เสพศิลป์ in Paris
เค้าว่ากันว่า "you are what you eat" คุณเสพอะไรคุณก็เป็นแบบนั้น คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ Paris จะเป็นถิ่นกำเนิดของความสวยความงามต่างๆมากมาย ทั้งที่ทรงคุณค่าอยู่ในพิพิธภัณฑ์ และทรงมูลค่าอยู่ในตลาดของผู้บริโภค เราอยากรู้ว่า Paris เสพอะไรกันเข้าไป ถึงมีการสร้างสรรค์อันเลอค่ากันมากมายขนาดนั้น เราเดาเอาเองว่านอกจากบาเก็ตต์ หอยทาก และฟัวกราส์แล้ว ศิลปะน่าจะเป็นสิ่งที่มีอณูฟุ้งอวลอยู่ทั่วเมือง จนทำให้ชาวปารีเซียงต้องรับมันเข้ากระแสเลือดไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว กระนั้น Paris ก็ยังมีแหล่งงานศิลปะให้เสพกันในโดสที่เข้มข้นขึ้นไปอีกในหลาก style หลาย level ว่ากันว่าทั้งเมืองมีรวมกันกว่า 130 มิวเซี่ยมเลยทีเดียว วันนี้เราจะพาคุณ #hop ไปรับศิลปะเข้าเส้นกันให้จุใจกันที่ Musuem และ Gallery ใน Paris ที่เราเลือกมาแล้วว่าดี..ดี๊..ดี.. บอกใบ้ไว้นิดตั้งแต่ต้นเลยละกันว่า ถ้าเพื่อนๆ #hopsters สนใจจะเข้าชมที่ไหน ควรอย่างยิ่งที่จะจองออนไลน์ล่วงหน้า เพราะอาจต้องรอเป็นชั่วโมง หรือไม่ก็อดชม ครั้งนี้เราใช้บัตร museum pass แบบ 4 วัน คุ้มมาก เพราะครอบคลุมกว่า 50 แห่งทั่วปารีสและรอบๆเลย บางที่ก็ไม่ต้องต่อแถวยาวๆนะ แล้วก็ประหยัดด้วย รายละเอียดการซื้อบัตร ตามลิงค์ไปเลย www.parismuseumpass.co
Musée du Louvre
(มิวเซ่ ดู ลูฟร์)
ที่สุดแห่งอภิมหามิวเซี่ยมของโลก ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ นอกจากปิรามิดกระจกสุด iconic ด้านหน้าอาคาร และขนาดพื้นที่ที่ใหญ่โตโอ่อ่ายิ่งกว่ามิวเซี่ยมใดๆในปฐพีแล้ว สิ่งที่จัดแสดงอยู่ในมิวเซี่ยมที่อายุกว่า 226 ปีแห่งนี้ยังมีมากกว่า 400,000 ชิ้น ทั้งวัตถุโบราณและงานศิลปะทุกแขนง
Location: https://goo.gl/maps/fqNkTUFfM8vca8Ui6
ว่ากันว่าถ้าเราเดินดูงานทุกชิ้น ติดต่อกันทุกวันๆละ 8 ชั่วโมง ใช้เวลา 3 เดือนก็ยังไม่น่าจะครบ และในปี 2018 Louvre ก็ได้ทำลายสถิติโลก โดยเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในรอบ 1 ปี (10.2 ล้านคน) หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัวเลขพุ่งสูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 25% ก็น่าจะมาจาก MV เพลง Apeshit ของ The Carters (Beyoncé และ Jay-Z) ที่ยกกองมาถ่ายทำกันที่นี่ นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเปิดกว้างให้วัฒนธรรมป๊อบในยุคปัจจุบันช่วยส่งเสริมงานศิลป์ระดับตำนานของโลก
ซุปเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ในบรรดางานศิลปะชิ้นสำคัญๆของโลกที่วางแสดงอยู่นับไม่ถ้วนในลูฟร์ น่าจะเป็นรูป Mona Lisa ต้นฉบับโดยฝีแปรงของ Leonardo da Vinci เพราะนางโดนรุมล้อมมากที่สุดมาทุกยุคทุกสมัย ชาวฝรั่งเศสเรียกรูปนี้ว่า La Joconde (ลา โจกนด์) แปลว่า นางผู้เป็นสุข
จริงๆแล้ว Mona Lisa ก็มีประวัติลึกลับน่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเป็นที่มาของรูป ใครคือผู้หญิงในรูปกันแน่ มาอยู่ที่ฝรั่งเศสได้ยังไง (ทั้งที่เป็นงานของศิลปินชาวอิตาลี) รวมไปถึงการที่มีคนค้นพบภาพวาดที่มีลักษณะแทบจะเหมือนกันเป๊ะอีก 1 รูปและมีการพิสูจน์แล้วว่าทั้ง 2 รูปเป็นงานในยุคเดียวกันอีกต่างหาก
ปิรามิดแก้วที่เป็นอีกหนึ่ง Landmark ของ Paris นี้ออกแบบโดย I.M.Pei สถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ที่แรกๆก็ถูกต่อต้านอย่างมาก ทั้งตัวคนออกแบบและผลงานของเค้า แต่กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์นั้นการเปิดรับย่อมให้ผลดีกว่าการปิดกั้นเสมอ
Palais de Tokyo
Musée D’art Moderne
(ปาเลส์ เดอ โตกิโย) และ (มูเซ่ ดาร์ท โมแดร์น)
“วังแห่งโตเกียว” ชื่ออาจจะชวนให้เดาว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเป็นการร่วมมือกันระหว่างฝรั่งเศสและญี่ปุ่นแน่ๆเลย แท้ที่จริงแล้วชื่อนี้ได้มาจากชื่อถนนที่คั่นระหว่างอาคารแนว Art Deco แห่งนี้กับแม่น้ำ Seine ซึ่งแต่ก่อนถนนสายนี้มีชื่อว่า Quai de Tokio แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Avenue de New York
Location: https://goo.gl/maps/V4xdDenhC9G9FqjY6
ตึกสวยขนาดใหญ่แห่งนี้แบ่งเป็น 2 ปีก โดยปีกฝั่งตะวันออกเป็นทรัพย์สินของนครปารีส มีชื่อว่า Musée D’art Moderne จัดแสดงงานศิลปะสมัยใหม่ที่หมุนเวียนกันไป
ในโลกศิลปะคำว่า Modern Art นั้น หมายถึงงานศิลป์ที่สร้างขึ้นระหว่างปี 1860s-1960s น้าาา อย่าแปลตรงๆตัวแล้วคิดว่าเป็นงานยุคปัจจุบันล่ะ ถ้าเป็นงานศิลป์ยุคหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบันจะใช้คำว่า Contemporary Art นะครับ
การจัดวางของมิวเซี่ยมนี้จะไม่หวือหวาเหมือนอีกฝั่ง เดินง่ายๆให้อารมณ์เป็นผู้ใหญ่กว่า
Palais de Tokyo
(ปาเลส์ เดอ โตกิโย)
อีกปีกของอาคาร (ปีกตะวันตก) นั้นเป็นของรัฐ บริหารจัดการภายใต้ชื่อ Palais de Tokyo/Site de création contemporaine ซึ่งปีกนี้จะฮิปและวัยรุ่นกว่ามาก (เหมาะกับวัยเรามากกว่าแหละ 555) ที่นี่คือมิวเซี่ยม Contemporary Art ที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส มีงาน conceptual installations มากมายที่ผลัดกันมาจัดแสดงในโซนต่างๆ และถ้าหากเลี่ยนงานอาร์ทก็ยังมีร้านหนังสือ/ของฝากให้ช้อปกันเพลิน และยังมีคาเฟ่/ร้านอาหารเท่ๆถึง 3 ร้าน ที่น่าสนใจคือมีผับที่ชื่อว่า The Yoyo ให้มาปาร์ตี้กันได้ด้วย แต่ต้องเช็คเวลากันดีๆก่อนนะ เพราะนางเปิดปิดไม่เป็นเวลา
Location: https://goo.gl/maps/V4xdDenhC9G9FqjY6
งานที่จัดแสดงอยู่ ธีมคือ "ลอยอยู่กลางอากาศ" โดย Tomás Saraceno: ON AIR
นี่ก็อีกงานที่เท่มาก ต้องต่อคิวเพื่อเราบุกเข้าไปในดงเส้นเคเบิ้ลที่ขึงเอาไว้กลางอากาศอย่างสวยงามตามแนว Abstract เมื่อได้เข้าไปแล้วจะจับต้องงานหรือจะถ่ายรูปก็ตามสบาย ถ้าเอานิ้วไปดีดเส้นสายเหล่านี้ก็จะเกิดเป็นเสียงดนตรีของแต่ละเส้นเลย
โซนนี้ว่าด้วยงานผ้าร่ม งานบอลลูนต่างๆ
ร้านหนังสือก็คือดีมากกกกกก มีหนังสือเป็นพันเป็นหมื่นเล่มที่เกี่ยวกับงานออกแบบทุกแขนงเลย ถุงผ้า ของเล็กๆก็มีนะ
Centre Pompidou
(ซองเทรอ ปอมปิดู)
พิพิธภัณฑ์ Modern Art ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ได้ชื่อมาจากประธานาธิบดี Georges Pompidou เพราะเริ่มก่อสร้างในสมัยของเขาในยุค 70s
Location: https://goo.gl/maps/GdLeDraLQvGPPtzD7
อาคารที่มีโฉมหน้าสะดุดตาแห่งนี้ถูกออกแบบตามคอนเส็ปต์ “Inside-Out” ที่เอาระบบท่อต่างๆที่ควรจะถูกซ่อนไว้ด้านในออกมาอวดลวดลายและสีสันอยู่ด้านนอก โดยพระเอกที่ถูกเอาออกมาโชว์อยู่ด้านหน้าตึกก็คงจะหนีไม่พ้นอุโมงค์บันไดเลื่อนที่พาดผ่านกลางอาคารจากมุมล่างซ้ายขึ้นไปจนถึงมุมบนขวาเลยทีเดียว เดาเอาเองว่าดีไซน์นี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานบันไดเลื่อนหน้าห้าง Central World ของเรา และรวมถึงตึก Fortune Town ที่แยกพระราม 9 ด้วย
Centre Pompidou สูง 10 ชั้น แบ่งเป็น 3 โซนใหญ่ๆ คือ 1) ห้องสมุดสาธารณะ 2) พิพิธภัณฑ์ Modern Art ที่มีพื้นที่เกือบ 20,000 ตารางเมตร และ 3) ศูนย์วิจัยดนตรีและการได้ยิน
ชิ้นงานระดับ Master Piece กว่า 100,000 ชิ้นที่จัดแสดงอยู่ภายในนั้นเดินดูได้หลายวันก็ยังไม่หมด ไม่ว่าจะเป็นเพ้นท์ติ้งชั้นครูของ Picasso, Mondrian, Matisse ฯลฯ หรืองานล้ำๆในยุคใหม่ขึ้นมาของ Andy Warhol, Yves Klein, Olafur Eliasson ฯลฯ กระทั่งงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ต่างๆโดย Philippe Starck, Alvar Aalto หรือ Jean Prouvé
Jean Dubuffet Jardin d'Hiver
นอกจากนี้ชั้นบนยังมีร้านอาหารวิวงาม "Restaurant Georges" และร้านขายหนังสือ/ของที่ระลึกเก๋ๆด้วย
Musée d'Orsay
(มิวเซ่ ดอร์เซย์)
จากสถานีรถไฟที่มีสถาปัตยกรรมวิจิตรงดงามตามสไตล์ Beaux-Art (โบซารท์) อายุกว่า 120 ปี ที่เกือบจะถูกทำลายทิ้ง กลับกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์อันเลอค่าซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1986 และเน้นจัดแสดงงานศิลป์สัญชาติฝรั่งเศสเป็นหลัก
Location: https://goo.gl/maps/9R2kGGcWFsqcLyQP8
แต่เดิมนั้น มิวเซ่ ดอร์เซย์ ถูกวางตำแหน่งมาให้เติมเต็มช่องว่างระหว่าง Louvre ที่จัดแสดงงานระดับตำนานประวัติศาสตร์โลก และ Centre Pompidou ที่เน้นงานยุคใหม่ ที่นี่จึงเป็นที่เน้นงานศิลป์ในยุคกลางเก่ากลางใหม่ในช่วงปี 1848-1914 และเป็นแหล่งรวมผลงานแนว Impressionism และ Post-Impressionism ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หากใครชอบฝีแปรงที่ถ่ายทอดความงดงามชวนฝันของสีสันและแสงตกสะท้อนเช่นเดียวกับเรา รับรองว่าคุณจะต้องตกหลุมรักงานที่จัดแสดงอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน งาน master piece ของ ทั้ง Monet, Manet, Renoir, Cézanne, Seurat และ Van Gogh ต่างก็ถูกนำมาให้เราได้ยลโฉมเป็นบุญตากันที่นี่
เสน่ห์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ที่ความลงตัวในเรื่องของขนาดพื้นที่ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป สถาปัตยกรรมอันทรงเสน่ห์ของตัวอาคาร และงานศิลป์ที่งดงามจนน้ำตาซึม
อ่อ! อีกอย่าง บนชั้น 5 ของที่นี่ยังมีมุมถ่ายรูปยอดฮิตที่มีนาฬิกาขนาดยักษ์เป็นแบ็คกราวนด์เก๋ๆให้ด้วยนะ
นาฬิกาลวดลายวิจิตรขนาดยักษ์นั้นเป็นหนึ่งเอกลักษณ์ของมิวเซี่ยมแห่งนี้ คงเพราะเคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อน
เมื่อ Vincent van Gogh วาดรูปตัวเอง
เรามากินมื้อเที่ยงกันที่นี่ ...ร้านอาหารในพิพิธภัณฑ์มี 2 ร้าน ในรูปคือ Restaurant du Musée d'Orsay และอีกที่ก็คือ Café Campana ที่ต่างก็มีอินทีเรียร์ที่ช่างเว่อร์วังอลังการ จนเราลืมสนใจรสชาติอาหารไปเลย
Musée de l'Orangerie
(มิวเซ่ เดอ ลอรองเจอรี่)
Orangerie แปลว่าโรงเรือนสำหรับปลูกต้นส้ม ซึ่งชื่อก็บอกตรงตัวเลยว่าก่อนที่กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ที่ใช้ในการปลูกต้นส้มมาก่อน
Location: https://goo.gl/maps/gfRarc3PBea8B9fc9
ไฮไลท์ของที่นี่คือห้องที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อจัดแสดงภาพวาดระดับตำนานในซีรี่ส์ “Nymphéas” (หรือ “Water Lilies” ในภาษาอังกฤษ) ของ Claude Monet ปรมาจารย์ศิลปะแนว Impressionism โดยเฉพาะ
มีผู้ที่ศึกษางานของ Monet กล่าวว่า สิ่งที่ Monet ระบายลงไปไม่ใช่แค่รูปดอกบัวในบึงเท่านั้น แต่เขาได้บันทึกการเต้นระบำของแสงลงไปในภาพผ่านฝีแปรงอัจริยะของเขา และเราก็เห็นด้วยตามนั้น
โปรเจ็คท์พิเศษนี้เริ่มต้นในปี 1922 เมื่อ Monet เสนอตัวบริจาคงานจิตรกรรมฝาผนังให้กับรัฐเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับการสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ปรึกษาให้กับการออกแบบพื้นที่จัดแสดงด้วยตัวเองโดยตั้งใจจะติดตั้งภาพเขียนแบบพาโนรามาลงบนผนังโค้งของผนังอาคารทรงรีและเน้นใช้แสงธรรมชาติซึ่ง Monet เชื่อว่าเหมาะกับการชมภาพวาดของเขามากที่สุด
แต่สุดท้ายฮีกลับหวงงานไม่ยอมปล่อยภาพของตัวเองออกมาให้ทีมงานติดตั้ง จนกระทั่งฮีเสียชีวิตลงเมื่อปลายปี 1926 ภาพบัวในบึงพาโนรามาโค้งขนาดใหญ่ทั้งหมด 8 ภาพ จึงได้ถูกนำมาติดตั้งให้สาธารณชนได้ชมที่นี่ในช่วงต้นปีถัดมา
ที่จริงแล้วภาพในซีรี่ส์ Nymphéas (นีมเฟอาส) นี้ เป็นภาพจิตรกรรมรูปบัวในสระที่บ้านของ Monet เอง ซึ่งเขาได้ใช้พู่กันบันทึกรูปดอกบัวและน้ำในสภาพแสงต่างๆไว้กว่า 250 ภาพลงบนผืนผ้าใบหลายขนาด และทั้ง 250 ภาพนี้ก็กระจายตัวอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วโลก
แต่ทั้ง 8 ภาพไซส์ใหญ่พิเศษที่ Musée de l'Orangerie แห่งนี้เป็นงานที่ Monet ดีไซน์มาให้เหมาะกับสถานที่จัดแสดงโดยเฉพาะ จึงน่าจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในงานชิ้นโบว์แดงที่สุดของเขา และเราก็ไม่สามารถหาชมได้จากที่อื่น
ใช่ว่าที่ Orangerie จะมีแค่ผลงานของ Monet นะครับ มิวเซี่ยมแห่งนี้ยังมีงานที่สำคัญจากศิลปินชั้นครูท่านอื่นๆอีกมากมาย เช่น Henri Matisse, Amedeo Modigliani, Pablo Picasso, Pierre-Auguste Renoir, Henri Rousseau เป็นต้น รวมถึงงานจัดแสดงชั่วคราวของศิลปินจากอีกหลายยุคหลายประเทศที่สลับสับเปลี่ยนมาให้ชมกัน
ในรูปคืองานชุด “The Cruel Stories of Paula Rego” โดย Paula Rego ศิลปินชาวโปรตุเกส ที่ถูกนำมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการชั่วคราว ณ ตอนที่เราไป
Lafayette Anticipations
(ลาฟาเย็ตต์ อองติซิปาซิยง)
สร้างขึ้นโดยมูลนิธิของห้างดังอย่าง Galeries Lafayette เราสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโลโก้ที่หน้าเว็ป เพราะมันช่างถูกจริตเราเหลือเกิน ที่นี่เป็นเหมือนมิวเซี่ยมเล็กๆแต่เท่มากๆ เน้นงาน contemporary art งานดีไซน์และแฟชั่น ตลอดจนงานสร้างสรรค์เชิงทดลองต่างๆจากศิลปินทั่วโลก
ค่าเข้า Exhibitions : free admission Events : from 5 to 15 €
เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดวันอังคาร
Location: https://goo.gl/maps/ramg8DG88oXqziWr5