินิบาร์ก็มีทั้งขนมขบเคี้ยว Soft Drinks รวมถึงชา (Dilmah) กาแฟ (ILLY) เราชอบ Exclusive Chocolate Bar ติดแบรนด์ Amanpuri เป็นพิเศษ เลยตั้งใจจะหยิบกลับมากินต่อที่บ้านมาเป็นที่ระลึกให้หายคิดถึงด้วย เพราะทั้งหมดทาง Housekeeping จะมาเติมให้ฟรีทุกวันเลย แน่นอนว่าฟีเจอร์หลักของห้องนอนก็คือเตียงนอนนั่นเอง และเตียงที่ Amanpuri นั้นเราสามารถ Request ความนุ่มหรือความเฟิร์มได้ตามความพอใจ เพียงยกหูแจ้งพนักงานได้ง่ายๆเลยครับ เห็นเป็นเรือนไทยดูขลังแบบนี้ แต่เทคโนโลยีภายในห้องมีการอัพเดทตลอดนะครับ เพราะทุกปีๆละ 2 เดือนรีสอร์ททั้งหมดจะปิดรับลูกค้าเพื่อซ่อมบำรุงปรับปรุงสถานที่ขนานใหญ่ เราประทับใจระบบไอแพดที่ใช้ในการควบคุมไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ทีวี รวมไปถึงสามารถเข้าถึงเมนูอาหาร และข้อมูลกิจกรรมทั้งหมดของรีสอร์ทได้แบบสะดวกมากครับ ช่อง USB ก็มีให้หลายจุด รวมถึงที่ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนตรงฐานชาร์จโทรศัพท์ด้วย ส่วนทีวีนั้นจะถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนหลังประตูเลื่อนที่กั้นโซนห้องน้ำ และนี่ก็เป็นอีกความตั้งใจของแบรนด์ Aman ทั่วโลกที่อยากจะให้แขกได้ออกไปสัมผัสกับธรรมชาติด้านนอกกันมากกว่าดูทีวีอยู่ในห้อง โซนห้องน้ำนั้นมีพื้นที่ใหญ่ไม่แพ้ห้องนอนเลย ประกอบไปด้วยพื้นที่แต่งตัวและอ่างล้างหน้าให้กับแขก 2 คนแยกกันคนละฝั่ง มี Centerpiece เป็นกระถางกล้วยไม้สวยงาม ทางรีสอร์ทเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไว้ให้ครบครัน ตั้งแต่เสื้อคลุมอาบน้ำ กระเป๋า Beach Bag หมวกแก๊ปปักโลโก้ Amanpuri (อันนี้เอากลับบ้านได้นะครับ) รวมไปถึงรองเท้า Slippers สำหรับใช้ภายในห้อง และรองเท้าแตะหูหนีบสำหรับเดินไปทะเล ด้านในก็สุดของโซนจะเป็นห้องฝักบัวอาบน้ำ อ่างอาบน้ำ และห้องส้วมอัตโนมัติ ส่วน Amenities ทั้งหมดเป็นแบรนด์ Amanpuri ซึ่งบรรจุในภาชนะที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมครับ Minimal Seasoning, Maximal Flavors At Nama เมื่อเราสะกดคำว่า Aman แบบย้อนกลับก็จะได้คำว่า Nama ซึ่งแปลว่า ความเป็นธรรมชาติหรือความดิบสด (แหม ช่างลงตัวอะไรปานนั้น) Nama เป็นแบรนด์ห้องอาหารญี่ปุ่นซิกเนเจอร์ของเครือ Aman เราจึงสามารถพบกับร้าน Nama ได้ที่รีสอร์ท Aman หลายแห่งทั่วโลก สำหรับที่ Amanpuri นั้น Nama จะเปิดให้บริการเพียง 6 เดือนในแต่ละปีเท่านั้น (1 พ.ย.-31 เม.ย.) ซึ่งเราก็โชคดีมากที่ได้มาที่นี่ช่วงนี้พอดี และนี่ก็น่าจะเป็นประสบการณ์การรับประทานอาหารญี่ปุ่นริมทะเลอันดามันครั้งแรกของเราเลยครับ อาหารของ Nama เน้นวัตถุดิบที่นำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง โดยเชฟจะให้ความสำคัญกับความสด และการดึงเอารสธรรมชาติที่ดีงามของวัตถุดิบแต่ละอย่างออกมาให้ได้มากที่สุด แม้จะปรุงน้อย แต่ความพิถีพิถันนั้นเข้มข้นมาก เราแอบเห็นเชฟบรรจงล้างและเช็ดผักสลัดทีละใบ เพื่อนๆน่าจะจินตนาการถึงความใส่ใจได้ไม่ยากใช่ไหมครับ Masumi Sake ก่อนจะไปถึงอาหาร เราแว่บไปเห็นเมนูสาเกแบรนด์ Aman เลยลองสอบถามพนักงานดู ได้ความว่าเป็นสาเกที่ Aman สั่งผลิตพิเศษโดยแบรนด์เก่าแก่อย่าง Masumi Sake ที่เมืองนากาโนะ โดยจะมีรสชาติกลมกล่อมดื่มง่ายเข้ากับอาหารได้ทุกอย่าง เราจึงจัดมา 1 ขวด และก็ไม่ผิดหวัง หอมและดื่มลื่นคอดีมากครับ สำหรับอาหารเราพยายามสั่งให้หลากหลายเพื่อเก็บภาพความอร่อยมาฝากกันครับ ตั้งแต่ สลัดปลาดิบ (Kaizen Salad) ซาชิมิรวม (Sashimi Moriawase) ซึ่งเชฟจะเป็นคนเลือกว่าในแต่ละวันปลาอะไรสดที่สุดก็จะจัดมากให้ครับ Amanpuri Roll ด้านในเป็นปลาโทโร่และแอมเบอร์แจ็คพร้อมกับไข่แซลมอน อาโวคาโด้และผักอื่นๆ เทมปุระรวม (Tempura Moriawase) ไปจนถึงเนื้อวากิวเกรดพรีเมี่ยม A5 ย่างถ่าน (Tokusen Wagyu) ก่อนจะตบท้ายด้วย Matcha Tiramisu แนะนำให้ค่อยๆตั้งใจทานทุกๆคำ เพื่อให้ต่อมรับรสได้สัมผัสกับความอร่อยสดจากธรรมชาติที่ผ่านการประคบประหงมมาอย่างดี Kaizen Salad Sashimi Moriawase Amanpuri Roll Tempura Moriawase Tokusen Wagyu Matcha Tiramisu Private Villas #23 และ #27 อิ่มท้องเรียบร้อยแล้ว เราพาเพื่อนๆเข้าไปชมโซน Private Villas ที่ Exclusive ที่สุดของ Amanpuri กันบ้างดีกว่า ต้องบอกว่าพิเศษจริงๆครับ เพราะโซนนี้ไม่ได้เปิดให้คนนอกเข้ามาได้ง่ายๆ และวันนี้เพื่อนๆจะได้ชมกันถึง 2 วิลล่า คือหมายเลข 23 และ 27 (จากทั้งหมด 44 วิลล่า) สำหรับความเลิศหรูของแต่ละวิลล่า เราขออนุญาตให้ภาพดำเนินเรื่องแทนนะครับ ในภาพรวม แต่ละ Villa นั้นมีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 3-9 ห้องนอน และเมื่อได้เข้ามาจริงๆแล้วต้องบอกว่าใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้ค่อนข้างเยอะเลยครับ เพราะ 1 Villa = 1 Complex ส่วนตัวที่ประกอบไปด้วยอาคารย่อยๆอีกหลายหลัง ลดหลั่นกันลงมาตามแนวเชิงเขา 2-3 ระดับ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่อาจจะมีทั้งสระว่ายน้ำ ลานอเนกประสงค์ ห้องรับประทานอาหาร หรือศาลาพักผ่อน ซึ่งแต่ละ Villa ก็มีความดีงามที่ไม่ซ้ำแบบกันเลย ไม่น่าเชื่อนะครับว่าโซน Private Villa นี้จะสามารถทวีกำลังความดีงามในทุกๆด้านขึ้นไปได้อีกหลายเท่าจากส่วนของรีสอร์ทด้านนอก และจากใจจริงก็คือหากเพื่อนๆมีกำลังทรัพย์และมากันหลายคน เราคิดว่าเช่าวิลล่าไปเลยคุ้มมากๆครับ เพราะจะได้รับประสบการณ์เหนือระดับชัดเจนทั้งวิวธรรมชาติที่สวยจับใจ พื้นที่ที่กว้างขวางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันยิ่งกว่าที่บ้านของเราเองซะอีก การบริการแบบเฉพาะตัวซึ่งมีทั้ง Butler และ Chef ประจำที่วิลล่าให้เลย และที่สำคัญก็คือความเป็นส่วนตัวขั้นสุด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแขกระดับ VVIP ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ไปจนถึงคนดังในวงการบันเทิงของโลกจึงต่างตกหลุมรัก Private Villa ที่ Amanpuri กันถ้วนหน้า Signature Thai Afternoon Tea ช่วงน้ำชายามบ่ายที่ Amanpuri นั้นแตกต่างจาก Afternoon Tea ขนบฝรั่งอย่างที่เราเห็นในโรงแรมทั่วๆไป เพราะที่นี่เน้นประสบการณ์ท้องที่แบบไทยๆ จึงเสิร์ฟเป็นขนมไทยและผลไม้สด โดยเฉพาะขนมครกที่ทำสดๆของอมันนั้นเป็นที่เลื่องชื่อฤาชาเป็นอย่างมากครับ เราชอบความหวานน้อยมากๆของขนมครก และถ้าเราอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น ก็สามารถขอลองหยอดลองแคะขนมครกเองได้ด้วยนะครับ Afternoon Tea ของที่นี่นั้นจัดขึ้นริมสระน้ำสีดำของรีสอร์ท จึงมีอารมณ์ของความเป็น Pool Party ผสมอยู่ด้วย ทำให้บรรยากาศช่างดูมีชีวิตชีวาดีเหลือเกิน อย่าว่าแต่แขกต่างชาติที่ดูสนุกและตื่นเต้นกันมากเป็นพิเศษ คนไทยอย่างเราเองก็พลอยตื่นตาตื่นใจไปด้วยไม่แพ้กัน ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งชาร้อนหลายชนิดและเครื่องดื่มสมุนไพรเย็นๆที่ช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดีครับ Pansea Beach ก่อนจะไปเรื่องความงดงามของหาด ขอนอกเรื่องนิดนึงครับ เราชอบชื่อหาดพันทรี (พัน-ซี) มากเลยครับ เพราะฟังดูสละสลวยทั้งในภาษาไทยอ่านง่ายในแบบสากล ยิ่งการสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า Pansea แล้ว ยิ่งมีความหมายที่ดีมากเพราะคำว่า Pan เป็น Prefix ที่แปลว่า All (ทั้งหมด) ส่วนคำว่า Sea ก็คือทะเล เลยมีความหมายว่า หาดแห่งทะเลทั้งหมด หรือหาดแห่งทุกทะเล ซึ่งฟังดูดี๊ดีเนอะ หาดพันทรีอาจจะไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูนักในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะหาดแห่งนี้เป็นไอเท่มลับของเกาะภูเก็ตเลยก็ว่าได้ ด้วยโขดหินทรงสวยที่กั้นทั้งฝั่งซ้ายและขวาของหาด ทำให้เป็นหาดปิดโดยธรรมชาติ ประกอบกับการที่มีเพียง 2 รีสอร์ทบนหาดนี้เท่านั้น คือ Amanpuri และ The Surin Phuket (ซึ่งเป็นรีสอร์ทในเครือเดียวกัน) จึงทำให้หาดพันทรีกลายเป็นหาดส่วนตัวไปโดยปริยาย แต่สิ่งที่ทำให้หาดส่วนตัวแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์บนดินของแขกผู้มาเยือนก็คือความลงตัวของทุก Element ไม่ว่าจะเป็นน้ำสีฟ้าใสไล่โทนอ่อน-เข้มพร้อมอุณหภูมิที่กำลังสบายผิว ทรายที่ขาวละเอียดนุ่มเท้า ไปจนถึงความสมบูรณ์ใต้ทะเลที่มีทั้งฝูงปลาและแนวประการังให้เห็นได้ง่ายๆ วันนี้เราพาเพื่อนๆมาทำความรู้จักและ Appreciate หาดกันเบื้องต้นก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะมาลงไปเล่นกิจกรรมทางน้ำกันนะครับ Sunset Cocktail At The Lounge การที่ Amanpuri ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ตนั้นทำให้ภาพ Sunset กลายเป็นของขวัญอันงดงามที่แขกของรีสอร์ทจะได้รับทุกยามเย็น แปรเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาและสภาพอากาศ หลายเฉดสีทั้งฟ้า ส้ม ชมพู ม่วง จะผลัดเวรกันมาแต่งแต้มท้องฟ้าทั้งผืนให้กลายเป็นดั่งงานจิตรกรรมระดับมาสเตอร์พีซ ก่อนจะฉาบเบาๆด้วยสีทองอีกชั้นด้วยแสง Finale ของดวงอาทิตย์ และสำหรับเราแล้วช่วงตะวันลับขอบฟ้าจึงเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะมานั่งจิบเครื่องดื่มแก้วโปรดที่ The Lounge พร้อมซึมซับเอาพลังดีๆเข้าสู่จิตใจก่อนจะมูฟไปดินเนอร์กันต่อไม่ว่าจะเป็นอาหารอิตาเลียนระดับ World Class ที่ Arva หรืออาหารไทยชั้นครูที่ Bua Bok ซึ่งเย็นนี้เราจะพาเพื่อนๆไปชิมอาหารไทยกันก่อนนะครับ Authentic Southern Thai Dinner at Buabok “บัวบก” คือห้องอาหารไทยอันเลื่องชื่อแห่ง Amanpuri นำเสนอรสชาติท้องถิ่นที่ถึงเครื่อง ละเมียดละไมทั้งในการคัดสรรวัตถุดิบและการปรุง เราเริ่มมื้อกันด้วยถุงทองคำเล็กๆเป็นดัง Amuse Bouche เวอร์ชั่นไทย เราสั่ง “เบือทอด” มาเป็นคอร์สเรียกน้ำย่อยตำรับภูเก็ต ซึ่งก็คือกุ้งและผักชุบแป้งผสมครื่องแกงทอด ตามด้วยยำมะม่วงปูนิ่มระนองรสจัดจ้านกลมกล่อม จานต่อมาเป็นเมนูที่เราสั่งแทบทุกครั้งที่มาก็คือแกงปูเส้นหมี่ เนื้อปูสดหวานอร่อย และน้ำแกงอร่อยเข้มข้นเหมือนเดิมครับ มีอาหารทะเลหลายจานแล้ว จานสุดท้ายเราจึงเลือกเนื้อวากิวไทยย่างบนเตาถ่าน จิ้มแจ่วรสแซ่บ เมนูของบัวบกนั้นหลากหลายครบทุกหมวดตั้งแต่ซุป สลัด จานเส้น แกง ไปจนถึงน้ำพริก ทำให้เราต้องใช้เวลาตัดสินใจอยู่พักใหญ่ ใครสนใจดูเมนูเต็มได้ที่นี่นะครับ www.aman.com ถุงทอง หลนปูนิ่ม แกงปูเส้นหมี่ ยำภูเก็ตกุ้งย่าง เนื้อย่างเตาไฟ ยํามะม่วงปูนิ่มระนอง เบือทอด Turn Down #1 เราค่อยๆอุ้มพุงกลมๆเดินกลับมาที่ห้อง ก็พบกับห้องที่ได้รับการ Turn Down พร้อมสรรพ ผ้าห่มถูกพับมุมแง้มเปิดให้เราเข้าไปซุกตัวได้โดยง่าย และที่ปลายเตียงก็มีเทียนในกะลามะพร้าววางไว้เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆแทนการส่งยิ้มละไมให้แขกก่อนนอน ขยับมาที่โต๊ะมินิบาร์ก็มีอีก 1 เซอร์ไพร้ซ์เป็น Negroni ค็อกเทลคลาสสิคตำรับอิตาเลี่ยนเพื่อส่งเราเข้านอน โดยทางรีสอร์ทผสมและบรรจุขวดมาให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับผิวส้มสำหรับ Garnish ด้วย เพียงเราตักน้ำแข็งและรินลงแก้วก็จิบเพลินๆได้ทันที ขอบคุณสำหรับความใส่ใจในทุกๆบริการจริงๆครับ Bath Time! ตอนแรกเราก็กะจะอาบน้ำฝักบัวง่ายๆกัน แต่พอเดินผ่านอ่างอาบน้ำก็อดไม่ได้ที่จะแช่น้ำตีฟองนุ่มๆซักหน่อย ยิ่งถ้าได้แช่ไปจิบ Negroni ไปด้วยก็คงดีไม่น้อยเลย คืนนี้ทั้งสบายตัวและสบายใจ หลับปุ๋ยแน่นอนครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ Morning Sweat เราตั้งใจจะตื่นกันเช้าหน่อยเพื่อมาออกกำลังกายที่ยิมของรีสอร์ท ว่ากันว่ายิมที่นี่ยอดเยี่ยมทั้งเรื่องความครบครันทันสมัยของอุปกรณ์ และวิวทะเลสีครามแบบพาโนรามาเลย แล้วก็จริงทุกประการ ยิมที่นี่ดีมากจริงๆครับ ปกติแล้วคุณเฟิร์สเป็นคนขยันมากในเรื่องการออกกำลังกาย ส่วนเรา (เค้ก) ยอมรับเลยว่าขี้เกียจมากครับ แต่ยากที่สุดก็คือตอนเริ่มต้น พอเครื่องติดแล้วก็หยุดไม่ค่อยได้เหมือนกัน เราสองคนมาถึงเป็นคนแรกจึงเหมือนกับได้ยิมทั้งหมดเป็นของเราเอง ยกเว้นมีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลยิมอีก 1 คนเท่านั้น ตัวยิมมีทั้งหมด 2 ชั้นนะครับ ชั้นบนมีทั้งโซนเวทเทรนนิ่ง และโซนเครื่องออกกำลังไฟฟ้าซึ่งมีอุปกรณ์แทบทุกอย่างที่เราจะนึกออกในสภาพที่พร้อมใช้งานทั้งหมด ที่เหนือกว่ายิมที่อื่นก็ตรงที่มีน้ำเปล่าและผ้าขนหนูเตรียมไว้ให้ประจำทุกเครื่องเลย ส่วนชั้นล่างจะเป็นโซนต่อยมวย ห้องฝึกพีลาทีส และห้องล็อคเกอร์แยกชาย-หญิงครับ เราสามารถที่จะจ้าง Personal Trainer เพื่อดูแลเราโดยเฉพาะแบบที่ดารา Hollywood ที่มาพักที่นี่มักจะทำกันก็ได้นะครับ ;-) Breakfast At Buabok ออกกำลังกันจนเพลิน ดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบหมดเวลาอาหารเช้าแล้ว เราจึงตัดสินใจแบกร่างพร้อมเหงื่อโทรมกายมุ่งหน้าไปที่ห้องอาหาร Buabok (ที่เราดินเนอร์กันไปเมื่อวาน) อีกครั้ง แต่คราวนี้เรามาเพื่อ Breakfast แบบอาลาการ์ทที่สั่งได้ไม่อั้น ระหว่างที่สายตาสแกนเมนูทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เราก็เริ่มจดออร์เดอร์สิ่งที่อยากกินไว้ในใจ ปัญหาเดียวคือเราอยากลองหลายเมนูจนเราเองก็จำไม่หมด เราจึงค่อยๆเรียงลำดับใหม่ เริ่มจากเมนูที่เบาๆ พวกน้ำผักผลไม้ ไปจนถึงของ Healthy อย่าง Acai Bowl, Chia Pudding และ Vegan Scramble Toast เพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ดูดซึมของดีเข้าไปก่อนที่จะไปลุยของหนักๆ ตั้งแต่เมนูพิเศษประจำวันอย่างข้าวมันไก่ โจ้กปลา ไข่ดาว เบค่อน ไข่เจียวปู (ใช่ครับมีให้เลือกในรายการอาหารเช้าด้วย) ไปจนถึงหมูปิ้งและครัวซองต์ สุดท้ายทุกอย่างก็รวมกันเป็นมื้อเช้าที่หนักมากกกกกกกกอยู่ดี :D เริ่มแล้วหยุดยากทุกทีเลย Taking A Stroll Around The Property หลังจากอาบน้ำแต่งตัวจนกลายเป็นลุคใหม่แล้ว เราก็เลยถือโอกาสเดินเล่นปล่อยใจฝันรอบๆรีสอร์ทเพื่อช่วยกระเพาะย่อยอาหารไปในตัว ใต้ร่มเงาต้นมะพร้าวที่สูงชะลูดนั้นทำให้อากาศไม่ร้อนอย่างที่คิด ยิ่งเราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรับรู้และเข้าใจความเป็น A Place Of Peace แห่งนี้ได้ลึกซึ่งยิ่งขึ้น เรารู้สึกว่าที่นี่เป็นความสมดุลพอดีระหว่างความดิบของธรรมชาติอันงดงามกับความดูแลเอาใจใส่อย่างมีระบบของมนุษย์ เราเห็นสนามหญ้าที่ได้รับการตัดแต่งจนเรียบร้อยสะอาดตา ในขณะเดียวกันก็เห็นนกกระยางบินลงมาเดินเล่นอยู่ในสนามนั้น เราเห็นทิวต้นมะพร้าวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน ตัดกับท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆสีขาว ในขณะเดียวกันหลังคาเรือนไทยสีเทาพร้อมปันลมไม้สีน้ำตาลก็เสียดขึ้นแทรกอย่างถูกจังหวะและให้ความกลมกล่อมกับสายตาอย่างยิ่ง Shopping At The Retail Pavilion อาจารย์สถาปนิกชาวญี่ปุ่นชื่อก้องโลกอย่างคุณ Kengo Kuma นั้นได้รับมอบหมายจากทาง Aman ให้ช่วยดูแลงานออกแบบ Retail Pavilion ที่เพิ่งเปิดให้บริการในปี 2020 ที่ผ่านมานี่เอง ที่นี่เป็นเรือนขายสินค้าแบรนด์ Aman ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายทั้งในแบบ Leisure Wear และ Active Wear ไปจนถึงเครื่องหอมและเครื่องประทินผิว นอกจากนี้ยังมีงานฝีมือที่ทั้ง Unique และ Exotic ซึ่งทีมคัดสรรของ Aman ได้ไปเสาะแสวงหามาให้แขกได้เลือกซื้ออีกด้วย สินค้าด้านใน Retail Pavilion จึงมีความพิเศษ และหาซื้อที่อื่นได้ยาก เราเองก็อดไม่ได้ที่จะเลือก Shopping ของติดไม้ติดมือมาเล็กๆน้อยๆด้วยเช่นกัน Casual Lunch At Beach Terrace ขอเข้าประเด็นก่อนเลยครับว่า Amanpuri Wrap เป็นเมนูที่เราประทับใจมากในมื้อนี้ ถ้าได้มาที่นี่ อย่าลืมสั่งกันนะครับ ด้านในเป็นเหมือนทอดมันที่ไม่ใส่พริกแกงทำจากเนื้อกุ้งลายเสือกับเนื้อปลากะพงขาวเอามายีให้เป็นเนื้อเนียนผสมกัน ก่อนจะนำไปคลุกเกล็ดขนมปังทอด แล้วค่อยเอามาห่อกับส่วนผสมอื่นๆด้วยแป้ง Tortilla ที่จริงเมนูของ Beach Terrace มีให้เลือกหลากหลายมากครับเน้นเสิร์ฟอาหารที่เราคุ้นเคยทั้งไทยและต่างชาติ อร่อยง่ายๆ แต่มีการดัดบิด Twist ให้พิเศษมากขึ้น แต่เราผู้ที่กระเพาะยังไม่ทันว่างจากมื้อเช้าเลยเลือกสั่งอะไรที่ไม่หนักจนเกินไป จึงมาลงเอยที่ Wrap จานนี้ แกล้มกับ Brittany Sea Bass Tartare เสิร์ฟพร้อมซอส Citrus & Mint Sabayon และกะเพราเนื้อราดข้าวไข่ดาวกรอบๆ (แต่ไม่สุก) อิ่มอร่อยแบบ Comfort Food กันไปอีกมื้อครับ Spa & Hydro Facilities แค่ได้ยินคำว่า “สปา” ก็รู้สึกผ่อนคลายแล้ว และแน่นอนว่าวันนี้เราไม่ได้มานวดกันอย่างเดียว แต่เราได้จอง Hydro Facilities เอาไว้ 1 ชั่วโมงเต็มๆเพื่อช่วงเวลาส่วนตัวที่จะมีเฉพาะเราเท่านั้น ยอมใจกับการบริการแบบ Exclusive สุดๆของ Amanpuri จริงๆครับ Hydro Facilities นั้นก็คืออุปกรณ์บำบัดด้วยน้ำในรูปแบบและอุณหภูมิต่างๆ ตั้งแต่การแช่จากุซซี่ร้อนสลับกับการการจุ่มน้ำเย็นจัด เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบอื่นๆในร่างกายอีกมากมาย ไปจนถึงการอบไอน้ำ อบซาวน่าทั้งแบบดั้งเดิมและแบบรังสี Infrared หลังจาก 1 ชม.เต็มๆกับการใช้งาน Hydro Facilities จนเราสบายตัวมากๆแล้ว เราก็พร้อมที่จะขึ้นเตียงให้พี่ๆ Therapist กดรีดกล้ามเนื้อกันต่อทันที ที่จริง Amanpuri มีเมนูสปาที่ตอบแทบจะทุกโจทย์เลย เราทั้ง 2 จึงเลือกนวดคนละแบบกัน คุณเฟิร์สเลือก Holistic Massage ที่ช่วยผ่อนคลายแบบองค์รวม และเน้นจุดที่มีปัญหาให้ด้วย ส่วนเรา (เค้ก) เลือกนวด Integrated Deep Tissue ซึ่งจะหนักกว่าเพราะเน้นการรีดแนวกล้ามเนื้อให้ถึงมัดลึก มีการผสมเทคนิคการนวดแผนไทยเข้าไปด้วยซึ่งเหมาะกับคนที่รู้สึกตึงเป็นพิเศษอย่างเรามากๆครับ การตกแต่งในห้องนวดนั้นสวยสง่าและสุขสงบตามสไตล์ของ Amanpuri ทุกกระเบียดนิ้ว ดนตรีที่เปิดคลอเบาๆนั้นให้ชวนให้เราผ่อนคลายได้ดีเยี่ยมจริงๆ อยากจะ Shazam เก็บไว้เปิดที่ห้องตอนนอนก็ดันลืมไปเสียสนิทเลย ทันทีที่พี่ Therapist เริ่มนวด เราก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจในควบคุมความเนิบ น้ำหนัก และการเคลื่อนมือลงบนร่างกายของเราในแต่ละจุด เจตจำนงของการดีไซน์การกดและรีดในแต่ละครั้งนั้นปรากฏเด่นชัดมากครับ แต่เราก็มีสติอยู่ไม่ได้นานหรอกนะครับ เพราะเผลอแป๊บเดียวเราก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว Surf the water and dive down under. เราใช้เวลาตลอดบ่ายกันที่สปา พอจบโปรแกรมนวดแดดก็เริ่มลดกำลังลงพอดี เราจึงต้องพยายามปรับโหมดอารมณ์ผ่อนคลายให้ไปสู่โหมดแอคทีฟกันอีกครั้ง เพราะเย็นนี้เราจะลงน้ำทะเลกันครับ และก็ไม่ได้ลงไปตัวเปล่านะครับ ที่ Amanpuri มีอุปกรณ์ทางน้ำให้แขกเล่นหลากหลายมาก ทั้งแบบ Manual ที่เราต้องออกแรงพายเองซึ่งสามารถใช้ได้ฟรี และแบบไฟฟ้าซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่ต้องบอกว่าคุ้มค่ามากครับเพราะเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ อุปกรณ์บางชิ้นนั้นเราแทบไม่เคยเห็นที่รีสอร์ทอื่นมาก่อนเลย เมื่อไปแอบถามก็ได้ข้อมูลมาว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าแปลกๆเหล่านั้นราคาหลายแสนต่อเครื่อง และวันนี้เราก็จะไปทดลองเล่น 2 ตัวด้วยกันครับ คือ eFoil เป็นบอร์ดไฟฟ้าที่พาเราเหินเหนือน้ำได้โดยไม่ต้องง้อคลื่น และ Seabob เครื่องยนต์เจ็ทที่ช่วยพาเราพุ่งไปในน้ำได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการว่ายแนวราบหรือดำดิ่งลงใต้น้ำ เริ่มที่ eFoil กันก่อนก็แล้วกัน เจ้ากระดานโต้คลื่นไฟฟ้าที่ไม่ง้อคลื่นนี้ เราสามารถจะนั่งหรือจะยืนก็ได้ และมีรีโมทให้เราปรับความเร็วได้ตามต้องการ และหากชำนาญมากๆก็สามารถบินเหนือน้ำได้ด้วยนะครับ แต่สำหรับครั้งแรกนี้ของเรา แค่ยืนบนบอร์ดได้เราก็พอใจมากๆแล้ว พอคาดหวังต่ำเราก็มักจะมีเรื่องให้เราเซอร์ไพร้ส์ตัวเองได้เสมอและในครั้งแรกนี้ นอกจากเราจะยืนได้แล้ว เรายังตีวงเลี้ยวในท่ายืนได้ด้วย 55555 ภูมิใจมากครับ ต่อให้มันอาจจะเป็นแค่การฟลุ้คก็ตาม เรียกได้ว่าสำเร็จเกินคาดครับ โต้คลื่นเหนือน้ำกันแล้ว ลงน้ำกันบ้างดีกว่า เราชอบชื่อ Seabob เป็นพิเศษเพราะฟังดูเหมือนชื่อตัวการ์ตูนน่ารัก เข้าถึงง่าย น้องเป็นเหมือนหัวมอเตอร์ไซค์ที่มีมือจับและปุ่มกดเร่งความเร็วได้ เราใช้เวลาทำความรู้จักกับน้องไม่นานก็เริ่มจับทางได้ ขั้นแรกเราต้องให้น้องพาเราพุ่งออกไปจากชายหาดซะก่อน และน้องก็แรงกว่าที่คิดครับ เป็นการเดินทางในน้ำที่สนุกมากทำให้เรารู้สึกราวกับเป็น Merman ที่ว่ายน้ำได้เร็วปรู๊ด เมื่อเข้าสู่ความลึกประมาณนึง เราจึงจะทดลองให้น้องพาดำลงไปใต้น้ำได้ ซึ่งสเต็ปนี้จะ Advanced กว่า เพราะต้องควบคุมลมหายใจดีๆ พร้อมกับต้องเคลียร์หูเป็นระยะๆ แม้เราจะเคยดำ Scuba มาก่อน แต่คราวนี้ไม่เหมือนกันเลย จึงต้องฝึกหน้างานกันพักใหญ่ หากใครเคยดำน้ำแบบ Free Dive มาแล้วน่าจะใช้ Seabob ดำน้ำเป็นง่ายกว่ากันเยอะเลย แต่สุดท้ายเราก็ทำให้น้องพาเราลงใต้น้ำจนได้ครับ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่ไกลจากหาด ใต้น้ำจะมีฝูงปลาและปะการังเยอะขนาดนี้ พี่เจ้าหน้าที่ที่มาประกบสอนเราบอกว่าวันไหนน้ำใส (วันที่เราไปน้ำค่อนข้างขุ่นจากฝนที่ตกไปก่อนหน้า) ยิ่งช่วงเช้าๆ ปลาจะเยอะกว่านี้มาก และแม้จะอยู่ใต้น้ำ Aman ก็ไม่หยุดซ่อนความประทับใจไว้ครับ เพราะที่พื้นทรายใต้ทะเลจะมีโลโก้ตัว A อยู่ด้วย เป็น Item ลับที่อยากให้เพื่อนๆไปลองดำหากันนะครับ Amanpuri Sea Platform อีกหนึ่ง Icon ของ Amanpuri ก็คือแพล็ตฟอร์มทรงกลมกลางทะเลที่ใครๆก็อยากจะมาถ่ายรูปกันโดยเฉพาะช่วงตะวันใกล้ตกดิน ข้างบนแพล็ตฟอร์มมีเตียงอาบแดดอยู่ 2 ตัว พร้อมกับน้ำดื่มและ Beach Towel เตรียมไว้ให้ แพล็ตฟอร์มนี้มาได้หลายวิธีไม่ว่าจะว่ายน้ำมา หรือใช้อุปกรณ์กีฬาทางน้ำของรีสอร์ทพายมาก็ได้ หรือถ้าไม่อยากออกแรงก็ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยออกเรือมาส่งก็ได้เช่นกัน แต่ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะคลื่นลมในทะเลด้วยนะครับ การเดินทางมายากนั้นมีข้อดีนะครับ เพราะทำให้คนมาน้อย และหากเราหาจังหวะดีๆ ก็อาจจะได้ทั้งแพล็ตฟอร์มเป็นของเราเองเลย จะกระโดดตู้มลงไปว่ายน้ำกับฝูงปลา หรือจะนอนอาบแดดชิลๆ หรือจะแค่ไปโพสท่าสวยๆถ่ายรูปอวดเพื่อนๆก็ทำได้เต็มที่เลย ถ้าไปดูตะวันตกดินก็อย่าลืมเผื่อเวลากลับด้วยนะคับ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน Italian Dinner At Arva วันนี้เป็นวันที่แน่นไปด้วยกิจกรรมพิเศษ และดินเนอร์มื้อนี้ของเราก็พิเศษมากเช่นกัน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันใหม่ (อีกรอบ) เราก็เดินมารับประทานมื้อค่ำกันที่ Arva แบรนด์ร้านอาหารอิตาเลียนที่มีอยู่ใน Aman อีกหลายแห่งในโลก ไม่ว่าจะเป็น Aman Venice, Aman Tokyo, Aman Sveti Stefan (มอนเตเนโกร), และ Amanyangyun (เซี่ยงไฮ้) Arva แปลว่า ดินแดนที่ถูกเพาะปลูก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากขนบการเข้าครัวของชาวอิตาเลียนตอนใต้ที่จะไปเก็บเกี่ยวเอาพืชผลสดๆมาจากฟาร์มหรือป่าเขาไปจนถึงท้องทะเลในละแวกนั้น เพื่อมาปรุงแบบตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน จนกลายเป็นอาหารที่ช่วยเยียวยาจิดใจมื่อได้ลิ้มลอง ระหว่างที่เรากำลังสำรวจเมนูกันอย่างขะมักเขม้น พนักงานชาวตุรกีจาก Amanruya ผู้ย้ายมาศึกษางานที่ Amanpuri ชั่วคราว ก็นำ Grissini และ Foccacia มาเสิร์ฟให้เรากินเล่นกันไปพลางๆ แต่เมื่อเราได้ลิ้มรสเนื้อนุ่มๆและกลิ่นหอมของขนมปัง Foccacia ก็ตกหลุมรักแบบ Love at first bite ทันที จนเผลอกินเกือบหมดก้อนเลย นอกจากนี้ยังมี Amuse-Bouche เป็น Tartare ปลาเนื้อขาวคำเล็กๆซึ่งอร่อยมากเช่นกัน Tartare Granchio Avocado E Lattuga (สลัดปูอาโวคาโด้) Vitello Tonnato (เนื้อลูกวัวซูวีดสไลซ์บางๆราดด้วยซอสทูน่า) เราเริ่มสั่ง Antipasto มาคนละจาน เราเลือกเป็น Granchio Avocado E Lattuga (สลัดปูอาโวคาโด้) กับ Vitello Tonnato (เนื้อลูกวัวซูวีดสไลซ์บางๆราดด้วยซอสทูน่า) ซึ่งเราไม่เคยลองมาก่อนและเป็นจานแนะนำด้วย พนักงานบอกว่าถ้าใช้ Foccacia ปาดซอสทูน่าจะอร่อยมากๆ แต่เรากินขนมปังไปจนเกือบหมดก่อนหน้านี้แล้ว พนักงานจึงเอามาเติมให้ ซึ่งเราทั้งดีใจและรู้สึกผิดต่อพุงไปพร้อมๆกัน Linguine Astice Merluzza Ceci & Salsa Verde จานหลักของเราเป็น Linguine Astice (เส้นลิงกวินี่ที่ทำจาก Durum Wheat สายพันธุ์เดี่ยวจากเมือง Puglia ผัดกับบลูล็อบสเตอร์จาก Brittany ฝรั่งเศสในซอสมะเขือเทศรสเผ็ดเล็กน้อย) และ Merluzza Ceci & Salsa Verde (ปลาคอดจาก Brittany นึ่งเสิร์ฟกับซอสเขียวที่ทำจากถั่วลูกไก่ พาร์สลีย์ แองโชวี่ส์และกระเทียม) รสชาติอร่อยง่ายๆไม่ซับซ้อน แต่อบอุ่นหัวใจครับ Tiramisu Lemon Tart Peppermint Tea คอร์สสุดท้ายคือเมนู Dolci ของหวานคลาสสิค เราเลือก 2 รสชาติที่คอนทราสต์กันครับ จานแรกคือ Tiramisu ของโปรดที่เราสั่งเวลาไปร้านอิตาเลียนทุกที่ ของที่ Arva นั้นหนักแน่นในรสชาติทว่าเบานุ่มในเนื้อสัมผัส จึงเพอร์เฟ็คท์มากๆเลย ส่วนอีกจานก็คือ Lemon Tart เสิร์ฟพร้อม Sorbet รสเปรี้ยวหวานสดชื่นตัดเลี่ยนได้ชะงัดมากๆ และก็เช่นเคยครับ เราตบท้ายมื้อจริงๆกันด้วยชาร้อนๆ คุณเฟิร์สเลือกชาตะไคร้ ส่วนเราเลือก Peppermint Tea เช่นเคย ซึ่ง Amanpuri เสิร์ฟชามาพร้อมกับน้ำผึ้งป่าด้วย มื้อนี้อิ่มเอมเปรมปรีดิ์ทั้งพุงและหัวใจเลยครับผม Library ตอนแรกกะว่าจะเดินกลับห้องกันเลย แต่อีกใจก็อยากจะเดินย่อยซักหน่อย มีอีกจุดหนึ่งที่เรายังไม่ได้พาเพื่อนๆไปดูเลย นั่นก็คือห้องสมุด ที่แขกสามารถเข้ามาใช้พื้นที่อ่านหนังสือ นั่งพักผ่อน หรือจะนัดประชุมงานทั้งแบบ Online หรือ Offline ก็ได้ พื้นที่ภายในค่อนข้างกว้างขวางมากครับ แต่คนเข้ามาใช้ไม่เยอะ จึงมีมุมส่วนตัวให้จับจองได้สบายๆ ส่วนหนังสือที่มีอยู่ก็น่าสนใจเยอะแยะเลย ส่วนมากจะเน้นประเภทงานออกแบบ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม Turn Down #2 เรือนพักหมายเลข 906 ที่รัก เรากลับมาแล้วววว โปรแกรมสำหรับวันนี้จบลงด้วยดี ถือว่าเป็นอีกวันที่ Productive สุดๆ ไม่น่าเชื่อว่าพรุ่งนี้ก็ถึงเวลาต้องเช็คเอาท์แล้ว ค่ำคืนนี้ห้องของเราได้รับการ Turn Down พร้อมนอนเช่นเคย แต่เซอร์ไพร้ส์วันนี้จัดเต็มกว่าเดิมไปอีก ทีม Housekeeping ได้ยกกระถางกล้วยไม้กลางห้องน้ำของเราออกไป แล้วแทนที่ด้วยกระถางใหม่ที่จัดแสดงด้วยกิ่งไม้ห้อยด้วยช็อคโกแลตโลโก้ Aman และแอลมอนด์ อีกหนึ่งความประทับใจที่เราลืมบอกไป ก็คือการที่พนักงานช่วยจัดเรียงของที่เราอาจจะวางระเกะระกะ ให้เป็นระเบียบสวยงาม แม้กระทั่งสายชาร์จโทรศัพท์ก็มีการจัดระเบียบและมัดด้วยถามมัดแบรนด์ Amanpuri ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหากเพื่อนๆขับรถมา ทางรีสอร์ทจะล้างรถให้เมื่อเช็คเอ้าท์ด้วยนะครับ เมื่อสิ่งเล็กๆน้อยๆต่างๆเหล่านี้มาประกอบรวมกัน ความแตกต่างในวิถีแบบ Aman จึงปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ยังไงวันนี้เราขอตัวไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้เรายังเหลือกิจกรรมอีกอย่างหนึ่ง ยังไม่บอกว่าคืออะไร ไว้ไปดูกันพรุ่งนี้เช้าครับ Tennis At Ten เราติดใจยิมของ Aman มากเลยคับ ตอนแรกก็อยากจะกลับไปใช้บริการอีกครั้ง แต่นึกขึ้นได้ว่ามีอีกหนึ่งกิจกรรมออกกำลังกายที่เรายังไม่ได้สัมผัสเลย นั่นก็คือการเล่นเทนนิสนั่นเองซึ่งเป็นกีฬาที่เราเคยเล่นมาบ้างในวัยเด็กและครั้งล่าสุดที่เราได้ตีเทนนิสมาก็หลายปีมาแล้ว โดยสรุปก็คือตอนนี้เราก็เป็นมือใหม่ดีๆนี่เอง แต่ไม่ต้องห่วงเลยครับเพราะที่ Amanpuri มีหนุ่มมือโปรเทนนิสชาวฝรั่งเศสสุดหล่อ คุณ Philippe หรือเรียกสั้นๆว่าคุณ Phil มาช่วยฝึกสอนให้ เพียงแค่เราจองเวลาล่วงหน้ากันก่อนนะครับ คุณ Phil ใจเย็นกับเรามากครับ ตีโดนลูกบ้าง ไม่โดนบ้าง ติดเน็ตบ่อย ออกสนามเป็นว่าเล่น แต่คุณ Phil ก็ยังคงยิ้มสนุกไปกับเราด้วย แถมยังสอนเทคนิคต่างๆเพิ่มให้เราตลอด แต่ไม่ว่าเราจะตีเทนนิสแย่ขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วเหงื่อที่เปียกชุ่มก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ถึงการได้ออกกำลังกายอย่างเต็มที่มากๆครับ Late Check-Out เราเหลือเวลาอยู่ที่ Amanpuri อีกไม่นานแล้ว แต่เราทำเรื่องขอ Late Checkout ไว้ ซึ่งก็โชคก็เข้าข้างครับ เพราะยังมีห้องว่างอยู่ ทางรีสอร์ทจึงอนุญาตให้เราพักผ่อนต่อได้ถึง 14:00 น. เราจึงมีเวลาที่จะเตรียมตัว อาบน้ำ เก็บของแบบได้แบบสบายๆ นอกจากนี้แล้วเรายังมีเวลาที่จะได้นั่งทบทวน และสรุปความประทับใจทั้งหมดที่เรามีต่อ Amanpuri กันที่ศาลาหน้าเรือนของเรากันอีกด้วย Wrapping Up Our Stay ระหว่างมื้ออาหารกลางวันที่ Beach Terrace เมื่อวาน คุณ Mirko Radulovic ผู้จัดการ F&B ของ Amanpuri เดินเข้ามาทักทาย เราจึงพูดคุยกันถึงแบรนด์ Aman ซึ่งกำลังเติบโตในระดับโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม City Hotels ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งที่ Tokyo, New York รวมถึงกรุงเทพฯของเรา คุณ Mirko บอกว่าเขาหวังว่าทางแบรนด์จะประสบความสำเร็จในการนำ “Spirit Of Aman” ไปยังทุกๆโลเคชั่น เราจึงถามกลับไปว่า แล้วอะไรล่ะคือ Spirit Of Aman คุณ Mirko ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจในทันทีว่า “Peace” ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ความสงบ” ในใจนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนต้องการ และ Aman ก็พยายามจะตอบโจทย์สุงสุดนี้ แต่การจะประกอบกิจการระดับ Ultra-Luxury เพื่อทำให้คุณค่านามธรรมอย่าง “ความสงบ” เป็นสิ่งที่ลูกค้าจับต้องสัมผัสได้นั้นดูไม่ง่ายเลย เพราะด่านที่อยู่ก่อนความสงบนั้น ก็คือ “ความวางใจ” โดยสมบูรณ์จากลูกค้า นอกจากสภาพแวดล้อมที่สวยงามดีต่อใจอย่างยิ่งแล้ว Aman ยังได้ใช้เวลาไปกับการสร้าง “ความวางใจ” ผ่านการบริการจากมนุษย์สู่มนุษย์ปีแล้วปีเล่า ขัดเกลาทุกรายละเอียดจนเกิดเป็นวิถีชีวิตบางอย่างที่ค่อยๆดึงดูดผู้คนให้กลายมาเป็นสาวกซึ่งค่อยๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นคำเฉพาะที่ใช้เรียกผู้คนที่หลงไหลความเป็น Aman เหล่านี้ว่า Aman Junkie เราไม่รู้หรอกว่า Aman มีวิธีการอะไรอย่างไรบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว “ความสงบ” ก็คือสิ่งที่เรารู้สึกได้ในขณะที่นั่งอยู่ ณ ศาลาพักผ่อนหน้าเรือนพักของเรานี้ เราเองก็เริ่มสงสัยว่าหรือว่าก็กำลังจะกลายเป็น Aman Junkie ไปกับเค้าด้วยหรือเปล่า หากจิตวิญญาณของ Aman คือ “ความสงบ” อันมีพื้นฐานมาจาก “ความวางใจ” ของลูกค้าที่ได้จมจ่อมลงไปในประสบการณ์ที่มีมาตรฐานสูงเกินคาด บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณแห่งความลักชูรี่ทั้งหมดก็เป็นได้ #LetsHoparound #AMANPURI โปรโมชั่นพิเศษ AMANPURI CLOSER TO HOME #สุดยอดดีลพิเศษ กับรีสอร์ทหรู 𝗔𝗠𝗔𝗡𝗣𝗨𝗥𝗜 ภูเก็ต จุดเริ่มต้นของ 𝗔𝗠𝗔𝗡 แบรนด์ระดับ 𝗨𝗹𝘁𝗿𝗮-𝗹𝘂𝘅𝘂𝗿𝘆 เริ่มต้นเพียงคืนละ 𝟭𝟳,𝟬𝟬𝟬++ **พิเศษสุดๆ** สำหรับชาว Hoparound.co โปรดแจ้ง Code: HOP AROUND เพื่อรับราคาและสิทธิ์พิเศษ อัตราค่าห้องพักพิเศษเฉพาะ Hoparound.co : ⛱ เริ่มต้นที่ 𝟭𝟳,𝟬𝟬𝟬++ สิทธิพิเศษเฉพาะ Hoparound.co : 𝟭. อาหารเช้า ณ พาวิลเลียน หรือ ห้องอาหารบัวบก สำหรับ 𝟮 ท่าน 𝟮. บริการรถรับส่งสนามบินไป – กลับจากอมันปุรี เมื่อสำรองห้องพาร์เชียลโอเชียล พาวิลเลียน เป็นต้นไป 𝟯. ชุดน้ำชา เครื่องดื่มพิเศษประจำวันและขนมครกยามบ่าย 𝟰. มินิบาร์ (เติมให้วันละ 𝟭 ครั้ง) 𝟱. บริการอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทางน้ำ (สำหรับเครื่องเล่นชนิดที่ไม่มีเครื่องยนต์) 𝟲. โปรดสำรองห้องพักอย่างต่ำ 𝟮 คืนเพื่อรับข้อเสนอดังกล่าว 𝟳. ระยะเวลาในการจองและเข้าพัก: วันนี้ - 𝟯𝟭 มีนาคม 𝟮𝟱𝟲𝟲 𝟴. อัตราค่าห้องพักอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตขึ้นอยู่กับนโยบายของอมัน เรทสุดคุ้มและให้เยอะแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่า “ดีที่สุด” ในรอบ 𝟯𝟰 ปี ตั้งแต่ 𝗔𝗠𝗔𝗡 เริ่มก่อตั้งมาเลย ใครที่หมายปองความสงบหรูหราหาที่เปรียบไม่ได้ในแบบ 𝗔𝗠𝗔𝗡 นี่คือโอกาสทองที่เกิดขึ้นยากกว่าสุริยุปราคาเต็มดวงซะอีก จองเลยไม่ต้องรอ!!! สำรองห้องพัก: โทร 𝟬𝟳𝟲-𝟯𝟮𝟰𝟯𝟯𝟯 อีเมล 𝗮𝗺𝗮𝗻𝗽𝘂𝗿𝗶𝗿𝗲𝘀@𝗮𝗺𝗮𝗻.𝗰𝗼𝗺 𝗟𝗶𝗻𝗲: 𝗵𝘁𝘁𝗽𝘀://𝗹𝗶𝗻.𝗲𝗲/𝗽𝗙𝟲𝟭𝗛𝟱𝗨
- เชียงแสน...เมืองแสนสุข Chiang Sean เที่ยวเชียงแสนกับ Hoparound.co
เชียงแสน...เมืองแสนสุข คุณเคยตกหลุมรักสถานที่บางแห่งโดยไม่คาดคิดมาก่อนมั้ย เชียงแสนก็เป็นสถานที่แบบนั้นแหละ เป็นเวลากว่าพันปีที่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงสุดงดงามแห่งนี้ได้เป็นแหล่งอารยธรรมอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นศูนย์กลางความเจริญที่เปลี่ยนผ่านมาหลายยุคสมัยตั้งแต่ก่อนจะมีประเทศไทยเสียอีก หากไม่มีการเผาทำลายเมืองเชียงแสนในสมัยรัชกาลที่ 1 เพื่อป้องกันไม่ให้พม่าใช้เป็นฐานทัพ ความรุ่งโรจน์ที่เก่าแก่และแท้จริงของเชียงแสนก็คงจะโดดเด่นไม่แพ้เมืองเด่นใดๆในโลกเลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม วันนี้เชียงแสนก็ได้กลายมาเป็นเมืองเล็กๆทว่าสง่างาม สงบเงียบ และเรียบง่ายด้วยวิถีชีวิตของผู้คนที่เจือไปด้วย ”ความขลัง” ในบรรยากาศ สิ่งปลูกสร้างโบราณเกือบร้อยแห่ง มีอายุตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันปีนั้นยังกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง ยิ่งเราได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง เรายิ่งหลงรักเชียงแสนประหนึ่ง love at first sight มาเถอะเพื่อนๆ มา #Hop ไปต้องมนต์เสน่ห์ของเชียงแสนพร้อมๆกันกับเรา ทริปนี้เรานอนที่ Athita The Hidden Resort Chiang Saen บูทีคโฮเท็ลที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน สรุปให้ฟังก่อนเลยที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมที่เราประทับใจที่สุดตั้งแต่เคยไปนอนมา ไม่ว่าจะด้วยความเป็นส่วนตัว (โรงแรมมีห้องพักทั้งสิ้นเพียง 9 ห้อง) การดีไซน์ตัวโรงแรมที่สื่อถึงคาแร็คเตอร์ของเชียงแสนและเชื่อมโยงเข้ากับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ประวัติความเป็นมาของทำเลที่ตั้งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของ “วัดอาทิต้นแก้ว” วัดใหญ่เก่าแก่อายุกว่า 500 ปี (ฟังดูน่ากลัวแต่ของจริงไม่เลย ดูสง่างามมากกว่า) และเป็นที่มาของชื่อ “อาทิตา” ด้วย รวมไปถึงอาหารอร่อยๆและการบริการของพนักงานที่ใส่ใจพอเหมาะพอเจาะกำลังดี ที่สำคัญทางโรงแรมยังมีกิจกรรมท้องถิ่นให้เราเลือกเข้าร่วมกันอีกด้วย Location: https://g.page/AthitaHotel?share ร่วมกิจกรรมชุมชนที่บ้านฮอมผญ๋า หลังจากที่เช็คอินเข้าห้องพัก ล้างหน้าล้างตาและสำรวจโรงแรมเรียบร้อยแล้ว เราก็เลือกจักรยานไปปั่นชมเมืองกันคนละคัน พร้อมกับจะได้ขี่ไปทำกิจกรรมที่ทางโรงแรมช่วยจองเอาไว้ให้เลยทีเดียว กิจกรรมที่เราเลือกทำก็คือพิมพ์ผ้าด้วยใบไม้ และนวดแบบ “ย่ำขาง” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาล้านนาที่ใช้เท้าชุบน้ำสมุนไพรหรือน้ำมันแล้วนำมาถูกับแผ่นเหล็กเผาไฟ จากนั้นก็นำมาเหยียบรีดเส้นคล้ายกับการใช้ลูกประคบ ปั่นชมเมืองได้ไม่นาน ก็เมื่อมาถึง “บ้านฮอมผญ๋า” สถานที่ที่เราจะมาทำกิจกรรมกัน เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่วัฒน์และพี่หวาน คู่สามีภรรยาเจ้าบ้านที่น่ารัก เราแนะนำตัวกันและพี่ๆทั้งสองก็ผลัดกันเล่าเรื่องความเป็นมาของเชียงแสนให้เราฟัง ซึ่งน่าสนใจเกินคาดมาก เชียงแสนเป็นเมืองที่มีความเป็นมายาวนาน บ้างก็ว่าถึง 3,000 ปี ก่อนพุทธกาลเสียอีก พี่วัฒน์เล่าให้ฟังว่ากษัตริย์บางองค์ในอดีตนั้นเคยพบพระพุทธเจ้าด้วย อาณาจักรที่เคยเจริญรุ่งเรืองบริเวณเชียงแสนในปัจจุบันก็เช่น นครสุวรรณโคมคำ อาณาจักรหิรัญนครเงินยาง โยนก-เชียงแสน ล้านนา เป็นต้น จนหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ก็บอกได้ไม่ชัดเจน เหลือแต่เพียงตำนานเรื่องเล่า และบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ต้องค้นคว้ากันต่อไป ทำความรู้จักกับความเป็นมาของเชียงแสนไปพอหอมปากหอมคอแล้ว พี่วัฒน์กับพี่หวานก็จัดแจงเตรียมอุปกรณ์เพื่อให้เราพิมพ์ผ้าด้วยใบไม้ท้องถิ่นซึ่งมีใบสักเป็นหลัก หลังจากที่เราเรียงใบไม้บนผ้าจนถูกใจแล้ว พี่วัฒน์ก็เอาแผ่นพลาสติกมาคลุมอีกชั้น และแจกค้อนไม้ขนาดถนัดมือมาให้เราจรรจงทุบเพื่อให้ลายของใบไม้ติดไปบนผ้า ถ้าทุบเบาไปสีก็จะไม่ติด ทุบแรงไปใบไม้ก็จะช้ำและทำให้ลายเลือน ทุบกันจนเมื่อยแล้ว พี่หวานก็เตรียมเอาผ้าไปนึ่งและผ่านกระบวนการอื่นๆต่อไป นวดย่ำขาง แบบพื้นบ้านล้านนา ณ โฮงฮอมผญ๋า ระหว่างนี้ เราก็ทยอยเปลี่ยนชุดเพื่อเริ่ม session การนวดแบบย่ำขางโดยพี่วัฒน์จะเป็น therapist นวดให้เรา แรกๆเห็นเตาแล้วเราก็แอบเสียวแทน โดยเฉพาะบางจังหวะที่ไฟลุกขึ้นฟู่อย่างกับมีใครผัดผักบุ้งไฟแดงทีเดียว แต่พอเวลาผ่านไปแค่แป๊บเดียวเราก็เริ่มผ่อนคลายพร้อมที่จะได้รับการบำบัดต่อไป ขณะนวดเราก็พูดคุยกันต่อถึงเกร็ดความรู้ และเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน จนได้รู้ว่าพี่วัฒน์นั้นถนัดดูดวงและดูชื่อตามหลักทักษาด้วย เราก็เลยจัด session ดูดวงกันต่อเลย 555 กว่าจะกลับถึงห้องพักก็มืดพอดี เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำบุญตักบาตรหน้าวัดอาทิต้นแก้ว วันรุ่งขึ้นเราก็ให้ทางโรงแรมช่วยจัดเซ็ตตักบาตรไว้ ตื่นกันมาเตรียมตัวกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ทางโรงแรมก็จัดให้พนักงานพาเราเดินผ่านวัดอาทิต้นแก้วไปยังถนนอีกฝั่งเพื่อรอพระ เมื่อตักบาตรเสร็จแล้ว เราก็ขอให้ทางโรงแรมเตรียมเบรคฟัสต์ให้เลย เพราะเราอยากจะออกไปปั่นจักรยานเก็บภาพรอบเมืองอีกครั้ง ขอบอกว่าอาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะข้าวต้มกระดูกหมูที่ให้เครื่องมาเยอะมาก ได้ใจไปเต็มๆ ปั่นจักรยานทัวร์รอบเมืองเชียงแสน กำลังจะกินอาหารเช้าเสร็จ บังเอิญพี่วัฒน์กับพี่หวานก็เอาผ้าที่เราพิมพ์ไว้มาส่งให้ที่โรงแรม พอรู้ว่าเราจะออกไปปั่นจักรยานกันก็เลยอาสาสมัครเป็นไกด์ให้ด้วย ทริปรอบเมืองของเราในเช้าวันนี้จึงน่าสนใจขึ้นกว่าเดิมไปอีก มากไปกว่านั้นยังมีการซื้อของกินท้องถิ่นจากตลาดมาเลี้ยงเราด้วย ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้อีกครั้งด้วยนะครับ ใจดีกันมากๆเลย บรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำโขง ยิ่งได้ชมเมือง ก็ยิ่งตกหลุมรักเชียงแสน ทั้งบ้านเมืองที่มีซากอารยธรรมเก่าๆ แซมอยู่ทั่วเมือง และวิวธรรมชาติที่สวยงามมาก จุดนี้เป็นพื้นที่ราบที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีแม่น้ำสายใหญ่อย่างแม่น้ำโขงไหลผ่าน และมีภูเขาโอบล้อมรอบเป็นฉากหลังทั้งทางฝั่งไทยและลาว เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่เหมาะสมกับการอาศัยและทำกินสุดๆ เราเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าทำไมคนในยุคโบราณจึงมักจะเลือกที่นี่เป็นทำเลในการตั้งรกราก ประตูเมืองเชียงแสน Location: https://goo.gl/maps/xYApkjMx6NpdG5jM9 เดินเล่นตลาดเช้าของเชียงแสน ตลาดชุมชนของชาวเชียงแสนที่มีของกินท้องถิ่นมากมาย เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ที่ย่างอยู่บนเตาเป็น "ข้าวปุกงา" คือข้าวเหนียวตำคลุกกับงาขี้ม่อนห่อด้วยใบตองแล้วนำไปปิ้ง มีให้กินเฉพาะช่วงต้นฤดูหนาวเท่านั้น Location: https://goo.gl/maps/9ogijs3NEKWgQAPz6 วัดพระธาตุเจดีย์หลวง Location: https://goo.gl/maps/JPHjzB4GpYTnkFNU6 วัดป่าสัก เจย์ดีโบราณที่คงสภาพสมบูรณ์ที่สุด โดดเด่นด้วยการรวมศิลปะหลายแบบเข้าด้วยกัน ทั้ง จีน ขอม พม่า สุโขทัย สะท้อนถึงความเป็นศูนย์กลางความเจริญที่ส่งผ่านมาหลายยุค หลายสมัย หลายเชื้อชาติของเชียงแสน Location: https://goo.gl/maps/H4ipMZ5zppbu6bFY6 วัดร้อยข้อ Location: https://goo.gl/maps/bUWfHAzSr3Zi34RR6 แวะชิลในสระว่ายน้ำที่โรงแรมอทิตาก่อนจะเช็คเอ้าท์ เรากลับมาพักผ่อนที่โรงแรมก่อนจะเช็คเอ้าท์ เราลงว่ายน้ำในสระระบบน้ำเกลือสีฟ้าอ่อนตัดกับสีน้ำตาลของอิฐปั้นมือสวยงามมาก เราใช้พลังงานไปกับกิจกรรมช่วงเช้าจนเกือบหมด รู้ตัวอีกทีก็หิวอีกแล้ว ก่อนเช็คเอ้าท์เราจึงตัดสินใจกินมื้อกลางวันที่โรงแรมอีกรอบ เพราะติดใจในรสมือมาจากมื้อเช้า แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย เราชอบข้าวจิ๊นเมิน (ข้าวเนื้อตุ๋นสไตล์เหนือ) มากเป็นพิเศษ เพราะเนื้อนุ่มละลาย แถมหอมกลิ่นเครื่องเทศกำลังดีเลย มาเชียงแสนคราวนี้อิ่มทั้งบุญ อิ่มทั้งท้อง สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ จนเริ่มเสพติด vibe แบบนี้และอยากจะมาเที่ยวบ่อยๆ ที่สำคัญคือเริ่มลังเลไม่อยากจะบอกให้ใครรู้เยอะ เพราะกลัวว่านักท่องเที่ยวจะมาทำให้เสน่ห์ของที่นี่เปลี่ยนไป แต่ก็อย่างว่าแหละ แฟนเพจของ hoparound.co น่ารักกันอยู่แล้ว เราก็ต้องแบ่งปันกันสิเนอะ เอาเป็นว่าถ้าใครได้ไปเชียงแสนแล้วติดใจเหมือนเรา ก็ช่วยๆกันทะนุถนอมกันหน่อยน้าาาา . FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #LetsHoparound #ChiangSaen #LetsHoparoundChiangSaen #LetshoparoundThailand #Travel
- Phulay Bay, a Ritz-Carlton Reserve ภูเลเบย์ อะริทซ์ คาร์ลตัน รีเสิร์ฟ
Phulay Bay The World’s First Ritz-Carlton Reserve ภูเลเบย์ อะ ริตซ์-คาร์ลตัน รีเสิร์ฟ บอกเลยว่าที่นี่ไม่ใช่แค่รีสอร์ทหรูตามมาตรฐานที่สูงอยู่แล้วของ Ritz-Carlton ทั่วๆไป การที่มีคำว่า Reserve ห้อยท้ายนั้น สะท้อนถึงความวิลิศมาหราที่ไม่ธรรมดา หรือ Uncommon Luxury เพราะในบรรดา Property ทั้งหมดของ Ritz-Carlton ในเครือ Marriott ที่มีอยู่ทั่วโลก มีเพียง 4 แห่งเท่านั้นที่ควรคู่กับสถานะ Reserve นี้ ยิ่งไปกว่านั้น Phulay Bay ยังยืนหนึ่งเป็น Ritz-Carlton Reserve ที่แรกในโลกอีกด้วย เรามีโอกาสได้เข้าพักที่นี่ 2 คืน เลยอยากจะพาเพื่อนๆไป #hop ดูกันว่าอะไรที่ทำให้ Phulay Bay เป็นที่พักผ่อนในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก Ritz-Carlton Reserve แห่งแรกที่พิเศษเหนือระดับ ทำเลงดงามสุด exclusive ที่รายล้อมไปด้วยทั้งภูเขาและทะเล (ที่มาของชื่อภูเลเบย์) + งานดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร (ออกแบบโดยคุณเล็ก บุนนาค สถาปนิกศิลปินแห่งชาติ) + การบริการแบบดีเลิศ (มีบัตเลอร์ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง) คือองค์ประกอบซึ่งรวมกันได้ผลลัพธ์เป็น Ritz-Carlton Reserve ที่พิเศษเหนือระดับไปอีกขั้น ความน่าตื่นตาตื่นใจเริ่มต้นตั้งแต่โมเม้นต์ที่เรามาถึง ทางเดินที่ขนาบด้วยกำแพงสูงสีม่วงตั้งตระหง่าน ราวกับกำลังรอต้อนรับให้เราเดินทะลุผ่านไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์ที่อยู่ปลายทางอีกฝั่ง นั่นก็คืออาคารต้อนรับทรงไทยโมเดิร์น icon ของรีสอร์ทนามว่าศาลาศรีจันทร์ (ตั้งตามชื่อแม่คุณปิยะ ภิรมย์ภักดี เจ้าของโครงการ) ว่ากันว่าจุดนี้ของรีสอร์ทนั้นถูกออกแบบมาให้มีพลังครบทั้ง 4 ธาตุ และแนวคิดของธาตุทั้ง 4 นี้ยังถูกต่อยอดไปสู่งานดีไซน์และการบริการอื่นๆภายในรีสอร์ทอีกด้วย วิลล่าส่วนตัวทั้ง 54 หลังของรีสอร์ทนั้น แบ่งได้เป็น 5 Room Types เราให้ของขวัญตัวเองด้วยการเลือกเข้าพักในประเภทห้องที่ดีที่สุดนั่นก็คือ Royal Beach Villa ซึ่งมีพื้นที่กว้างถึง 588 ตร.ม. มาพร้อมกับสระว่ายน้ำ จากุซซี่ สวนหย่อม ที่นั่งพักกลางแจ้งอยู่ภายในบริเวณส่วนตัวทั้งหมด ที่สำคัญคือมีมุมถ่ายรูปเพียบ แม้บางจุดอาจจะโทรมลงไปบ้างตามอายุของรีสอร์ท (เปิดมาตั้งแต่ปลายปี 2009) แต่ในภาพรวมก็นับว่าดูแลรักษาได้ดีทีเดียว เอกลักษณ์ของวิลล่านี้น่าจะอยู่ที่ช่องประตูหน้าต่างทั้งทรงโค้งและทรงกลมหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในห้องน้ำที่เราชอบมากเป็นพิเศษเพราะมีซุ้มประตูรูปรูกุญแจที่สมมาตรกันทั้งสี่ทิศเปิดให้แสงธรรมชาติได้สาดเข้ามาได้อย่างเต็มที่ แถมยังทำจากหินอ่อนทั้งหมดจึงทำให้ดูหรูหราราวกับอยู่ในวังยังไงยังงั้น อีกมุมที่ชอบไม่แพ้กันก็คือสระว่ายน้ำส่วนตัว โดดเด่นด้วยระเบียงสระดีไซน์โค้งทรงกลีบดอกลีลาวดี พร้อมทั้งมี Hydro Jet ไว้นวดตัวได้อีกด้วย (หัวเจ็ตพ่นแรงสะใจมาก 555) จะว่าไปสิ่งที่ทำให้ Phulay Bay มีเอกลักษณ์อย่างมากก็คืองานดีไซน์สถานที่ซึ่งรวมองค์ประกอบที่แตกต่างกันหลายอย่างเอาไว้ด้วยกัน ทั้งความเป็นไทยล้านนา (ทั้งที่อยู่กระบี่) ความ Moroccan ความโมเดิร์น รวมไปถึงความแฟนซีที่ยากจะจำกัดว่าเป็นแนวใดแนวหนึ่งได้ เพราะเกิดจากการผสมผสานวัสดุ รูปทรง และสีสันที่หลากหลายจนเกิดเป็นแนวทางที่โดดเด่นของตัวเอง ถามว่าการแสดงมั้ย...ก็ใช่ แต่ถามว่าชอบมั้ย...ก็ชอบสิ 5555 นอกจากห้องพักที่สวยงามแล้ว อาหารเช้าที่รวมมากับราคาวิลล่าสุดอลัง ถ้าไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะทางรีสอร์ทจัดเต็มมาก มีทั้งแบบ Buffet และ A la carte โดยเน้นปรุงจากวัตถุดิบที่ปลูกเองในรีสอร์ท อาหารเช้าที่นี่นั้นดีงามทั้งในเรื่องของความหลากหลาย คุณภาพและรสชาติ จนกลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่เราประทับใจที่สุดในการเข้าพักครั้งนี้ ห้องอาหาร Jampoon ติดใจอาหารเช้าแล้ว ก็เลยอยากลองอาหารเย็นที่ห้องอาหาร Jampoon ดูบ้าง อ่านดูเมนูอาหารไทยของที่นี่เหมือนจะธรรมดา แต่พอเสิร์ฟออกมาทั้งหน้าตาและรสชาติรู้เลยว่าสมราคา Ritz-Carlton Reserve เลย ปรบมือให้เชฟดังๆครับ ศาลาศรีจันทร์ตอนกลางคืนก็สวยไปอีกแบบนะ แวะผ่อนคลายที่ The Spa ความคุ้มค่าอีกอย่างหนึ่งก็คือแพ็คเก็จสปาสำหรับ 2 ท่าน ซึ่งเป็นการนวดน้ำมันตามกรุ๊ปเลือด สบายแค่ไหนไม่ต้องพูดถึง ฟังเสียงกรนแทนละกันจ้า 555 ภายใน The Spa นั้นตกแต่งอย่างโออ่าทว่าโปร่งสบายเพราะเน้นวัสดุธรรมชาติและความร่มรื่นของแมกไม้ ซึ่งให้อารมณ์ที่ทั้งหรูหราและผ่อนคลายไปในเวลาเดียวกัน จิบค็อกเทลชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ Chomtawan Bar ก่อนหน้านี้เราก็คงเหมือนกับหลายๆคนที่ใฝ่ฝันจะได้มาลองใช้บริการที่นี่สักครั้ง เมื่อมีโปรโมชั่นอำนวย ฝันจึงเป็นจริง และรู้สึกประทับใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้มากับครอบครัวที่เรารัก จึงเป็นเหมือนของขวัญสุดพิเศษเราได้มีโอกาสใช้เวลาดีๆพักผ่อนด้วยกันในบรรยากาศ 5 ดาวแบบ Ritz-Carlton Reserve ที่มีเพียง 4 ที่ในโลกเท่านั้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และ การสำรองห้องพัก ติดต่อได้ที่ reservations.phulaybay@ritzcalton.com หรือ โทร +66 0 75 628 111 Website: www.ritzcarlton.com/PhulayBay IG: phulaybayreserve LINE Official: @phulaybayreserve #LetsHoparound FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co
- Melbourne เมลเบิร์นเพลินเกินเรื่อง
“เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก” คือการจัดอันดับที่มักจะมีชื่อ Melbourne ขึ้นอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ติดต่อกันนับสิบปี การันตีกันขนาดนี้ก็คงไม่น่าแปลกใจที่แต่ละปีจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ที่เมลเบิร์นกันถึง 129,000 คน และมีการคาดการณ์กันว่าภายในปี 2037 เมลเบิร์นจะกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียแซงหน้า Sydney ไปในที่สุดแม้ว่าตัวอักษรและภาพถ่ายจะไม่สามารถเทียบได้กับประสบการณ์ของการได้ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ในช่วงที่ Covid-19 ยังระบาดแบบนี้ เราขออาสาพาเพื่อนๆไป #วาร์ปfromhome เที่ยวจริงผ่านจอกันไปพลางๆก่อนก็แล้วกันนะครับ ส่วนตัวแล้ว เรามีความผูกพันกับเมลเบิร์นมายาวนาน เพราะเมื่อ 12 ปีก่อน เราเคยเป็นนักเรียนอยู่ที่นี่ จึงพอจะบอกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง (และความไม่เปลี่ยนแปลง) ผ่านการเดินทางของเวลาในเมืองแห่งตรอกซอกซอยและร้านกาแฟรสเยี่ยมแห่งนี้ ทั้งที่ตั้งอยู่ในรัฐ Victoria ซึ่งเป็นรัฐที่มีพื้นที่เล็กที่สุดบนออสเตรเลียแผ่นดินใหญ่เมลเบิร์นมีดีอะไร ทำไมคนถึงพากันย้ายมาอยู่ที่นี่ เรามาลอง #hop ไปสำรวจกันดีกว่า ว่าแรงดึงดูดของเมลเบิร์นมีอะไรบ้าง CBD (Central Business District) ย่านศูนย์กลางเมืองเมลเบิร์นเรียกกันย่อๆว่า CBD (Central Business District) ริมแม่น้ำ Yarra มีผังเมืองที่เป็นระเบียบเรียบง่าย มีถนนตัดกันเป็นตารางคล้ายๆนิวยอร์ค ที่นี่คือแหล่งธุรกิจที่เต็มไปด้วยอาคารสูง (แต่ก็ไม่เท่ากรุงเทพฯหรอกนะ) พลุกพล่านไปด้วยชาวออฟฟิศ นักท่องเที่ยว และนักเรียนต่างชาติโดยเฉพาะชาวเอเชียหัวดำอย่างเราๆที่แทบจะครองเมืองไปแล้ว อาณาเขตของ CBD นั้นมีถนน 4 สายหลักล้อมไว้จนเป็นรูปสี่เหลี่ยม(เกือบ)เป๊ะเลย ถนนหลักทั้ง 4 ได้แก่ Spencer, LaTrobe, Spring และ Flinders การเดินทางใน CBD นั้นค่อนข้างสะดวก เพราะมีรถ Tram ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ Melbourne มีลักษณะคล้ายๆรถเมล์รางที่มีสายเคเบิ้ลหิ้วอยู่ด้านบน ใน CBD ขึ้นฟรีด้วยนะ เพราะเป็น Free Tram Zone จุดศูนย์รวมทั้งรถไฟและรถ Tram ที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Flinders Street Station ที่ตัวอาคารก็เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของ Mebourne ด้วย Flinders Station บริเวณที่มีผู้คนขวักไขว่กันมากที่สุดใน CBD ก็คือระหว่างถนน Elizabeth และ Swanston เพราะมีการกระจุกตัวของโรงแรมและห้างร้านต่างๆมากมาย ขายกันหลากหลายสินค้าทั้งแฟชั่น สกินแคร์ (Aesop ก็เป็นแบรนด์ที่เกิดในเมลเบิร์นนะ) เครื่องประดับ ไปจนถึงร้านอาหารแทบทุกสัญชาติ และคาเฟ่ต่างๆที่ล้วนแข่งกันเสิร์ฟกาแฟคุณภาพระดับโลก แถมยังเป็นที่ตั้งของ Landmark สำคัญๆ เช่น สถานีรถไฟหลักอย่าง Flinders Street Station และ Melbourne Central ไปจนถึงห้องสมุดของรัฐอย่าง State Library Victoria และจตุรัส Federation Square State Library Victoria ใครๆมาก็อดใจไม่ไหวต้องหยิบกล้องมาถ่าย เพราะสถาปัตยกรรมและเลย์เอ้าท์การใช้สอยพื้นที่นั้นสวยคลาสสิคเหลือเกิน (photo by Pussadee) Location: https://goo.gl/maps/sYwNEPiPFJbHq3fR8 หากคุณต้องการความ luxury ก็ขอให้พุ่งไปหาร้านบิ๊กเนมต่างๆได้ที่ถนน Collins Street หรือจะช็อปสบายๆในห้างก็ไปที่ Bourke Street ได้เลยแต่เอาเข้าจริงๆ เมลเบิร์นนั้นขึ้นชื่ออย่างมากในเรื่องของตรอกซอกซอยหรือ lane ต่างๆที่อัดแน่นไปด้วยร้าน local คิ้วท์ๆและงานกราฟฟิตี้อาร์ทสีสันสดใส อาคารหลายๆแห่งในเมืองก็ถูกออกแบบมาให้สามารถเดินทะลุเข้าห้างนั้นออกห้างนี้ไปมาหาสู่กันได้อย่างเพลิดเพลิน Saturdays NYC Location: https://goo.gl/maps/Pb4TqfFr9zJ797Lk8 เสน่ห์สำคัญอีกอย่างของเมลเบิร์นก็คืออาหาร โดยเฉพาะอาหารเอเชียที่หากินได้ง่ายมาก แค่บนถนน Swanston สายเดียวก็เรียงรายกันตั้งแต่อาหารไทย เฝอเวียดนาม ไก่ทอดเกาหลี (SamSam) ชานมไข่มุกไต้หวัน ถ้ายังไม่จุใจก็จงเดินเข้าประตูสู่ China Town ตรงแยกที่ตัดกับ Little Bourke St. เราแนะนำร้านติ่มซำ (ที่นี่เรียกว่า Yumcha) ชื่อ Secret Kitchen ที่อร่อยจุใจไส้แน่นจนเกือบลืมร้านโปรดในฮ่องกงไปชั่วขณะ Higher Ground ร้านบร้นช์ชื่อดังในเครือ Darling Group เจ้าของรางวัลมากมาย ร้านตั้งอยู่ในโรงไฟฟ้าเก่าที่ตัวอาคารถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกด้านสถาปัตยกรรมของเมลเบิร์น Location: https://goo.gl/maps/mDES3YG86NY2SvMz7 Supernormal เค้าเคลมว่าเป็นร้านอาหาร Modern Australian แต่เรากลับรู้สึกว่ากลิ่นเอเชียนฟิวชั่นคลุ้งเลย หรือว่าออสเตรเลียยุคใหม่เอเชียจะครองเมือง? Location: https://goo.gl/maps/REkFyyU62gZdf62Z7 ส่วนอาหารสายฝอ ก็ลองจิ้มเลือกร้านตามนี้ได้เลย Higher Ground (อาหารโมเดิร์นออสเตรเลียน) Supernormal (อาหารเอเชี่ยนฟิวชั่น) Movida (อาหารสเปน) Tipo00 และ Osteria Ilaria (อาหารอิตาเลียน) ยังมีร้านอีกเยอะมาก ลองไปเสิร์ชเพิ่มกันนะ เมื่อก่อนเราติดใจร้านพาสต้าเก่าแก่บ้านๆที่ชื่อ Pellegrinis Bar มากเลย แต่คราวนี้ไม่ได้ไปกิน เสียดายจัง Humble Rays ร้านฝีมือเชฟคนไทยที่มีประสบการณ์และรางวัลด้านอาหารมามากมาย โดยเฉพาะในเรื่องขนมหวานกลิ่นอายเอเชียผสมฝรั่ง Location: https://goo.gl/maps/5xYAytjMaArehWZv9 Dukes Coffee Roasters ร้านกาแฟเล็กๆแต่เป็นหนึ่งในร้านกาแฟที่คนท้องที่แนะนำมากที่สุด Location: https://goo.gl/maps/bc6PY5keRG4BFety7 Operator 25 บรั้นช์คาเฟ่ที่เปิดอยู่ในตึก Original Telephone Exchange Building มาในคอนเส็ปต์ Operator ที่ช่วยต่อสายความอร่อยให้กับลูกค้า Location: https://goo.gl/maps/4dtEdvWKNUktCT9D7 วัฒนธรรมกาแฟของเมลเบิร์นนั้นเข้มแข็งและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก แม้แต่ Starbucks เองก็ยังเจาะตลาดเข้ามาแทบไม่ได้ และต้องถอยทัพไปปรับกลยุทธ์กันอยู่พักใหญ่ โดยต้องหันมาเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยว ฟิมากกว่าคนท้องที่ เพราะคนที่นี่เค้าไปร้าน Local กัน อย่างเช่น Dukes Coffee Roasters, Industry Beans, Market Lane Coffee, St. ALi, Humble Rays, Operator 25 เป็นต้น กาแฟดีแทบทุกร้านจริงๆ The Hotel Windsor Location: https://g.page/thewindsormelbourne?share โรงแรมหรูในตำนาน อายุ 137 ปีใจกลางเมลเบิร์น เก่าแก่กว่าโรงแรม Ritz ที่ปารีส หรือ โรงแรม Savoy ที่ลอนดอนซะอีก Queen Victoria Market Location: https://goo.gl/maps/k4PNegvbEL8HDWaZ9 สำหรับฟู้ดดี้ส์สายเดินตลาด ก็ไม่ควรพลาด Queen Victoria Market ที่อยู่ด้านเหนือของ CBD ที่นี่เป็นตลาดสดเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ (รวมพื้นที่ประมาณ 43 ไร่) ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่นี่มีสินค้าครบครันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ โดยเฉพาะอาหารสารพัดชนิดทั้งของสดและของแปรรูปที่เราสามารถซื้อกลับบ้านได้ Market Lane Coffee ร้านกาแฟเรียบเท่มีอยู่หลายสาขาทั่วเมลเบิร์น Location: https://goo.gl/maps/ZsJ6Te1BA63HbkvK7 Royal Botanic Gardens Location: https://goo.gl/maps/b5xCHCn3FoeUYxum8 อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เมลเบิร์นเป็นเมืองที่น่าอยู่มากๆก็คือการที่มีธรรมชาติอยู่ติดกันกับเมืองเลย ทั้งแม่น้ำ Yarra ที่สงบเยือกเย็นและสวน Royal Botanic Gardens ขนาดใหญ่เกือบ 240 ไร่ทางตอนใต้ของ CBD ที่มอบทั้งความงดงามและร่มเย็นให้กับชาวเมือง สวนแห่งนี้เป็นอีกจุดโปรดในการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองของเรา (สมัยเรียนอยู่ที่นี่ เรามาวิ่งออกกำลังกายในสวนแทบทุกเย็น) สังเกตว่าคำว่า gardens นั้นเติม s ด้วยเพราะที่นี่มีสวนย่อยๆหลายแบบรวมกันอยู่หลายสวน ทั้งพืชพรรณท้องถิ่นและพันธุ์ไม้หายากจากทั่วโลกทั้งสิ้นกว่า 8,500 สายพันธุ์ Southbank & South Melbourne ริมฝั่งแม่น้ำ Yarra ทางตอนใต้ของ CBD เป็นถิ่นเก่าบ้านเราเอง กลับมาคราวนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต่างไป แต่อีกหลายสิ่งก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิม ตึกสูงต่างๆก็ยังคงแย่งกันเบียดขึ้นฟ้า การันตีความสูงกันด้วยตึกที่สูงที่สุดใน Australia อย่าง Eureka Skydeck ไปจนถึง Crown Casino ที่ยังคงยืนเด่นให้มงลงอยู่ริมแม่น้ำเสมอมา แม้ว่าตัวเจ้าของ James Packer จะผ่านความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวกับ Mariah Carey มานานแล้ว (เกี่ยวตรงไหนเนี่ย? 555) ด้วยที่ตั้งที่อยู่ติดแม่น้ำ สามารถเดินข้ามสะพานไม่กี่ก้าวก็ถึง CBD แล้ว รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นหน้าเป็นตาของเมือง จึงทำให้ South Bank เป็นหนึ่งในย่านที่ทำเลราคาสูงมาก และแน่นอนว่าร้านอาหารและคาเฟ่หรูหราที่มาพร้อมกับวิวเมืองติดแม่น้ำแบบพาโนราม่าก็ไม่ใช่สิ่งขาดแคลนในย่านนี้เช่นกัน National Gallery of Victoria Location: https://goo.gl/maps/nD21gM2PueiDBXNC7 นอกจากนี้ South Bank ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมหลายๆอย่างของเมลเบิร์นไล่ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์หลักของเมืองอย่าง National Gallery of Victoria, Australian Centre for Contemporary Art, แกลอรี่ อาร์ทสเปซ โรงละคร มหรสพ และสถาบันเกี่ยวกับดนตรีและการเต้นรำก็ต่างกระจุกตัวกันอยู่ในย่านนี้ ว่าแล้วก็เสียดาย ถ้าหากวันนั้นเรามีเงินซื้ออพาร์ทเม้นท์เก่าเอาไว้ ป่านนี้มูลค่าคงพุ่งสูงไม่แพ้ตึก Eureka เลยล่ะ Australian Centre for Contemporary Art Location: https://goo.gl/maps/dhCRjVSFbW7SrCCR8 ส่วน South Melbourne ที่อยู่ถัดออกมา กลับมีบรรยากาศที่ต่างไป ตัวอาคารไม่ได้สูงเสียดฟ้า แต่แผ่กว้างมากขึ้น มีต้นไม้มากขึ้น แถมทิศใต้ก็อยู่ติดกับ Albert Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่อีกอัน ย่านนี้มีร้านอาหารและคาเฟ่ดังๆอยู่หลายร้าน ไม่ว่าจะเป็น The Kettle Black, St.Ali, Market Lane Coffee, Chez Dre ฯลฯ หากใครรู้จักแบรนด์แก้วเครื่องดื่มเก็บความร้อนแบบพกพาที่ชื่อว่า Frank Green ที่เริ่มโด่งดังไปไกลทั่วโลก ด้วยจุดเด่นที่กดปุ่มตรงกลางปุ๊บก็สามารถยกดื่มได้เลย ไม่ต้องหมุนฝาออกเหมือนแก้วทั่วๆไป นางก็มี HQ อยู่ที่ South Melbourne นี่เช่นเดียวกัน ช่วงที่เราไปนางมีเซลใหญ่ คนต่อแถวกันอ้อมจักรวาลกันเลยทีเดียว Market Lane Coffee - South Melbourne สาขานี้เดินข้ามถนนจากตลาด South Melbourne Market ก็ถึงเลย Location: https://goo.gl/maps/aJRzeEyyTCPDkwLy8 ร้านค้าต่างๆใน South Melbourne Market Location: https://goo.gl/maps/RAm8Kp1MjxTyc9Vy6 สถานที่ที่น่าจะเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สุดใน South Melbourne ก็คงหนีไม่พ้น South Melbourne Market ตลาดที่เต็มไปด้วยร้านค้าอาหารและสิ่งของต่างๆมากมายหลากหลายแนว ตอนแรกเราหลงไปในโซนที่ไม่ค่อยถูกจริตเราเท่าไหร่ ก็แอบผิดหวังเล็กน้อย แต่พอเจอโซนที่ใช่แล้วก็เดินเพลินจนลืมเวลาเลย เผลอซื้อของจุกจิกจนลืมโควต้าน้ำหนักกระเป๋าซะงั้น แหะๆ St.Kilda & Brighton ลงใต้มาอีกนิด เราก็จะพบกับย่านติดทะเล 2 แห่ง แม้จะไม่ได้อยู่ติดกันซะทีเดียว แต่ St.Kilda และ Brighton ก็อยู่ทางเดียวกัน เราเลยขอจับมาคู่กันไปเลย St. Kilda นั้นอยู่ใกล้ CBD มากกว่า ที่นี่เป็นอีกย่านฮิปฟีลคล้ายๆ Santa Monica ใน LA แต่เงียบกว่า สวนสนุก Luna Park แบบในซิดนีย์ก็มีอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ความฮิปที่นี่ต่างจากที่ Fitzroy เพราะมีความ subtle ไม่เอะอะมาก และร้านต่างๆกระจายตัวกันอยู่ ต้องซ่อกแซ่กกันพอสมควรถึงจะหาเจอ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านประจำของชาว local ที่รู้แหล่ง บังเอิญวันเราไปเป็นวันธรรมดาและใกล้ค่ำแล้ว ส่วนใหญ่ก็เลยปิดกันหมด อดเก็บบรรยากาศมาฝากเลย T_T แต่ที่เราแวะไปก็คือ Hotel Esplanade โรงแรมเก่าแก่อายุกว่า 140 ปีที่เพิ่งถูก revamp และเปิดใหม่อีกครั้งในปี 2018 กลายเป็น Talk of the town อยู่พักใหญ่ในเมลเบิร์น กลับมาคราวนี้ Espy (ชื่อเล่นของ The Esplanade) โฉมใหม่ไม่ได้เป็นโรงแรม แต่เป็นคอมเพล็กซ์ร้านอาหาร+ผับบาร์ที่ดูเลอค่า classy และดิบเท่สุดๆไปเลย ที่นี่เต็มไปด้วยเรื่องราว ดนตรี และศิลปะ แค่ได้เดินสำรวจเข้าออกแต่ละห้องก็คุ้มค่าแล้ว บางจังหวะก็รู้สึกเหมือนเดินทะลุมิติเข้าไปใน Havana ในวันที่ผู้คนยังใส่สูทและสูบซิการ์ควันฉุยกันอยู่ ตลอด 140 ที่ผ่านมาถ้าผนังพูดได้ คงมีเรื่องให้เล่าเยอะแยะเลยล่ะ อีกร้านนึงที่มีเพื่อนแนะนำมาแบบสุดลิ่มทิ่มประตูคือร้านอิตาเลียนชื่อ Café Di Stasio เราก็พุ่งไปเลย แต่คงคาดหวังมากไปนิดเลยแอบผิดหวังเล็กน้อยในเรื่องรสชาติ ไม่ได้แย่นะ แต่ก็ไม่ได้ว้าว แถมเราก็แอบตกใจกับบรรยากาศ formal dining ตอนที่เปิดประตูเข้าไปเพราะเราเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมา ก็เลยแอบเกร็งเล็กน้อยกับผ้าปูโต๊ะสีขาวเรียบกริบและพนักงานเสิร์ฟที่คอยยืนประกบอยู่ไม่ไกล และที่สำคัญราคาไม่เบาเลยล่ะ เลาะทะเลไกลออกมาทางใต้อีกนิด เราก็จะเจอกับ Brighton นักท่องเที่ยวจะร้องอ๋อเมื่อเห็นภาพบ้านหลังเล็กๆสีสันสดใสเรียงรายกันอยู่ริมหาด บ้านจิ๋วเหล่านี้มีชื่อเรียกกันว่า Bathing Boxes มีทั้งหมด 82 หลัง เป็นหนึ่งในหลักฐานทางวัฒนธรรมยุค Victoria ที่ยังคงอยู่ น้อยคนจะรู้ว่าบ้านเหล่านี้นั้นมีอายุเกินร้อยปีแล้ว ด้วยความน่ารักที่สามารถกระตุ้นต่อมถ่ายรูปได้เป็นอย่างดี จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของ Melbourne จากหาดตรงนี้พอมองย้อนกลับมาทางเมือง ก็จะเห็น Skyline ของตึกสูงสวยงามอยู่ลิบๆ ทำให้เรานึกถึงหาดบางเสร่เวลาเรามองย้อนไปที่เมืองพัทยาอยู่เหมือนกันนะ สำหรับชาว local แล้ว หลายคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Brighton เป็นย่านในฝันที่จะมาซื้อบ้านอยู่ แต่ก็นั่นแหละเนอะความฝันมักมีราคาที่ต้องจ่ายสูงเสมอ Richmond & Hawthorn ย้ายมาทางฝั่งตะวันออกของเมืองกันบ้าง 2 ย่านนี้ไม่ค่อยปรากฏอยู่ในไกด์ท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก แต่สำหรับคนท้องที่แล้ว นี่เป็น 2 ย่านที่มีร้านอาหารเจ๋งๆแบบที่ไม่ต้องตามกระแสอยู่เยอะเลย แม้จะอยู่ติดกันแต่บรรยากาศกลับต่างกันพอสมควร ฝั่ง Richmond นั้นมีกลิ่นเอเชียคลุ้งเลย เนื่องจากเป็นย่านที่ชาวเวียดนามย้ายมาตั้งรกรากกันอยู่เยอะ โดยเฉพาะบนถนน Victoria Street ถึงกับได้รับขนานนามให้เป็น Little Saigon เลย ส่วน Hawthorn ก็มีความฝรั่งมังค่าน่าเดินเล่นไม่แพ้กัน AU79 คาเฟ่เก๋ๆใน Richmond Location: https://goo.gl/maps/fP3DYPHHQ1t1qcvc6 ใน Richmond นอกจากร้านเวียดนามชื่อ Thanh Hà 2 (เราเรียกกันง่ายๆว่าร้าน “ตัญหา 2”) ที่เพื่อนคนไทยของเราที่อยู่ที่นี่ recommend แล้ว นางยังพาเราไปกินขนมและจิบเครื่องดื่มต่อที่คาเฟ่เก๋ๆชื่อ AU79 ที่อยู่ใกล้กันอีกด้วย ซึ่งก็ดีงามตามมาตรฐานเมลเบิร์น แต่ที่เรารีเควสต์ให้นางพาไปเลยก็คือโรงคั่วกาแฟ Coffee Supreme สัญชาตินิวซีแลนด์ที่เราแอบเป็นแฟนคลับอยู่ลับๆมานาน รู้มาว่านางมาเปิดโรงคั่วอยู่ทาง North Richmond มีหรือที่เราจะพลาด Coffee Supreme Location: https://goo.gl/maps/gnFCeeu6GV99zKV98 อีกร้านที่เราแอบปลื้มเป็นพิเศษคือร้านอาหารกรีกทางตอนใต้ของ Richmond ชื่อ Bahari เจ้าของเคยเข้าประกวด MasterChef เมื่อหลายปีก่อน จึงเอาสกิลล์มาดัดแปลงอาหารกรีกให้เข้ากับยุคสมัย เน้นให้แบ่งกันกินถูกจริตคนไทย ด้วยความที่ตั้งใจว่าจะต้องกินอาหารกรีกที่เมลเบิร์นให้ได้ เพราะหากินอร่อยๆยากในเมืองไทย และที่เมลเบิร์นเองก็มีคนเชื้อสายกรีกมาตั้งรกรากกันอยู่มาก เพื่อนๆก็เลยจัดให้ชุดใหญ่เลย Bahari Location: https://g.page/Bahari-Greek-Restaurant?share ข้ามมาฝั่ง Hawthorn คราวนี้มีไกด์เป็นเพื่อนฝรั่งชื่อ Mat ที่ไม่ได้เจอกันนาน นางเป็นคนที่มีรสนิยมด้านอาหารถูกจริตเรา เพราะเราชอบ comfort food มากกว่าอาหารหรูหรา นางจึงพาไปร้าน Vaporetto ร้านอาหารเวนิสบรรยากาศแบบบ้านๆฝรั่งให้ฟีลอบอุ่น มาพร้อมกับพนักงานเสิร์ฟที่เฟรนด์ลี่กำลังดี ร้านนี้กลายเป็นอีกหนึ่งร้านโปรดของเรา และถ้ามีโอกาสได้กลับไปกินอีกก็จะดีใจมากๆ Vaporetto Location: https://goo.gl/maps/6EnxZgjQNUGEjB329 อีกร้านในย่าน Hawthorn ที่ Mat พาไปตะลอนกิน และก็ดีงามไม่แพ้กัน เป็นไวน์บาร์สัญชาติสเปนชื่อ Tinto คืนนั้นเราปิดท้ายด้วยเจลาโต้หอมหวานที่ร้าน Piccolina Gelateria ซึ่งเราก็บังเอิญเดินไปเจอ แล้วมารู้ทีหลังเป็นร้านดัง อร่อยเข้มข้นถูกใจเลยล่ะ Tinto wine bar & food Location: https://g.page/tintomelb?share Piccolina Location: https://goo.gl/maps/9DBX9yqGrJAR2Tgx5 Fitzroy วนขึ้นมาทางตะวันออกเฉียงเหนือของ CBD ก็จะเจอย่านฮิปที่ชื่อ Fitzroy แนะนำให้เดินเลียบถนน Brunswick เพราะเต็มไปด้วยร้านรวงคาแร็คเตอร์จัดมากมาย ทั้งร้านหนังสือ ดอกไม้ เสื้อผ้า อาหาร ผับ บาร์ คาเฟ่ ไปจนถึงตลาดนัด เรารู้สึกว่าย่านนี้มีพลังงานคล้ายกับ San Francisco ยังไงไม่รู้ วัยรุ่นไม่ควรพลาด (แต่เราเลยวัยนั้นมานานแล้ว 555) Lune Croissanterie ร้านครัวซองต์ที่กำลังมาแรงสุดๆ Location: https://goo.gl/maps/3M5j2wXHYvcq2p8f7 เราเลือกแว่บเข้าไปที่ร้าน LUNE สาขาใหญ่ใน Fitzroy ก่อนเลย เพราะได้ยินชื่อเสียงครัวซองต์ของเขามานาน แต่สิ่งที่ทำให้เราว้าวกลับไม่ใช่ตัวสินค้า (อร่อยเลยน้าา แต่เราเคยกินร้านอื่นที่ถูกใจกว่านี้ และแอบคิดว่าที่นี่แพงไปนิดดด) แต่เป็นวิธีการ “นำเสนอสินค้า” ผ่านคอนเส็ปต์ บรรยากาศ และกลยุทธ์แบรนดิ้งต่างๆ ใครเลยจะคิดว่าร้านครัวซองต์จะสามารถเท่และสร้างความฮือฮามีแฟนคลับมากมายขนาดนี้ Perfect Potion ร้านขายน้ำมันหอมระเหยที่ทั้งช่วยผ่อนคลาย บำบัด และปรับสมดุลให้กับชีวิตที่วุ่นวาย Location: https://goo.gl/maps/8cteM4b3dwGA46AD8 จากนั้นเราก็เตร็ดเตร่เข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ได้ของมานิดๆหน่อยๆ พากระเป๋าสตางค์รอดมาได้แบบต้องตัดใจไปหลายอย่าง จนกระทั่งมาแพ้ทางให้กับร้านขายน้ำมันหอมระเหยที่ชื่อ Perfect Potion แบบไม่ทันตั้งตัว เราเลือกกลิ่นที่สกัดจาดพืชพรรณ local อย่าง Kunzea และอื่นๆอีกหลายขวด รวมถึงที่เค้า blend มาให้แล้วอีกเพียบเลย ที่จริงย่านนี้ขึ้นชื่อเรื่อง night life มากเลยนะ ผับบาร์ต่างๆก็มีธีมเป็นของตัวเอง เสียดายที่เราไม่ได้อยู่ในมู้ดที่จะปาร์ตี้เลยไม่ได้แวะเก็บบรรยากาศมาฝาก FREITAG ขวัญใจชาวฮิปสเตอร์ Location: https://goo.gl/maps/4N9ijWviz6UTyN9Y6 Assembly Label แบรนด์เสื้อผ้าสไตล์ Coastal เน้นโทนสีอบอุ่น ดูสะอาดตาและผ่อนคลาย ใส่แล้วเหมือนได้เดินเล่นอยู่ริมหาดออสซี่ Location: https://goo.gl/maps/pXSy9a6W8wt1spzF6 Mr Simple Fitzroy Location: https://goo.gl/maps/Fg7MqsDmW3bbmBty5 Kloke Location: https://goo.gl/maps/bmxiU3TgrSLRYf8Y8 Flowers Vasette Location: https://goo.gl/maps/7SvQ9ck9M9SQUREX9 Chotto Motto Location: https://g.page/chottomotto?share อันนี้แถมให้ หลุดจาก Fitzroy มาทางทิศตะวันออกมานิดเดียว จะเป็นย่านสงบๆชื่อ Collingwood เราแว่บมาเจอร้านเกี๊ยวซ่าแต่งร้านสไตล์วินเทจแบบญี่ปุ่น ชื่อ Chotto Motto แปลกตาดี อาหารเราว่าไม่ได้ว้าวเว่อร์วัง แต่การได้มาอยู่ในบรรยากาศสนุกๆแบบนี้ก็ตัดเลี่ยนได้ดีเหลือเกิน North Melbourne ขยับมาทางเหนือของ CBD เป็นย่านที่เงียบแต่เราชอบจัง ตอนแรกก็กะจะไม่เขียนถึง เพราะก็ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น แต่พอได้ลองขนมร้าน Beatrix แล้ว บอกได้เลยว่านี่น่าจะเป็นร้านเบเกอรี่โฮมเมดที่เราชอบมากที่สุดใน Melbourne ขนาดเราไปตอนที่ร้านใกล้ปิด ของดังๆของเค้าหมดไปแล้ว ซื้อได้แต่ของที่เหลือในตู้ไม่กี่ชิ้น เรายังตกหลุมรักกับ Caramel Slice และ Cookie คาราเมลเค็ม (ก็มันเหลือแต่คาราเมลอ่าาาา) เข้าอย่างจัง คือดูทรงแล้วอย่างอื่นต้องเด็ดมากแน่ๆเลย Beatrix ต้องโดนจริงๆ Location: https://goo.gl/maps/BqbmWhgXhTNR16wa9 Mörk เจ้มจ้นล้นใจ Location: https://g.page/MorkChocolate?share อีกร้านที่สายของหวานน่าจะถูกใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือร้านขาย Specialty Hot Chocolate ที่ชื่อว่า Mörk เมื่อ 12 ปีก่อนเราเทใจให้ช็อคโกแลตร้อนของ Koko Black อีกร้านช็อคโกแลตพรีเมี่ยมของ Melbourne แต่คราวนี้ต้องยกให้ Mörk จริงๆ ขนมอย่างอื่นก็ดี๊ดี เสียดายที่เราดันไป Beatrix มาก่อนแล้ว ความฟินเลยถูกตัดหน้าแบ่งไปง่ายๆซะอย่างนั้น Yarra Valley อันนี้ไม่อยู่ในเมือง แต่เราอยากแถมให้ (แถมเก่งงงง) ปกติคนที่มา Melbourne ก็มีทางเลือกให้ออกไปเที่ยวรอบนอกได้หลายจุด ที่โด่งดังที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวก็เห็นจะเป็นการขับรถเล่นบนถนน The Great Ocean Road ไปชมหิน The Twelve Apostles หรือไปชมเมืองขุดทองโบราณอย่าง Ballarat หรือลงใต้ไป Mornington Peninsula แล้วข้ามไปดูเพนกวิ้นที่ Phillip Island แต่เราไปจุดต่างๆเหล่านั้นมาหลายรอบแล้วเลยอยากเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นบ้าง เราจึงถือโอกาสพาเพื่อนๆ #hopsters ขับรถออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อไปดื่มด่ำกับบรรยากาศไร่องุ่น และจิบไวน์เคล้าอาหารเลิศรสกันที่แหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญของรัฐ Victoria อย่าง Yarra Valley Zonzo Estate Location: https://g.page/ZonzoEstate?share ในหุบเขา Yarra นั้น มีไร่องุ่นและโรงทำไวน์ชื่อดังอยู่หลายยี่ห้อ จุดแรกที่เราเลือกแวะคือ Zonzo Estate เพราะเพื่อนของเราบอกว่าคนน้อยและวิวสวยเพราะมีทิวเขาเป็น background อยู่ด้านหลัง และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราชอบบรรยากาศที่นี่ มีความยุ้งฉางโมเดิร์นที่ตกแต่งแต่พอดี ร้านอาหารก็น่าลองมากๆ แต่เรามาถึงก่อนเวลามื้ออาหาร และเพื่อนแพลนที่อื่นไว้แล้ว เลยต้องตัดใจ T_T แต่คราวหน้าไม่พลาดแน่ Domaine Chandon Location: https://goo.gl/maps/1ESEx4k2L9XNfj387 จากนั้นเราไปต่อกันที่ Domaine Chandon หลายคนน่าจะรู้จักหรือคุ้นชื่อกันบ้าง ในฐานะแบรนด์ที่โดดเด่นในเรื่อง New World Sparkling Wine เพราะเขาเป็นเพียงเจ้าเดียวในออสเตรเลียที่ใช้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมของฝรั่งเศส บรรยากาศที่นี่ดูเก่าแก่มีประวัติศาสตร์มากกว่าที่แรก และจำนวนคนก็มากกว่าเช่นกัน เราเดินดูพิพิธภัณฑ์ของแบรนด์ ทะลุไปยังห้องอาหาร/จิบไวน์ที่คึกคักมาก ก่อนจะออกไปสูดอากาศในไร่องุ่นเพื่อซึมซับเอาพลังงานดีๆเข้าร่าง The Coombe Cottage Location: https://goo.gl/maps/3KmyozCXTfgJzeBVA จุดสุดท้ายที่เราแวะก็คือ Coombe ที่นี่เป็นทั้งจุดชิมไวน์/ร้านอาหาร/แกลอรี่ และสถานที่จัดงานเลี้ยงสำคัญต่างๆ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นบ้านเก่าของ Dame Nellie Melba นักร้องโอเปร่าระดับตำนานของออสเตรเลีย มีพื้นที่ถึง 7 เอเคอร์ (เกือบ 18 ไร่) และโดดเด่นด้วยสวนอังกฤษสวยหยด เต็มไปด้วยต้นไม้เก่าแก่ที่ดูอุดมสมบูรณ์ สะกดสายตาผู้มาเยือนตั้งแต่รั้วที่ตัดแต่งจากพุ่มไม้ขนาดมหึมาให้เป็นแนวเส้นโค้งอ่อนช้อยดูคลาสสิคแต่ก็ทันสมัยไปพร้อมๆกัน เราชอบที่นี่มากๆ ขณะที่เรากำลังพิมพ์บทความนี้อยู่ก็แอบนึกถึงบรรยากาศการนั่งจิบชาคู่กับ scone อร่อยๆระหว่างนั่งเม้าท์มอยกับเพื่อนๆที่โต๊ะในสนามหญ้าหลังบ้านคุณนาย Melba แหม.. มันน่ากลับไปเยี่ยมอีกซักรอบจริงๆ คงจะพอเห็นภาพกันบ้างแล้วเนอะว่าทำไม Melbourne ถึงอยู่อันดับต้นๆของเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกมาติดต่อกันหลายต่อหลายปี ส่วนผสมที่ลงตัวของผังเมืองที่เรียบง่ายทันสมัย ระบบสาธารูปโภคและคมนาคมที่มีคุณภาพ การส่งเสริมแบรนด์ท้องถิ่นให้เติบโต พื้นที่สีเขียวที่ร่มรื่นงดงามและเพียงพอสำหรับทุกคน และที่สำคัญที่สุดก็คือการเปิดรับความหลากหลายมางวัฒนธรรม ซึ่งก็นำมาสู่ทางเลือกที่ไม่รู้จบในเรื่องอาหารการกินและสุนทรียภาพในการใช้ชีวิต ทำให้ Melbourne นั้นมีแรงดึงดูดอันทรงพลัง แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากประเทศส่วนใหญ่ในโลกเพียงใด แต่ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศก็ยังคนหลั่งไหลย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่นี่กันอย่างไม่ขาดสาย Things we bought ไปเมลเบิร์นซื้อนี่ดิ!! ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเราซื้อของมาเยอะกว่าในรูปมาก 5555 แต่เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีไม่บ้าหอบฟางเกินไป เราขอเลือกมาแนะนำก็แล้วกัน อย่างแรกเลยก็คือเมล็ดกาแฟ และสินค้าเกี่ยวกับกาแฟต่างๆ เพราะเมลเบิร์นดังเรื่องนี้มากจริงๆ (ชาเค้าก็มียี่ห้อ local หลายยี่ห้อนะ ดังสุดก็คือ T2 แต่เรากินหมดตั้งแต่อยู่ที่นู่นเลยไม่ได้เอากลับมาถ่ายด้วยกัน) เราซื้อเมล็ดมาจากหลายยี่ห้อ ทั้ง Market Lane, ST. ALI, Supreme ฯลฯ เราได้แก้วเก็บความร้อน (คนแถวนี้เรียก Keep Cup) จาก Frank Green มาด้วย เราเลือกเสื้อผ้าสบายๆจาก Assembly Label และแอบหยิบนิตยสาร Screen'ry ฉบับแนะนำ Melbourne ที่วางขายในร้านติดมาด้วย (เสื้อผ้าดีไซเนอร์แบรนด์อินเตอร์ต่างๆที่นี่ก็มีให้เลือกเยอะ และราคาก็แทบไม่ต่างกับที่ยุโรปเลยนะ) ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็เห็นจะเป็นผลิตภัณฑ์ Aesop ที่ราคาถูกว่าที่อื่นแบบปฏิเสธยาก สุดท้ายก็คือของจุกจิกจากตลาดและซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Manuka Honey อาหารเสริมที่สกัดจากธรรมชาติ เครื่องประทินผิว ของกินนู่นนี่นั่นอีกนับไม่ถ้วน รวมไปถึงเครื่องใช้จิปาถะอีกมากมาย อ่อๆๆๆ เราลืมน้องน้ำมันหอมระเหยขวดจิ๋วไปเลย เราปลื้มกลิ่นแปลกๆที่เมืองไทยไม่มีขายหลายกลิ่นเลยแหละ FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #LetsHoparoundMelbourne #LetsHoparound #Melbourne #Melbournecity #MelbournecityGuide #Travel #เมลเบิร์น #เที่ยวเมลเบิร์น #รีวิวเมลเบิร์น #เมลเบิร์นไปไหนดี #ไปไหนดีในเมลเบิร์น #รอบเมลเบิร์น #เมืองเมลเบิร์น #ไปเมลเบิร์น #เที่ยวเมลเบิร์นด้วยตัวเอง #บินไปเมลเบิร์น
- Silavadee Pool Spa Resort Samui รีวิว ศิลาวดี รีสอร์ท สมุย
Silavadee Pool Spa Resort Samui รีวิวศิลาวดี รีสอร์ท สมุย และโขดหินที่นี่นั้นก็เกลี้ยงเกลางดงามสมชื่อ ยิ่งเมื่ออยู่เคียงคู่กับน้ำทะเลสีฟ้าใส หาดทรายขาวละเอียด และต้นไม้เขียวชอุ่มนานาพันธุ์ เสน่ห์ของรีสอร์ทหรูบนเกาะสมุยแห่งนี้ก็ยิ่งถูกยกกำลังขึ้นไปอีกหลายขุม แต่แล้วจู่ๆเราก็เห็นภาพ Flashback เป็น MV เพลง Party ของวง Girls’ Generation ขึ้นมาซะอย่างนั้น อ่อ... ก็ที่นี่เป็นโลเคชั่นถ่ายทำ MV เพลงนั้นจริงๆซะด้วย ตั้งอยู่บนปลายแหลมหนันทางทิศตะวันออกของเกาะสมุย ศิลาวดีถือเป็น Exclusive Luxury Hideaway ที่เป็นดั่งสวรรค์สำหรับผู้ปรารถนาความสงบหลบความวุ่นเข้าสู่อ้อมกอดอันงดงามของธรรมชาติ นอกจากนี้ศิลาวดียังเป็นรีสอร์ทแบรนด์ไทย 100% และมีอยู่ที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น จึงทำให้ประสบการณ์เข้าพักของเราครั้งนี้ยิ่งมีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร The Arrival รถของศิลาวดีมารอรับเราตั้งแต่มาถึงสนามบิน และใช้เวลาเดินทางไปยังตัวรีสอร์ทประมาณ 20 นาทีเท่านั้น เราได้ยินมาว่าน้ำส้มคั้นสดที่มีเตรียมไว้ต้อนรับเราบนรถนั้นอร่อยชื่นใจมาก ก็เลยไม่รอช้าขอเปิดชิมดูเลยก็แล้วกัน อุ้ย! อร่อยจริงด้วย งั้นหมดขวดเลยก็แล้วกันเนอะ ฮ่าๆๆ ช่วงที่เรามาถึงฟ้าฝนคงอยากโปรยปรายเป็นฤกษ์เย็นเพื่อมาต้อนรับเรา ก็ชุ่มชื่นกันอีกแบบครับ หลังจากดื่ม Welcome Drink เป็นน้ำสมุนไพรสดชื่นเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็เป็นธุระช่วยเรากรอกข้อมูลเช็คอินจนเสร็จสรรพ พร้อมแนะนำให้ดาวน์โหลด App เฉพาะของทางรีสอร์ทที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกตลอดการเข้าพักของเรา ธรรมชาติและเทคโนโลยีนั้นเข้ากันได้ดีมากที่ศิลาวดีครับ Our Villa เราพร้อมที่จะนั่งรถ Buggy ไปที่วิลล่าของเราแล้วครับ ทางขึ้นลงเนินบางจุดชันมากเหมือนกับได้นั่งรถไฟเหาะแบบย่อมๆ สนุกมากเลย พนักงานแจ้งว่าทางรีสอร์ทนั้นมีนโยบายให้รักษาสภาพดั้งเดิมของธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด และตอนก่อสร้างก็ไม่มีการตัดต้นไม้ใหญ่เลย ในบรรดาห้องพัก 80 ห้อง มีเพียง 4 ยูนิตเท่านั้นที่ได้ชื่อว่า Oceanfront Pool Villa Suite และเราก็โชคดีที่ได้เข้าพักหนึ่งในวิลล่าที่ดีที่สุดของรีสอร์ททั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่ง Oceanfront Pool Villa Suite นี้เป็นวิลล่าไซส์ใหญ่พิเศษประมาณ 300 ตร.ม. เห็นวิวทะเลเต็มๆจากซ้ายไปขวาเท่าที่ตาจะมองเห็น มาพร้อมกับสระว่ายน้ำ Infinity ฟรีฟอร์มที่แทบจะมองเห็นเป็นเนื้อเดียวกันกับท้องทะเลที่อยู่ไกลออกไป นอกจากนี้ยังมีเรือนนั่งเล่นพร้อมห้องน้ำในตัวแยกออกไปอีกหลัง ซึ่งหากมาหลายคนก็สามารถแปลงเรือนนั่งเล่นนี้ให้เป็นเรือนนอนเพิ่มได้ด้วย ใครอยากเข้าพักตามรอยเรา วิลล่าของเราคือวิลล่าหมายเลข 4 นะครับ เราไปชมรูปมุมต่างๆในวิลล่าของเรากันดีกว่าครับ In-Villa Afternoon Tea ฟ้าฝนเจ้ากรรมยังคงโครมครามดีใจกับการมาถึงของเราไม่หยุด เรารู้สึกเกรงใจพนักงานของทางรีสอร์ทเหลือเกินที่ต้องฝ่าฝนเอาเซ็ต Afternoon Tea มาจัดให้เราถึงในวิลล่า ซึ่งเซ็ตชายามบ่ายของที่นี่นั้นอุปกรณ์มาเต็มมากครับ ขนมทั้งคาวหวานและเครื่องดื่มทั้งร้อนเย็น (มีชาชักด้วย อร่อยเข้มมากฮะ) และบริการของพนักงานนั้นก็ไม่ยอมให้ขาดตกบกพร่องเลย ต้องขอขอบคุณอีกครั้งครับ จิบชาครึ้มๆแบบนี้ก็มูดดี้ดีไปอีกแบบนะครับ มี Background เป็นทะเลสวยขนาดนี้ ถ้าฟ้าเปิดคงบรรเจิดมากเลยล่ะ Lazing Around The Villa เราถือโอกาสช่วงฝนตกแบบนี้ใช้พื้นที่ห้องจนคุ้มเลยล่ะครับ เราค้นพบว่าเรือนนั่งเล่นนี่เป็น Perfect Spot ในการทำงานมากครับ เราเพลินกับการนั่งทำงานสลับกับพูดคุยเถลไถลและดูวิวทะเลเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกทีก็เกือบเย็นแล้ว เคลียร์งานไปได้เยอะเหมือนกันแบบงงๆ และมื้อเย็นนี้เรามีนัดดินเนอร์กันที่ห้องอาหารของทางรีสอร์ทครับ Dinner For Two ศิลาวดีมีห้องอาหาร 3 สไตล์ด้วยกัน คือ Sun, Moon และ Star โดยทั้ง 3 ห้องนั้นอยู่กันคนละชั้นในอาคารเดียวกัน เริ่มที่ชั้นล่างสุดกับห้องอาหาร Sun ซึ่งมีลักษณะสบายๆกึ่งๆคาเฟ่ริมสระน้ำ เพราะตรงนี้มีหนึ่งในสระหลักของรีสอร์ทอยู่ด้วย ขยับขึ้นมาอีกชั้นเป็นห้องอาหาร Moon ซึ่งเป็นห้องอาหารของศิลาวดี ใช้เสิร์ฟอาหารทุกมื้อ โดยเฉพาะเบรคฟัสต์ที่จะคึกคักเป็นพิเศษ ส่วนชั้นดาดฟ้านั้นเป็น Roof Top Bar ชื่อว่า Star ตามกำหนดแล้วมื้อนี้ทางรีสอร์ทจะมีบริการนำเอาอุปกรณ์บาร์บิคิวมาปิ้งย่างให้เราตรงบริเวณสระว่ายน้ำในวิลล่าของเราเลย แต่เนื่องจากยังมีฝนปรอยๆ ทางรีสอร์ทจึงขอชดเชยด้วยการปิดห้องอาหาร Sun เพื่อให้บริการเรา 2 คนโดยเฉพาะ ไม่เพียงเท่านั้นยังส่ง Head Chef (เชฟปมณฑ์) มาปรุงอาหารให้เราด้วย เชฟบอกว่าปกติเชฟจะปรุงให้เฉพาะแขก VIP เท่านั้นเราประทับใจกับความทุ่มเทในการบริการของศิลาวดีมากครับ และรสมือของเชฟปมณฑ์ก็สมกับตำแหน่ง Head Chef มากเลยครับ เชฟถามเราว่าชอบกินอาหารใต้มั้ย กินเผ็ดได้มั้ย เพราะอยากจะทำให้กินในมื้อกลางวันพรุ่งนี้ด้วยรสมือคนใต้แท้ๆ (เชฟเป็นคนสงขลา) เรารีบบอกเลยว่าเราชอบมากๆ อดใจไม่ไหวเลยครับ Bath Time หลังจากอิ่มอร่อยแบบไพรเวทเรียบร้อยแล้ว เราก็เรียกให้รถ Buggy กลับมาส่งที่วิลล่า พอเดินเข้าห้องน้ำก็นึกขึ้นได้ว่าเรามีอ่างอาบน้ำมหึมาอยู่ในห้องนี่นา ไหนๆก็ไหนๆคงต้องแช่แล้วแหละเนอะ เราไม่รีรอตรงเข้าไปเปิดน้ำอุ่นเติมในอ่างแล้วใส่สบู่ตีฟองจนฟูฟ่อง แช่น้ำอุ่นจนสบายไปทั้งตัวก็ได้เวลานอน คืนนี้หลับสนิทแน่นอนครับ Breakfast Buffet เช้านี้เรามีนัดทานบุฟเฟ่ต์อาหารเช้ากันที่ห้องอาหาร Moon อาหารเช้าที่นี่นั้นมีครบทุกหมวดหมู่คาวหวาน ทั้งแบบ Local ไม่ว่าจะเป็นปลากะพงนึ่งขิง โรตีแกงมัสมั่น ไปจนถึงหมูปิ้งที่เราคุ้นเคย หรืออาหารอินเตอร์ทั้งแบบพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นจานไข่นานาชนิด ชีส โคลด์คัท ไปจนถึงเมนูพิเศษอย่าง Lobster Roll แต่ที่นี่ใช้กุ้งสดๆจากทะเลท้องที่แทน Lobster นะครับ แต่เขามีคาร์เวียร์โปะมาให้ด้านบนด้วย อาหารเช้าที่นี่มีหลากหลายมากจริงๆครับ ที่เห็นในรูปคือแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ปล.เราชอบน้ำผลไม้ของที่นี่ที่คั้นจากผลไม้สดๆเลย Silavadee Spa ไปนวดกันครับ วันนี้เราเลือกนวดไทยกันที่สปาของศิลาวดี ความแตกต่างระหว่างการนวดไทยทั่วไป กับการนวดไทยที่ดีเยี่ยมที่สปาแห่งนี้นั้นนอกจากความรู้ในเรื่องเส้นและกายวิภาคต่างๆของหมอนวดแล้ว ยังอยู่ที่ความตั้งใจในการลงน้ำหนักอย่างเป็นจังหวะด้วย เรารู้สึกถึงเจตจำนงค์ในทุกๆการกดของพี่ Therapist ของเราได้เป็นอย่างดี สบายจนเผลอหลับไป (ปกติเราจะไม่ค่อยหลับเวลานวดไทย เพราะต้องขยับตัวตลอดเวลา) ใจจริงเราตั้งใจอยากจะลองคอร์ส Silavadee Journey ซึ่งเป็นการผสานเทคนิค Lomi Lomi แบบฮาวายกับ Shirodhara แบบอินเดียไว้ด้วยกันจนเป็น Signature Treatment ของที่นี่ แต่เนื่องจากเวลาที่เราว่างไม่ตรงกับ Therapist จึงชวดไปอย่างน่าเสียดายครับ Local Lunch. Masterfully Prepared. ถึงเวลามื้อกลางวันแบบใต้แท้ๆโดยฝีมือชั้นครูของเชฟปมณฑ์คนเดิม วันนี้เชฟจัดน้ำชุบโจรพร้อมผักเครื่องเคียง ใบเหลียงผัดไข่ ไก่บ้านต้มขมิ้น แกงเหลืองกะพงออดิบ สะตอผัดกะปิกุ้งหมูสับ และปลาทรายทอดขมิ้นมาให้เรา เป็นอาหารใต้ทั้งถึงเครื่องและกลมกล่อมพอดิบพอดี อร่อยมากครับ ตบท้ายด้วยโรตีหวานมัน ฟินพุงยาวๆ รสมือเชฟนั้นยอดเยี่ยมสมกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาเลยครับ เชฟเล่าให้ฟังว่ากำลังวางแผนนำประสบการณ์ Fine Dining มาสร้างความประทับใจเพิ่มเติมให้กับแขกของศิลาวดีด้วย หวังว่าเราจะได้กลับมาลิ้มรสอาหารละเมียดรสมือเชฟอีกครั้งนะครับ Our Pool เราตั้งตาคอยที่จะลงสระน้ำที่วิลล่าของเราตั้งแต่แรกเห็น และในที่สุดอากาศก็เริ่มจะเป็นใจ เพราะฝนหยุดตกแล้ว แม้จะยังครึ้มๆแต่เราก็ไม่รีรอที่จะฉวยโอกาสนี้ไว้ เพราะไม่รู้ว่าฝนจะกลับมาอีกทีเมื่อไหร่ สระน้ำ Infinity ฟรีฟอร์มของเรานั้นมาพร้อมกับมุมเตียงจากุซซี่ที่มีหัวเจ็ทพ่นน้ำนวดตัวด้วย และเราก็ชอบที่สระส่วนตัวของเรามีขนาดค่อนข้างใหญ่ สามารถลงเล่นกันได้แบบหลวมๆ 3-4 คนสบายๆ ที่สำคัญคือวิวสวยมาก น้ำทะเลสีฟ้าอ่อนๆที่เป็นเสน่ห์ของสมุยนั้น แทบจะเนียนเป็นสีเดียวกันกับสระของเรา ยิ่งตัดด้วยโขดหินสวยๆนั้นก็ยิ่งทำให้ถ่ายรูปขึ้นสุดๆเลยครับ Seafood Extravaganza มื้อค่ำวันนี้มาใน Theme อาหารทะเลที่พรีเซ้นต์เน้นความอลังการ ขนมาหมดทะเลทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา ถาดใหญ่กว่าโต๊ะไปอีก มีทั้งแบบสด แบบย่าง พร้อมน้ำจิ้มให้เลือกหลายแบบ ใครมาสมุยแล้วต้องการอาหารทะเลสดๆ ก็คงไม่มีอะไรตอบโจทย์ไปกว่านี้แล้วครับ In-Villa Breakfast วันนี้เป็นวันเช็คเอาท์ของเราแล้ว และเราก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ในที่สุดก็ส่งแดดงามๆมาให้เรา และที่ดีงามยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ Surprise อาหารเช้าริมสระในวิลล่าของเราเลย และเค้าไม่ได้มาเล่นๆนะครับ จัดเต็มทั้งเรื่องอาหารและการนำเสนอ ครบตั้งแต่จานไข่ ไส้กรอก เบค่อน ชีส โคลด์คัทส์ เบเกอรี่ โยเกิร์ต ผลไม้ ชา กาแฟสารพัดความอร่อยที่เกินกว่ากระเพาะของเราจะบรรจุได้ไปหลายอัตรา เราจึงต้องใช้ประโยชน์สูงสุดจากอาหารที่รีสอร์ทตั้งใจนำเสนอ นอกจากการกินแล้ว เรายังใช้เป็นพร็อพถ่ายรูปทั้งในสระและบนบกได้แบบรัวกล้องไม่ได้หยุดเลย Beach ไหนๆฟ้าก็เปิดเป็นใจให้เราแล้ว เราจึงได้ฤกษ์ออกไปสำรวจชายหาดส่วนตัวของทางรีสอร์ทกันเสียที พนักงานเล่าว่าถ้าโชคดีบางครั้งอาจจะได้เห็นฝูงปลาโลมาใกล้ๆรีสอร์ทด้วย และในบางปีก็จะมีเต่าทะเลมาวางไข่ด้วย เป็นเครื่องการันตีว่าธรรมชาติของศิลาวดีนั้นสมบูรณ์จริงๆ ระหว่างทางที่ไปหาด เราก็จะเจอกับอีกหนึ่งสระว่ายน้ำส่วนกลาง พร้อมกับโขดหินรูปทรงมนโค้งสวยงามตลอดทาง วันนี้เรารีบออกมาที่หาดเพราะตื่นเต้นกับแดดที่เพิ่งจะใจดีออกมาให้เราได้เห็นตั้งแต่เช็คอินจึงไม่ได้หยิบเอาอุปกรณ์อะไรติดตัวออกมาเลย ได้แต่มาเดินเล่นและนั่งชิงช้า หามุมถ่ายรูปมาฝากกัน แค่นี้เราก็แฮปปี้มากแล้วครับ Goodbye Lunch ก่อนจะเช็คเอาท์ เชฟปมณฑ์คนเก่งก็ได้เตรียมสำรับขนมจีนสมุยเป็นมื้อแทนคำอำลาให้กับเราอีกครั้ง มื้อนี้มาครบเซ็ตตั้งแต่ขนมจีนเส้นสด น้ำยาปู น้ำยาปลา และแกงไตปลา เสิร์ฟคู่กับผักสดผักดองนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีไก่ทอดเลิศรสกับข้าวเหนียวมาให้อีก เรียกได้ว่าเป็นมื้อส่งท้ายที่อร่อยนัวถูกปากมากเลยครับ Wrapping Up Our Stay ศิลาวดีเป็นหนึ่งในรีสอร์ทที่เราอยากจะมาพักตั้งแต่เราเริ่มทำเพจใหม่ๆ เพราะมีความลงตัวพอดีระหว่างห้องพักที่สวยงาม การบริการที่ Exclusive และความสมบูรณ์ของธรรมชาติ นอกจากนี้ศิลาวดียังมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์จากการที่เป็นแบรนด์ของคนไทยและไม่มีสาขาอื่นใดนอกจากที่นี่ที่เดียวเท่านั้น แม้อากาศในทริปนี้ของเราอาจจะไม่ค่อยเป็นใจ แต่เราก็เอ็นจอยกับการได้มาชะลอจังหวะชีวิตจากเมืองกรุงสู่อ้อมกอดของท้องทะเล แมกไม้ และก้อนหินอันสวยงาม สิ่งที่เราประทับใจที่สุดก็เห็นจะเป็นวิลล่าหมายเลข 4 ของเราและการบริการของพนักงานที่เอาอกเอาใจเราเสียจนแทบจะเสียนิสัยกันเลยทีเดียว หวังว่าเราจะได้กลับมาเยือนศิลาวดี รีสอร์ทแห่งหินอันสวยงามในอีกไม่นานนี้นะครับ #LetsHoparound สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่ Line ID: @silavadeesamui (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/itCnpxT www.silavadeeresort.com โทร: 077 960 555 Email: reservations@silavadeeresort.com #silavadeeresort #silavadeesamui #samui #thailand
- InterContinental Phuket Resort จากวรรณกรรม 3 ดินแดน สู่ความแกรนด์บนหาดกมลา
InterContinental Phuket Resort จากวรรณกรรม 3 ดินแดน สู่ความแกรนด์บนหาดกมลา ขอต้อนรับเพื่อนๆสู่ Property ล่าสุดในไทยจากแบรนด์ InterContinental ที่นี่เพิ่งเปิดให้บริการได้เพียง 2 ปีกว่าๆบนทำเลหาดกมลาซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น Millionaires’ Mile แห่งภูเก็ตเพราะเต็มไปด้วยวิลล่าหรูหรามากมาย รีสอร์ทแบรนด์อินเตอร์ฯแห่งนี้กินพื้นที่ครอบคลุม 2 ฝั่งถนน ทั้งฝั่งทะเล และฝั่งภูเขา จึงเป็นที่มาของไอเดียการแบ่งคอนเส็ปต์พื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนคือ แดนบาดาล แดนมนุษย์ และแดนสวรรค์ ซึ่งบริษัท P49 DEESIGN ผู้รับผิดชอบภาพรวมงานดีไซน์นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งของไทยอย่างไตรภูมิพระร่วง ป่ะ! ไปชมของจริงกันเลยคร้าบ The Arrival ไม่ถึง 40 นาทีจากสนามบินรถของโรงแรมก็พาเรามาถึง Club InterContinental ซึ่งเป็นจุดเช็คอินฝั่งทะเล (แดนบาดาล) เพราะทริปนี้ห้องพักของเราอยู่ใกล้หาด แต่ถ้าหากเพื่อนๆพักฝั่งภูเขา (แดนมนุษย์และสวรรค์) ก็จะได้เช็คอินที่ล็อบบี้หลักของโรงแรมซึ่งอยู่อีกฟากของถนน Club InterContinental นั้นให้ความรู้สึกเหมือน Lounge พิเศษให้แขกได้นั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ คุยงาน หรือจะจิบเครื่องดื่มเพลินๆก็ได้เช่นกัน เมื่อเราได้ที่นั่งในมุมที่ถูกใจแล้ว พนักงานก็เข้ามาต้อนรับพร้อมเมนู Welcome Drink ใช่แล้วครับที่นี่เครื่องดื่มต้อนรับจะมาเป็นเมนูให้เราเลือกตามชอบได้เลย ทั้งชา กาแฟ น้ำผลไม้ และอื่นๆ เราชอบบรรยากาศที่ไม่พลุกพล่านของการเช็คอิน Exclusive แบบนี้จัง ระหว่างที่รอเข้าห้องพัก เราขออนุญาตเล่าข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับแบรนด์ InterContinental และรีสอร์ทแห่งนี้ไปพลางๆนะครับ The Brand Story ปีถัดมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง คุณ Juan Trippe ผู้บริหารสูงสุดของสายการบิน Pam Am (Pan America World Airways) สายการบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น ได้เปิดแบรนด์โรงแรมหรูเพื่อรองรับลูกค้าของสายการบินตามจุดหมายปลายทางต่างๆทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะเป็นการต่อยอดทางธุรกิจแล้ว ยังเป็นการขยายอิทธิพล Soft Power ของอเมริกาให้แผ่ไกลออกไปอีกด้วย เพราะแม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ Pan Am นั้นก็มีภาพลักษณ์ราวกับเป็นสายการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 เนื่องจาก Pan Am เป็นสายการบินพาณิชย์แรกของโลกที่มีเที่ยวบินข้ามทวีป (Inter Continental) จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์โรงแรม InterContinental ซึ่งเปิดแห่งแรกที่เมือง Belém ทางตอนเหนือของประเทศ Brazil และภายในเวลาไม่นานก็ได้ขยายออกไปอีกหลายประเทศทั่วโลก นับจากวันนั้นแบรนด์ InterContinental ก็ได้ผ่านความเปลี่ยนแปลงมานับครั้งไม่ถ้วน และแม้บริษัทแม่อย่าง Pan Am จะต้องปิดตัวไปในปี 1991 แต่แบรนด์ InterContinental ก็ยังคงงอกงามภายใต้บริษัทแม่แห่งใหม่ที่มีประวัติความเป็นมากว่า 200 ปี ก่อนที่จะสยายปีกกลายเป็น IHG (InterContinental Hotels Group) ที่มีแบรนด์โรงแรมในเครือถึง 16 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Six Senses, Kimpton และ Holiday Inn เป็นต้น Our Room ที่ InterContinental Phuket Resort นั้นมีห้องพักทั้งแบบ Pool Villa และห้องพักมาตรฐานซึ่งก็แบ่งออกเป็นอีกหลายแบบ แต่ห้องพักของเราในวันนี้เป็น Executive Room ที่หันหน้าเข้าหาวิวทะเลอันดามัน ซึ่งมาพร้อมกับสิทธิพิเศษในการเข้าใช้ Club InterContinental ได้ตลอดเวลา และจะมีช่วงเวลาพิเศษที่จะมีบริการอาหารเช้า Afternoon Tea และ Free-Flow Cocktails ที่รวมอยู่ในค่าห้องแล้วด้วยนะครับ นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำใกล้ๆกับห้องพักซึ่งสะดวกและเป็นส่วนตัวมากขึ้นด้วยครับ การตกแต่งห้องนั้นสวยงามตามฉบับ 5 ดาวของ InterContinental มีพื้นที่ประมาณ 43 ตร.ม. กำลังพอเหมาะสำหรับ 2 คน ผนังบานเลื่อนที่กั้นเป็นห้องน้ำนั้นสามารถเปิดโล่งหรือปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวได้ ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาด Full Size พร้อม Shower Room แยกต่างหาก ส่วน Amenities นั้นเป็นของแบรนด์ HAARN ครับ Pine Beach Bar ทิวสนที่เรียงรายอยู่บริเวณหน้าหาดกมลา คงจะเป็นที่มาของชื่อ Pine Beach Bar นี้ และนับวันบีชบาร์แห่งนี้ก็ยิ่งสร้างชื่อให้กับตัวเองจนกลายเป็นอีกหนึ่งในจุดนัดพบที่ป็อปปูล่าร์ที่สุดของเกาะภูเก็ต เพราะที่นี่เค้ามีกิจกรรมพิเศษอยู่เสมอ อย่างเช่นในทุกๆเดือนจะมี 1 วันพิเศษที่ทางรีสอร์ทจะเชิญ Mixologist ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติมาผสมเครื่องดื่มเป็นเมนูเฉพาะกิจให้กับลูกค้าได้ดื่มด่ำรสชาติเคล้าบรรยากาศที่ครึกครื้น ณ หาดกมลาแสนสวยแห่งนี้ และวันนี้ก็บังเอิญเป็นวันพิเศษประจำเดือนพอดีเลย ในวันนี้ทางรีสอร์ทได้เชิญคุณ Federico Balzarini มารับ Guest Shift ผสมเครื่องดื่มให้ลูกค้าที่นี่ได้เอ็นจอย คุณ Federico เป็นหัวหน้าบาร์เทนเดอร์ชาวอิตาเลียนคนใหม่จากร้าน Vesper ซึ่งได้รับรางวัล Asia’s Best Bars 2021 ลำดับที่ 46 จากการจัดอันดับของ The World’s 50 Best สำหรับที่ PineBeach Bar ในวันนี้คุณ Federico ได้จัดเมนูพิเศษให้เราได้เลือกลิ้มลองถึง 4 เมนู และคราวหน้าในวันที่ 16 เมษายน 2022 จะเป็นคิวของคุณ Gabriel Lowe จากโรงแรม The Standard กรุงเทพฯที่กำลังจะเปิดเร็วๆนี้ แต่หากเพื่อนๆมาที่นี่ ก็จะได้ชิมฝีมือของคุณ Gabriel ก่อนที่กทม.เสียอีก นอกจากเครื่องดื่มแล้ว Pine Beach Bar ยังมีเมนูอาหารทั้งไทยและเทศให้เลือกกินกันตามชอบได้เลย ไม่ว่าจะอยากอิ่มหนักหรืออิ่มเบามีช้อยส์ให้เลือกหมดครับ อารมณ์ครื้นเครงของที่นี่พาให้เราได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆผ่านคุณนิคกี้ PR ของโรงแรม พูดคุยกันสนุกสนานมากครับ ตบท้ายด้วยการแสดงควงไฟของ Local Performers ที่ฝีมือไม่ธรรมดาเลย ยิ่งได้ฉากหลังเป็นทะเลวิว Sunset แสงสีทองก็ยิ่งทำให้เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำยิ่งขึ้นอีก Earth Hour ความบังเอิญที่พิเศษอีกอย่างของวันนี้ก็คือเป็นวันที่จะมีกิจกรรม Earth Hour ซึ่งทางโรงแรมจะปิดไฟในจุดที่ไม่จำเป็นเป็นเวลา 1 ชั่วโมง และจะจุดเทียนแทน เราจึงถือโอกาสเก็บภาพแสงเทียนสวยๆที่ 1 ปีจะมีสักครั้งมาฝากกันครับ คืนนี้ทางรีสอร์ทวางเทียนเป็นรูปโลโก้ InterContinental ตรงทางเดินสู่อาคารสวรรค์พอดีซะด้วยสิ Soaking Away The Weariness วันนี้เราเป็นวันแรกที่เราเพิ่งเดินทางมาถึง แต่กิจกรรมแน่นเลยครับจึงรู้สึกเพลียเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าที่ห้องมีอ่างอาบน้ำไซส์ใหญ่รอเราอยู่ ก็เลยไม่พลาดครับ ให้น้ำอุ่นและฟองหอมๆนุ่มๆช่วยคลายความเหนื่อยล้าซักหน่อยค่อยสบายตัวขึ้นเยอะเลย วันนี้เราขอพักผ่อนกันก่อน แล้วพรุ่งจะพาไปชมรีสอร์ทต่อครับ Breakfast At Pinto ช่วงเวลาอาหารเช้าทำให้เรารู้ว่าแขกของ InterContinental Phuket นั้นเยอะมากจริงๆครับ น่าจะมาจากความแข็งแรงของแบรนด์ระดับโกลบอล เพราะแขกส่วนใหญ่ก็จะเป็นต่างชาติ อาหารเช้าที่นี่จะเสิร์ฟสไตล์ Buffet ไปเลือกตักเอาเองได้ตามชอบเลย เมนูอาหารนั้นมีหลากหลายทั้งไทย สากล ไปจนถึงอาหารท้องที่อย่างปาท่องโก๋ ขนมจีน หรือติ่มซำ จริงๆแล้วหากเราต้องการรับประทานอาหารเช้าแบบหลบผู้คน ก็สามารถใช้สิทธิ์ที่ Club InterContinental ได้นะครับ ซึ่งจะเป็นอาหาร A La Carte คนละอารมณ์กับที่ห้องอาหารปิ่นโตนี้ แต่พอดีว่าเราอยากพาเพื่อนๆมาดูบรรยากาศอีกฝั่งหนึ่งก็เลยนั่งรถ Buggy ลอดใต้ถนนจากแดนบาดาลมายังฝั่งภูเขาที่เป็นแดนนมนุษย์ (พสุธา) และสวรรค์ เพราะเดี๋ยวกินเสร็จเราก็จะได้ไปเดินสำรวจรอบๆฝั่งนี้กันต่อครับ A Walk In Paradise ไปเดินเล่นกันครับ ฝั่งภูเขานี้มีพื้นที่ใหญ่กว่าฝั่งทะเลนะครับ จึงมีมุมให้ปลีกวิเวกมากกว่า Vibe ก็จะสงบกว่าด้วย (ยกเว้นช่วงเวลา Breakfast นะครับ 555) จากฝั่งทะเลในเขตเมืองบาดาล รีสอร์ทได้เจาะอุโมงค์ลอดใต้ถนนพร้อมงานจิตรกรรมฝาผนังฝีมือนักเรียนช่างท้องที่ ซึ่งอุโมงค์นี้ก็เปรียบเสมือนลำตัวพญานาคที่พาแขกข้ามมายังโลกมนุษย์ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Main Lobby ที่อยู่อีกฟากถนนของรีสอร์ท จาก Main Lobby เราจะสามารถวิวเห็นอาหารทรงไทยประยุกต์สีขาวที่กลายเป็น Icon ของทางรีสอร์ทไปแล้ว หลายคนแซวว่าดูคล้ายวัดร่องขุ่นซึ่งทางผู้ออกแบบก็คงอยากให้มีอารมณ์ความขลังในแนวนั้นเหมือนกันนะครับ เพราะอาคารนี้มีชื่อว่า “สวรรค์” เป็นสัญลักษณ์แทนจุดสูงสุดในรีสอร์ทแห่งนี้ตามธีมที่วางไว้ โดยอาคารสวรรค์นี้ถูกออกแบบให้มีหลังคารูปทรงคล้ายมือที่ประนมซ้อนขึ้นไป 7 ชั้นแทนสวรรค์ชั้นต่างๆนั่นเอง ชั้นล่างของอาคารสวรรค์นั้นเป็นที่ตั้งของ “สติสปา” และชั้นบนจะกลายเป็นร้านอาหาร Fine Dining ในอนาคต แต่ปัจจุบันก็เปิดให้แขกเดินขึ้นไปชมได้ครับ การวางตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างต่างๆนั้นล้วนได้แรงบันดาลใจมากจากตำนานความเชื่อเกี่ยวกับสวรรค์ตามคติผสมผสานแบบพุทธและพราหมณ์-ฮินดู โดยสมมติให้ภูเขาด้านหลังนั้นเป็นเขาพระสุเมรุ มีการจัดพื้นที่สวนเพื่อแทนป่าหิมพานต์ และสระว่ายน้ำเพื่อแทนสระอโนดาต การตั้งชื่ออาคารต่างๆก็เป็นไปตามคอนเส็ปต์เดียวกัน เช่น Wayo (วาโย แปลว่า ลม) Akash (อากาศ) Pasutha (พสุธา แปลว่า แผ่นดิน) หรือ Apo (อาโป แปลว่า น้ำ) เป็นต้น Sunday Brunch At Pine Beach Bar นอกจากจะเป็นจุดนัดดริ้งค์แล้ว Pine Beach Bar ยังมีทีเด็ดทุกวันอาทิตย์เป็น Sunday Brunch อีกด้วย ได้ข่าวมาว่าทีนี่กลายเป็นอีกหนึ่ง Hot Spot ของชาวสังคมชั้นนำในภูเก็ตจะนัดมา Connect กัน แต่เนื่องจากวันนี้พระอาทิตย์เผื่อแผ่รัศมีแบบใจกว้างดีเหลือเกิน เราจึงขอหลบร่มเข้ามาเอ็นจอยอาหารใต้ชายคาดีกว่า อาหารที่นี่หลากหลายมากเลยครับทั้งหอยนางรมสด เซวิเช่ปลาทูน่า พาสต้าล็อบสเตอร์ สเต้กทีโบน พิซซ่าทรัฟเฟิ่ล ไปจนถึงซุป สลัดและตัวเลือกวีแกน คล้ายๆกับจะเป็นการรวมดาวเอาเมนูเด็ดของทั้งโรงแรมมาไว้ในมื้อเดียวแบบทานได้ไม่อั้น นอกจากนี้ยังมีเซ็ตให้เลือกทั้งแบบ Food Only หรือแบบที่รวมเครื่องดื่ม ขอแนะนำให้จองล่วงหน้าก่อนซัก 3 วันนะครับ จะได้ราคาพิเศษ Early Bird ด้วย Kamala Beach เรายังไม่เคยพาเพื่อนๆไปชมบรรยากาศหาดกมลาตอนกลางวันกันเลยครับ และหลังมื้อหนักแบบนี้การได้เดินย่อยริมทะเลก็ฟังดูเป็นไอเดียที่ไม่เลวทีเดียว หาดกมลานั้นเป็นหาดสาธารณะที่ยาวถึง 2 กิโลเมตร มีทรายละเอียดนุ่มเท้า น้ำใสสีฟ้าสวย มีทั้งจังหวะที่คลื่นสงบและจังหวะที่คลื่นแรงพอประมาณทำให้สามารถเล่นกิจกรรมทางน้ำได้หลากหลาย ละแวกหาดหน้ารีสอร์ทน่าจะเป็นโซนที่ดูคึกคักที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับพลุกพล่านมากครับ บ้างเล่นน้ำ บ้างแอบแดด บ้างนั่งอ่านหนังสือ ทำให้ดูมีชีวิตชีวากำลังดี แต่หากจากได้ความสงบมากๆ ก็เดินไกลออกไปนิดหน่อย คนก็จะบางตาลงไปเรื่อยๆ ในวันแดดจัดๆอย่างวันนี้นั้นสีสันของน้ำทะเลยิ่งสวยจัดเป็นพิเศษ แต่ก็มาพร้อมกับความร้อนอ้าวเต็มกำลังเช่นกัน ทิวสนบริเวณหาดของโรงแรมก็พอช่วยให้ร่มเงาได้บ้างครับ ใครชอบอาบแดดนี่น่าจะถูกใจมากเลยล่ะ แต่ตอนนี้เราขอไปหลบร้อนในห้องแอร์ที่ Club InterContinental ก่อนนะคร้าบบบบ Tengoku ใครอ่านบทความมาถึงตรงนี้ต้องขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณกำลังจะได้รู้ถึง Item ลับซึ่งเป็นของดีที่หลบซ่อนอยู่ใน InterContinental Phuket Resort แห่งนี้ เป็นร้านอาหารเด็ดขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในอีกร้านอาหารหนึ่ง ร้านนี้มีชื่อว่า Tengoku (แปลว่าสวรรคฺ) เป็นร้านญี่ปุ่นแนวโอซาก้าที่มีโต๊ะเพียง 5 โต๊ะ กับที่นั่งหน้าบาร์อีกนิดหน่อย ดูแลโดยเชฟไอซ์ เชฟไทยอายุน้อย (26 ปีเท่านั้น) แต่ประสบการณ์แน่นทั้งจากร้านญี่ปุ่นในไทยและที่เกียวโต ที่เรารู้สึกได้อย่างชัดเจนก็คือ Passion ของทั้งเชฟและทีมงานที่ใส่ใจในการคัดสรรวัตถุดิบอย่างมาก เช่นปลาแซลม่อนพันธุ์พิเศษที่ต้องสั่งตรงจากนักตกปลาด้วยเบ็ดจากญี่ปุ่นซึ่งเนื้อนุ่มหวานต่างจากแซลม่อนทั่วไปจริงๆ รวมไปถึงความพยายามที่จะทำเครื่องปรุงต่างๆเอง From Scratch ไม่ว่าจะเป็นการหมักมิโสะขาว มิโสะแดง และอื่นๆอีกมากมาย ที่นี่คุณอาจจะไม่พบซูชิในเมนู แต่จะเต็มไปด้วยตัวเลือกอื่นๆที่หลากหลาย โดยปรุงออกมาแบบ Creative ไม่เหมือนใคร ทั้งของดิบ ข้าวหน้าต่างๆ จานเส้น ปิ้งย่างฯลฯ จานที่เราเลือกสั่งมานั้นรสชาติดีงามลงตัว และนอกจากอาหารแล้ว Tengoku ยังโดดเด่นด้วยเมนูสาเกที่คัดมาให้เลือกชิมเกือบ 20 ชนิดจากแทบทุกภูมิภาคของญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ทำให้ Tengoku กลายเป็นร้านโปรดที่เซอร์ไพร้ซ์เราที่สุดในรีสอร์ทแห่งนี้ และอีกสิ่งหนึ่งที่เราชื่นชมมอย่างมากก็คือบุคลิกที่สุภาพถ่อมตัวของเชฟไอซ์เอง มื้อนี้นับเป็นการจบวันได้ฟินสุดๆไปเลยครับ Sati Spa วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเราที่นี่แล้ว แต่ยังเหลือโปรแกรมอีกหลายอย่างเลยครับ หลังจากมื้อเช้าที่เราตั้งใจกินแค่ให้พออิ่มสบายๆแล้วก็เป็นคิวของสปา เรามีนัดกับพี่ๆ Therapists ที่ “สติสปา” ซึ่งเป็นสปาของ InterContinental Phuket Resort โดยตรง ช่วงนี้เขามีแพ็คเก็จพิเศษให้เราเลือกจัดคอร์สตามต้องการของเราได้เลยในราคาที่คุ้มค่าเป็นพิเศษ ใครสนใจลองสอบถามถึงแพ็คเก็จ New You ได้กับทางสปาเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นนวดไทย นวดน้ำมัน นวดศีรษะ นวดหน้า ขัดผิว ทำเล็บที่นี่มีพร้อมครับ สำหรับผลิตสปาที่นี่ใช้ของ HAARN และสกินแคร์สำหรับผิวหน้าจะเป็นของ Anne Semonin แบรนด์หรูจากปารีสครับ เราชอบขั้นตอนล้างพลังงานลบด้วยเสียงจาก Crystal Singing Bowl ก่อนเข้าห้องทรีตเม้นต์ ซึ่งเป็นดังพิธีกรรมง่ายๆสั้นๆให้เราได้น้อมนำจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเพื่อรับการนวดบำบัดด้วย โถงตรงกลางในโซนห้องทรีตเม้นต์ประดับด้วยดอกมณฑารพจำลองแขวนลดหลั่นกันไป สำหรับใครที่ไม่รู้จัก ดอกมณฑารพคือดอกไม้ทิพย์จากเทวโลกซึ่งไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์นะครับ ตามคอนเส็ปต์สวรรค์ของรีสอร์ทเลย สำหรับความสบายของการนวดขอให้ภาพสื่ออารมณ์แทนนะครับ เรื่องแบบนี้ต้องมาลองด้วยตัวเองครับ 5555 Afternoon Tea At Devas' Lounge Devas’ Lounge นั้นอยู่ติดกับล็อบบี้หลัก จึงเป็นดั่งห้องเอนกประสงค์ที่ใช้รับรองแขกทั้งภายในและภายนอก แต่สิ่งที่ทำให้เล้านจ์แห่งนี้มีชื่อก็คือ Afternoon Tea ที่จัดเต็มด้วยขนมทั้งคาวหวานซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์จาก Pastry Chef ของทางโรงแรมเอง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องค่อนข้างหายากในภูเก็ต (น่าประหลาดใจที่เราได้ทราบว่าโรงแรมส่วนใหญ่ในภูเก็ตไม่มี Pastry Chef ประจำนะครับ) เราเพิ่งเคยเห็น ล็อบสเตอร์โรลล์ และ โรลล์เนื้อตุ๋นโรยหน้าด้วยเห็ด Truffle ฝนเป็นแผ่นหนาๆเสิร์ฟมาในเซ็ต Afternoon Tea ด้วย ส่วนเรื่องชาที่นี่เลือกชาที่ปลูกในไทยจากแบรนด์ Monsoon ซึ่งมีให้เลือกนับ 10 ชนิด รวมถึง Blend พิเศษสำหรับ Davas’ Lounge ที่โดดเด่นด้วยกลิ่นลิ้นจี่ด้วย นอกจากนี้ยังมีกาแฟที่ปลูกในไทยที่คัดพิเศษเพื่อนำมา Slow Drip โชว์และเสิร์ฟด้วย อ้อ! ลืมบอกไปครับ Devas นั้นก็คือคำว่าเทวานั่นเอง เค้ารักษาคอนเส็ปต์จริงจังนะครับ :-) The Pools สิ่งหนึ่งที่ InterContinental Phuket Resort ไม่ขาดแคลนเลยก็คือสระว่ายน้ำ เนื่องจากพื้นที่ของรีสอร์ทมีหลายโซน จึงมีสระให้แขกเลือกเล่นน้ำได้ถึง 6 สระพร้อมกับ Vibe ที่ต่างกันไป ตั้งแต่แบบสนุกสนานเจี๊ยวจ๊าวได้ (สระหน้าหาด) ไปจนถึงแบบเงียบสงบหลบฝูงชนซึ่งเป็นมู้ดที่ใจของเรากำลังเรียกร้องพอดี เราจึงจะพาเพื่อนๆไปเล่นน้ำกันที่สระ Infinity Pool บนชั้นดาดฟ้าของอาคารล็อบบี้กันครับ ที่เราเลือกสระนี้นอกจากเรื่องความปลอดผู้คนแล้ว จุดนี้ยังเป็นจุดที่เราสามารถมองเห็นรีสอร์ททั้งฝั่งทะเลและฝั่งภูเขาได้ทั้ง 2 ฝั่งพร้อมๆกัน มีมุมและพื้นที่ให้โพสถ่ายรูปได้แบบไม่ต้องเกรงใจใคร แถมในสระก็ยังมี Jacuzzi ให้เราแช่นวดกล้ามเนื้อได้อีกด้วย Perfect Choice สำหรับ Moment นี้เลยครับ ส่วนใครที่ไม่ได้เตรียมผ้าเช็ดตัวมาก็ไม่ต้องห่วง ทางโรงแรมเตรียมน้ำดื่มและผ้าเช็ดตัวเอาไว้ให้พร้อมครับ Jaras - Refined Thai Cooking “จรัส” นั้นได้ชื่อมาจากคุณย่าของเจ้าของโปรเจ็คต์ InterContinental Phuket Resort แห่งนี้ ซึ่งต้องการจะสื่อถึงมรดกอาหารไทยที่ละเอียดอ่อนทั้งในการคัดสรรวัตถุดิบและการปรุง และทางทีมเชฟก็ได้นำไอเดียนี้มาต่อยอดด้วยเทคนิควิธีที่ทันสมัยในภาคปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ที่นี่มีการหมักน้ำปลา ซีอิ๊วเอง รวมถึงการปลูกผักและดองพืชผลท้องถิ่นที่คัดมาจากแหล่งต่างๆทั้งในภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงเพื่อนำมาประกอบอาหารที่ Authentic และใส่ใจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงลิ้นลูกค้า มื้อนี้ที่จรัสของเราเป็นมื้อที่น่าประทับใจสมกับเป็นมื้อสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพฯจริงๆ เมนูที่เราสั่งมานั้นเหมือนจะเป็นเมนูง่ายๆ คือ ทอดมันปู ไก่ย่างตะไคร้ ยำส้มโอทับทิมกุ้งย่าง และแกงกะหรี่ปลากะพงลูกชกพังงา แต่ความพิถีพิถันของเชฟนั้นได้ยกระดับรสชาติของให้เป็นประสบการณ์ที่ละเมียดละไมกลมกล่อมเกินคาดของเรามากครับ Wrapping Up Our Stay InterContinental Phuket Resort เป็นโรงแรมหรู 5 ดาวที่เข้าใจง่าย ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก อยู่ไม่ไกลจากสถานบันเทิง โดยที่ยังแวดล้อมไปด้วยทั้งภูเขา ทะเลและหาดทรายสวยงาม มีคอนเส็ปต์โดดเด่นชัดเจน มี F&B Outlets ที่ตอบเกือบทุกความต้องการ (เราประทับใจ Tengoku และจรัสมากเป็นพิเศษ) พร้อมทั้งครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ที่นี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีงบประมาณและต้องการความครบเครื่องหลากหลายภายใต้มาตรฐานของแบรนด์อินเตอร์ที่เป็นเชนข้ามทวีปไปทั่วโลกสมกับความหมายของชื่อ InterContinental นั่นแหละครับ #LetsHoparound สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม +66 (0)76 629 999 LINE bit.ly/icpk-line icphuket.info@ihg.com #InterContinentalPhuketResort #WhereLuxuryMeetsLegend #InterContinentalLife #InterContinental #ExperienceIHG #anIHGHotel
- OSAKA Highlights รวมที่สุดของจุด Stop ในโอซาก้า
OSAKA Highlights รวมที่สุดของจุด Stop ในโอซาก้า ญี่ปุ่นเปิดประเทศแล้ววันนี้! Hoparound.co ก็เลยอยากเอาไอเดียเที่ยวญี่ปุ่นแบบไม่แมส(มาก)กลับมาฝากกันอีกรอบ ญี่ปุ่นฝั่งตะวันออกไม่ว่าจะเป็นเกียวโต โอซาก้า ต่างก็ Popular อยู่แล้ว แต่ฝั่งตะวันตกนั้นเป็นเหมือนขุมทรัพย์สำหรับนักเดินทางที่ช่างแสวงหา วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปสำรวจเมือง OSAKA กันก่อนกับ 15 พิกัดในโอซาก้าที่เรารวบรวมไว้ในโพสต์นี้จะมีจุดไหนน่า #Hop กันบ้าง ไปดูกันเลยครับ Exclusive Deal with Hoparound.co บัตรเข้าสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ เจแปน (Universal Studios Japan) ในโอซาก้า และบัตรเอ็กเพรสพาส (Express Pass) สำหรับเครื่องเล่นในสวนสนุก | ญี่ปุ่น ตั๋วคันไซเรลเวย์พาส (Kansai Railway Pass) แบบ 2 หรือ 3 วัน (ตั๋วอิเล็กทรอนิกส์) | คันไซ ญี่ปุ่น ดีลโรงแรมสุดพิเศษ OMO7 Osaka by Hoshino Resorts HOTEL HASU NEST HOTEL OSAKA UMEDA THE LIVELY Honmachi Osaka Uoshin Sushi Umeda ใครเลิฟซูชิต้องมาร้านนี้ครับ ซูชิหน้าล้น แบบล้นสุดดดด ราคาดีงามด้วย รสชาติก็สดอร่อย เรากลับมาโอซาก้าทุกครั้ง ต้องแวะร้านนี้ทุกครั้ง เพราะเปิดถึงเที่ยงคืน 📍 https://goo.gl/maps/BeX4Sv9M1ByWCE9n7 ⏱เปิดทุกวัน 11:00–0:00 Mel Coffee Roasters อีกหนึ่งร้านกาแฟที่เจ้าของเฟรนลี่ ขี้เล่นสุด! ร้านนี้เราเจอในอินสตาแกรม มีเมล็ดกาแฟมาจากหลายที่บนโลกมาก ร้านตั้งอยู่หัวมุมเล็กๆ แต่มีเครื่องคั่วเป็นของตัวเองด้วยนะ 📍 https://g.page/melcoffeeroasters?share ⏱เปิดทุกวัน 10:00–18:00 Organic Building in Osaka ตึกออร์แกนิกใจกลางเมืองโอซาก้า เป็นตึกที่มีรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เท่และน่าสนใจมาก เพราะตึกนี้สร้างขึ้นโดยแต่ละช่องจะปลูกต้นไม้ต่างชนิดกันกว่า 80 ชนิด อาคารออร์แกนิกสร้างเสร็จในปี 1993 ออกแบบโดยสถาปนิกและศิลปินชาวอิตาลี Gaetano Pesce ตั้งอยู่ในย่าน Minami Semba เรารู้สึกเหมือนย่านนี้เป็นย่านอาร์ตๆ ย่านนึงในโอซาก้าเลยแหละ! 📍 https://goo.gl/maps/Lp1wkraquVusGSt96 Embankment Coffee ร้านกาแฟที่เราชอบที่สุดในโอซาก้าเลย ชอบทั้งบรรยากาศ การตกแต่ง ฟีลเหมือนอยู่บ้านดี กลับไปโอซาก้าทุกครั้งก็แวะร้านนี้ทุกครั้งเลย ติดใจสุดๆ 📍 https://goo.gl/maps/uvDJytLjaZwwuciX7 ⏱เปิดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ 12:00–18:00 เสาร์-อาทิตย์ 9:00–18:00 ISSEY MIYAKE SEMBA ใครเป็นแฟน Issey ไม่ควรพลาดสาขานี้ เพราะสาขานี้ใหญ่มาก ของครบ มีแกลอรี่ให้เดินชมด้วยครับ พนักงานบริการดีมาก ตอนเราช้อปเสร็จแล้วจะเดินออก พนักงานบอกว่ารอแปปนึง แล้ววิ่งไปหยิบน้ำมาเสิร์ฟด้วย น่ารักสุดๆ 📍 https://goo.gl/maps/vKUwXZuELHP3fHLS7 ⏱เปิดทุกวัน 11:00–20:00 MOUNT - Kitahama คาเฟ่ชิลๆริมน้ำ ที่เสิร์ฟทั้งกาแฟและเบเกอรี่หลากชนิด ตั้งอยู่โซน Kitahama ริมแม่น้ำ Tosabori บรรยากาศดีมาก ชิลสบาย คนไม่เยอะ มีที่นั่งเอ้าดอร์ด้วย 📍 https://goo.gl/maps/eB1gduoMtgU3bn3c6 ⏱เปิดทุกวัน 11:00–17:30 THE LIVELY OSAKA HONMACHI โรงแรมนี้เป็นใหม่ห้องพักสบายมาก ราคาเริ่มต้นคืนละ 2,xxx บาทเท่านั้น เดินทางสะดวกติดรถไฟใต้ดินทั้งสองสายเลย Sakaisuji Hommachi Station พิเศษเฉพาะชาว Hoparound.co สามารถจองดีลพิเศษได้ที่นี่ THE LIVELY Honmachi Osaka 📍 https://g.page/the-lively-osaka?share PATHFINDER XNOBU อีกหนึ่งร้านกาแฟเปิดใหม่ที่ดูดีและกาแฟอร่อย มีเบเกอรี่ มีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลากหลาย ร้านนี้เราบังเอิญเดินผ่าน เลยแวะเข้าไปนั่งพักจิบกาแฟสักหน่อย แถมคนขายก็ดีนะเนี่ยย 555 📍 https://goo.gl/maps/5m6eHCtYUjTQ3erG7 ⏱เปิดทุกวัน 10:00–18:00 70B OSAKA ร้านขายเฟอร์นิเจอร์มือสอง มาเดินดูเพลินๆ ได้ หรือใครไหวที่จะแบกกลับบ้านก็แนะนำเลย! ร้านนี้มีขายพวกข้าวของเครื่องใช้ในบ้านทั้งมือหนึ่งและมือสองเลย มีไปจนถึงโคมไฟ เก้าอี้ ดอกไม้แห้ง จาน ชาม คือครบมากๆ 📍 https://goo.gl/maps/iVwpuGbMe8YeptvN7 ⏱เปิดศุกร์-พุธ 12:00–19:00 ปิดวันพฤหัส North Shore Kitahama ร้านนี้เป็นร้านคาเฟ่กับไดน์นิ่งมีหลายสาขาทั่วญี่ปุ่นเลย แต่นี่เป็นสาขาแรก เราชอบร้านนี้ที่มีเมนูรักสุขภาพ มีผัก แซนวิช น้ำผลไม้คั้นสด ของคาวของหวาน ครบ! ด้านหลังร้านก็มีโซนเอ้าท์ดอร์ให้นั่งรับลมเย็นๆ ชมวิวเมืองโอซาก้ากับแม่น้ำ Tosabori ไปด้วย ชิลมาก 📍 https://goo.gl/maps/ZvfhZ2JVhXWhxHmU6 ⏱เปิดทุกวัน 7:00–18:00 Saturdays NYC แบรนด์เซิร์ฟชื่อดังจากนิวยอร์ก สาขานี้นอกจากจะมีไลน์สินค้าที่ครบครันมากๆ ไม่แพ้สาขาที่นิวยอร์กเลย ยังมีคาเฟ่ให้นั่งชิล จิบเครื่องดื่ม กาแฟดีๆ อีกด้วยนะ 📍 https://goo.gl/maps/HzVpUYBHxkznrJV38 ⏱เปิดทุกวัน 9:00–20:00 Orange Street สายครีเอทีฟต้องชอบย่านนี้มากแน่ๆ ย่านนี้เป็นช้อปปิ้งแบรนด์สตรีทในโอซาก้า ตั้งอยู่ระหว่างย่าน Namba กับ Shinsaibashi มีทั้งแบรนด์ญี่ปุ่น แบรนด์เมืองนอก แล้วก็มีพวกร้านคาเฟ่ด้วยนะ ใครชอบการเดินช้อปปิ้งลัดเลาะไปตามถนนแนะนำครับ 📍 https://goo.gl/maps/yDhPZHhBaeg4PrSEA BIOTOP ร้าน Biotop เป็นร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าแต่งบ้าน แฟชั่น ต้นไม้ และคาเฟ่ มีสาขาแรกอยู่ที่โตเกียว สาขาที่สองคือที่นี่ โอซาก้า และสาขาที่สามอยู่ที่ฟุกุโอกะ 📍 https://goo.gl/maps/LPowYUtV5QTY3NYC6 ⏱เปิดทุกวัน 11:00-20:00 Kuromon Market ตลาดคุโรมง โอซาก้า เป็นตลาดที่มีของเยอะ ของไม่แพง และ สดมาก หลายคนยกที่นี่ให้เป็นครัวแห่งเมืองโอซาก้าเลยนะ เดินทางสะดวกมาก ใช้ซัพเวย์ลงสถานี Nippombashi ทางออกที่ 10 เลยครับ 📍 https://goo.gl/maps/9E9WEHJxs7ng6qsb8 ⏱เปิดจันทร์ - เสาร์ 9:00–17:00 ปิดวันอาทิตย์ Freitag Store Osaka แฟนๆกระเป๋า Freitag อย่าลืมแวะช้อปสาขานี้นะครับ เพราะของเยอะมากจริงๆ 📍 https://goo.gl/maps/Jj2LD8rVkp8q2GiH6 ⏱เปิดทุกวัน 11:00–19:00 รวมดีลพิเศษที่โอซาก้า Exclusive Deal with Hoparound.co บัตรเข้าสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ เจแปน (Universal Studios Japan) ในโอซาก้า และบัตรเอ็กเพรสพาส (Express Pass) สำหรับเครื่องเล่นในสวนสนุก | ญี่ปุ่น ตั๋วคันไซเรลเวย์พาส (Kansai Railway Pass) แบบ 2 หรือ 3 วัน (ตั๋วอิเล็กทรอนิกส์) | คันไซ ญี่ปุ่น ดีลโรงแรมสุดพิเศษ OMO7 Osaka by Hoshino Resorts HOTEL HASU NEST HOTEL OSAKA UMEDA THE LIVELY Honmachi Osaka